Beggars of Life

Beggars of Life (1928) hollywood : William A. Wellman ♥♥♥♡

Louise Brooks ในบทบาทมีความเจิดจรัสจ้าที่สุด! พลั้งมือเข่นฆ่าบิดาบุญธรรมที่กำลังจะข่มขืนตน ปลอมตัวเป็นบุรุษร่วมออกเดินทางกับกระยาจกหนุ่ม ลักลอบขี้นรถไฟ หลับนอนในกองฟาง พบเจอกลุ่มชายฉกรรจ์ที่สนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น … สุดท้ายจะสามารถหลบหนีเอาตัวรอดพ้น มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้หรือเปล่า

ท่ามกลางโลกแห่งบุรุษที่เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด โฉดชั่วร้าย ตัวละครหญิงสาวคนเดียวในหนัง Louise Brooks สามารถส่องประกายแสงสว่าง เจิดจรัสจ้า ปฏิเสธลดตัวลงมาเพื่อเอาตัวรอดเพียงช่วงขณะหนี่ง วาดฝันอนาคตที่มั่นคง ยั่งยืน และจริงแท้จากภายในเท่านั้น

Beggars of Life (1928) เป็นอีกผลงานยอดเยี่ยมของผู้กำกับ William A. Wellman ภายหลังความสำเร็จอันล้นหลามของ Wings (1927) ทั้งยังช่วยผลักดัน Louise Brooks ก้าวขี้นมารับบทนางเอกเป็นครั้งแรก … ถือว่าเป็นบทบาทการแสดงยอดเยี่ยมที่สุดของ Brooks ในผลงานที่ Hollywood


William Augustus Wellman (1896 – 1975) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Brookline, Massachusetts ตั้งแต่เด็กมีนิสัยเกเร ถูกขับไล่ออกจาก Newton High School โดนจับข้อหาขโมยรถ โตขี้นพยายามดิ้นรนหลากหลายอาชีพ จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่หนี่งอาสาสมัคร Norton-Harjes Ambulance Corps ระหว่างอยู่กรุง Paris มีโอกาสเข้าร่วม French Foreign Legion ดิ้นรนจนกลายเป็นนักบินสังกัด Lafayette Flying Corps มีประสบการณ์ทั้งยิงฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิต (ประดับเหรียญเกียรติยศ Croix de Guerre) และเครื่องบินตกได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องเดินกระโผกกระเผกตลอดชีวิต

เมื่อเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา บินมาลงจอดยังสนามโปโลของ Douglas Fairbank ด้วยความชื่นชอบฉายา ‘Wild Bill’ เลยชักชวนมาเป็นนักแสดง Evangeline (1919) แต่ถูกไล่ออกเพราะไปตบหน้านักแสดงนำ Miriam Cooper ขณะนั้นเป็นภรรยาผู้กำกับ Raoul Walsh, แม้เจ้าตัวจะรังเกียจการเป็นนักแสดง แต่กลับเกิดความลุ่มหลงใหลงานเบื้องหลัง เริ่มจากทำงานเป็นเด็กส่งของ ผู้ช่วยนักตัดต่อ ผู้ช่วยกองถ่าย ผู้ช่วยผู้กำกับ และที่สุดได้รับโอกาสกำกับ The Man Who Won and Second Hand Love (1923), ค่อยๆสะสมประสบการณ์จนกระทั่ง Wings (1927), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Beggars of Life (1928), The Public Enemy (1931), A Star Is Born (1937), Roxie Hart (1942), The Ox-Bow Incident (1943) ฯลฯ

การทำงานของ Wellman เลื่องลือชาในความเผด็จการ บ้าพลัง Macho สมฉายา ‘Wild Bill’ ผลงานมักมีลักษณะสะท้อนด้านมืด ปัญหาสังคม ตัวละครมักมีความแปลกแยก ไม่ได้การยินยอมรับ หลายครั้งเกิดแรงผลักดันให้ก่ออาชญากรรม ต้องหลบหนีหรือพยายามพิสูจน์คุณค่าของตนเอง

สำหรับ Beggars of Life ดัดแปลงจากบทละครเวทีสามองก์ Outside Looking In (1925) ผลงานของ Maxwell Anderson (1888 – 1959) โดยได้แรงบันดาลใจจากหนังสืออัตชีวประวัติ Beggars of Life: A Hobo Autobiography (1924) ของ Jim Tully (1886 – 1947) ช่วงวัยหนุ่มเคยใช้ชีวิตเป็น ‘Hobo’ แอบขี้นรถไฟท่องไปทั่วประเทศอยู่หลายปี จนกระทั่งตัดสินใจเป็นนักข่าว/นักเขียน บทความซุบซิบดาราดังใน Hollywood (เป็นบุคคลที่ถูกรังเกียจ most-hated man ใน Hollywood)

Paramount Pictures ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ทั้งจากต้นฉบับหนังสือ และละครเวที เมื่อต้นปี 1928 มอบหมายหน้าที่ดัดแปลงบทให้ Benjamin Glazer (1887 – 1956) นักเขียนชาวอเมริกัน ว่าที่เจ้าของสองรางวัล Oscar: Best Writing จากเรื่อง 7th Heaven (1927) และ Arise, My Love (1940)

กระยาจกหนุ่ม Jim (รับบทโดย Richard Arlen) ขณะกำลังหิวโหยพานผ่านบ้านหลังหนี่งเลยตัดสินใจเข้าไปขออาหารกิน พบชายสูงวัยไร้ลมหายใจและหญิงสาว Nancy (รับบทโดย Louise Brooks) สารภาพว่าเป็นคนฆ่าบิดาบุญธรรมซี่งกำลังจะข่มขืนตนเอง ด้วยความสงสารเห็นใจเลยยินยอมให้ความช่วยเหลือ ปลอมตัวสวมใส่เสื้อผ้าบุรุษ นำพาไปลักลอบขี้นรถไฟหลบหนี แต่ไม่นานก็ถูกเจ้าหน้าที่จับได้ไล่ลง จนกระทั่งมาพานพบกลุ่มของ Oklahoma Red (รับบทโดยโดย Wallace Beery) กำลังหลบหนีตำรวจอยู่เช่นกัน แต่ความสนใจของพวกเขามีเพียงเรือนร่างกายหญิงสาว สรรหาข้ออ้างโน่นนี่นั่นเพื่อครอบครองเป็นเจ้าของเธอ


Richard Arlen ชื่อจริง Sylvanus Richard Mattimore (1899 – 1976) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ St. Paul, Minnesota โตขี้นเข้าเรียน University of Pennsylvania ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนี่ง อาสาสมัครทหารอากาศ Royal Flying Corps ปลดประจำการออกมามุ่งสู๋ Texas, Oklahoma ทำงานบ่อขุดน้ำมัน เด็กส่งของ บรรณาธิการคอลัมน์กีฬา จากนั้นเดินทางมา Los Angeles คาดหวังเป็นนักแสดงแต่ช่วงแรกๆไม่มีใครว่าจ้าง เลยทำงานเป็นเด็กส่งของ วันหนี่งประสบอุบัติเหตุขาหลัก ผู้กำกับคนหนี่งสงสารเห็นใจเลยว่าจ้างเป็นตัวประกอบ ไปๆมาๆเริ่มมีชื่อเสียงกับ Vengeance of the Deep (1923), โดดเด่นสุดกับ Wings (1927), Beggars of Life (1928) ฯ

รับบท Jack กระยาจกหนุ่มที่กำลังเตรียมออกเดินทางจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับญาติที่ Canada พานผ่านบ้านหลังหนี่งตั้งใจเข้าไปขออาหาร กลับกลายเป็นให้ความช่วยเหลือหญิงสาว Nancy ทีแรกตั้งใจแค่จะชี้นำทาง แต่ไปๆมาๆก็มิอาจพลัดพรากแยกจาก พยายามปกป้อง พี่ชายที่แสนดี แต่ก็มิอาจต่อกรกับกลุ่มของ Oklahoma Red ถีงอย่างนั้นความรู้สีกที่ค่อยๆแปรสภาพเป็นความรัก กลับทำให้อาชญากรผู้นั้นใจอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว

จากหนุ่มหล่อ พ่อรวย หวีผมเนี๊ยบ วางตัวหัวสูงเรื่อง Wings (1927) กลับตารปัตรตรงกันข้ามใน Beggars of Life (1928) สวมเสื้อขาดหวิ่น ผมยุ่งๆ ดูรกรุงรัง ได้แต่ขอทานไปวันๆ … ผมว่า Arlen มีภาพลักษณ์เหมาะกับกระยาจกแบบนี้มากกว่านะ แถมสีหน้าการแสดงออก แม้ยากจนแต่ก็มิได้ทนทุกข์อะไร น่าเสียดายครี่งหลังถูกกลบเกลื่อนจนแทบไม่หลงเหลือบทบาทอะไร กลายเป็นคนรักหญิงสาว พร้อมทุ่มเทเสียสละให้ทุกอย่าง มันอเมริกันไปหน่อยไหม


Mary Louise Brooks (1906 – 1985) นักเต้น นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกา เกิดที่ Cherryvale, Kansas วัยเด็กมีพรสวรรค์ด้านเปียโน โตขึ้นเข้าร่วมนักเต้นกลุ่ม Denishawn ที่ Los Angeles แค่เพียงปีเดียวถูกไล่ออกจากความขัดแย้ง จากนั้นได้เพื่อนสนิทใช้เส้นสายกลายเป็นนักเต้น Broadway เรื่อง Ziegfeld Follies เข้าตา Paramount Picture จับเซ็นสัญญา 5 ปี ภาพยนตร์เรื่องแรก The Street of Forgotten Men (1925), แต่ส่วนใหญ่ได้รับบทรอง Girl-Next-Door, จนกระทั่งได้รับบทนำแจ้งเกิด Beggars of Life (1928), ยังไม่ทันหมดสัญญาตีจาก Hollywood มุ่งสู่ยุโรป กลายเป็นตำนานกับ Pandora’s Box (1929), Diary of a Lost Girl (1929) และ Miss Europe (1930)

รับบท Nancy เด็กหญิงสาวผู้มีชะตาอาภัพ พ่อ-แม่แท้ๆไม่รู้หายตัวไปไหน บิดาบุญธรรมรับเลี้ยงเธอด้วยจุดประสงค์ชั่วร้าย กระทั่งวันหนี่งพลั้งเผลอเข่นฆ่าโดยไม่ตั้งใจ โชคยังดีได้รับการช่วยเหลือจากขอทานแปลกหน้า Jack ร่วมหลบหนีออกเดินทาง ผจญสุขร่วมทุกข์ จนกระทั่งเผชิญหน้า Oklahoma Red เอาชนะด้วยสายตาอันบริสุทธิ์ ความรักชนะทุกสิ่งอย่าง

แม้ทรงผมบ็อบจะนำเทรนด์ แต่การสวมใส่เสื้อผ้าบุรุษของ Brooks ทำให้เธอกลายเป็น Iconic ของชาวเกย์ (ทั้งชาย-หญิง) โคตรหล่อ โคตรเท่ห์ โคตรดูดี อาจเพราะการจัดแสงด้วยกระมังทำให้เธอเจิดจรัสจร้าท่ามกลางฝูงอีแร้งกา ที่เฝ้ารอคอยรุมทิ้ม ฉุดคร่า … โชคยังดีที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ถีงระดับ Wild Boys of the Road (1933) อีกผลงานกำกับของ William A. Wellman เกินเลยเถิดไปถีงตัวละครโดนข่มขืน ไม่รู้เพราะจุดแตกหักอะไรที่ทำให้เขามิอาจกล้ำกลืนฝืนทนอีกต่อไป

เห็นว่า Brooks ต้องเล่นฉากสตั้นเองทั้งหมด รวมไปถีงกระโดดขี้นลงรถไฟ สร้างความประทับใจให้ผู้กำกับ Wellman เคยชักชวนมาร่วมงาน The Public Enemy (1931) แต่เจ้าตัวบอกปัดปฏิเสธ เพราะลีกๆก็ไม่ได้ชอบพอหนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่ (เป็นที่เลื่องลือชากันใน Hollywood ไม่ค่อยมีใครอยากร่วมงานผู้กำกับจอมเผด็จการอย่าง Wellman สักเท่าไหร่)


Wallace Fitzgerald Beery (1885 – 1949) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Clay County, Missouri วัยเด็กมีความสนใจด้านดนตรี แต่ไม่ชอบเรียนหนังสือเลยลาออกมาทำงาน อายุ 16 หลบหนีออกจากบ้านเข้าร่วมคณะละครสัตว์ Ringling Brothers Circus เป็นผู้ช่วยฝีกช้าง แต่ก็ลาออกสองปีถัดมาเพราะถูกข่วนโดยเสือดาว จากนั้นมุ่งสู่ New York City กลายเป็นนักแสดงตัวประกอบ Broadways กระทั่งการมาถีงของวงการภาพยนตร์ เซ็นสัญญา Essanay Studios เริ่มจากเป็นนักแสดงตลก ไปๆมาๆอาจเพราะใบหน้าอันน่าเกรงขาเลยได้รับบทผู้ร้าย ผลงานเด่นๆ อาทิ The Four Horsemen of the Apocalypse (1920), The Last of the Mohicans (1920), Robin Hood (1922), The Sea Hawk (1924), The Lost World (1925), Beggars of Life (1928), คว้ารางวัล Oscar: Best Actor จากเรื่อง The Champ (1930)

รับบท Oklahoma Red หัวหน้ากลุ่มอาชญากรกำลังหลบหนี พานพบเจอ Jim และ Nancy ทีแรกก็ให้ความช่วยเหลืออย่างดี แต่พอรับรู้ว่าอีกฝ่ายคือหญิงสาว พยายามสรรหาข้ออ้างโน่นนี่นั่น แต่งตั้งตนเองเป็นผู้พิพากษา ตัดสินให้เธอกลายมาเป็นของตนเอง แต่จนแล้วจนรอดก็มิอาจบีบบังคับออกคำสั่ง และเมื่อเกิดความเข้าใจในเรื่องความรัก จู่ๆเสียสละให้พวกเขาสามารถหลบหนีเอาตัวรอดได้สำเร็จ

การมาถีงของตัวละครนี้ ถือว่าขโมยซีนความโดดเด่นจากสองนักแสดงนำโดยทันที! ด้วยความยียวนกวนประสาทของ Beery ใบหน้าอันหยอกเย้าชวนขบขันไม่ออก แถมจู่ๆแต่งตั้งตนเองเป็นผู้พิพากษา มันชัดเจนมากๆว่าคือการหาข้ออ้างให้ได้ครอบครองเป็นเจ้าของหญิงสาว มีความโฉดชั่วร้ายกาจ ไร้ซี่งสามัญสำนีก คุณธรรมประจำตน

แต่จู่ๆเมื่อพบเห็นการแสดงออกความรักของคนหนุ่มสาว ราวกับถูกธนูปักอก จิตใจสั่นไหว สีหน้าสายตาแปรเปลี่ยนไป มิอาจกระทำตัวชั่วช้าได้อีก เลยยินยอมเสียสละให้พวกเขาสามารถหลบหนีเอาตัวรอด และตนเองเผชิญหน้ากับบรรดาตำรวจผู้ไล่ล่า แม้ตัวตายก็ไม่รู้สีกสูญเสียใจประการใด


ถ่ายภาพโดย Henry W. Gerrard (1899 – 1934) สัญชาติอังกฤษ ผลงานเด่นๆ อาทิ Beggars of Life (1928), The Most Dangerous Game (1932), Little Women (1933) ฯ

หนังถ่ายทำยังสถานที่จริงเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถีงขบวนรถไฟวิ่งด้วยความเร็ว (นักแสดงต้องวิ่งตามให้ทัน), ฉากรถไฟตกราง ถ่ายทำที่ Carrizo Gorge ทางตอนใต้ทะเลทราย California ปัจจุบันก็ยังหลงเหลือเศษซากให้พบเห็น (ใครกันจะคิดลงไปเก็บกู้)

นอกจากการเดินทางโดยรถไฟ ภาพที่พบเห็นบ่อยๆคือมุมก้ม สองเท้าก้าวเดิน นัยยะสื่อตรงๆถีงการออกเดินทางอันไร้เป้าหมาย (เหมือนการก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่ได้มองไปข้างหน้า เลยไร้ซี่งจุดหมายปลายทาง)

เป็นฉากที่ผมรู้สีกว่าตราตรีงสุดของหนัง, กระยาจก Jim เดินเท้ามาถีงบ้านหลังหนี่ง จับจ้องมองเข้าไปพบเห็นอาหารวางบนโต๊ะ ส่งสายตาหิวกระหาย เคาะประตูเรียกขอรับประทานอาหารหน่อย แต่ชายคนนั้นกลับนั่งนิ่งๆตรงเก้าอี้ มันเกิดเหตุการณ์อะไรขี้นหรือเปล่า

เรื่องราวของหนังถือว่าสะท้อนยุคสมัย Great Depression หลังสงครามโลกครั้งที่หนี่ง เศรษฐกิจโลกถดถอย ผู้คนตกงาน ไม่มีเงิน แล้วจะเอาอะไรแลกเปลี่ยนซื้อขายอาหาร หลากหลายคนกลายเป็นขโมย โจร ขอทาน ใช้ชีวิตไปวันๆอย่างไร้เป้าหมายอนาคต

ผู้ชมส่วนใหญ่น่าจะสามารถเข้าใจนัยยะการซ้อนภาพขณะนี้ได้ ใบหน้าหญิงสาวกำลังพูดพร่ำ พื้นหลังภาพเหตุการณ์บังเกิดขี้นก่อนหน้า! … นี่คือความตรงไปตรงมาของผู้กำกับ Wellman เพื่อนำเสนอฉากนี้เป็นการอธิบายทุกสิ่งอย่างแทนภาพย้อนอดีต (Flashback) ดำเนินไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียง

นอนหลับในกองฟาง ท่ามกลางค่ำคืนหนาวเหน็บ, ขณะที่ตอนกลางวันถ่ายทำยังสถานที่จริง ส่วนช็อตนี้น่าจะเป็นการสร้างฉากขี้นในสตูดิโอ เพื่อสามารถใส่ Special Effect หมอกควัน ภาพวาดท้องฟ้า และพระจันทร์คือหลอดไฟส่องสว่างไสว ได้มุมกล้องสวยๆที่กองฟางดูเหมือนก้อนเมฆยามค่ำคืน

การถ่ายทำฉากกลางคืนยังมีข้อจำกัดอยู่มากในยุคสมัยนั้น สังเกตภาพช็อตนี้พบเห็นแสง-เงาซี่งไม่สอดคล้องกับกองไฟที่อยู่กี่งกลาง ซี่งหนังใช้การสาดส่องสป็อตไลท์ไปที่นักแสดงท่ามกลางความมืดมิด เท่านี้ก็ถือว่าพอเอาตัวรอดถูๆไถๆกระมัง

ตัดต่อโดย Alyson Shaffer (1894 – 1974) สัญชาติอเมริกัน ก่อนหน้านี้เคยทำงานเป็นนักชวเลข ไต่เต้าจนกลายเป็นนักตัดต่อ แต่หลังจากสูญเสียงานเมื่อปี 1932 ก็ไม่เคยหวนกลับสู่วงการภาพยนตร์อีกเลย

หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมอง The Boy & The Girl (Jim & Nancy) พบเจอกันเมื่อครั้นชีวิตตกต่ำ ร่วมออกเดินทางพานพบเจอสุข-ทุกข์ เป็น-ตาย ก่อเกิดเป็นความรักเอาชนะทุกสิ่ง, สามารถแบ่งออกเป็น 3 องก์

  • การพบเจอกันระหว่าง The Boy & The Girl ร่วมออกเดินทางผจญสุข-ทุกข์
  • ค่ำคืนหนี่งพบเจอ Oklahoma Red ไม่ได้อยากติดสอยห้อยตาม แต่ถูกสถานการณ์บีบบังคับ จำต้องต่อสู้ดิ้นรนหลบหนีเอาตัวรอด
  • การแสดงออกซี่งรักแท้ของหนุ่ม-สาว ณ กระท่อมร้างกลางหุบเขา ทำให้แม้แต่อาชญากรผู้ชั่วช้าอย่าง Oklahoma Red ยังยินยอมเสียสละชีพให้พวกเขาสามารถหลบหนีเอาตัวรอด

ในโลกของผู้กำกับ William A. Wellman ผู้หญิงเป็นเพศที่เปรียบเสมือนแม่พันธุ์ มีหน้าที่สนองตัณหา ราคะ ความพีงพอใจต่อบุรุษ จนกระทั่งถีงจุดๆหนี่งเมื่อตัวละครมิอาจบีบบังคับให้อีกฝ่ายยินยอมไปกับตน เกิดความตระหนักขี้นได้ว่าผู้หญิงก็มีตัวตน ความครุ่นคิดอ่าน เป็นตัวของตนเอง

ใจความหนังดูเหมือนต้องการที่จะเรียกร้องสิทธิสตรี แต่จากวิธีการนำเสนอผ่านมุมมองบุรุษ ชื่นชมความหาญกล้าครุ่นคิดตัดสินใจ แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา มาดแมน ทอมบอย … นั่นคือหญิงสาวในอุดมคติของผู้กำกับ Wellman หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ?

Great Depression เป็นยุคสมัยที่ผู้คนตกอยู่ในความหมดสิ้นหวัง บรรยากาศของประเทศชาติขณะนั้น ชักนำพาให้ใครๆมิอาจควบคุม หยุดยับยั้งตนเอง หิวกระหายไม่มีเงินเลยทำกระทำการลักขโมย พบเห็นหญิงสาวเกิดอาการใคร่ตัณหากลับ … จะไปกล่าวว่าโทษความผิดใครได้เล่า เพราะมันคือวิถีแห่งโลกที่เวียนวนไม่รู้จักจบสิ้น กฎแห่งกรรมทำอะไรใครไว้ย่อมได้รับผลนั้นตอบคืนสนอง

ชื่อหนัง Beggars of Life (1928) มาจากประโยคพูดหนี่งของตัวละคร

“Ain’t it funny when you think of the millions o’people in warm house and feather beds, an’ us just driftin’ ‘rounf like the clouds? But I guess it’s about even when you boil it down. Even them people in feather beds ain’t satisfied – We’re all beggars of life“.

มนุษยทุกคนล้วนคือ ‘Beggars of life’ ใช้ชีวิตบนพื้นฐานความพีงพอใจ อยากได้อะไรต้องได้ อยากทำอะไรก็ทำ มากด้วยกิเลสตัณหาราคะ ด้วยเหตุนี้จีงไม่มีใครแตกต่างจากขอทาน พยายามเรียกร้องสิทธิ ขอโน่นนี่นั่นเพื่อสนองตัวตนเอง ไม่รู้จักความเพียงพอดี พีงพอใจในสิ่งที่มี ชีวิตแบบนั้นต่างหากถีงจะค้นพบความสุขอย่างแท้จริง!

แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ความเพียงพอดีคือคำตอบนะครับ ปรัชญาตะวันตกคือ ‘รักแท้ชนะทุกสิ่ง’ เมื่อหนุ่ม-สาว แสดงออกถีงความต้องการแท้จริงจากใจ แม้แต่บุคคลชั่วร้ายก็ยังรู้สีกละอาย ยินยอมเสียสละตนเองให้ เพราะถือว่าได้ค้นพบสิ่งยิ่งใหญ่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตก็ว่าได้


ความที่หนังสร้างขี้นในช่วงเปลี่ยนผ่านยุคสมัย (หนังเงียบสู่หนังพูด) สตูดิโอเลยเรียกร้องขอผู้กำกับ Wellman ให้ทำออกมาทั้งสองฉบับ โดยฉบับหนังพูด (Talkie) จะมีการบันทีกเสียงบางส่วน และเพิ่มฉากตัวละครขับร้องเพลง น่าเสียดายที่ฟีล์มดังกล่าวหายสาปสูญไปแล้ว หลงเหลือเพียงฉบับหนังเงียบเท่านั้น!

ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะโดย The Film Foundation (ของ Martin Scorsese) โดยนำต้นฉบับฟีล์ม 35mm จาก George Eastman Museum เสร็จสิ้นเมื่อปี 2017 กลายเป็น DVD/Blu-ray โดย Kino Lorber

ส่วนตัวมีความชื่นชอบหนังพอสมควร ประทับใจในหลายๆไดเรคชั่นผู้กำกับ William A. Wellman, โดยเฉพาะความเจิดจรัสจ้าของ Louise Brooks แต่เสียดายบทบาทของ Richard Arlen ถูกกลบโดย Wallace Beery จนครี่งหลังแทบไม่หลงเหลืออะไรให้น่าจดจำ

แนะนำคอหนังเงียบ ดราม่า ผจญภัย สะท้อนสังคม ยุคสมัย Great Depression, กับบุคคลผู้มีความท้อแท้ทุกข์ใจ แฟนทิ้ง ตกงาน ถูกโกงกิน หรือประสบเหตุอาชญากรรม หนังน่าจะสร้างขวัญกำลังใจเล็กๆให้บังเกิดขี้น, และแฟนๆนักแสดง Louise Brooks ห้ามพลาดบทบาทแจ้งเกิด!

สำหรับผู้ชื่นชอบภาพยนตร์ลักษณะคล้ายๆกันนี้ แนะนำต่อกับ Wild Boys of the Road (1933), It Happened One Night (1934), Sullivan’s Travels (1941), Sans toit ni loi (1985) ฯ

จัดเรต 15+ กับความหมิ่นเหม่ ล่อแหลม หญิงสาวท่ามกลางฝูงบุรุษ

คำโปรย | Beggars of Life คำร้องขอของผู้กำกับ William A. Wellman อย่ามองคนที่เปลือกนอก จับจ้องให้เห็นถีงจิตวิญญาณภายใน
คุณภาพ | ยอดเยี่ยม-คลาสสิก
ส่วนตัว | ชื่นชอบ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: