A Chinese Ghost Story (1987)
: Ching Siu-Tung ♥♥♥
โปเยโปโลเย เย้ยฟ้าแล้วก็ท้า ฉบับอำนวยการสร้างโดย ฉีเคอะ จะพาคุณโบยบินโลดเต้นไปกับ Special Effect ตื่นตระการตา, ความน่ารักน่าชังของคู่มนุษย์-ผี เลสลี่ จาง กับ หวัง จู่เสียน เหมาะสำหรับผู้ชมยุคสมัยใหม่ ตัดต่อรวดเร็วฉับไว เพลงประกอบตราตรึง … ก็แล้วแต่คนจะชอบ
สำหรับหนังผี Chinese New Horror เริ่มต้นนับที่ Encounters of the Spooky Kind (1980) เรื่องแรกของยุคสมัย, ถัดมา Mr. Vampire (1985) คือจุดสูงสุดของแนว (ทำเงินสูงสุดด้วย) และ A Chinese Ghost Story (1987) เปรียบได้กับจิตวิญญาณ ที่สุดแล้วของความรักระหว่างคนกับผี
แต่ผมอาจเป็นหนึ่งในไม่กี่คนกระมังที่ไม่ค่อยชอบโปเยโปโลเยฉบับนี้สักเท่าไหร่ เหตุผลเพราะไดเรคชั่นการตัดต่อ และบรรดา Special Effect อลังการงานสร้างทั้งหลาย มันดึงจิตวิญญาณให้ล่องลอยออกจากร่าง มอบสัมผัสเพ้อฝันหวานแหววเสียจนมิอาจจับต้องได้ (แต่นั่นอาจเพราะคือความตั้งใจให้ผู้ชมรู้สึกเช่นนั้นก็ได้นะ) หลุดโบยบินไปแล้วก็ไม่อยากหวนกลับคืนสู่โลกความเป็นจริง
เมื่อเทียบกับฉบับคลาสสิก The Enchanting Shadow (1960) ที่ราวกับหลุดออกมาจากหนังสือบนชั้นวาง สภาพเก่าเขรอะ แต่คุณภาพยังอัดแน่นเต็มเปี่ยม, ฉบับของฉีเคอะ ราวกับนิตยสาร Playboy, Private เมื่อสักประมาณทศวรรษ 80s รูปเล่มสีสันสวยสดใส เนื้อหาข้างในชวนให้วัยรุ่นสมัยนั้นน้ำลายไหลหลาก แต่กาลเวลาผ่านไปเมื่อภาพสีเริ่มซีดตก นำมาปลุกใจเสือวัยรุ่นปัจจุบันนี้ คงไม่เกิดอารมณ์ร่วมใดๆทั้งนั้น
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อผมนะ เพราะคนที่คลั่งไคล้หนังจีนส่วนใหญ่ ไม่ได้สนเรื่องความงดงามทางศาสตร์ศิลป์ภาพยนตร์อยู่แล้ว แค่ว่าเนื้อหาสนุก คู่พระ-นาง เคมีเข้าขากันดี ฉากบู๊แอ๊คชั่นเว่อมันอลังการ แค่นั้นก็เหลือเฟือแล้วกระมัง
เกร็ด: โปเยโปโลเย แผลงมาจากสำเนียงจีนกลางว่า ปัวญั่วปัวลัวมี (จีน: 般若波羅蜜; พินอิน: bōrě bōluómì) เป็นบทสวดมนต์ธิเบต ภาษาสันสกฤตแปลว่า ‘ปรัชญาปารมิตา’ ถือเป็นพระสูตรหัวใจแห่งปฏิปทาอันยวดยิ่งแห่งความรู้แจ้ง หรือหฤทัยสูตร (Heart Sutra) ได้รับการยอมรับเป็นที่รู้จักนิยมมากสุดในพุทธศาสนานิกายมหายาน
ฉีเคอะ มีความสนใจดัดแปลงสร้างเรื่องประหลาดจากห้องหนังสือ หรือโปเยโปโลเย ผลงานประพันธ์ของผู ซงหลิง (ค.ศ. 1640 – 1715) มาตั้งแต่ประมาณปี 1978 นำเสนอให้กับโปรดิวเซอร์วงการโทรทัศน์ แต่ถูกปฏิเสธเพราะมองว่าเนื้อหาไม่ค่อยเหมาะสมสำหรับทำฉายช่องทางนี้เสียเท่าไหร่ กระนั้นเจ้าตัวยังไม่ยอมแพ้ ค่อยๆครุ่นคิดว่าแนวทางในการนำเสนอให้แตกต่างจาก The Enchanting Shadow (1960) จนกระทั่งการมาถึงของ Encounters of the Spooky Kind (1980) และ Mr. Vampire (1985) ที่ได้จุดประกายอีกแนวทางหนึ่งของการนำเสนอเรื่องราวมีส่วนผสมของสิ่งเหนือธรรมชาติ
เฉิงเสี่ยวตง, Ching Siu-tung (เกิดปี 1953) ผู้กำกับ นักออกแบบฉากต่อสู้ เกิดที่ Xiaodong Cheng เป็นลูกชายของ Cheng Kang นักเขียน/ผู้กำกับ สังกัด Shaw Brothers เพราะสมัยเด็กไม่ชอบเรียนหนังสือ ครอบครัวเลยส่งตัวเข้าโรงเรียนการแสดง East Drama School เรียนงิ้ว เต้น ศิลปะการต่อสู้ จนได้รับโอกาสเป็น Stuntman ด้วยรูปร่างเล็กจึงมักเป็น Stand-in ให้กับนักแสดงผู้หญิง, ช่วงทศวรรษ 70s มุ่งสู่วงการโทรทัศน์ กำกับซีรีย์หลายเรื่อง จนครั้งหนึ่งออกแบบคิวบู้เรื่อง Don’t Play with Fire กลายมาสนิทสนมกับฉีเคอะ ส่งเสริมให้ได้กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Duel to the Death (1982), ตามด้วย Witch from Nepal (1986), A Chinese Ghost Story (1987), The Swordsman (1990), Swordsman II (1992) ฯ
ในตอนแรกที่ฉีเคอะ พูดคุยโปรเจคนี้กับเฉิงเสี่ยวตง เจ้าตัวไม่ค่อยเกิดความกระตือลือร้นนัก เพราะไม่ค่อยอยากทำหนังรักโรแมนติก หรือแนวผีที่ไม่หลอกหลอน แต่ระหว่างพัฒนาบทก็คอยหาองค์ประกอบอื่นๆแทรกใส่เข้าไปด้วยให้เกิดความแตกต่าง จนเมื่อเสร็จสิ้นฉีเคอะก็ตั้งใจจะกำกับเอง แต่เพราะงานยุ่งมากต้องเตรียมสร้าง A Better Tomorrow II (1987) เลยไหว้วานให้เฉิงเสี่ยวตง เข้ามาคุมบังเหียรกำกับแทน
เรื่องราวของบัณฑิตหนุ่ม หนิงไฉ่เฉิน (รับบทโดยเลสลี่ จาง) ดั้นด้นรอนแรมสู่เมืองต่างๆเพื่อทำงานเก็บภาษีสรรพากร ณ หมู่บ้านห่างไกลแห่งหนึ่ง วันนั้นไร้โรงเตี้ยมให้พักค้างแรม คงเหลือแต่วัดร้างปลายดอยที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรมจนเลื่องลือชาว่าผีดุเสียกระไร เดินทางไปถึงพบเจอมือกระบี่นักพรต หยาน ซีเซีย (รับบทโดยอู๋ หม่า) และยามดึกดื่นค่ำคืนนั้นได้รู้จักหญิงสาวลึกลับ เนี่ย เสี่ยวเชี่ยน (รับบทโดยหวัง จู่เสียน) พยายามใช้มารยาเกี้ยวพาราสี แต่เขากลับปฏิเสธเสียงขันแข็งอ้างความถูกต้องเหมาะสมทางศีลธรรมจรรยา จนภายหลังล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอคือวิญญาณผู้เสียชีวิตไปแล้ว ถูกกักตัวไว้โดยปีศาจต้นไม้ (รับบทโดยหลิวเส้าหมิง) วิธีการเดียวเท่านั้นจะช่วยเหลือคือขุดนำกระดูกไปฝังยังสุสานให้ถูกต้องตามประเพณี ถึงสามารถไปผุดไปเกิดได้เสียที แต่ใช่ว่านางปีศาจจะยินยอมง่ายๆ จำต้องขอความช่วยเหลือจากมือกระบี่นักพรต กำราบปราบผีชั่วตนนี้ให้สิ้นซาก
Leslie Cheung Kwok-wing (1956 – 2003) นักร้องนักแสดงสัญชาติ Hong Kong เจ้าของฉายา ‘บิดาผู้ก่อตั้ง Cantopop’ เกิดที่ Kowloon พ่อเป็นช่างตัดเสื้อชื่อดังที่มีลูกค้าอย่าง William Holden, Marlon Brando, Cary Grant ตอนอายุ 12 ถูกส่งไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ เลือกเชื่อ Leslie เพราะชื่นชอบหนัง Gone With the Wind และตัวละคร Leslie Howard, โตขึ้นสอบเข้า University of Leed สาขาการจัดการ แต่แค่เพียงปีเดียวก็กลับบ้านเพราะพ่อป่วย เซ็นสัญญากับ Polydor Records ออกอัลบัมแรก I Like Dreamin (1977) เป็นภาษาอังกฤษเลย Flop ดับสนิท แต่ก็ยังฝืนทำต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งอัลบัม Wind Blows (1982) บทเพลง Monica ติดชาร์ทอันดับ 1 กลายเป็น Superstar โดยทันที
สำหรับภาพยนตร์ เริ่มต้นที่ A Better Tomorrow (1986) ของผู้กำกับ John Woo ทุบสถิติทำเงินสูงสุดใน Hong Kong ตามด้วย A Chinese Ghost Story (1987), Rouge (1987) ร่วมงานกับ Wong Kar-Wai ครั้งแรก Days of Being Wild (1991) นี่ทำให้ Leslie Cheung ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งวงการเพลงและภาพยนตร์
รับบท หนิงไฉ่เฉิน บัณฑิตหนุ่มผู้มีความเฉลียวฉลาดรอบรู้ นิสัยขี้เล่นซุกซน ชอบพูดจาหยอกล้อ ทำตัวอ่อนเยาว์วัยบริสุทธิ์ไร้เดียงสา กลัวๆกล้าๆในเรื่องของความรัก แต่เพราะยึดมั่นในหลักคุณธรรมประจำใจ ทั้งความซื่อสัตย์สุจริต และต้องการต่อสู้กับความอยุธรรมใดๆในโลก ไม่ใช่แค่เพียงสงครามขัดแย้งของมนุษย์ รวมถึงความคอรัปชั่นของภูติผีปีศาจอีกด้วย
สิ่งที่เลสลี่ จาง แตกต่างจากเจ้าหลุย คือภาพลักษณ์ใบหน้าละอ่อนเยาว์ นิสัยขี้เล่นซุกซน คำพูดทะเล้นหยอกล้อ สวมชุดบัณฑิตแต่กลับไม่ค่อยมีความทรงภูมิสักเท่าไหร่ ขณะที่เรื่องความรัก/จิตใจนั้นไม่แตกต่าง มีความบริสุทธิ์แท้จากเนื้อใน, ผมว่าสาวๆ(สมัยนั้น)น่าจะชื่นชอบเลสลี่ จาง กว่ามากๆ เพราะดูเป็นคนร่วมสมัยจับต้องได้ มีชีวิตชีวามากกว่า
หาภาพน่ารักๆของเลสลี่ มาให้ชมไม่ได้ ก็เอาเป็นช็อตนี้แล้วกัน จุมพิตใต้น้ำ ดื่มด่ำไปกับความรักต่างมิติ ชวนฝันสุดๆเลยนะ
หวัง จู่เสียน, Joey Wong (เกิดปี 1967) นักแสดงหญิง สัญชาติ Taiwanese เกิดที่ Taipei, ตอนอายุ 14 ได้เข้าร่วมทีมบาสเกตบอลเยาวชนระดับมัธยม เดินทางไปแข่งขันยังฮ่องกง และพบแมวมองชักชวนมาถ่ายโฆณารองเท้ากีฬา จากนั้นก็มีงานถ่ายแบบเข้ามาเรื่อยๆ จึงเริ่มเกิดความสนใจจริงจังด้านการแสดง เข้าเรียน Guoguang Arts School, ได้แสดงนำ It Will be Cold by the Lake This Year (1984), เซ็นสัญญากับ Shaw Brothers มีผลงาน Lets Make Laugh 2 (1985), Working Class (1985), กลายเป็นดาวค้างฟ้ากับ A Chinese Ghost Story (1987)
รับบท เนี่ย เสี่ยวเชี่ยน ความโชคร้ายทำให้เธอเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แถมยังถูกบีบบังคับจากวิญญาณปีศาจให้ต้องทำงานชดใช้ เข่นฆ่าสูบวิญญาณชายหนุ่มผู้มักมากในกามโลกีย์ นำมาเป็นพลังชีวิตให้กับของตนเอง, การได้พบเจอกับหนิงไฉ่เฉิน แรกเริ่มเกิดประทับใจในความน่ารักบริสุทธิ์เดียงสา ถูกตื้อหลายๆครั้งจนเริ่มจิตใจอ่อนไหว ที่สุดต้องการช่วยเหลือเขารอดพ้นเงื้อมมือของนางมารร้าย
คงไม่มีใครสู้ความงามอมตะของ เล่อ ตี้ ได้อย่างแน่แท้ แม้แต่ หวัง จู่เสียน จุดเด่นของเธอคือใบหน้าอันอ่อนหวาน เขียนคิ้วขนานให้น่ากลัว แต่ด้วยนิสัยขี้เล่นซุกซน ดูน่าสงสารเห็นใจมากกว่า และต้องถือว่าเคมีเข้าขากับ เลสลี่ จาง ได้เป็นอย่างดี กระนั้นครึ่งหลังเมื่อแปรสภาพกลายเป็น ‘damsel in distress’ ค่อนข้างน่าผิดหวังเลยละ
แต่แค่ภาพแรกของเธอนี้ คงทำให้หลายๆคน’ฟิน’ในความน่ารักลมพัด
อู๋ หม่า, Fung Wang-yuen (1942 – 2014) นักแสดงตัวประกอบรุ่นใหญ่ เกิดที่ Tianjin พออายุ 16 ย้ายมาอยู่ Guangzhou ทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ ไม่นานอพยพสู่ Hong Kong เข้าเรียนวิชาการแสดงของสตูดิโอ Shaw Brother กลายเป็นนักแสดงสมทบในหนังอย่าง Lady General Hua Mu-lan (1964), ค่อยๆไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆจนมีบทสมทบเด่นๆอย่าง The One-Armed Swordsman (1969), The Iron-Fisted Monk (1977), The Dead and The Deadly (1983), Mr Vampire (1985), Righting Wrongs (1986), A Chinese Ghost Story (1987), Last Eunuch in China (1988), The Swordsman (1991) ฯ
รับบทมือกระบี่นักพรต อาศัยอยู่วัดแห่งนี้ด้วยความสันโดษไม่ต้องการคบหามนุษย์ผู้ใด ร่ำสุราร้องเพลง มีวิทยายุทธแก่กล้า ทนไม่ได้กับวิญญาณปีศาจต้นไม้ที่ชอบรุกรานฆ่าคน ต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้กับเพื่อนร่วมสำนักที่เสียชีวิต ยินยอมให้ความช่วยเหลือหนิงไฉ่เฉิน ปกป้องเพื่อนผู้มีความบริสุทธิ์สุจริตจากใจ
ว่ากันว่านี่คือบทบาทโดดเด่นสุดในชีวิตของ อู๋ หม่า ก็แค่ฉากร่ำสุราร้องเพลงรำกระบี่ สะท้อนความสุขสันโดษแบบไม่ต้องสนใคร ลีลาจัดจ้านขโมยซีนความโดดเด่นไปเต็มๆ
บทเพลงชื่อ Lo แปลว่า Path, เส้นทางของฉัน แต่ง/ขับร้อง โดย James Wong, เพลงแรพ ไม่ได้จำเป็นว่าต้องมีท่วงทำนองไพเราะเสนาะหู แค่ว่าคำร้องสัมผัสคล้องจอง ลีลาเร้าใจ และเล่าบอกเรื่องราวออกมาได้สื่อความหมาย เท่านี้ก็เพียงพอแล้วเป็นตำนานแล้ว
สำหรับปีศาจต้นไม้ หลายคนอาจมีความฉงนสงสัย นั่นผู้ชาย/ผู้หญิง นักแสดง หลิวเส้าหมิง (เกิดปี 1931) นั้นเป็นผู้ชาย แต่การให้เสียงได้ยินทั้งชาย-หญิง เพื่อสะท้อนถึงความไม่มีเพศของปีศาจตนนี้
ถ่ายภาพโดย Poon Hang-sang, Sander Lee Kar-ko, Tom Lau Moon-tong, Wong Wing-hang ที่มีหลายเครดิตเพราะเหมารวมทีม Visual Effect, Stop-Motion (ผีดิบที่เคลื่อนไหว) เข้าไปด้วย
การถ่ายภาพมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว โฉบเฉี่ยว มุมกล้องมีลักษณะแปลกประหลาด เงยถ่ายจากพื้น สร้างสัมผัสหลอนๆน่าสะพรึงกลัว, มุมก้มจากต้นไม้/ที่สูง เหมือนปีศาจมองลงมา, เอียงกระเท่เร่ (Dutch Angle) สะท้อนถึงโลกอีกใบ (โลกวิญญาณ) ที่ผิดแผกแตกต่างจากปกติ,
หลายๆอย่างของหนังรับแรงบันดาลใจจาก Evil Dead (1982) อาทิ การเคลื่อนกล้องบุคคลที่หนึ่ง (ให้สัมผัสเหมือนผีที่ล่องลอยตรงเข้ามาหา), เทคนิค Stop Motion ซอมบี้เคลื่อนไหวได้, ลิ้นของปีศาจต้นไม้ (อันนี้ตรงๆเลยกับ กิ่งไม้ขยับได้) ฯ แต่ที่แตกต่างคือการต่อสู้ด้วยวิทยายุทธ/กำลังภายใน พลังฝ่ามือ/ดัชนี หมัดมวย เพลงดาบ นี่ทำให้อรรถรสหนังผีเอเชียแตกต่างจากยุโรปและ Hollywood อย่างมาก (ที่มักใช้ ปืน เลื่อย มีดดาบ อุปกรณ์ข้างกายรอบตัวในการต่อกรสรรพผี)
มีฉากหนึ่งของหนังที่ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่คือการไต่สวนในศาล (นี่ไม่ได้ล้อเลียนซีรีย์เปาบุ้นจิ้นนะครับ ยังอีกหลายปีกว่าจะเริ่มต้น) แต่เห็นว่าเป็นการอัญเชิญบุคคลสำคัญแห่งวงการหนังฮ่องกง ให้มาร่วม Cameo สร้างสีสันที่กลายเป็นไร้สาระยังไงก็ไม่รู้
ฉากไคลน์แม็กซ์ที่กลุ่มพระเอกหลุดเข้าไปในโลกวิญญาณ จัดเต็มเรื่อง Special Effect หมอกควัน ลมพัดแรง แค่เดินยังแทบไม่ตรง มีการใช้แสงสป็อตไลท์สีน้ำเงินสาดส่องจากเบื้องหลังไกล มองอะไรแทบไม่เห็นสักอย่าง รอบข้างมืดมิดสนิท มารู้ตัวอีกทีพบเห็นกำแพงก่อด้วยกระโหลกศีรษะ แทบสะดุ้งโหยงเลยละ
น่าเสียดายหาภาพเต็มๆของรูปวาดนี้ไม่ได้ คงมี หวัง จู่เสียน เป็นแบบให้เลยละ ถึงออกมาคล้ายคลึงขนาดนี้ ซึ่งข้อสังเกตคือการปล่อยสยายผม สะท้อนถึงการไร้ซึ่งพันธนาการยึดเหนี่ยวใดๆในโลกมนุษย์หรือวิญญาณ ภาพวาดที่ความงดงามของเธอจะคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์
ตัดต่อ…ไม่มีเครดิต…, เล่าเรื่องโดยใช้มุมมองของ หนิงไฉ่เฉิน ตั้งแต่เดินทางมาสู่เมืองแห่งนี้ พักแรมในศาลเจ้า ทั้งยังกระโดดเข้าไปในโลกวิญญาณ เพื่อให้ความช่วยเหลือผีสาวผู้เป็นที่รัก
หนึ่งในไฮไลท์ของหนังคือการตัดต่อ ทำการเรียงร้อยได้อย่างพริ้วไหว ฉับไว มีความลื่นไหลไถลต่อเนื่องให้สัมผัสชวนฝัน ดึงจิตวิญญาณของผู้ชมให้หลุดเข้าไปในโลกอีกใบหนึ่ง ที่จังหวะหัวใจแตกต่างจากปกติทั่วไป
ตอนที่หนิงไฉ่เฉิน หลบซ่อนตัวในอ่างอาบน้ำของ เนี่ย เสี่ยวเชี่ยน ต้องชมเลยว่าโดดเด่นทั้งการตัดต่อและเคลื่อนกล้องได้อย่างลื่นไหล…ไถล (สังเกตว่ามีสายลมพัดเอื่อยเฉื่อยเข้าหานักแสดงตลอดเวลา ทั้งๆที่อยู่ในห้องปิด) เพราะจำต้องปกปิดมนุษย์หนุ่มหลบซ่อนไว้ ทุกครั้งโผล่หน้าขึ้นมาหายใจจะสร้างความพิศวงสงสัย เดินเข้าไปกดหัวให้จมน้ำใหม่ หรือเมื่อคนอื่นจะชะโงกหน้าเข้าไปดูก็ต้องเลี้อยเล่นตัว แสร้งทำท่าโน่นนี่นั่นให้เบี่ยงเบนความสนใจอื่นแทน
เพลงประกอบโดย Romeo Diaz และ James Wong รายหลังโด่งดังกับบทเพลง Cantopop เคยร่วมงานกับฉีเคอะเรื่อง A Better Tomorrow (1986) ต่อจากนี้ที่เด่นๆ อาทิ The Swordsman (1990), Once Upon a Time in China (1991) ฯ
คงต้องเรียกว่าร่วมสมัย(นั้น) เพราะบทเพลงประกอบมีกลิ่นอาย Cantopop อยู่เต็มๆ ซึ่งถ้าเพลงไหนไม่มีคำร้อง ก็มักใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านของจีนแทรกแทนทำนองหลัก มอบสัมผัสไม่ค่อยหลอนสะพรึงเท่าไหร่ แต่เหมือนวิญญาณที่ล่องลอยเรื่อยเปื่อยออกจากร่าง
Main Theme ชื่อเพลง Sien nui yau wan แปลว่า A Chinese Ghost Story ขับร้องโดยเลสลี่ จาง, ผมคิดว่าสิ่งที่ผู้ชมสมัยปัจจุบันจะได้เพิ่มแตกต่างจากตอนออกฉาย คืออารมณ์สั่นไหวเสียดาย โหยหาคิดถึงเลสลี่ จาง เพราะการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของพี่แก ทำให้บทเพลงนี้มีความหลอนเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า
แค่เสียงกู่เจิง ก็ทำให้หัวใจสั่นสะท้านมากๆแล้ว ยังมีการเพิ่มเสียงโหยหวนสั่นสะท้าน (Echo) ของหญิงสาวเข้าไปอีก ยิ่งทำให้บทเพลงนี้มีสัมผัสดั่งวิญญาณล่องลอย พรรณาความงดงาม สมชื่อ Beauty โดยแท้
บทเพลงรางวัลของหนัง Lai Ming Bat Yiu Loi แปลว่า Dawn, Please Do Not Come, ไม่อยากให้รุ่งอรุณมาถึง ขับร้องโดย Sally Yeh
ก่อนหน้าหนังเรื่องนี้ เลิฟซีนระหว่างมนุษย์กับผี ยังคงเป็นสิ่งต้องห้ามที่ถูกขัดขวางด้วยศีลธรรมเบาบาง แต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นไปไม่ได้, บทเพลงนี้ดังขึ้นระหว่างหนุ่ม-สาว คู่นี้ร่วมรักหลับนอน ไม่อยากให้รุ่งอรุณมาถึงเพราะทำให้พวกเขาต้องพลัดพรากจาก ก็ไม่รู้จะยังมีโอกาสได้พบเจอกันอีกไหม
โลกเรานี้ไม่มีอะไรที่ขีดเส้นแบ่งแยกความแตกต่าง เว้นเสียแต่ความคิดจิตมโนสร้างมันขึ้นมาเอง นั่นก่อให้เกิดความขัดแย้งเห็นต่าง เล่นพรรคเล่นพวกพ้อง ครอบงำผู้อื่นให้เกิดอคติ ทั้งๆที่แท้จริงแล้วทุกฝั่งฝ่ายล้วนมีทั้งดี-ชั่ว เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่-เห็นแก่ตัว ฯ ต่อให้เป็นศัตรู มนุษย์-ผี ก็มิมีอะไรสามารถกั้นขวางความรักของสองจิตวิญญาณที่โหยหากันได้
A Chinese Ghost Story คือเรื่องราวความรักที่ก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งบางๆกั้นขวาง ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้ มนุษย์-ผี พบเจอ ตกหลุมรัก เป็นของกันและกัน ทั้งยังสนับสนุนส่งเสริม ให้ความช่วยเหลือ แม้สุดท้ายแล้วชาตินี้มิอาจครองคู่ แต่อนาคตต่อไปไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
สิ่งที่หนังเรื่องนี้อ่อนด้อยกว่า The Enchanting Shadow (1960) อย่างเห็นได้ชัด คือประเด็นการเมืองที่ควรสอดแทรกแฝงอยู่ กลับสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย [วรรณกรรมเรื่องประหลาดจากห้องหนังสือ ก็มีประเด็นแฝงเรื่องการวิพากย์วิจารณ์ โจมตีระบอบศักดินาของประเทศจีนยุคสมัยนั้นอยู่เช่นกัน] นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์นำเสนอความขัดแย้งระหว่าง คอมมิวนิสต์ vs. พรรคก๊กมินตั๋น หรือ เผด็จการ vs. ประชาธิปไตย มากสุดก็แค่ประเด็นคลุมถุงชน ปีศาจต้นไม้บีบบังคับให้เนี่ย เสี่ยวเชี่ยน แต่งงานกับ … (ปีศาจอีกตน) … แต่เพราะเธอไม่ยินยอมพร้อมใจ เลยขอให้หนิงไฉ่เฉิน ที่ตนรักมากกว่าฉุดคร่าพาหลบหนีไปด้วยกัน
ฉีเคาะ เป็นผู้กำกับที่โดดเด่นในการนำของเก่ามาปัดฝุ่นใหม่ สร้างสรรค์แต่งเติมให้มีความทันสมัย(นั้น) แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปอีกก็ชัดเจนว่ามิได้มีความร่วมสมัยหรือแปรสภาพกลายเป็นคลาสสิก คุณภาพเสื่อมถดถอยลงไปตามกาลเวลา กระนั้นสิ่งที่คงอยู่คือประวัติศาสตร์ความสำเร็จ ครั้งหนึ่งเคยทำให้ผู้ชมในวงกว้างตกหลุมรักคลั่งไคล้ นั่นเป็นสิ่งถูกจารึกไว้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
หนังไม่มีรายงานทุนสร้าง แต่ทำเงินได้ HK$18.8 ล้านเหรียญ ถือว่าประสบความสำเร็จล้นหลาม [แต่ก็ยังไม่สูงเท่า Mr. Vampire (1985)], เข้าชิง Golden Horse Film ทั้งหมด 8 สาขา คว้ามา 4 รางวัล ประกอบด้วย
– Best Feature Film
– Best Supporting Actor (Wu Ma) ** คว้ารางวัล
– Best Adapted Screenplay ** คว้ารางวัล
– Best Film Editing ** คว้ารางวัล
– Best Costume Design ** คว้ารางวัล
– Best Art Direction
– Best Original Film Score
– Best Original Film Song
ขณะที่ Hong Kong Film Award เข้าชิง 12 จาก 10 สาขา ได้มา 3 รางวัล
– Best Picture
– Best Director
– Best Actress (Joey Wang)
– Best Supporting Actor (Wu Ma)
– Best Cinematography
– Best Art Direction ** คว้ารางวัล
– Best Film Editing
– Best Action Choreography
– Best Original Film Score ** คว้ารางวัล
– Best Original Film Song บทเพลง Lai Ming Bat Yiu Loi ** คว้ารางวัล
– Best Original Film Song เพลง Sin Nui Yau Wan
– Best Original Film Song เพลง Do
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ตราตรึง น่าจะเหนือกาลเวลา คือคู่พระนาง เลสลี่ จาง กับ หวัง จู่เสียน ไม่เพียงการแสดงเข้าขากันดี แต่ยังถือเป็นคู่ชวนฝัน เพราะพวกเขามีความแตกต่าง มนุษย์-ผี ถูกขัดขวางต่างๆนานาสารพัด จนสุดท้ายแล้วได้ครองคู่เพียงไม่กี่ชั่วข้ามคืนแล้วจากกันชั่วชีวิตนี้ ทั้งยัง Ending Credit ประมวลผลเรียงร้อยทุกความทรงจำฉันและเธอ อำนวยอวยพรให้ชาติหน้าฟ้าใหม่จะได้มีโอกาสครองคู่รักใคร่ สุขสมหวังดั่งใจปองเสียทีเถอะนะ
แม้ภาพรวมจะไม่ได้ชื่นชอบหนังเท่าไหร่ รู้สึกเลยว่า Special Effect และหลายๆไดเรคชั่น เฉิ่มเชยตกยุคสมัยไปแล้ว แต่ก็มีส่วนประทับใจมากมาย เลสลี่ จาง เล่นดีมากๆ แถมยังได้ อู๋ หม่า คอยแย่งซีนอีก, การตัดต่อถือว่าหลุดโลกไปเลย และเพลงประกอบไพเราะชวนฝันสุดๆ
แนะนำคอหนังผี แนวรักโรแมนติกเพ้อฝัน, Special Effect อลังการในสไตล์ทศวรรษ 80s, เคยอ่าน โปเยโปโลเย หรือผลงานประพันธ์ของผู ซงหลิง, แฟนๆผู้กำกับ เฉิงเสี่ยวตง และนักแสดงนำ เลสลี่ จาง, หวัง จู่เสียน ไม่ควรพลาด
จัดเรต 13+ กับภาพหลอนๆ และความชั่วร้ายของปีศาจ
Leave a Reply