
A Moment of Innocence (1996)
: Mohsen Makhmalbaf ♥♥♥♥
เมื่อตอนอายุสิบเจ็ด ผกก. Mohsen Makhmalbaf เคยใช้มีดทิ่มแทงตำรวจนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส สองทศวรรษถัดมาออกติดตามหาจนพบเจอ ชักชวนมาร่วมงานภาพยนตร์เรื่องนี้ เพื่อสรรค์สร้างช่วงเวลาแห่งความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
หนึ่งในภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาลของประเทศอิหร่าน! ที่แม้นำเสนอเรื่องราวสุดแสนเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความโคตรๆสลับซับซ้อน ผสมผสานคลุกเคล้าเบื้องหลังภาพยนตร์ อิทธิพลจากอดีต ความรักต่อหญิงสาว ขนบประเพณี วิถีทางสังคม การเมือง ศาสนา รวมถึงอัตชีวประวัติผกก. Makhmalbaf
ผมรู้สึกว่า Close-Up (1990) ของผู้กำกับ Abbas Kiarostami อาจจะชิดซ้ายไปเลยเมื่อเทียบความลุ่มลึกล้ำ สลับซับซ้อนของ A Moment of Innocence (1996) ทั้งสองเรื่องมีส่วนคล้ายคลึงในวิธีนำเสนอกึ่งๆสารคดี แล้วผสมผสานความครุ่นคิดเห็น รวมถึงความเป็นส่วนตัวของผู้สร้าง แต่น่าเสียดายที่เรื่องหลังหารับชมยากมากๆ แถมถูกแบนห้ามฉายในอิหร่านอีกต่างหาก เลยไม่ค่อยรู้จักแพร่หลายสักเท่าไหร่
เกร็ด: ในการจัดอันดับ Asian Cinema 100 Ranking ของเทศกาลหนังเมือง Busan ภาพยนตร์เรื่องนี้ A Moment of Innocence (1996) ติดอันดับ 33 เมื่อเทียบกับผลงานเรื่องอื่นๆจากประเทศอิหร่าน อยู่อันดับสี่รองจาก 11. Close-Up (1990), 16. Taste of Cherry (1997), 21. Where Is the Friend’s Home? (1987), 29. A Separation (2011)
เห็นชื่อหนัง A Moment of Innocence (1996) ทีแรกผมนึกว่าคงเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับเด็กน้อย ที่ยังละอ่อนเยาว์วัย บริสุทธิ์ใสไร้เดียงสา (ก็เลยตั้งใจเขียนในช่วงวันเด็ก) พอรับชมแล้วค่อยตระหนักว่าหนังไม่เหมาะกับเด็กสักเท่าไหร่ T_T สร้างขึ้นเพื่อผู้ใหญ่วัยกลางคน มีอะไรๆให้หวนระลึก นึกทบทวนตนเอง อดีต-ปัจจุบัน วัยรุ่นสมัยนั้น-นี้ โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว
Mohsen Makhmalbaf, محسن مخملباف (เกิดปี 1957) ผู้กำกับสัญชาติ Iranian เกิดที่ Tehran, เมื่ออายุ 15 เข้าร่วมกลุ่มต่อต้านสมเด็จพระเจ้าชาห์ Mohammad Reza Pahlavi (1919-80), แล้วตอนอายุ 17 เคยใช้มีดทิ่มแทงตำรวจนายหนึ่ง จริงๆถูกตัดสินโทษประหารชีวิต แต่หลังจากติดคุกอยู่ห้าปีได้รับการปล่อยตัวในช่วง Iranian Revolution (1978-79) เพราะสามารถโค่นล้มระบอบกษัตริย์ เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน (Islamic Republic of Iran)
I was in jail four and a half years. When I came out, I continued the same struggle against injustice, but instead of using weapons, I began to use art and cinema.
Mohsen Makhmalbaf
ช่วงระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำ Makhmalbaf ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือกว่า 2,000+ เล่ม หลังได้รับการปล่อยตัวก็เริ่มเกิดความสนใจในสื่อภาพยนตร์ กลายมาเป็นช่างภาพ ตากล้อง เขียนเรื่องสั้น พัฒนาบทหนัง Towjeeh (1981), Marg Deegari (1982), กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Tobeh Nosuh (1985) ถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิก Iranian New Wave โด่งดังจากผลงาน The Cyclist (1989), Once Upon a Time, Cinema (1992), Hello Cinema (1995), A Moment of Innocence (1996), Gabbeh (1996), Kandahar (2001) ฯลฯ
สำหรับ A Moment of Innocence (1996) มีคำอธิบายอยู่แล้วในหนังว่า ผกก. Makhmalbaf ต้องการเก็บบันทึก หวนระลึกความทรงจำ เผชิญหน้าเหตุการณ์ที่ถือเป็นตราบาปฝังใจ เมื่อครั้นยังเป็นวัยรุ่นหนุ่มเต็มเปี่ยมด้วยอุดมการณ์แรงกล้า มองย้อนกลับไปก็พบว่ามันช่างเป็นความโง่ขลาดเขลาเบาปัญญา
I want to recapture my youth with a camera.
เกร็ด: ชื่อหนังภาษาเปอร์เซียคือ نون و گلدون อ่านว่า Nūn o Goldūn (Nun va Goldoon) แปลตรงตัว Bread and Flower ชื่อเพราะๆก็คือ The Bread and the Vase
เรื่องราวเริ่มต้นจากตำรวจนายหนึ่ง เดินทางมายังบ้านของผู้กำกับ Mohsen Makhmalbaf เพื่อพูดคุยโปรเจคภาพยนตร์ที่กำลังจะร่วมงานกัน แล้ววันถัดๆมาก็มีการคัดเลือกนักแสดงสำหรับรับบทผู้กำกับหนุ่ม และนายตำรวจหนุ่ม จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างแยกย้าย ทำความคุ้นเคย ให้คำแนะนำสำหรับเตรียมตัวการแสดงวันถัดๆไป
ทางฝั่งของนายตำรวจ หลังจากพาไปลองเครื่องแบบ พยายามเสี้ยมสอนนักแสดงหนุ่มให้ทำตามคำสั่งโน่นนี่นั่น แต่ด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ จึงมักทำผิดๆพลาดๆอยู่บ่อยครั้ง เพียงแค่ยืนนิ่งๆ เมื่อมีหญิงสาวเข้ามาสอบถามเวลาก็ยื่นกระถางดอกไม้ ไม่เห็นมันจะยุ่งยากตรงไหน
ทางฝั่งผู้กำกับ ขับรถพานักแสดงหนุ่มออกติดตามหานักแสดงสาวอีกคนที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด โดยเธอจะเข้าไปสอบถามเวลากับนายตำรวจ เบี่ยงเบนความสนใจ จากนั้นมอบมีดปลอมเพื่อใช้ทิ่มแทง แต่ตอนถ่ายทำเทคแรกเขากลับปฏิเสธที่จะแสดง ตั้งคำถามว่าทำไมต้องใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา? หลังจากพูดคุยปรับทัศนคติ เทคถัดๆมาก็บังเกิดเรื่องวุ่นๆ และครั้งสุดท้ายแทนที่จะทิ่มแทง กลับยื่นแผ่นขนมปังให้ซะงั้น!
ถ่ายภาพโดย Mahmoud Kalari, محمود کلاری (เกิดปี 1952) ตากล้องสัญชาติ Iranian เกิดที่ Tehran หลังจากร่ำเรียนคอร์สถ่ายภาพที่ New York กลายเป็นช่างภาพนิ่ง เคยจัดแสดงนิทรรศการถ่ายภาพที่ Tehran University แล้วทำงานให้กับ Sigma Photo News Agency ได้รับการยกย่องติดหนึ่งใน ’15 Best Photographers of the Year 1980′ พอหวนกลับมาอิหร่านเริ่มทำงาน Tehran National TV Photography Unit จากนั้นมีผลผลงานภาพยนตร์ อาทิ Time of Love (1990), Hello Cinema (1995), A Moment of Innocence (1996), Gabbeh (1996), The Pear Tree (1998), The Wind Will Carry Us (1999), A Separation (2011), The Past (2013) ฯลฯ
ผกก. Makhmalbaf พยายามนำเสนอหนังในลักษณะกึ่งสารคดี (Semi-Documentary) ใช้นักแสดงสมัครเล่น (รวมถึงตัวผู้กำกับ ตากล้อง และเครือญาติของเขาเอง) งานภาพจึงเน้นให้ออกมาเรียบง่าย ใช้เพียงแสงธรรมชาติ กล้องมักเคลื่อนติดตามตัวละคร แต่หลายๆครั้งก็เพียงปล่อยแช่ภาพค้างไว้ ให้นักแสดงเดินเข้า-ออก เรื่องราวดำเนินไป
หนังยังมีลักษณะของ Neorealist จากกล้องที่ติดตั้งบนรถขับเคลื่อนไปตามท้องถนน พบเห็นสภาพของกรุง Tehran ช่วงปี ค.ศ. 1995-96 ค่อนข้างจะเสื่อมโทรมทราม ยังไม่ค่อยได้รับการพัฒนาปรับปรุงสักเท่าไหร่ … นี่ก็สะท้อนสภาพสังคมของอิหร่านยุคสมัยนั้นได้อย่างชัดเจน
อิหร่านเป็นประเทศที่มีวิถีชีวิต วัฒนธรรม การเมืองและสังคม เชื่อมโยงสัมพันธ์ศาสนาอย่างเคร่งครัด แต่สำหรับชาวต่างชาติอย่างเราๆ (ที่ไม่ได้นับถืออิสลาม) เมื่อมองผ่านเลนส์ภาพยนตร์เข้าไป มักพบเห็นความยุ่งยาก เรื่องมาก ข้อจำกัดโน่นนี่นั่นมากมาย หลายคนอาจเกิดความฉงนสงสัย ไม่รู้สึกอึดอัดกันบ้างเลยหรือไร?
ผมเคยรับชมหนังจากฝั่งตะวันออกกลางมาปริมาณหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่นำเสนอแบบผ่านๆ ไม่ได้เน้นๆย้ำๆ หรือพูดคำอธิบาย ที่พอผู้ชมรับรู้จะสร้างความอึดอัดรำคาญใจ … มันเหมือนว่าผกก. Makhmalbaf จงใจนำเสนอสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ผู้ชมตระหนักถึงข้อจำกัด (มากกว่าจะนำเสนอในเชิงวัฒนธรรม) ตั้งคำถามว่าเราควรเปลี่ยนแปลงมันได้หรือยัง?
- ยกตัวอย่างการสวมฮิญาบปกปิดทั้งใบหน้า (สำหรับสตรีเวลาพูดคุยกับคนแปลกหน้า) มันมีความจำเป็นต้องยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดขนาดนั้นเชียวหรือ?
- ใครเคยรับชม Kandahar (2001) จะพบเห็นผกก. Makhmalbaf นำเสนอความวุ่นๆวายๆของฮิญาบ ได้อย่างน่าสนใจมากๆ
- หรืออย่างการเคาะประตูด้านซ้าย-ขวา สำหรับชาย-หญิง จำนวนครั้งแทนปริมาณคน ต้องปฏิบัติตามให้ถูกต้องเปะๆ เพื่ออะไรกัน?


การคัดเลือกนักแสดงทางฝั่งอดีตนายตำรวจมีความน่าสนใจอย่างโคตรๆ อดีตที่เราอยากเป็น vs. อดีตที่เป็นตัวเรา
- ในตอนแรกเลือกชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา วางมาดเท่ห์ๆ ไม่ได้มีความละม้ายคล้ายตนเอง แต่ราวกับอุดมคติที่เขาเพ้อใฝ่ฝัน ครุ่นคิดอยากจะเป็น
- แต่ในสายตาของผู้กำกับ(และตากล้อง) มองว่าชายหนุ่มอีกคนเหมือนทั้งหน้าตา ท่าทางทึ่มๆทื่อๆ สวมใส่เสื้อผ้ายังสไตล์เดียวกัน เพราะนั่นคือตัวตนของเขาจริงๆที่ไม่อยากยินยอมรับอดีตสักเท่าไหร่
ขณะที่ทางฝั่งผู้กำกับ Makhmalbaf เลือกนักแสดงที่แม้ใบหน้าไม่ค่อยเหมือนสักเท่าไหร่ แต่มีแนวคิด อุดมการณ์ ต้องการช่วยเหลือมนุษย์ชาติคล้ายแบบตน, ตรงข้ามกับทางฝั่งอดีตนายตำรวจ ดูเป็นคนไม่อยากยินยอมรับอดีต ต้องการเลือกชายอีกคนที่หล่อเหล่า มาดเท่ห์ ในอุดมคติ แต่นั่นหาใช่สิ่งที่ตัวเราจะปฏิเสธตนเองได้ลง


ความขัดแย้งเกี่ยวกับการคัดเลือกนักแสดง ทำให้อดีตนายตำรวจงอนตุ๊บป่อง เรียกร้องความสนใจด้วยการเดินกลับบ้าน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าผกก. Makhmalbaf เอาความมั่นใจจากตรงไหน ถึงขนาดเชื่อว่าอีกฝ่ายจะหวนย้อนคืนมา เรื่องเงินๆทองๆ? สภาพอากาศหนาวเหน็ด? หรือมีอะไรบางอย่างที่เขาต้องการค้นหาคำตอบ?
ผมเฉลยให้เลยแล้วกันว่า ในอดีตนายตำรวจเคยแอบชื่นชอบหญิงสาวที่กำลังจะมอบดอกไม้ แต่เธอสูญหายตัวไปหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น เลยแอบคาดหวังว่าอาจมีโอกาสพบเจอกันอีกครั้ง … ถึงแม้ไม่พบเจอ แต่ทำให้ตระหนักถึงความจริงบางอย่างระหว่างถ่ายทำซีนนั้น

วิธีสุดคลาสสิกในการอ้างอิงถึงภาพยนตร์ ก็คือการพูดคุยสนทนา กล่าวถึงนักแสดง Kirk Douglas, Anthony Quinn, Sophia Loren, John Wayne, ผู้กำกับ John Ford คว้า Oscar: Best Director ถึงสี่ครั้ง, ภาพยนตร์ The Conqueror (1956), The Vikings (1958), Spartacus (1960)
ทั้งหมดทั้งมวลคือหนังประเภท ‘ชายเป็นใหญ่’ ซึ่งสะท้อนเข้ากับวิถีสังคมของประเทศอิหร่าน และภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ทั้งอดีตนายตำรวจและผู้กำกับ พยายามควบคุมครอบงำ ชี้นิ้วสั่งนักแสดงหนุ่มๆ ให้เข้าฉากกระทำตามคำสั่ง … นักตัดเย็บเสื้อผ้าคนนี้ก็เช่นเดียวกัน

ผมเชื่อว่าหนังถูกแบนห้ามฉายในอิหร่านก็อาจเพราะฉากนี้! เมื่อตอนที่ผู้กำกับพยายามโน้มน้าวมารดาของหญิงสาว/อดีตแฟนสาว (คนที่เคยร่วมก่อการทิ่มแทงตำรวจนายนั้น) ให้อนุญาตบุตรสาวร่วมแสดงภาพยนตร์ แต่กลับถูกบอกปัดปฏิเสธ ระหว่างทางกลับได้ยินเสียงพร่ำบ่นถึงการเป็นนกในกรง ไร้สิทธิ เสรีภาพ ไม่สามารถดิ้นหลุดพ้นความเผด็จการในครอบครัว (ต้นไม้สูงใหญ่ระหว่างขับรถขากลับ ดูราวกับซี่กรงขัง)
ในประเทศเสรี ฉากลักษณะนี้ถือว่าพบเจอได้ทั่วๆไป ไม่มีอะไรให้น่ากล่าวถึงสักเท่าไหร่ แต่สำหรับประเทศมุสลิม ตะวันออกกลาง ที่ยึดถือมั่นในกฎกรอบ ขนบประเพณี วัฒนธรรมสืบทอดต่อกันมา การโต้ถกเถียงขึ้นเสียงผู้หลักผู้ใหญ่คือสิ่งไม่ถูกต้อง! แค่นี้ก็น่าจะพอเข้าใจอิทธิพลของฉากนี้ ดูแล้วที่ไม่น่าเอารอดผ่านกองเซนเซอร์แน่ๆ



หลายคนน่าจะรับรู้สึกว่าฉากร่ำร้องไห้ของนักแสดงหนุ่มแม้งโคตรเฟค! เอาอะไรมากกับนักแสดงสมัครเล่น แต่พอครุ่นคิดไปมานี่มันแค่การแสดงไม่ใช่เหรอ ไม่ได้กำลังจะเข่นฆ่าใครตาย มีดก็ของปลอม แล้วทำไมต้องสะดีดสะดิ้งร่ำไห้ นั่นเพราะผกก. Makhmalbaf ต้องการให้ผู้ชมตระหนักถึงความจอมปลอมในการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา!
We don’t need that (violence) to save mankind.
แซว: ตรงผนังกำแพงมีใครแอบเขียนรูปหัวใจไว้ด้วยนะ –“

แสงอาทิตย์มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นี่สื่อถึงชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง อดีต-ปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงวิถีชีวิต สภาพสังคม หรือแม้แต่การเมืองของประเทศอิหร่าน ย่อมทำให้วัยรุ่นยุคสมัยนั้น-นี้ ไม่มีทางครุ่นคิด กระทำสิ่งเดียวกับผู้ใหญ่ … แต่ทำไมพวกเราถึงยังใช้โลกทัศน์เดิมในการบริหารปกครอง ควบคุมครอบงำบุตรหลานให้อยู่ภายใต้ขนบกฎกรอบ
แซว: ผกก. Makhmalbaf มีความหลงใหลกับดอกไม้พอสมควร ดูจากแค่ชื่อผลงาน อาทิ Gabbeh (1996), The Gardener (2012) ฯลฯ

We can plant flowers in Africa or buy bread for the poor.
นี่น่าจะคือคำอธิบายว่าทำไมต้องดอกไม้และขนมปัง! ดอกไม้สีขาวแทนความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ใครพบเห็นย่อมรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา ถือเป็นสัญลักษณ์แสงสว่างแห่งความหวัง, ขณะที่แผ่นขนมปังคืออาหารสำหรับขอทาน คนยากไร้ รับประทานแล้วทำให้อิ่มหนำ สามารถมีชีวิต ต่อลมหายใจไปอีกวัน
ดอกไม้และขนมปัง ต่างคืออุดมคติใหม่ที่เมื่อผกก. Makhmalbaf เติบโตเป็นผู้ใหญ่ค้นพบว่ารอยยิ้มและท้องอิ่ม มีความสลักสำคัญต่อชีวิตเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ไม่ใช่การใช้ความรุนแรง ปล้นชิงทรัพย์ ก่ออาชญากรรมอย่างที่เขากระทำเมื่อครั้นยังเป็นวัยรุ่นหนุ่ม



ตัดต่อโดย Mohsen Makhmalbaf, หนังดำเนินเรื่องคู่ขนานระหว่างนายตำรวจ กับผู้กำกับภาพยนตร์ ในอดีตพวกเขาเคยมีความขัดแย้ง แต่โชคชะตาก็ทำให้พวกเขาหวนกลับมาพบเจอ เผชิญหน้า ปรับความเข้าใจ และไขปริศนาที่ค้างคามานานกว่า 20+ ปี
- อารัมบท, อดีตนายตำรวจเดินทางมายังบ้านของผู้กำกับภาพยนตร์
- ช่วงการคัดเลือกนักแสดง
- คัดเลือกนักแสดงเพื่อรับบทผู้กำกับหนุ่ม
- คัดเลือกนักแสดงเพื่อรับบทตำรวจหนุ่ม
- เตรียมตัวการแสดง
- นายตำรวจพานักแสดงหนุ่มไปลองเสื้อ แล้วให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแสดง
- ผู้กำกับพาอีกนักแสดงหนุ่มขับรถไปหานักแสดงสาว
- แล้วทั้งสองเรื่องราวก็เวียนมาบรรจบ เมื่อนักแสดงสาวมาผ่านมาสอบถามเวลากับนักแสดงหนุ่ม
- ถ่ายทำภาพยนตร์
- เริ่มต้นด้วยมุมมองของตำรวจหนุ่ม เดินทางไปยังสถานที่นัดหมาย แต่กลับมีเรื่องวุ่นๆวายๆ ทำให้ต้องติดตามหากระถางดอกไม้ที่สูญหาย
- ตามด้วยมุมมองผู้กำกับหนุ่ม แต่ยังไม่ทันจะถึงสถานที่นัดหมาย ร้องไห้ฟูมฟาย ตั้งคำถามทำไมฉันต้องทำร้ายร่างกายผู้อื่น
- เริ่มต้นถ่ายทำเทคใหม่ แต่ครานี้เมื่ออดีตนายตำรวจพบเห็นหญิงสาวที่รับบท จดจำได้ว่ามีใบหน้าละม้ายคล้ายเธอคนนั้น จึงเกิดอาการไม่พึงพอใจ ต้องการจะล้มเลิกการถ่ายทำ
- วันถัดมานายตำรวจเสี้ยมสอนตำรวจหนุ่ม ให้ใช้มีดทิ่มแทงอีกฝั่งฝ่าย แต่หนังจบลงด้วยกระถางดอกไม้และแผ่นขนมปัง
บ่อยครั้งมีการปรากฎขึ้นของข้อความบนสเลท (film slate) เพื่ออธิบายลำดับงานสร้างโปรดักชั่นภาพยนตร์ แต่ทั้งหมดที่พบเห็นล้วนเป็นเพียงลูกเล่น ‘Gimmick’ เท่านั้นนะครับ
- The Subject has been choosen
- นายตำรวจเดินทางมายังบ้านของผู้กำกับภาพยนตร์
- Young Makhmalbaf has been chosen
- คัดเลือกนักแสดงเพื่อรับบทผู้กำกับหนุ่ม
- Young Policeman has been chosen
- คัดเลือกนักแสดงเพื่อรับบทตำรวจหนุ่ม
- In search of the Young Policeman, Camera 1, Take 1
- นำเสนอผ่านมุมมองของตำรวจหนุ่ม เดินทางไปยังสถานที่นัดหมาย แต่กลับมีเรื่องวุ่นๆวายๆ ทำให้ต้องติดตามหากระถางดอกไม้ที่สูญหาย
- In search of the Young Policeman, Camera 2, Take 1
- นำเสนอผ่านมุมมองผู้กำกับหนุ่ม แต่ยังไม่ทันจะถึงสถานที่นัดหมาย ร้องไห้ฟูมฟาย ตั้งคำถามทำไมฉันต้องทำร้ายร่างกายผู้อื่น
- เริ่มต้นใหม่ แต่คราวนี้พอเดินทางมาถึงตำแหน่งนัดหมาย กลับไม่มีตำรวจหนุ่มยืนอยู่
- In search of the Young Makhmalbaf, Camera 2, Take 2
- เริ่มต้นถ่ายทำเทคใหม่ แต่ครานี้เมื่ออดีตนายตำรวจพบเห็นหญิงสาวที่รับบท จดจำได้ว่ามีใบหน้าละม้ายคล้ายเธอคนนั้น จึงเกิดอาการไม่พึงพอใจ ต้องการจะล้มเลิกการถ่ายทำ
- วันถัดมานายตำรวจเสี้ยมสอนตำรวจหนุ่ม ให้ใช้มีดทิ่มแทงอีกฝั่งฝ่าย แต่หนังจบลงด้วยกระถางดอกไม้และแผ่นขนมปัง
การปรากฎขึ้นของข้อความบนสเลท ถือเป็นโครงสร้างที่จะช่วยให้ผู้ชมตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาพยนตร์และชีวิตจริง รวมถึงมุมมองการนำเสนอที่สามารถแบ่งออกเป็นฝั่งผู้กำกับ vs. ตำรวจหนุ่ม, เหตุการในอดีตเทียบกับปัจจุบัน, และความเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวยุคสมัยนั้น-นี้ … มองผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อขบครุ่นคิดจะพบความโคตรๆสลับซับซ้อน
เพลงประกอบโดย Majid Entezami, مجید انتظامی (เกิดปี 1948) คีตกวีชาว Iranian บุตรชายของนักแสดงชื่อดัง Ezzatollah Entezami ค้นพบความชื่นชอบด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก ร่ำเรียน Oboe ยัง Tehran Conservatory จากนั้นไปเรียนต่อ State University of West Berlin เคยร่วมทำการแสดงกับ Berlin University Symphony Orchestra พอกลับมาอิหร่านก็รับจดหมายเชิญเข้าร่วม Tehran Symphony Orchestra กลายเป็นครูสอนดนตรี จากนั้นมีผลงานประพันธ์ซิมโฟนี่ เพลงประกอบภาพยนตร์ อาทิ The Cyclist (1988), Once Upon a Time, Cinema (1991), A Moment of Innocence (1995) ฯลฯ
เท่าที่ผมสังเกตภาพยนตร์จากประเทศอิหร่าน มักไม่นิยมใช้เพลงประกอบ เพราะต้องการสร้างบรรยากาศสมจริง จับต้องได้ ส่วนใหญ่จึงมีลักษณะของ ‘diegetic music’ ดังขึ้นจากเครื่องเล่น วิทยุ โทรทัศน์ หรือแหล่งกำเนิดเสียงอื่นๆ แต่จะว่าไป ‘Sound Effect’ ยังมีความโดดเด่นกว่ามาก
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้ยินบทเพลงประกอบน้อยครั้งมากๆ นอกจาก Opening/Closing Credit ส่วนใหญ่จะดังขึ้นขณะตัวละครกำลังต้องเผชิญหน้าเหตุการณ์บางอย่าง ท่วงทำนองมีความโหยหวน (ด้วยเครื่องดนตรีพื้นบ้านอาหรับ) มอบสัมผัสหวาดหวั่น สั่นสะพรึง ตกอยู่ในอาการกลัวๆกล้าๆ พะว้าพะวัง โล้เล้ลังเลใจ ไม่รู้จะทำสิ่งนั้นดีหรือไม่ทำดี ซึ่งเราสามารถเรียกช่วงเวลาที่บทเพลงดังขึ้นตามชื่อหนัง ‘A Moment of Innocence’
มองอย่างอินโนเซนต์ น่าจะพบเห็นเรื่องราวของ A Moment of Innocence (1996) เกี่ยวกับกระบวนการสรรค์สร้างภาพยนตร์ โดยผู้กำกับ (ทั้งผู้กำกับในหนัง และผกก. Makhmalbaf) นำแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ในอดีต ครั้งหนึ่งเคยกระทำร้ายนายตำรวจจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนตัวเขาถูกตัดสินจำคุกอยู่หลายปี นั่นคือตราบาปที่ทำให้ชีวิตทั้งสองปรับเปลี่ยนแปลงไป
การกระทำของผกก. Makhmalbaf เมื่ออายุ 17 ถือเป็นช่วงเวลาที่ยังอ่อนเยาว์วัย บริสุทธิ์ใส ไร้เดียงสา ‘A Moment of Innocence’ ครุ่นคิดเพียงแค่ว่าต้องการทำบางสิ่งอย่างเพื่อตอบสนองอุดมการณ์ (ก็แบบเดียวกับชายหนุ่มที่คัดเลือกมา พร่ำบอกว่าอยากเป็นวีรบุรุษกู้ชาติ) ต้องการโค่นล้มระบอบชาห์ โดยไม่สนถูก-ผิด ดี-ชั่ว แต่นั่นไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบเพราะกระทำการร่วมกับเพื่อนสาวอีกคน
ระหว่างติดคุกอยู่หลายปี Makhmalbaf ก็เริ่มตระหนักว่าการกระทำดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ความรู้สึกผิดทำให้ครุ่นคิดปรับเปลี่ยนแปลง แม้ยังคงยึดถือมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ แต่วิธีการคือสรรค์สร้างผลงานศิลปะ เชื่อว่าสื่อภาพยนตร์สามารถปลูกฝังแนวคิด ทัศนคติ สะท้อนปัญหาสังคม การเมือง ศาสนา และสร้างค่านิยมให้คนรุ่นใหม่ๆ
หลายปีที่คร่ำหวอดในวงการภาพยนตร์ ผกก. Makhmalbaf พยายามติดตามหาอดีตนายตำรวจคนนั้น เพื่อพูดคุย ปรับความเข้าใจ สะสางความขัดแย้งในอดีต และที่สำคัญก็คือต้องการชักชวนมาร่วมงาน เพื่อทำการผสมผสานระหว่างชีวิตจริง-ภาพยนตร์ ทำให้กลายเป็นสิ่งหนึ่งเดียวกัน
แต่การสรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น ทุกสิ่งอย่างล้วนปรับเปลี่ยนแปลงไปจากสองทศวรรษก่อน ตั้งแต่ระบอบการปกครอง ท้องถนนหนทาง วิถีชีวิต สภาพสังคม รวมถึงค่านิยมของคนสมัยใหม่ สังเกตจากนักแสดงหนุ่มสาวที่คัดเลือกมารับบท พวกเขาและเธอเต็มไปด้วยข้อฉงนสงสัย ความครุ่นคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ปฏิเสธใช้ความรุนแรง ไม่สามารถบีบบังคับ เสี้ยมสอนสั่ง มีความเป็นปัจเจกบุคคล สนเพียงกระทำสิ่งตอบสนองความพึงพอใจส่วนตน
ในชีวิตจริง ผกก. Makhmalbaf และอดีตนายตำรวจคงสามารถปรับความเข้าใจ แต่ช่วงท้ายของหนังเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างยังแค้นเคืองโกรธ ยิ่งเมื่ออดีตนายตำรวจค้นพบความจริงว่าหญิงสาวที่แอบชื่นชอบคือผู้สมรู้ร่วมคิดของผู้กำกับ เลยพยายามบีบบังคับให้นักแสดงหนุ่มเปลี่ยนจากยื่นกระถางดอกไม้เป็นชักปืนขึ้นมายิง (ล้อกับฝั่งผู้กำกับที่พยายามโน้มน้าวให้นักแสดงหนุ่มใช้มีดปลอมทิ่มแทง) ถึงอย่างนั้นหนุ่มๆทั้งสองกลับยื่นกระถางดอกไม้และแผ่นขนมปัง ปฏิเสธใช้ความรุนแรง ไม่ยินยอมกระทำตามคำสั่งของผู้อื่นใด
ผมอ่านเจอเกร็ดชีวประวัติของผกก. Makhmalbaf ที่หลังหลบหนีออกจากอิหร่านเมื่อปี 2005 ยังเคยถูกสายลับของรัฐบาลส่งนักฆ่ามาลอบสังหาร วางระเบิด จนต้องอพยพย้ายบ้านอยู่แทบทุกๆปี … ตอนจบของหนังเรื่องนี้ สะท้อนความแค้นฝังหุ่นของชนชั้นผู้นำ/รัฐบาลอิหร่านได้เป็นอย่างดี
Iranian government censors its artists, put them in prisons, send them into exile or push them to leave the country. Due to extreme pressure of censorship on my works I left my country 10 years ago. However, the Iranian government did not stop there and tried to kill me. A few times they sent terrorist to assassinate me over the past couple of years. Even they managed to explode a bomb in front of the camera on our shooting location, which led to the sad death of one person and twenty injuries. As a result I was forced to change my living place and working locations many times. Until now, I have made film in more than ten different countries including: Iran, Afghanistan, Pakistan, India, Turkey, Tajikistan, Georgia, Israel, Korea, Italy and United Kingdom.
Mohsen Makhmalbaf บทสัมภาษณ์เมื่อปี 2014
A Moment of Innocence (1996) เป็นหนังที่ถูกแบนห้ามฉายในอิหร่าน จึงหารับชมยากโคตรๆ แต่ก็ได้ตระเวนไปตามเทศกาลหนังทั่วโลก ผมบังเอิญพบเจอเว็บไซต์ทางการของ Makhmalbaf Film House ค่าเช่าดูหนึ่งวันสามเหรียญ หารับชมได้ทาง https://vimeo.com/ondemand/amomentofinnocence
สิ่งที่ผมรู้สึกชื่นชอบประทับใจหนังมากๆ คือการนำเสนอความแตกต่างระหว่างผู้ใหญ่-เด็กหนุ่ม ยุคสมัยอดีต-ปัจจุบัน แม้แต่ภาพยนตร์ที่สร้างจากความทรงจำ(ของผู้สร้าง) ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถรังสรรค์ช่วงเวลาเหมือนเป๊ะ ทุกสิ่งอย่างล้วนมีความผันแปรเปลี่ยน แต่ก็เวียนวงกลม หวนกลับสู่จุดเริ่มต้น
เรื่องราวของหนังอาจไม่ได้นำเสนอเบื้องหลังงานสร้างภาพยนตร์ที่น่าสนใจนัก แต่แนวคิด โครงสร้าง วิธีการนำเสนอ ตัดต่อ ถ่ายภาพ เรื่องราวเวียนวนหวนกลับสู่จุดเริ่มต้น เหล่านี้ถือเป็นประโยชน์ต่อคนทำงานเบื้องหน้า-เบื้องหลัง โปรเจคอินดี้ทุนต่ำ และเปิดโลกทัศน์วงการภาพยนตร์อิหร่าน (ที่ไม่ได้มีแค่ Abbas Kiarostami)
จัดเรต 13+ กับบรรยากาศเครียดๆ ความรุนแรง
หนังระดับเดียวกับ Close-Up แต่ไม่ติด S&S