A Fistful Of Dollars

A Fistful of Dollars (1964) Italian : Sergio Leone ♥♥♥

นักฆ่าเพชรตัดเพชร ถึงจะเป็นภาพยนตร์ที่โคลนมาจาก Yojimbo (1961) ของผู้กำกับ Akira Kurosawa แต่หนัง Spaghetti Western เรื่องนี้ก็มีดีของตัวเอง ในสไตล์ของผู้กำกับ Sergio Leone ผสมผสานคลุกเคล้าเครื่องปรุงหลากหลายจนได้รสชาติจัดจ้าน และสร้างชื่อให้ Clint Eastwood กลายเป็น Superstar

Dollars Trilogy ของผู้กำกับ Sergio Leone อันประกอบด้วย A Fistful of Dollars (1964), For a Few Dollars More (1965), The Good, the Bad and the Ugly (1966) หลังจากออกฉายที่อิตาลี ใช้เวลาหลายปีทีเดียวกว่าจะได้ออกฉายทั้งโลกและอเมริกา แม้จะประสบความสำเร็จทำเงินล้นหลามแต่เสียงวิจารณ์กลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เพราะความที่ถูกมองเป็น Spaghetti Western ก่อให้เกิดอคติที่ว่า คงมีแต่ความรุนแรงหาคุณค่าทางศิลปะใดๆไม่ได้ แม้แต่นักวิจารณ์ชื่อดังของอเมริกา Roger Ebert ก็ยังเคยให้สามดาวจากสี่ต่อ The Good, the Bad and the Ugly (1966) ด้วยคำทิ้งท้าย ‘ถ้าหนังไม่ใช่ Spaghetti Western คงให้สี่ดาวเต็มไปแล้ว’ ซึ่งกาลเวลาได้พิสูจน์คุณค่าของไตรภาคนี้ แปรสภาพกลายเป็นโคตรผลงานสุดคลาสสิก ทรงอิทธิพลต่อวงการ และได้รับการยกย่องว่าคือหนึ่งในภาพยนตร์ชุดอันยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

ในบรรดาภาพยนตร์ไตรภาค Dollars Trilogy เป็นสามเรื่องที่ผมรับชมได้กลับตารปัตรกันโดยสิ้นเชิง กล่าวคือมีโอกาสรู้จักเริ่มต้นดูภาคสาม The Good, the Bad and the Ugly (1966) ก่อนใครเพื่อน เพราะได้ยินว่าคือหนัง Western ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก จากนั้นย้อนมาภาคสอง For a Few Dollars More (1965) และตบท้ายด้วย A Fistful of Dollars (1964) ตอนแรกมิได้ทราบหรอกว่ามันคือไตรภาค พอหาข้อมูลเจอก็เกิดความเข้าใจผิด เพราะชื่อสองภาคแรกมันมี Dollars เหมือนกันเลยจำสลับ แต่ก็ใช่ว่าไตรภาคนี้มีความจำเป็นต้องรับชมต่อเนื่องแม้แต่น้อย กระนั้นถ้ามีโอกาสขอแนะนำเลยนะครับ เพราะคุณจะได้เห็นพัฒนาการของผู้กำกับ Sergio Leone ที่โดดเด่นชัด เป็นเอกลักษณ์ขึ้นเรื่อยๆ และความสนุกสนาน คุณภาพ โปรดักชั่น ภาคสาม > ภาคสอง > ภาคหนึ่ง

Sergio Leone (1929 – 1989) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์ สัญชาติอิตาเลียน เจ้าของนิยาม ‘Spaghetti Western’ เกิดที่ Rome, Lazio เป็นลูกของผู้กำกับ/นักแสดงชื่อดัง Vincenzo Leone กับ Edvige Valcarenghi สมัยเรียนเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับ Ennio Morricone ครั้งหนึ่งเห็นพ่อในกองถ่าย ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนกฎหมายเพื่อเข้าสู่วงการภาพยนตร์ เริ่มต้นจากเป็นตากล้อง ผู้ช่วยผู้กำกับ Vittorio de Sica ถ่ายทำ Bicycle Thieves (1948) เคยร่วมงานเป็นผู้ช่วยหนัง Hollywood ที่มาถ่ายหนังในอิตาลีเรื่อง Quo Vadis (1951), Ben-Hur (1959), เมื่อผู้กำกับ Mario Bonnard ล้มป่วยระหว่างการถ่ายทำ The Last Days of Pompeii (1959) เป็น Leone รับหน้าที่กำกับแทนทั้งหมดแต่ไม่ขอรับเครดิต, ภาพยนตร์เรื่องแรก The Colossus of Rhodes (1961) ด้วยทุนสร้างต่ำแต่สามารถทำให้มีความอลังการระดับ Hollywood Epic ได้

ช่วงทศวรรษ 60s ในประเทศอิตาลี Leone สังเกตพบว่าหนังแนว Western ยังคงได้รับความนิยมสูงมากๆอยู่ ขณะที่อเมริกาเริ่มถดถอยไม่ค่อยได้รับความสนใจสักเท่าไหร่ จึงเกิดแนวคิดปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ รูปแบบการนำเสนอ ให้สอดคล้องเข้ากับสไตล์ภาษาภาพยนตร์ของประเทศตัวเอง เกิดเป็น Sub-Genre ใหม่ที่เรียกว่า ‘Spaghetti Western’

เกร็ด: Spaghetti Western ถือเป็นคำเรียกเหมารวมภาพยนตร์แนว Cowboy Western ที่สร้างขึ้นโดยผู้กำกับสัญชาติอิตาเลียนโดยเฉพาะ

โดยภาพยนตร์เรื่องแรกของแนวนี้ก็คือ A Fistful of Dollars ได้แรงบันดาลใจจาก Yojimbo (1961) ของปรมาจารย์ผู้กำกับสัญชาติญี่ปุ่น Akira Kurosawa โดยเปลี่ยนจากซามูไรเป็นคาวบอย เห็นว่าเคยพยายามติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงอยู่ แต่สตูดิโอ Toho ไม่ยินยอมขายให้ Leone เลยตัดสินใจช่างหัวมันไม่แคร์สื่อ พาลให้เกิดเรื่องฟ้องร้องขึ้นศาล จบด้วยการเจรจานอกรอบ เสียกำไร 15% ให้กับค่าลิขสิทธิ์ (ประมาณกันว่าน่าจะเกินกว่า $100,000 เหรียญ) สูญเวลาไปถึง 3 ปี ก่อนที่หนังจะได้โอกาสเข้าฉายในอเมริกา

เกร็ด: จริงๆแล้ว A Fistful of Dollars ไม่ใช่ภาพยนตร์แนว Spaghetti Western เรื่องแรกของประเทศอิตาลี ช่วงทศวรรษนั้นมีสร้างขึ้นก่อนหน้าเป็นสิบๆ แต่เพราะคือหนังเรื่องแรกที่ออกฉายต่างประเทศและอเมริกา ประสบความสำเร็จล้นหลาม ผู้ชมทั่วโลกเลยรู้จักจดจำเช่นนั้นไปแล้ว

เกร็ด 2: ผู้กำกับ Kurosawa เคยพูดแซวว่า ทำเงินจากค่าไถ่กำไรลิขสิทธิ์ของ A Fistful of Dollars ได้มากกว่า Yojimbo ที่ฉายในประเทศตัวเองเสียอีก

– สำหรับ Yojimbo ผู้กำกับ Kurosawa อ้างว่าได้แรงบันดาลใจจากหนังนัวร์เรื่อง The Glass Key (1942) ที่ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันของ Dashiell Hammett ตีพิมพ์ปี 1931,
– แต่นักวิจารณ์ที่เคยอ่านผลงานทั้งหมดของ Hammett พบว่าเรื่องราวของหนังมีความคล้ายคลึงกับนิยายอีกเรื่อง Red Harvert (1929) มากกว่า,
– กระนั้นในอิตาลี มีการสืบค้นไปถึงบทละครเวทีเรื่อง Servant of Two Masters (1746) เขียนโดย Carlo Goldoni ที่ตัวเอกเป็นนกสองหัว คนรับใช้ให้กับเจ้านายสองฝั่งที่เป็นศัตรูกัน แล้วคอยปั่นหัวสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความขัดแย้ง

ผู้กำกับ Leone รับรู้ถึงความเป็นไปได้ของต้นกำเนิดเรื่องราวนี้ พูดแซวๆประมาณว่า

“Kurosawa’s Yojimbo was inspired by an American novel of the serie-noire so I was really taking the story back home again.”

แม้ใจความ จิตวิญญาณของ A Fistful of Dollars กับ Yojimbo จะคือสิ่งเดียวกัน แต่สถานที่ ตัวละคร พื้นหลังและรูปแบบการนำเสนอของ Leone กับ Kurosawa แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ปัญหาอยู่ที่
– ถ้าคุณรับชม Yojimbo มาก่อน อาจรู้สึกว่า A Fistful of Dollars เทียบชั้นกันไม่ได้สักนิด
– ขณะที่ถ้ารับชม A Fistful of Dollars แล้วไปดู Yojimbo อาจบอกว่า ก็ไม่เลวนะ

ชายนิรนาม (รับบทโดย Clint Eastwood) เดินทางมาถึงเมือง San Miguel ตั้งอยู่ริมชายแดน Mexican รับรู้เรื่องราวความขัดแย้งของกลุ่มคนสองฝั่งตระกูล ต่างมีความต้องการครองครอง ยึดอำนาจบริหารจัดการเมืองแห่งนี้แต่เพียงฝ่ายเดียว, เมื่อรับทราบเรื่องราวดังกล่าว ชายนิรนามจึงวางแผนสร้างความวุ่นวายปั่นหัวทั้งสองฝั่ง จนสุดท้ายเหลือเพียงฝ่ายเดียว เดินเข้าไปท้าดวลปืน กำจัดคนพาลให้สูญสิ้นซากไปจากเมืองแห่งนี้

Clinton Eastwood Jr. (เกิดปี 1930) นักแสดง ผู้กำกับสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ San Francisco, California, ครอบครัวฐานะค่อนข้างดีทีเดียว สมัยเด็กไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือ โดดออกมาทำงานหลากหลายอาทิ Lifeguard, เด็กส่งเอกสาร, แคดดี้, เสมียน ฯ สมัครเป็นทหารในช่วง Korean War แต่ก็ไม่ได้ถูกส่งไป ปลดประจำการออกมา มีแมวมองของ Universal ชักชวนให้มาเป็นนักแสดง ด้วยความที่หล่ออย่างเดียวแต่ไร้ฝีมือใดๆ ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะมีโอกาสได้รับบทเล็กๆครั้งแรกเรื่อง Revenge of the Creature (1955), โด่งดังกับแสดงซีรีย์ Rawhide (1959 – 1965) จากค่าตัวซีซันแรก $750 เหรียญต่อตอน จนซีซันที่ 8 สุดท้าย $119,000 เหรียญต่อตอน

รับบทชายนิรนาม ‘Man with No Name.’ ไม่มีใครรับรู้เบื้องหลังที่มาที่ไป หรือเป้าหมายความสนใจ เดินทางมาถึงเมือง San Miguel พอรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนแรกเหมือนจะเข้าร่วมฝ่ายหนึ่ง แต่ไปๆมากลับปั่นหัวให้การช่วยเหลืออีกฝ่ายหนึ่ง ไร้ซึ่งความจงรักภักดีมั่นคงต่อใคร กระทั่งครั้งหนึ่งแอบให้การช่วยเหลือครอบครัวที่ไม่ได้รู้เรื่องอิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลย ทำให้ถูกจับได้ทรมานปางตาย หลักจากหลบหนีเอาตัวรอด รักษาตัวจนหายดี หวนกลับมาทวงคืนความยุติธรรม

เกร็ด: ในบทหนังตัวละครนี้มีชื่อว่า Joe แต่เพราะไม่มีใครถามและเขาไม่ตอบ ผู้ชมเลยไม่รู้เลยกลายเป็นนิรนาม

ความสนใจแท้จริงของตัวละครนี้ไม่ใช่เรื่องเงินทอง หรือความสนุกสนานเพลิดเพลิน จุดนี้ถือว่าแตกต่างจากชายไร้นามของ Yojimbo อยู่เล็กน้อย ที่ชื่นชอบการเห็นสองฝ่ายตบต่อยตีกันเอง แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกันคืออุดมการณ์ผดุงความยุติธรรม อดรนทนไม่ได้เมื่อเห็นคนเลวทั้งสองฝ่าย นำพาเอาผู้บริสุทธิ์เข้ามาเป็นตัวประกันยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งของพวกตน

นักแสดงที่มีการติดต่อไป อาทิ Henry Fonda, Charles Bronson, Henry Silva, Rory Calhoun, Tony Russel, Steve Reeves, Ty Hardin, James Coburn, Richard Harrison ฯ ต่างบอกปัดปฏิเสธเพราะไม่มีใครอยากร่วมงานกับผู้กำกับไร้ชื่อเสียง แถมยังต้องเดินทางไปถ่ายทำถึงอิตาลี/สเปน, ถือเป็นโชคชะตาของ Eastwood จากคำแนะนำของ Harrison เมื่อยื่นข้อเสนอไปยินยอมตอบรับ เพราะกำลังอยู่ในช่วงต้องการค้นหาความท้าทายใหม่ๆ ลบภาพลักษณ์เดิมของตนเองจากซีรีย์ Rawhide

“In Rawhide, I did get awfully tired of playing the conventional white hat … the hero who kisses old ladies and dogs and was kind to everybody. I decided it was time to be an anti-hero.”

แต่การอุตส่าห์เดินทางมาร่วมงานครั้งนี้ของ Eastwood สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้เขามา เพราะทีมผู้สร้างภาพยนตร์อิตาเลี่ยนทั้งหลายเหล่านี้ หาได้มีความเป็นมืออาชีพแม้แต่น้อย แถมสถานที่ถ่ายทำยังไกลปืนเที่ยง ไร้ห้องน้ำ ไฟฟ้า รถตู้ Trailer ขนาดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายยังต้องเตรียมมาเอง กางเกงยีนส์สีดำซื้อที่ Hollywood Boulevard, หมวกจาก Santa Monica, ส่วนซิการ์มีในร้าน Beverly Hills, ปืน เข็มขัด เดือยรองเท้านำจากที่เคยใช้ในซีรีย์ Rawhide ส่วนเสื้อคลุม Poncho น่าจะเป็นสิ่งเดียวที่ผู้กำกับเลือกซื้อมาให้

เกร็ด: Eastwood ปกติเป็นคนไม่สูบบุหรี่ แต่เพื่อลบภาพลักษณ์เก่าของตนเองจึงยินยอมอมแล้วเคี้ยว รสเฝือนๆในปากทำให้เขารู้สึกกลายเป็นตัวละครนั้น

นอกจากภาพลักษณ์ของตัวละครที่กลายเป็นอมตะ เรื่องการแสดงแทบไม่มีอะไรให้พูดถึง แม้แต่ผู้กำกับ Leone ยังพูดแซว Eastwood ขณะนั้นว่า เป็นคนที่มีเพียง 2 บุคลิกเท่านั้น

“Eastwood, at that time, only had two expressions: with hat and no hat.”

เนื่องจากเป็นอเมริกันคนเดียวในกองถ่าย ก็ใช่ว่า Eastwood จะเรียนพูดภาษาอิตาเลี่ยนหรือยังไง ใช้สตั๊นแมน Benito Stefanelli แปลภาษาพูดคุยสื่อสารกับทีมงานและผู้กำกับ ด้วยเหตุนี้ตัวละครจึงมักไม่ค่อยมีบทพูดสนทนากับใครนัก ซึ่งเสียงที่ได้ยินเป็นการพากย์ทับหลังการถ่ายทำทั้งหมด (ถือเป็นเทรนด์ของหนังอิตาลีที่ใครๆก็ทำกัน เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาวุ่นวายเรื่อง Sound-On-Film)

เกร็ด: ในตอนแรกหนังใช้ชื่อว่า The Magnificent Stranger ก่อนเปลี่ยนมาเป็น A Fistful of Dollars ประมาณ 3 วันก่อนออกฉาย ซึ่งไม่มีใครแจ้งบอก Eastwood จนกระทั่งประมาณสามสัปดาห์ให้หลังถึงค่อยมารู้ตัวจากการถูกสัมภาษณ์โดยนิตยสาร Variety Magazine

ตอนที่หนังออกฉายในประเทศอิตาลี ทำให้ชื่อของ Eastwood กลายเป็น Superstar ขวัญใจมหาชนชาวมักกะโรไปโดยทันที, หลายปีถัดมาเมื่อฉายในอเมริกา แม้จะประสบความสำเร็จทำเงิน แต่กลับถูกนักวิจารณ์ดูแคลนอย่างยิ่งยวด ‘cheapjack’, ‘dopey’ ผมก็ไม่รู้แปลว่าอะไร คงไม่ใช่คำชมแน่ๆ

ถ่ายภาพโดย Massimo Dallamano (1917 – 1976) จากตากล้อง หลังจากร่วมงานกับ Leono เรื่อง A Fistful of Dollars (1964) กับ For a Few Dollars More (1965) ผันตัวเป็นผู้กำกับ [ไม่ได้ถ่าย The Good, the Bad and the Ugly (1966)]

หนังถ่ายทำฉากภายนอกที่ประเทศสเปนทั้งหมด ปักหลักอยู่ที่ Los Albaricoques, Almería แทนเมือง San Miguel ขณะที่ฉากภายในส่วนใหญ่กลับไปถ่ายทำยังอิตาลี Cinecittà Studios, Rome

ตัดต่อโดย Roberto Cinquini (1924 – 1965) นักตัดต่อสัญชาติอิตาเลี่ยน ผลงานเด่นอาทิ Son of Samson (1960), Divorce Italian Style (1961), A Fistful of Dollars (1964) น่าเสียดายอายุสั้นไปหน่อย

สิ่งที่กลายเป็นสไตล์ลายเซ็นต์ของผู้กำกับ Leone คือการผสมผสานไดเรคชั่นจาก
– ผู้กำกับ John Ford นับตั้งแต่ The Searcher (1956) ปฏิวัติวงการ Western ด้วยการนำภาพทิวทัศน์ก้าวใหญ่ไพศาล สุดลูกหูลูกตา เข้ามาเป็นภาษาสื่อแทนความเวิ้งว้างว่างเปล่าของผืนทะเลทราย
– ผู้กำกับ Akira Kurosawa อาทิ
> Rashômon (1950) กับการถ่ายภาพสามเส้าของตัวละคร [ภาคนี้ไม่เด่นชัดเท่าไหร่ แต่อีกสองภาคที่เหลือฉากไคลน์แม็กซ์ดวลปืนสามเส้านี่ชัดเลย]
> Yojimbo (1961) จะมีการตัดต่อสลับไปมาระหว่างสองฝั่งฝ่าย ระหว่างประจันหน้าเดินเข้าหากัน เพื่อสร้างความตื่นเต้นลุ้นระทึก Prologue เกริ่นก่อนเริ่มต่อสู้ฆ่าฟัน

ลักษณะการดวลปืนของหนัง Hollywood ยุคก่อน ภาพมักจับจ้องที่พระเอก/ผู้ชักปืนเร็วกว่า ยิงเสร็จปุ๊ปตัดไปที่อีกฝ่ายกำลังสิ้นลมล้มลง, Leone ได้สร้างภาษาของตัวเองขึ้นมาใหม่ ถ่ายภาพจากด้านหลังเหนือไหล่ตัวละคร ราวกับผู้ชมกลายเป็นพระเอก เราจะเห็นการชักปืนที่รวดเร็วกว่าคู่ต่อสู้ ถูกยิงล้มลงไม่มีตัดต่อหรือหลบมุมกล้อง แม้จะไม่เห็นเลือดสักหยด แต่สมัยนั้นถือว่าโคตรรุนแรงเลยนะ

ขณะที่การตัดต่อสลับไปมาในหนัง Hollywood มักมีลักษณะ Action-Reaction ระหว่างสองตัวละครพูดคุยสนทนาเป็นส่วนใหญ่, Leone ได้ทำการตัดต่อภาพการจ้องหน้าจ้องตาสลับไปมาหลายรอบระดับ Extreme Close-Up เพื่อเป็นการท้าดวลจิตวิทยา อ่านใจกันของทุกฝั่งฝ่าย

เพลงประกอบในเครดิตขึ้นชื่อ Dan Savio ซึ่งเป็นนามปากกาของ Ennio Morricone นี่เป็นการร่วมงานครั้งแรกของสองเพื่อนสนิท ไปจนถึงหนังเรื่องสุดท้ายของ Leone

ความต้องการของ Leone ต้องการให้ Morricone เขียนเพลงประกอบที่มีลักษณะคล้าย El Degüello ของ Dimitri Tiomkin ที่ใช้ในหนังเรื่อง Rio Bravo (1959) ลองฟังกันดูก่อนนะครับ

แต่ผมว่าสองบทเพลงนี้ไม่ได้คล้ายกันเท่าไหร่นะ แถมเสียงผิวปากของ A Fistful of Dollars มีทำนองติดหูกว่ามากกว่าทีเดียว

เสียงผิวปาก สะท้อนความโดดเดี่ยวอ้างว้างเดียวดาย ล่องลอยเรื่อยเปื่อยอยู่ท่ามกลางผืนแผ่นดินทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล แต่เมื่อใดมีคนส่งเสียง เข้ามารุกรานขัดขวาง การต่อสู้ท้าประลองดวลปืนจึงได้เริ่มต้นขึ้น

เห็นว่าในตอนแรก Leone ไม่ได้อยากร่วมงานกับ Morricone ทั้งๆที่รู้จักกันมาตั้งแต่ ป.3 แต่พอได้ยินเสียงทำนองทรัมเป็ตเป่าโดย Michele Lacerenza ก็เปลี่ยนใจโดยทันที

เสียงทรัมเป็ต ปกติแล้วมักใช้เพื่อนำร่องชัยชนะ เรียกขวัญกำลังใจให้ฮึกเหิมมีพลัง แต่บทเพลงนี้ด้วยทำนองอันโหยหวนล่องลอยดั่งสายลม มันคือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ท้าดวลแห่งความตาย อันจะมีฝ่ายหนึ่งเป็นผู้พ่ายแพ้สูญสิ้นชีวิต

นอกจากหนังแนว Musical ที่ต้องมีการ Pre-Record ก่อนหน้าเริ่มต้นการถ่ายทำเพื่อให้นักแสดงลิปซิงค์ได้ตรงกับบทเพลง ก็ไม่ค่อยมีเรื่องอื่นแนวไหนที่จำเป็นต้องแต่งเพลงประกอบขึ้นก่อนโปรดักชั่นหนัง, ก็มาโด่งดังกับ Leone และ Morricone นี่แหละ เป็นความต้องการของผู้กำกับโดยเฉพาะ ให้บทเพลงมีอิทธิพล ส่วนสำคัญต่อหนังมากๆ ใช้การยืดความยาว ตัดต่อสลับไปมาซ้ำหลายครั้ง เพื่อให้มีจังหวะลงตัวพอดีกับความยาวของบทเพลง

แซว: ลักษณะแบบนี้เรียกว่า ‘หนังประกอบเพลง’ ไม่ใช่เพลงประกอบหนังนะครับ

A Fistful of Dollars หมายถึง ดอลลาร์ในกำมือ แต่ผมจะขอแปลว่า ‘ดอลลาร์แค่กำมือเดียว’ นี่สามารถมองเป็นการสื่อถึงความสำคัญของ ‘เงิน’ แค่เพียงกำมือเดียวมันจะมีความหมายอะไร เมื่อเทียบกับชีวิตคนที่ปกติแล้วประเมินค่าไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่สมัยก่อนมนุษย์มักใช้เงินแค่เพียงกำมือเดียว เป็นราคาค่าหัวสำหรับเข่นฆ่าทำลายล้างกัน นี่มันหมายความว่าอะไร?

ผมขอที่จะไม่วิเคราะห์อะไรมากกับหนัง เพราะใจความหลักๆแทบจะคัทลอกจาก Yojimbo (1961) ซึ่งได้เขียนไว้โดยละเอียดแล้ว แต่จะขอนำเสนอแนวคิดหนึ่งของที่ต่างออกไปในทัศนะของ ชาวตะวันตกกับตะวันออก

‘ปืน’ เป็นอาวุธที่คนธรรมดาทั่วไป แค่สามารถเหนี่ยมไก ก็ใช้งานฆ่าคนตายได้ แต่ ‘ดาบ’ เป็นอาวุธที่ต้องอาศัยความรู้ ทักษะความสามารถ ประสบการณ์ฝีมือ ถึงมีโอกาสต่อสู้เอาชนะผู้อื่น

คนส่วนใหญ่อาจมองแค่ว่า ‘ปืน’ เป็นสิ่งสัญลักษณ์ตัวแทนของชนชาติตะวันตก ขณะที่ ‘ดาบ’ เป็นฝั่งตะวันออก จริงๆมันไม่ถูกต้องจำเป็นเสมอไปนะครับ เพราะสมัยกรีกโรมัน ยุคกลาง ครูเสดก็ใช้ดาบสู้รบกันทั้งนั้น ที่ถูกควรเป็น คาวบอย=ตะวันตก, ซามูไร/จอมยุทธ=ตะวันออก

สิ่งที่แตกต่างกันมากๆของหนังสองแนวนี้ คือสิ่งที่เรียกว่า ‘เกียรติ’ การต่อสู้ด้วยดาบของเหล่าซามูไร/จอมยุทธ แทบจะไม่พบเจอฟันข้างหลัง เรียกร้องจ้องแต่จะเผชิญหน้า ต่อสู้ตายอย่างสมฐานะศักดิ์ศรี ขณะที่หนังคาวบอย ส่วนใหญ่แทบทั้งนั้น หลอกลวงทรยศยิงขณะหันหลังให้บ่อยครั้งจะตาย ในชีวิตจริงน้อยครั้งมากๆที่จะมีการท้าดวลต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรี แต่นี่เป็นสิ่งที่ชาวตะวันตกพยายามอย่างยิ่งจะ ‘ลอกเลียนแบบ’ ฝั่งเอเชีย มักทำให้ฉากไคลน์แม็กซ์ พระเอก-ผู้ร้าย ต้องต่อสู้กับแบบซึ่งๆเผชิญหน้า ท้าดวลด้วยความเร็วในการชักปืน ถามจริงๆ เกียรติของการตายแบบนี้มันอยู่ที่ตรงไหน?

ไม่ใช่ว่าส่วนตัวปฏิเสธต่อต้านหนัง Western แต่ประการใด ผมมองหนังแนวนี้คือความบันเทิงประเภท ‘ฉาบฉวย’ ของชาวตะวันตก ในทัศนะของพวกเขา การตายแบบเร็วๆมีคุณค่า เท่ห์กว่าการลีลายึกยัก บิดม้วนเอ่ยปากสั่งเสียยืดยาวแบบหนังจีนกำลังภายใน เพราะเหตุนี้แหละ ‘ชีวิต’ ของตัวละครจึงแทบไร้ค่า เงินดอลลาร์เพียงกำมือเดียวก็สามารถตัดสินคุณค่าของคนได้

ด้วยทุนสร้างประมาณ $200,000 เหรียญ (ค่าตัวเฉพาะของ Eastwood เพียง $15,000 เหรียญ) ทำเงินสูงสุดตลอดกาลในประเทศอิตาลี ฉายในอเมริกาทำเงินได้ $14.5 ล้านเหรียญ

เมื่อปี 2014 ครบรอบ 50 ปีของหนัง มีการ Remaster ออกฉายในเทศกาลหนังเมือง Cannes สาย Classic นำโดย Quentin Tarantino เดินพรมแดง ยกย่องหนังเรื่องโปรดนี้ว่า

“the greatest achievement in the history of Cinema”.

ทีแรกก็รู้สึกเฉยๆกับหนังนะ เพราะผมเอาเวลามาจ้องจับเปรียบเทียบกับ Yojimbo เสียส่วนใหญ่ แต่พอสังเกตเห็นหลายๆไดเรคชั่น ก็รู้สึกเลยว่าไม่เลวเลยนี่หว่า มีความเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวสูงมาก ทำให้ชื่นชอบขึ้นมานิดนึง แต่ก็เท่านั้นแหละ ยังไงก็เทียบชั้นกับอีกผลงาน Masterpiece ไม่ได้หรอก

แนะนำกับคอหนัง Cowboy Western, ทิวทัศน์ภาพถ่ายสวยๆ เพลงประกอบเพราะๆของ Ennio Morricone, เคยรับชม Yojimbo (1961) ควรอย่างยิ่งมาลองเปรียบเทียบกัน, แฟนๆผู้กำกับ Sergio Leone และนักแสดง Clint Eastwood ไม่ควรพลาด

จัดเรต 15+ เพราะความรุนแรง ทรยศหักหลัง และการตาย (แต่เพราะไม่ค่อยมีเลือดเลยไม่ถึงเรต R)

TAGLINE | “A Fistful of Dollars โดดเด่นในสไตล์ของผู้กำกับ Sergio Leone ถ้าไม่ติดว่าคัทลอกจาก Yojimbo คงยิ่งใหญ่ได้กว่านี้”
QUALITY | SUPERB
MY SCORE | LIKE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: