
Belladonna of Sadness (1973)
: Eiichi Yamamoto ♥♥♥♥♡
(12/11/2023) บทกวีรำพรรณาความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของอิสตรี ในยุคสมัยที่ยังถูกกดขี่ข่มเหง ไม่แตกต่างจากวัตถุทางเพศ เธอคนไหนกล้าลุกขึ้นมาต่อต้าน แสดงอารยะขัดขืน จักโดนตีตรากล่าวหาเป็นแม่มด ต้องถูกแผดเผาให้ตกตายทั้งเป็น! อนิเมชั่นใต้ดินมาสเตอร์พีซ งดงามวิจิตรศิลป์ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถชื่นเชยชม
ทศวรรษ 60s คือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงหลายๆสิ่งอย่าง สังคม การเมือง แฟชั่น รวมถึง Sexual Revolution (หรือ Sexual Liberation) การเคลื่อนไหวที่ท้าทายขนบกฎกรอบ ประเพณีเคยยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาเกี่ยวกับเรื่องเพศและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
Belladonna of Sadness (1973) คือหนึ่งในภาพยนตร์อนิเมชั่นที่โอบรับยุคสมัย Sexual Revolution พยายามนำเรื่องเพศมาสรรค์สร้างเป็นผลงานศิลปะใต้ดิน (Underground Film) ไม่ใช่เพื่อตอบสนองตัณหากามารมณ์ ‘rape fantasy’ แต่ความสุดโต่งของเรื่องราว ภาพและเสียง จักช่วยสร้างความตระหนักบางสิ่งอย่างให้กับผู้ชม … ถ้าคุณสามารถมองผ่านเปลือกภายนอกที่เต็มไปด้วยสิ่งโป๊เปลือย ภาพรุนแรงทางเพศ จักพบเห็นความงดงามของศิลปะขั้นสูง
ด้วยข้อจำกัดทั้งด้านงบประมาณ ทีมงาน รวมถึงเทคนิควิธีการ ผลลัพท์จึงอาจดูไม่ค่อยลื่นไหล นามธรรมเกินไป แต่ถ้าคุณสามารถขบครุ่นคิด ทำความเข้าใจลูกเล่น สารพัดเทคนิคภาพยนตร์ ‘psychedelic effect’ จะค้นพบว่านี่คือโคตรหนังคัลท์ของคนมึนเมา สามารถสำแดงพลังหญิง (Feminist) ได้ทรงพลังยิ่งกว่าภาพยนตร์ Superhero ยุคสมัยนี้เสียอีก!
ว่ากันตามตรงตอนที่ผมรับชมอนิเมชั่นเรื่องนี้เมื่อหลายปีก่อน บอกเลยว่าดูไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่ แต่เพราะภาพวาดสวยๆงามๆ ความคิดสร้างสรรค์สุดบรรเจิด เทคนิคภาพยนตร์เลิศหรู ทำนองเพลงไพเราะติดหู สามารถสร้างความแรกประทับใจ รู้สึกบางอย่างภายใน เกิดความเคลิบเคลิ้มหลงใหล ตกหลุมรักใคร่ … เคยตั้งใจไว้แล้วว่า เมื่อประสบการณ์รับชมภาพยนตร์เพิ่มมากขึ้น จะหวนกลับมาปรับปรุงบทความนี้อีกครั้ง
ก่อนอื่นขอกล่าวถึง Mushi Production ก่อตั้งโดย Osamu Tezuka (1928-89) ผู้บุกเบิกวงการมังงะ (God of Manga) รวมถึงสตูดิโอนี้สำหรับสรรค์สร้างอนิเมะ (ได้รับฉายา Japanese Walt Disney) สำหรับดูแลงานสร้าง Astro Boy (1963-66), Kimba the White Lion (1965-66) ฯ โดยเป้าหมายไม่ใช่แค่อนิเมชั่นสำหรับเด็ก แต่ยังทำการทดลองรูปแบบอื่นๆ รวมถึง アニメラマ (Animerama) คำเรียกภาพยนตร์อนิเมชั่นสำหรับผู้ใหญ่ (adult anime)
ด้วยความที่ Tezuka มีงานล้นมือทั้งมังงะและอนิเมะ จึงเพียงเสนอแนวคิด ร่วมพัฒนาบท แล้วมอบหมายหน้าที่กำกับอนิเมชั่นให้ Eiichi Yamamoto ดูแลงานสร้าง A Thousand and One Nights (1969) และ Cleopatra (1970) แต่ก่อนจะมีส่วนร่วมใดๆกับ Belladonna of Sadness (1973) เห็นว่าลาออกจากสตูดิโอเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับมังงะอย่างเต็มที่
Eiichi Yamamoto (1940-2021) ผู้กำกับอนิเมะ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Kyoto หลังจากบิดาถูกเกณฑ์ทหารเข้าร่วมสงครามมหาเอเชียบูรพา Pacific War (1941-45) มารดาพาบุตรชายมาอาศัยอยู่บนเกาะ Shodoshima, ตั้งแต่เด็กใฝ่ฝันอยากเป็นนักอนิเมเตอร์ หลังเรียนจบมัธยมสมัครงานสตูดิโอ Otogi Productions, ก่อนติดตาม Osamu Tezuka เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Mushi Production, ในเครดิตมีผลงานเขียนบท/กำกับซีรีย์ Astro Boy (1964), Kimba the White Lion (1966) และไตรภาค Animerama
ความล้มเหลวย่อยยับเยินของ Cleopatra (1970) ทำให้ผกก. Yamamoto ตัดสินใจจะลาออกจาก Mushi Production แต่บอร์ดบริหารพยายามเหนี่ยวรั้งด้วยการมอบตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป (General Director) เพื่อให้เข้ามาดูแลงานสร้าง Belladonna of Sadness (1973) ตามคำเรียกร้องของสตูดิโอผู้จัดจำหน่าย Nippon Herald Films (ปัจจุบันคือ KADOKAWA)
Belladonna of Sadness (1973) ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ La Sorcière (1862) ชื่อภาษาอังกฤษ Satanism and Witchcraft รวมรวบประวัติศาสตร์เกี่ยวกับแม่มด (Witchcraft) เรียบเรียงโดย Jules Michelet (1798-1874) นักเขียน/นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส โด่งดังจากหนังสือ Histoire de France (1833-43) และยังเป็นผู้ริเริ่มต้นใช้คำว่า Renaissance (แปลว่า rebirth)
The object of my book was purely to give, not a history of Sorcery, but a simple and impressive formula of the Sorceress’s way of life, which my learned predecessors darken by the very elaboration of their scientific methods and the excess of detail. My strong point is to start, not from the devil, from an empty conception, but from a living reality, the Sorceress, a warm, breathing reality, rich in results and possibilities.
Jules Michelet
เท่าที่ผมอ่านผ่านๆเกี่ยวกับหนังสือ La Sorcière (1862) ชวนให้นึกถึงโคตรหนังเงียบ Häxan (1922) ต่างไม่ได้มุ่งเน้นนำเสนอพลังพิเศษ เหนือธรรมชาติ (Sorcery) ของหญิงสาวที่ถูกตีตราแม่มด แต่พยายามกล่าวถึงเหตุการณ์ที่มีหลักฐานอ้างอิง เคยบังเกิดขึ้นจริง พร้อมแสดงความคิดเห็นต่อพฤติกรรมของพวกเธอ ลุกขึ้นมาต่อต้าน แสดงอารยะขัดขืน หลังถูกกดขี่ข่มเหงจากระบบเจ้าขุนมูลนาย (Feudalism) ที่มักใช้ข้ออ้างศรัทธาศาสนา Roman Catholic กำจัดบุคคลนอกรีต (Paganism) ให้พ้นภัยพาล
เกร็ด: หนังสือเล่มนี้ยังเคยได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ฝรั่งเศส Glissements progressifs du plaisir (1974) กำกับโดย Alain Robbe-Grillet
เรื่องราวของ Jeanne และ Jean คู่รักข้าวใหม่ปลามัน เพิ่งแต่งงานกันในหมู่บ้านชนบท ยุคสมัย Medieval France แต่ค่ำคืนแรกของพวกเขา เธอกลับถูกกระทำชำเราโดยบรรดาบารอนและลูกน้อง เพราะไม่สามารถจ่ายค่าภาษีแต่งงาน สร้างความหวาดสะพรึงกลัวให้กับ Jean ขณะที่ Jeanne กลับเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดเคียดแค้น
ค่ำคืนนั้นโดยไม่รู้ตัว Jeanne พบเห็นนิมิต สิ่งแปลกประหลาดหน้าตาเหมือนลึงค์ สามารถพูดคุยสื่อสาร ชักชวนทำสัญญา(กับปีศาจ) อาสาจะมอบพลัง ความเข้มแข็งแกร่ง อยากได้อะไรก็พร้อมแลกเปลี่ยน, หลังจากเธอยินยอมตอบตกลง ชีวิตคู่กับสามีก็ราวกับปาฏิหารย์ ค้าขายทำกำไรงดงาม แต่ความสำเร็จดังกล่าวกลับสร้างความไม่พึงพอใจต่อบรรดาสมาชิกหมู่บ้าน เกิดความอิจฉาริษยา ปฏิเสธจ่ายค่าภาษี กลายเป็นเหตุให้ Jean ถูกลงโทษทัณฑ์ สูญเสียความเชื่อมั่นในตนเอง
หลังพบเห็นสภาพดังกล่าวของสามี สิ่งแปลกประหลาดหน้าตาเหมือนลึงค์ก็ได้ปรากฎตัวอีกครั้งต่อหน้า Jeanne ขนาดของมันใหญ่โตขึ้นกว่าเดิม เรียกร้องขอจิตวิญญาณแลกเปลี่ยนกับทุกสิ่งอย่าง แต่หญิงสาวยินยอมมอบเพียงเรือนร่างกาย จากนั้นเลยได้กลายเป็นนายหน้าเงินกู้ ผู้ทรงอิทธิพลยิ่งกว่าใครในหมู่บ้าน สร้างความอิจฉาริษยาให้กับบารอเนส กล่าวหาอีกฝ่ายเป็นแม่มด จนถูกขับไล่ ผลักไส จำใจต้องหลบหนีออกไป
ในสภาพสูญเสียทุกสิ่งอย่าง ไม่หลงเหลือกระทั่งเสื้อผ้าปกปิดเรือนร่าง สิ่งแปลกประหลาดหน้าตาเหมือนลึงค์ก็ได้เปิดเผยตัวตนแท้จริงว่าคือปีศาจ/ซาตาน ชักชวนทำสัญญาแลกเปลี่ยนวิญญาณ เธอจึงได้รับพลังพิเศษที่สามารถรักษาโรคระบาด ชีวิตเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย สนุกสนาน ร่วมเพศสัมพันธ์กันอย่างโจ่งครึ่ม (แท้จริงคือมึนเมาจากฤทธิ์ยา) ชาวบ้านต่างยกย่องนับถือราวกับผู้วิเศษ นั่นสร้างความไม่พึงพอใจให้กับบารอน ส่ง(อดีต)สามี Jean เข้าไปโน้มน้าว Jeanne ชักชวนมาพูดคุย อ้างว่าจะแลกเปลี่ยนวิธีการรักษาโรคระบาด แต่เธอกลับเรียกร้องทุกสรรพสิ่งอย่าง สร้างความไม่พึงพอใจเลยถูกจับ ลงโทษเผาทั้งเป็น ระหว่างกำลังมอดไหม้ วิญญาณชั่วร้ายจึงล่องลอยเข้าสิงสถิตผู้หญิงทุกคนในหมู่บ้าน … หลายศตวรรษถัดมา ราวกับว่าวิญญาณของ Jeanne ได้กลายมาเป็น Marianne บุคลาธิษฐานประจำชาติฝรั่งเศส
Jeanne (พากย์เสียงโดย Aiko Nagayama) มองมุมหนึ่งคือหญิงสาวจอมบงการ มักมาก ร่านราคะ เริดเชิดเย่อหยิ่ง ทะนงตน หลงตัวเอง นิสัยเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ ละโมบโลภมาก อยากได้อยากมี ไม่รู้จักเพียงพอดี เลยนำพาหายนะมาให้กับตนเองและสามี ไม่ต่างจากปีศาจชั่วร้าย ต้องถูกแผดเผาให้ตกตายทั้งเป็น! แต่ในอีกมุมหนึ่งเธอก็แค่เพียงหญิงสาวธรรมดาๆ ต้องการชีวิตเรียบง่าย สุขสบายกับสามี แต่กลับถูกกดขี่ข่มเหง ทำให้ต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก พยายามอดกลั้นฝืนทน ต่อสู้ดิ้นรน ไม่ย่นย่อท้อแท้อุปสรรคขวากนาม พอทำสำเร็จกลับไม่ได้รับการยินยอมรับ หนำซ้ำยังถูกตีตราว่าร้าย กลายเป็นยัยแม่มด ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุก แม้แต่ชายคนรักยังไม่เหลือเยื่อใย ใครไหนจะสามารถทนต่อความอยุติธรรมในสังคม
เกร็ด: ชื่อตัวละคร Jeanne เป็นการอ้างอิงถึง Jeanne d’Arc (แต่ภาษาอังกฤษชอบเรียก Joan of Arc) วีรสตรีของฝรั่งเศส และนักบุญในนิกาย Roman Catholic อ้างว่าได้รับนิมิตจากพระเจ้าให้ไปช่วยกอบกู้บ้านเมืองจากการครอบครองของอังกฤษ ต่อสู้เป็นผู้นำหลายสมรภูมิรบ จนถูกล่อจับกุมตัว พิจารณาคดีประณาม โดนข่มขืนในเรือนจำ และตัดสินโทษประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็น
Jean (พากย์เสียงโดย Katsutaka Ito) สามีของ Jaanne แม้เป็นลูกผู้ชายแต่มีจิตใจอ่อนแอ ขี้ขลาดเขลา แทนที่จะคอยปกป้องภรรยา กลับปล่อยให้เธอเผชิญหน้าสิ่งต่างๆตามลำพัง ไร้ความหาญกล้า ทะเยอทะยาน แสดงอาการหวาดหวั่น สั่นกลัวเกรง ทำได้เพียงก้มหัวให้กับผู้มีอำนาจ ศิโรราบต่อความอยุติธรรมในสังคม ชีวิตเลยจมปลักอยู่กับความทุกข์ยากลำบาก กลายเป็นหุ่นเชิดชัก ไม่มีความเป็นตัวของตนเอง
สำหรับสิ่งแปลกประหลาดหน้าตาเหมือนลึงค์ ในเครดิตขึ้นชื่อ The Devil (พากย์เสียงโดย Tatsuya Nakadai) น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยั่วเย้ายวน รันจวนใจ พยายามโน้มน้าว เกลี้ยกล่อมเกลา Jeanne ชักชวนให้เธอทำสัญญากับปีศาจ เพื่อแลกกับความปรารถนาทุกสิ่งอย่าง ช่วงแรกๆมีขนาดเพียงนิ้วหัวแม่มือ แต่จะค่อยเติบโต ขยายขนาด จนกลายร่างเป็นปีศาจ แผ่ปกคลุมทั่วผืนปฐพี
ด้วยทุนสร้างที่ลดลงกว่าครึ่ง จึงไม่มีทางที่โปรดักชั่นของ Belladonna of Sadness (1973) จะทำออกมาคุณภาพเทียบเท่า A Thousand and One Nights (1969) และ Cleopatra (1970) แต่ผกก. Yamamoto ยังคงเลือกใช้ทีมงานชุดเก่า (in-House) ที่ถือว่ามีประสบการณ์ รับรู้ข้อจำกัดการสรรค์สร้างอนิเมะสมัยนั้น ไม่ได้ว่าจ้างจาก Outsource จากภายนอก (พูดง่ายๆคือไม่มีเงินจ้าง) ทำให้การทำงานล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมเกือบเท่าตัว … ตั้งใจให้เสร็จทันออกฉายปี 1972 แต่ก็ล่าช้าไปถึง ค.ศ. 1973
งานภาพของอนิเมชั่นเรื่องนี้ รับอิทธิพลจากศิลปะ Modernist และ Art Nouveau อาทิ Gustav Klimt, Odilon Redon, Alphonse Mucha, Egon Schiele, Félicien Rops ฯ ทั้งหมดใช้การภาพวาดสีน้ำ (Watercolor Painting) จงใจทำออกมาให้มีความบิดๆเบี้ยวๆ เก็บรายละเอียดดูไม่ค่อยแนบเนียน (เพื่อสื่อถึงความผิดปกติของเรื่องราวและตัวละคร) สร้างความแตกต่างจาก Animerama เรื่องอื่นๆ
- Gustav Klimt (1862-1918) จิตรกรชาว Austrian มีความหลงใหลใน Symbolism และเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิก Art Nouveau โด่งดังกับผลงาน The Kiss (1907-08) ภาพวาดสีน้ำมันที่ตกแต่งด้วยแผ่นทอง เงิน แพลทินัม เน้นความระยิบระยับ ลวดลายละลานตา
- Odilon Redon (1840-1916) จิตรกรชาวฝรั่งเศส ผลงานในช่วงแรกๆชอบใช้ถ่านดินสอ (Charcoal) ด้วยกลวิธีภาพพิมพ์หิน (Lithography) มักมีลักษณะเหมือนฝันร้าย สะท้อนจิตใจอันดำมืด (Noirs) ปกคลุมด้วยความหมองหม่น แต่ภายหลังเริ่มเปลี่ยนมาใช้สีพาสเทล และสีน้ำมัน พร้อมๆกับหันมาสนใจศาสนา Hindu และ Buddhist มองหาแสงสว่าง/หนทางหลุดพ้น
- ภาพที่นำมาชื่อ The Cyclops (1898-1914) เหมือนว่าเจ้ามนุษย์ยักษ์ตาเดียวกำลังแอบมองหญิงสาวนอนเปลือยกาย แต่ท่าทางเหมือนอับอาย ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเธอ
- Alphonse Mucha (1860-1939) จิตรกร/ออกแบบกราฟฟิกชาว Czech อาศัยอยู่กรุง Paris ในช่วง Art Nouveau โด่งดังจากออกแบบใบปิด โฆษณา โดยเฉพาะภาพวาดนักแสดง Sarah Bernhardt เพื่อโปรโมทละคอนเวที ปรากฎกว่าได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจนได้ร่วมงานขาประจำ
- ภาพที่นำมานี้คือการร่วมงานครั้งแรกระหว่าง Alphonse Mucha และ Sarah Bernhardt โปสเตอร์โปรโมทละครเวที Gismonda (1894)
- Egon Schiele (1890-1918) จิตรกรชาว Austrian แห่งยุคสมัย Expressionist (เป็นลูกศิษย์ของ Gustav Klimt) โด่งดังกับภาพวาดโป๊เปลือยที่มีความรุนแรง ดิบเถื่อน (ส่วนใหญ่เป็นภาพของตนเอง Self-Portraits) โดยร่างกายมักมีความบิดเบี้ยว เอี้ยวตัว ลวดลายเส้นที่แสดงออกทางอารมณ์ ปลดเปลื้อง เปลือยเปล่า ผลงานโด่งดังที่สุดคือ Kneeling Nude with raised hands (1910)
- ผมเลือกภาพวาด Seated Woman with Legs Drawn Up (1917) ที่ดูไม่โจ๋งครึ่มของ Egon Schiele แต่แค่ท่านั่งหญิงสาว ก็มีความยั่วเย้าราคะเสียเหลือเกิน
- Félicien Rops (1833-1898) จิตรกรชาว Belgian แห่งยุคสมัย Symbolism อาจเป็นศิลปินที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก แต่ผลงานภาพพิมพ์และแกะสลักไม้ (Wood Engraving) เกี่ยวกับปีศาจ ซาตาน แม่ชีช่วยตัวเอง มีความดิบเถื่อน รุนแรง
- ภาพวาด The Idol (1882) ชวนให้นึกถึงสิ่งแปลกประหลาดหน้าตาเหมือนลึงค์ (The Devil)





กระบวนการที่ต้องใช้เวลาอย่างมากในการทำอนิเมชั่นสมัยก่อน ก็คือ In-Betweening หลังจาก Key Animator ภาพวาดต้นแบบตำแหน่งหนึ่งและสอง ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กใหม่ หรือเด็กฝึกงาน ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ทำงาน (ค่าแรงก็มักถูกกดจนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน) จะต้องวาดภาพตามแบบเดิมซ้ำๆ เพื่อนำมาเรียงร้อยต่อกันให้เห็นการเคลื่อนไหวจากตำแหน่งหนึ่งสู่ตำแหน่งสอง
สำหรับคนช่างสังเกตจะพบว่า Belladonna of Sadness (1973) มีภาพอนิเมชั่นที่เกิดจากการขยับเคลื่อนไหว (งานของ In-Betweening) น้อยครั้งมากๆ เฉพาะฉากสำคัญๆ มีความจำเป็นจริงๆเท่านั้น ส่วนใหญ่จะใช้ลูกเล่นภาพยนตร์ล่อหลอกตาผู้ชม อาทิ แช่ค้างภาพนิ่ง, วาดภาพยาวๆแล้วใช้กล้องเคลื่อนเลื่อน, Panning, Tilting, Zooming, ปรับโฟกัสคม-ชัด, ซ้อนภาพ (Double Exposure), รวมถึงเทคนิคตัดต่อ Montage ฯลฯ
ยกตัวอย่างภาพแรกของอนิเมะ “Once upon a time…” เริ่มต้นจากลากเส้นตรง กล้องค่อยๆเคลื่อนเลื่อนไปทางซ้าย พบเห็นสรรพสัตว์ ต้นไม้-ดอกไม้ หมู่บ้าน ผู้คน หญิงสาว Jeanne ส่วนอีกฟากฝั่งก็จะเริ่มลงสีสัน สังเกตว่าทุกสิ่งอย่างคือภาพนิ่ง ไม่ได้มีการทำอนิเมชั่นใดๆ เพียงใช้ลูกเล่นภาพยนตร์ แค่นี้ก็สามารถประหยัดงบประมาณ แถมดูมีความเป็นศิลปะด้วยนะ!





ไม่ใช่แค่การเคลื่อนเลื่อนแนวนอนเท่านั้นนะครับ พิธีแต่งงานระหว่าง Jeanne และ Jean เริ่มต้นจากเบื้องล่างสุด พวกเขากำลังโอบกอด กล่าวคำมั่นสัญญา กล้องเคลื่อนเลื่อนขึ้นแนวดิ่ง พานผ่านบาทหลวงทำพิธี สัญลักษณ์เยซูคริสต์ในโบสถ์ และเบื้องบนสุดกระจกแก้ว (Stained Glass) ดูราวกับได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ณ จุดสูงสุดพบเห็นภาพเคลื่อนไหวแรกของอนิเมะ หนุ่มสาวกอดจูบ แอบอิง ชิดใกล้




ปราสาทสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา มีความโดดเด่น เป็นจุดสนใจ ผิดกับหมู่บ้าน ชาวเมือง ประชาชนคนธรรมดาๆ ไม่ได้มีความสลักสำคัญใดๆอาศัยอยู่บริเวณตีนเขา … นี่เป็นการใช้ภูมิศาสตร์แสดงถึงอำนาจ ชนชั้น วิทยฐานะ แลดูคล้ายๆโครงสร้างองค์กรแบบพีระมิด หัวหน้า/ผู้ปกครองอยู่เบื้องบน ลูกน้อง/ประชาชน ต่ำต้อยด้อยค่า เพียงฐานรากหญ้า ใช้ชีวิตด้วยความทุกข์ยากลำบาก
ภาพแรกของบารอน กำลังนอนหนุนตักบารอเนส พอลืมตาขึ้น ตัดภาพเคลื่อนเลื่อนจากบริเวณลำตัวขึ้นสู่ใบหน้า (ภาษาภาพยนตร์สื่อถึงการมีอำนาจ ฐานันดรศักดิ์ ชนชั้นผู้ดีมีสกุล) แต่รูปร่างหน้าตาไม่ต่างจากโครงกระดูก ผอมแห้งเหี่ยว ใกล้ลงโลง ดูราวกับปีศาจ/ซาตาน แวมไพร์ในคราบมนุษย์


อนิเมะยังดำเนินไปไม่ถึงสิบนาที แต่เชื่อว่าผู้ชมหลายคนคงตกตะลึง อ้าปากค้าง รับไม่ได้กับภาพกราฟฟิกบาดตาบาดใจระหว่าง Jeanne กำลังถูกรุมข่มขืน กระทำชำเรา สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด อวัยวะเพศฉีกขาด เลือดสาดกระเซ็น ทำไมโลกใบนี้มันช่างทารุณ เหี้ยมโหดร้าย … ถ้าคุณอดรนทนไม่ไหว ยินยอมรับภาพพบเห็นไม่ได้ ก็อย่าเสียเวลาดูต่อเลยนะครับ นี่แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง
Those who have faced sexual violence are so commonly sentimentalized or stigmatized, cast as uniquely heroic or uniquely broken. Everything can be projected upon them, it seems — everything but the powers and vulnerabilities of ordinary personhood
นักวิจารณ์ Parul Sehgal
บุคคลที่โดนข่มขืน ถูกใช้ความรุนแรงทางเพศ ‘sexual violence’ ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าวมักสามารถจำแนกออกได้เป็นสองจำพวก … ผมแกะจากบทความของนักวิจารณ์ Parul Sehgal
- หนึ่งคือบุคคลตกอยู่ในความท้อแท้สิ้นหวัง จมปลักอยู่ในความทุกข์ทรมาน สภาพจิตใจเปราะบาง ไม่อาจหลงลืม ลุกขึ้นก้าวเดิน หรือเริ่มต้นชีวิตใหม่
- อีกประเภทคือบุคคลที่สามารถปรับตัว เปลี่ยนแปลงตนเองจากหน้ามือเป็นหลังมือ กล้าเผชิญหน้า ลุกขึ้นต่อสู้ ไม่หวาดกลัวเกรงอันตราย พร้อมกระทำบางสิ่งอย่างเพื่อโต้ตอบกลับ เอาคือความอยุติธรรม
Jeanne ถือเป็นบุคคลประเภทที่สอง หลังถูกข่มขืนกระทำชำเรา แม้ร่างกายเจ็บปวด จิตใจบอบช้ำ แต่สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่างไว้เบื้องหลัง, ผิดกับ Jean ทั้งๆยังไม่รับบาดเจ็บอะไร กลับตกอยู่ในสภาพท้อแท้สิ้นหวัง ยิ่งช่วงกลางเรื่องเมื่อโดนลงโทษตัดมือ กลายเป็นคนสำมะเลเทเมา ใช้ชีวิตอย่างหมดอาลัยตาย

พบเห็นเครื่องปั่นด้าย (Spinning Wheel) ชวนให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ Throne of Blood (1957) ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่ามันคือกงจักรแห่งโชคชะตา สัญลักษณ์การเปลี่ยนแปลง จากเคยล้มเหลวย่อมประสบความสำเร็จ เฉกเช่นเดียวกับเมื่อไต่เต้าสู่จุดสูงสุดย่อมหวนกลับสู่สามัญ
เกร็ด: ปรัมปราความเชื่อของชาวญี่ปุ่น มีปีศาจชื่อ 輪入道, Wanyūdō มีเพียงศีรษะติดกับกงล้อเกวียน เชื่อกันว่าคือวิญญาณของ Daimyo ปกครองอาณาประชาราษฎร์ด้วยความเผด็จการ พอตกตายกลายเป็นผู้พิทักษ์ประตูขุมนรก คอยล่อหลอก ลักพาวิญญาณบุคคลชั่วร้ายลงสู่โลกใต้ดิน


สิ่งแปลกประหลาดหน้าตาเหมือนลึงค์ (Phallic-Headed Spirit) มันคืออะไรกัน? หลายคนคงครุ่นคิดว่าปีศาจ (The Devil) ซาตาน (Mephistopheles) สิ่งชั่วร้ายที่มีพลังอำนาจมหาศาล ลวงล่อหลอกมนุษย์ให้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนจิตวิญญาณ เพื่อสามารถกระทำสิ่งตอบสนองความต้องการ แต่เมื่อถึงคราวหมดสิ้นลมหายใจ จักถูกฉุดคร่าลงขุมนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกต่อไป
แต่ถ้าเอาตามคำบอกเล่าของเจ้าสิ่งนี้ “I am you” ตัวแทนความปรารถนาของ Jeanne อารมณ์เก็บกด ความคิดชั่วร้ายที่อยู่ในจิตใจ อยากได้ อยากมี ไม่อยากเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน หรือจะตีความถึงกิเลสตัณหา ตอบสนองกามารณ์ ความพึงพอใจส่วนบุคคล มันจึงมีรูปลักษณ์คล้ายลึงค์ อวัยวะเพศชาย ชอบดิ้นไปดิ้นมา โยกซ้ายโยกขวา ชักเข้าชักออก สามารถร่วมเพศสัมพันธ์กับหญิงสาว และจะมีขนาดใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสะท้อนความต้องการ(พลังทางเพศ)ที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่รู้จักจบสิ้น
บางคนอาจจะมองว่าปีศาจ/ซาตานตนนี้ข่มขืน Jeanne แต่มันแตกต่างจากตอนที่เคยถูกกระทำชำเราโดยบารอน(และลูกน้อง) ครั้งนั้นไม่ได้ยินยอมพร้อม เตรียมตัวเตรียมใจ ผิดกับครานี้เป็นการสมยอมเพื่อแลกเปลี่ยนในสิ่งที่เธอเรียกร้องปรารถนา … ร่วมเพศสัมพันธ์กับตัวตนเอง มันเป็นการข่มขืนยังไง??



ระหว่างที่ Jeanne ถูกสิ่งแปลกประหลาดหน้าตาเหมือนลึงค์ คลอเคลีย ลิ้นเลีย มุดเข้าไปในอวัยวะเพศ ส่งเสียงครวญคราง สังเกตว่ากล้องจะค่อยๆเคลื่อนลงจากบนสู่ล่าง ศีรษะถึงเท้า (ยุคสมัยก่อนการช่วยตนเอง อารมณ์ทางเพศ มักถูกเสี้ยมสอนว่าคือสิ่งตกต่ำตม) รวมถึงลายเส้นและการลงสีสัน มีความหยาบโลน เปลอะเปลื้อน สีชมพู(อมแดง)คือตำแหน่งอารมณ์(ทางเพศ) ส่วนขาว-ดำ เหมือนเป็นการต่อสู้ระหว่างความรู้สึกดี-ชั่วในตัวเอง
แซว: เจ้าสิ่งแปลกประหลาดหน้าตาเหมือนลึงค์ มีการทำอนิเมชั่นให้บางครั้งดูเหมือนน้ำอสุจิ และครั้งหนึ่งกลายร่างเป็นผ้าเช็ดคราบน้ำตา … มันจะสะอาดไหมเนี่ย??




เสื้อผ้าสวมใส่ของ Jeanne จะว่าไปก็มีวิวัฒนาการ แฝงนัยยะความหมายเช่นเดียวกัน
- เริ่มต้นวันแต่งงาน สวมชุดเจ้าสาวสีขาว งดงาม บริสุทธิ์ผุดผ่อง
- แต่หลังจากถูกข่มขืนกระทำชำเรา เสื้อผ้าขาดหวิ้น เต็มไปด้วยริ้วรอย คราบสกปรก
- พอทำสัญญาปีศาจครั้งแรก กิจการค้าขายดีขึ้น พอมีเงินเก็บ สวมชุดลายยาว เหมือนหญิงสาวชาวบ้านทั่วๆไป
- เมื่อกลายเป็นนายหน้าเงินกู้ สวมชุดคลุมสีเขียว ภายในใส่ชุดรัดรูป กระโปรงสั้นเหนือเข่า ท่าทางสง่าผ่าเผย เริดเชิดเย่อหยิ่ง … เป็นภาพลักษณ์ละม้ายคล้ายแม่มดที่สุดแล้ว
- เขียว คือสีของพลังอำนาจ ขณะเดียวกันยังคือปีศาจร้าย
- และพอแลกเปลี่ยนวิญญาณกับปีศาจ/ซาตาน เธอก็กลายเป็นชีเปลือย เปิดอ้า ถ่างขา ไม่สวมใส่เสื้อผ้าปกปิดบังเรือนร่างกายอีกต่อไป (บางครั้งอาจมีดอกไม้มาปกคลุมตำแหน่งอ่อนไหว)
ปล. จริงๆเฉดสีผมของ Jeanne ก็แฝงนัยยะอารมณ์ แต่เพราะมันผันแปรเปลี่ยนอยู่แทบตลอดเวลา เลยแนะนำให้ไปสังเกตกันเองดีกว่า




อนิเมะไม่ได้มีการอธิบายตรงๆถึงเหตุผลที่ Jeanne ประสบความสำเร็จในกิจการค้าขาย รวมถึงอาชีพนายหน้าเงินกู้ แต่เราสามารถสังเกตความผิดปกติระหว่างกล้องกำลังเคลื่อนเลื่อนพานผ่าน ในตอนแรกพบเห็นเธอสวมชุดคลุมสีเขียวปกปิดบังร่างกายมิดชิด แล้วจู่ๆมันกลับเปิดเผยหน้าอกข้างหนึ่ง นี่แสดงถึงการใช้เรือนร่างกายให้ได้มาซึ่งอำนาจเงินทอง (ไม่เชิงว่าขายตัว แต่ใช้มารยาหญิงล่อหลอกเอาสิ่งที่ต้องการ)
จะว่าไปอนิเมะเรื่องนี้ก็ใช้นัยยะของเพศสัมพันธ์ เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจ (Sexuality as a means of Empowerment) ครอบครองสิ่งของ เงินทอง เติมเต็มความต้องการของจิตใจ

ผมพบเห็นการเปรียบเทียบงานศิลป์ของสองภาพนี้ เลยนำมาให้ลองสังเกตกันดูว่ามีความละม้ายคล้ายคลึงกันแค่ไหน สีสัน ลวดลาย? … ภาพซ้ายชื่อว่า Wasserschlangen II (1907) [แปลว่า Water Serpents II] ผลงานสีน้ำมันของ Gustav Klimt หญิงสาว(หลายคน)นอนเปลือยกาย ทรงผมยุ่งๆ ระยิบระยับด้วยด้วยเครื่องประดับ ดอกไม้ เงินทอง (เห็นว่าต้องการสื่อถึงความสัมพันธ์หญิง-หญิง เลสเบี้ยน)


หลังจาก Jeanne ตัดสินใจขายวิญญาณให้กับปีศาจ เธอก็อ้าขากว้าง โอบรับทุกสิ่งอย่างเข้ามาในตนเอง จากนั้นมีการร้อยเรียงชุดภาพการ์ตูน จากอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต คน-สัตว์-สิ่งของ สถานที่สำคัญๆ โลก ดวงดาว พระอาทิตย์ และจักรวาล ฯลฯ ดูราวกับช่วงเวลาตรัสรู้ บรรลุหลุดพ้น พบเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต บังเกิดความเข้าใจทุกสรรพสิ่งอย่าง
ภาพสุดท้ายของซีเควนซ์นี้แม้เป็นเรือนร่างของหญิงสาว แต่ลักษณะท่าทางขยับเคลื่อนไหว ชวนให้ผมนึกถึง L’uomo vitruviano (1490) [แปลว่า Vitruvian Man] ภาพวาดสัดส่วนกายมนุษย์ หรือคือชายในอุดมคติของ Leonardo da Vinci ส่วนภาพพื้นหลังดูราวกับโลกสามมิติ สามารถสื่อถึงการหลุดพ้นจากโลกสองมิติก็ได้กระมัง





การบรรลุหลุดพ้นของ Jeanne ยังรวมถึงได้รับอิสรภาพจากสีน้ำ (Watercolor) ใครช่างสังเกตย่อมพบว่าภาพที่ผมนำมารังสรรค์ด้วยสีน้ำมัน (Oil Painting) ซึ่งจะมีการละเลง แต่งแต้มสีสัน จากภาพพื้นขาว ละลานด้วยดอกไม้ สรรพสัตว์ ฝูงนกโบกโบยบินสู่อิสรภาพ



การมาถึงของโรคระบาดห่าใหญ่ สังเกตไม่ยากว่าทุกสิ่งอย่างจะถูกปกคลุมด้วยเงามืดสีดำ รวมถึงเชื้อโรคหน้าตาตลกๆ กระโดดโลดเต้นอย่างเมามัน และอนิเมะยังใช้ภาพวาดขาว-ดำ (มีแค่ขาว-ดำ สองสีเท่านั้น) นำเสนอในเชิงสัญลักษณ์ของพายุโหมกระหนำ ทำลายตึกรามบ้านช่องพังเสียหาย ผู้คนล้มตายมากมายเต็มไปด้วย



ผมเพิ่งค้นพบว่านี่คือภาพงดงามที่สุดของอนิเมะ! Jeanne นั่งเปลือยกายอยู่ท่ามกลางแมกไม้นานาพันธุ์ สถานที่แห่งนี้คาดเดาว่าน่าจะบริเวณภายในถ้ำ/อุโมงค์ มองออกไปพบเห็นทิวทัศน์ภายนอกงดงามตา แต่ลักษณะของมัน(ทางออก)ชวนให้จินตนาการถึงช่องแคมเพศหญิง เมื่อมุดเข้าไปข้างในคือสรวงสวรรค์
ในอนิเมะเรียกชื่อดอกไม้วิเศษนี้ว่า Black Death (ชื่อทางการคือ Belladonna หรือ Nightshade) มีกล่าวถึงในหนังสือ Satanism and Witchcraft ภายนอกมีความสวยงาม ลักษณะเหมือนลูกเบอรี่ เมื่อนำมาบดกลิ่นเหม็นฉุน สามารถใช้บำรุงผิวพรรณ ใบหน้า เสริมสวยความงาม แต่ถ้าพลั้งเผลอรับประทานจะทำให้เกิดภาพหลอน รู้สึกสนุกสนาน อยากลุกขึ้นโยกเต้น และถ้าใช้มากเกินไปย่อมเสียชีวิตอย่างแน่นอน
It has a fleshy, creeping root, and herbaceous stem, bearing a beautiful, sweet, but highly poisonous berry, which, when bruised, emits a fetid, nauseating odor. It’s specific name Belladonna [signifies] a beautiful lady. This has been said to be owing to its being used a cosmetic for the face; but more probably from its being employed to dilate the pupils — a practice still adopted by some Parisian women, as it is supposed to confer on them additional charms. The most striking symptoms produced by a poisonous dose [are] complete coma and death.
E. H. Harris กล่าวถึงในหนังสือ The homœopathic vade mecum of modern medicine and surgery (1876)
เกร็ด: Belladonna ภาษาอิตาเลี่ยนแปลว่า Beautiful Woman, ผู้หญิงสวย ในบริบทของอนิเมะสามารถสื่อได้ทั้ง Jeanne และดอกไม้ชนิดนี้ ภายนอกต่างมีความสวยงาม แต่กลับซุกซ่อนพิษร้ายแรง

หลังจาก Jeanne กลายเป็นแม่พระ ช่วยรักษาโรคระบาดห่าใหญ่ ทำให้ฝูงชนเปิดใจยินยอมรับ ขณะเปิดเผยตัวตนต่อหน้าสาธารณะ ภาพช็อตนี้แลดูเหมือน สฟิงซ์ (Sphinx) สัตว์ในตำนานที่มีหัวมนุษย์ ร่างกายสิงโต และปีกเหยี่ยว
- ในธรรมเนียมกรีก Sphinx จะเป็นเพศหญิง มีนิสัยทรยศ ไร้ความปราณี พร้อมจะเข่นฆ่าทุกคนที่ตอบปริศนาคำทายของเธอไม่ได้
- ส่วนปรัมปราอิยิปต์จะเป็นเพศชาย นิสัยใจดี แต่ก็ไร้ความปราณีถ้าตอบคำถามผิดเช่นเดียวกัน
ในบริบทของอนิเมะ Jeanne อวตารเป็น Sphinx ไม่ได้จะถามปริศนากับใคร แต่เธอราวกับผู้พิทักษ์ปีศาจ/ซาตาน กำลังเตรียมตัวยืนขึ้น เปิดผ้าคลุม (สังเกตว่าในแต่ละช่วงขณะจะมีสีสันแตกต่างออกไป) แล้วหันไปเริงระบำกับกองไฟ (ปีศาจ/ซาตาน) นำพาฝูงชนเข้าร่วมพิธีกรรม บูชายันต์ (มีการเชือดคอนก) ทำให้เกิดอารมณ์คึกคะนอง พบเห็นภาพหลอน ต้องการทางเพศ



ซีเควนซ์ที่ผมถือว่ามีความ Absurdity บ้าบอคอแตกที่สุดในอนิเมะ คือระหว่างฝูงชนกำลังมึนเมา พบเห็นภาพหลอน ร่วมเพศสัมพันธ์กันอย่างโจ่งครึ่ม … ก็ไม่รู้เขียนบรรยายภาพพบเห็นออกมาเช่นไร มันช่างมีความเหนือจริง สวิงกิ้ง ปลดปล่อยทางเพศ Sexual Liberation แต่ก็แอบล้อเลียนพฤติกรรมหมกมุ่นในกามคุณ อาทิ ชายมีอวัยวะเพศคึกคะนองเหมือนม้า ช่องแคมผู้หญิงเปิดอ้าเหมือนปากราชสีห์ ฯลฯ



ก่อนหน้านี้กล่าวถึงภาพงดงามสุดในอนิเมะไปแล้ว มาคราวนี้เป็นอนิเมชั่นโคตรว๊าวที่สุดกันบ้าง! บารอนตัดสินใจส่ง Jean มาโน้มน้าวเกลี้ยกล่อม Jeanne ให้เดินทางไปที่ปราสาท ระหว่างนั้นทั้งสองก็ได้โอบกอดจูบ ร่วมเพศสัมพันธ์ อนิเมชั่นจะมีการเปลี่ยนแปรภาพ ‘Transformation’ อยู่ตลอดเวลา ผสมผสานระหว่างเรือนร่าง ท่วงท่า และดอกไม้ … บรรดาสีทองของซีเควนซ์นี้ ดูไม่เหมือนสีน้ำสักเท่าไหร่ มีความคมเข้มเด่นชัดกว่าปกติ ชวนให้ผมแอบครุ่นคิดว่าอาจคือทองจริงๆแบบที่ Gustav Klimt นำมาใช้ในผลงานศิลปะของตนเอง


ผมเชื่อว่า Jeanne รับรู้การมาของ Jean คือกัปดักลวงล่อหลอก เพราะเมื่อเข้ามาในปราสาทย่อมไม่มีทางหลบหนีเอาตัวรอด แต่เธอกลับยินยอมเข้าถ้ำเสือ ในสภาพเปลือยเปล่า เปิดอกข้างหนึ่ง (แบบเดียวกับ Marianne ในภาพวาด Liberty Leading the People ที่จะปรากฎช็อตสุดท้ายของอนิเมะ) แล้วทำการตอบคำถาม (ตรงกันข้ามกับสฟิงค์ที่ชอบถามคำถาม) ฉันต้องการทุกสิ่งอย่าง “Everything!”
หลายคนคงมองการกระทำ/คำตอบของ Jeanne มันช่างโง่เขลา เบาปัญญาอ่อน ละโมภโลภมาก ไม่รู้จักความพอดี แต่เชื่อไหมว่าเราสามารถอธิบายเหตุผลเดียวกับ Jesus Christ ทรงรับรู้ว่าเมื่อเดินทางมาถึง Jerusalem ย่อมต้องถูกทรยศหักหลัง ได้รับตัดสินโทษประหาร ตรึงกางเขน แต่นั่นคือเป้าหมายของพระผู้ไถ่ (Messiah) เสียสละเพื่อมวลมนุษย์ชาติ ฟื้นคืนชีพหลังความตาย กลายเป็นต้นแบบอย่างให้กับคนรุ่นหลัง

ข้อจำกัดของอนิเมชั่นยุคสมัยนั้น ยังยากที่จะทำเปลวไฟให้ออกมาเหมือนจริง แต่ผลลัพท์ต้องชมว่ามีความคิดสร้างสรรค์สุดบรรเจิด ขณะเดียวกันยังมอบสัมผัสเหมือนจิตวิญญาณกำลังระเหิด ระเหย ล่องลอยออกจากร่างของ Jeanne (โดยเฉพาะควันสีแดง ชวนให้นึกว่าคือปีศาจ/ซาตาน)
ปล. ใบหน้าของ Jeanne ชวนให้ผมนึกถึง Renée Jeanne Falconetti จากโคตรหนังเงียบ The Passion of Joan of Arc (1928) เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานไม่แตกต่างกัน

ผมตีความเหตุผลที่หญิงสาวทุกคน จู่ๆมีใบหน้าของ Jeanne เปรียบเสมือนการส่งต่อจิตวิญญาณ อุดมการณ์ เสรีภาพสตรี ความตายของเธอได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้หญิงสาวทั้งหลาย (รวมถึงคนรุ่นถัดๆไป) ไม่ยินยอมก้มหัวศิโรราบ มีความหาญกล้า พร้อมลุกขึ้นต่อสู้ เผชิญหน้าสิ่งอยุติธรรม

เมื่อกาลเวลาเคลื่อนพานผ่าน สองช็อตสุดท้ายของอนิเมะประกอบด้วยภาพวาดจากหนังสือพิมพ์ Départ des héroïnes pour Versailles. 5 octobre 1789 (แปลว่า Departure of the heroines for Versailles. October 5, 1789) การมีส่วนร่วมของสตรีใน French Revolution of 1789
และภาพวาดสีน้ำมัน La Liberté guidant le peuple (1830) [แปลว่า Liberty Leading the People] ผลงานชิ้นเอกของ Eugène Delacroix (1798-1863) จิตรกรชาวฝรั่งเศส หัวหน้ากลุ่ม French Romantic School, นำเสนอภาพเหตุการณ์ July Revolution of 1830 หญิงสาวที่ไม่รู้ว่าใคร (แต่สมมติให้ชื่อ Marianne บุคลาธิษฐานประจำชาติฝรั่งเศส) เปลือยหน้าอก มือข้างหนึ่งถือปืนติดดาบ อีกข้างถือธงชาติฝรั่งเศส ก้าวนำหน้าประชาชน มุ่งสู่ชัยชนะ และเสรีภาพ … ปัจจุบันภาพวาดนี้จัดแสดงอยู่ยังพิพิธภัณฑ์ Louvre ณ Paris
แบบเดียวกับภาพสารพัดใบหน้า Jeanne ผมมองว่าคือการส่งต่อจิตวิญญาณ อุดมการณ์ เสรีภาพสตรีมายัง Marianne (ตัวแทนของหญิงสาวยุคใหม่) และจนถึงปัจจุบันนั้น Sexual Revolution ช่วงเวลาที่ไม่มีสิ่งใด ใครไหน จะกดขี่ข่มเหงอิสตรีอีกต่อไป ได้รับสิทธิ เสมอภาค เสรีภาพเท่าเทียมบุรุษ สามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้นำการปฏิวัติ โค่นล้มกรอบความครุ่นคิดเก่าๆ โลกแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังดำเนินมาถึง!
แซว: ภาพวาด Liberty Leading the People (1830) จริงๆแล้วนำเสนอเหตุการณ์ July Revolution of 1830 แต่อนิเมะกลับใช้อ้างอิงถึง French Revolution of 1789 คนละศตวรรษกันเลยนะ!


อนิเมชั่นเล่าเรื่องผ่านเสียงผู้บรรยาย (ให้เสียงโดย Chinatsu Nakayama) ติดตามชีวิตของ Jeanne ตั้งแต่วันแต่งงานกับ Jean พานผ่านช่วงเวลาเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เก็บกดอารมณ์เกรี้ยวกราด ทำสัญญากับปีศาจ The Devils ระบายความอัดอั้นที่ถูกสังคมกดขี่ข่มเหง รุมข่มขืนกระทำชำเรา
- อารัมบท, วันแต่งงานของ Jeanne และ Jean แต่ค่ำคืนนั้นเธอถูกข่มขืนกระทำชำเรา กลับบ้านมาด้วยความอัดอั้น โกรธเกลียดเคียดแค้น
- การมาถึงของปีศาจ
- Jeanne พบเห็นนิมิต สิ่งแปลกประหลาดหน้าตาเหมือนลึงค์ สามารถพูดคุยสื่อสาร ตัดสินใจทำสัญญากับปีศาจ
- หลังจากนั้นชีวิตก็ราวกับมีปาฏิหารย์ ค้าขายกำไรงดงาม
- แต่ความสำเร็จดังกล่าวกลับสร้างความไม่พึงพอใจต่อผู้คนในหมู่บ้าน
- ยินยอมมอบเรือนร่างกาย
- พบเห็นสภาพสิ้นหวังของสามี สิ่งแปลกประหลาดหน้าตาเหมือนลึงค์ก็ได้ปรากฎตัวอีกครั้งต่อหน้า Jeanne พยายามโน้มน้าวให้ขายวิญญาณ แต่เธอยินยอมแค่เพียงมอบเรือนร่างกาย
- จากนั้นได้กลายเป็นนายหน้าเงินกู้ ผู้ทรงอิทธิพลกว่าใครในหมู่บ้าน
- สร้างความอิจฉาริษยาให้กับภริยาขุนนาง กล่าวหาเธอว่าเป็นแม่มด จนถูกขับไล่ ผลักไส จำใจต้องหลบหนีออกไป
- ตัดสินใจขายวิญญาณให้ปีศาจ
- ในสภาพสูญเสียทุกสิ่งอย่าง Jeanne จึงยินยอมขายวิญญาณให้กับปีศาจ
- ได้รับพลังพิเศษที่สามารถรักษาโรคระบาด ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานผ่อนคลาย กลายเป็นที่พึ่งพาของชาวบ้าน
- สร้างความไม่พึงพอใจให้กับขุนนางผู้ดูแลหมู่บ้าน ส่ง(อดีต)สามี Jean เข้าไปโน้มน้าวเกลี้ยกล่อม Jeanne ชักชวนมายังปราสาท อ้างว่าจะพูดคุยแลกเปลี่ยนวิธีรักษาโรคระบาด แต่เธอกลับเรียกร้องทุกสรรพสิ่งอย่าง
- ส่งต่อจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
- Jeanne เลยถูกตัดสินโทษเผาทั้งเป็น ระหว่างกำลังมอดไหม้ Jean เกิดอาการเสียสติ และวิญญาณชั่วร้ายล่องลอยเข้าสิงสถิตผู้หญิงทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้
- กาลเวลาเคลื่อนพานผ่าน จิตวิญญาณนักสู้ของ Jeanne ถูกส่งต่อมายัง Marianne จากภาพวาด Liberty Leading the People (1830)
สารพัดข้อจำกัดของงานสร้าง ทำให้ผกก. Yamamoto ต้องพึ่งพาลวดลีลาการตัดต่อ เต็มไปด้วยลูกเล่น แพรวพราวเทคนิคภาพยนตร์ โดยเฉพาะการใช้ Montage ร้อยเรียงชุดภาพ สลับสับเปลี่ยนมุมมองไปมา (เวลาสนทนามักปรากฎมุมภาพแปลกๆ ตำแหน่งที่ไม่ค่อยมีใครกล้าจับจ้องมองดู) บางครั้งเร่งความเร็ว (Fast-Cutting) ให้สอดคล้องจังหวะดนตรีที่มีความคลุ้มบ้าคลั่ง
ตามคำบอกเล่าของผกก. Yamamoto อนิเมะเรื่องนี้มีการตัดต่อทั้งหมด 6 ฉบับที่เคยนำออกฉาย
- Draft Version ฉบับตัดต่อยังไม่เสร็จ ฉายให้เฉพาะผู้บริหาร Nippon Herald Films เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1972 เพื่อนำเสนอความคืบหน้าโปรเจค ไม่เคยนำออกฉายสาธารณะ
- ฉบับเข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Berlin ช่วงต้นปี ค.ศ. 1973 แต่เหมือนว่ายังไม่เสร็จดีนัก เลยแทรกใส่ฟุตเทจคนแสดง (Live-Action) เป็นฉาก Sex Scene ความยาว 5 นาที หลังจาก Jeanne ทำสัญญากับปีศาจ (น่าจะหลังจากขายวิญญาณ) และตอนจบความตายของ Jeanne ปรากฏภาพปีศาจ/ซาตาน กำลังหัวเราะอย่างคลุ้มบ้าคลั่ง
- เพราะเสียงตอบรับของฉบับเข้าฉายเทศกาลหนัง Berlin ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ผกก. Yamamoto เลยตัดสินใจนำฟุตเทจคนแสดง (Live-Action) ตัดทิ้งไปทั้งหมด สำหรับเข้าฉายในประเทศญี่ปุ่น
- ระหว่างกำลังเข้าฉายในญี่ปุ่น ผกก. Yamamoto ยังปรับเปลี่ยนตอนจบ ตัดทิ้งการหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง มาเป็นเปิดบทเพลงบรรเลง (ไม่มีคำร้อง) เรียบเรียงขึ้นใหม่จาก Main Theme
- ฉบับที่ห้าสำหรับฉายซ้ำ (Re-Release) เมื่อปี ค.ศ. 1979 ผกก. Yamamoto หั่นฉากที่มีความรุนแรงออกไปประมาณ 8 นาที (หวังให้เข้าถึงวัยรุ่นหญิงสาว) และตอนจบเปลี่ยนมาปรากฎภาพ Liberty Leading the People (1830)
- ฉบับสุดท้ายสำหรับวางจำหน่าย VHS, LaserDirc (และเป็นฉบับได้รับการบูรณะ 4K เมื่อปี ค.ศ. 2016) นำเอาฟุตเทจเคยตัดทิ้งของฉบับที่ห้าใส่กลับคืน แค่นั่นแหละ!
ปล. ผมพยายามค้นหาฟุตเทจคนแสดง (Live-Action) ที่เคยอยู่ในฉบับฉายเทศกาลหนังเมือง Berlin แต่ก็ไม่ค้นพบบนโลกออนไลน์ เลยคาดคิดว่าอาจสาปสูญหาย และคงไม่ได้รับการสแกนเป็นดิจิทอลกระมังนะ
เพลงประกอบโดย Masahiko Satoh (เกิดปี 1941) นักเปียโน แต่งเพลง Jazz สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo, เริ่มหัดเล่นเปียโนตั้งแต่ห้าขวบ พออายุ 17 ก็สามารถแต่งเพลง เล่นสด ทำการแสดงร่วมกับนักร้อง-นักเต้น-คาบาเร่ต์ในย่าน Ginza, หลังเรียนจบ Keio University เดินทางไปศึกษาต่อ Berklee College of Music กลับมาญี่ปุ่นออกอัลบัมแรก Palladium (1969), เคยทำเพลงประกอบภาพยนตร์/อนิเมชั่นอยู่หลายเรื่อง แต่โด่งดังสุดก็คือ Kanashimi no Belladonna (1973)
แม้พื้นหลังเรื่องราวจะอยู่ยุคสมัย Medieval France แต่อนิเมะเรื่องนี้ไม่มีบทเพลงย้อนยุค เครื่องดนตรีพื้นบ้าน หรือท่วงทำนองกลิ่นอายฝรั่งเศสสักบทเพลงเดียว! เลือกใช้สไตล์ดนตรี Jazz Fusion ผสมผสาน Progressive Rock สร้างสัมผัส ‘psychedelic’ เคลิบเคลิ้ม ล่องลอย เหมือนกำลังมึนเมา(จากการเสพยา) ทำออกมาในลักษณะภาพประกอบเพลง
ขอเริ่มที่บทเพลง Main Theme ของอนิเมะก็คือ Kanashimi No Belladonna (Belladonna of Sadness) คำร้องโดย Yû Aku, ทำนองโดย Asei Kobayashi, เรียบเรียงโดย Makoto Kawaguchi, ขับร้องโดย Mayumi Tachibana
คำร้องญี่ปุ่น | คำแปลอังกฤษ |
---|---|
Aoku suki tooru kono hada wo Asu ha ai no tame sasagemasu Haru no hana no shita hajirai ni Akaku karada some dakaremasu. Belladonna, utsukushii onna Belladonna, koi wo shita onna Kanashimi no ashioto ha Mada kikoete konai. Belladonna, Belladonna, ah Belladonna, Belladonna, ah Belladonna, ah, Belladonna, ahhh Ai ha tokoshie to shinjiteta Tatoe sakaretemo ai shimasu Hana no itazura ni sadame made Yagate kawarooto shitemasu. Belladonna, utsukushii onna Belladonna, koi wo shita onna Kanashimi no ashioto ha Mō soko made kiteru. | This blue and transparent skin Tomorrow I will dedicate it for love. Under the spring flowers I’m embraced by the red body. Belladonna beautiful woman. Belladonna woman in love. What is sadness? I haven’t heard yet Belladonna, Belladonna, ah Belladonna, Belladonna, ah Belladonna, ah, Belladonna, ahhh I believed in love forever I love you even if it’s torn Suppress the mischief of flowers It’s about to change Belladonna beautiful woman. Belladonna woman in love. The sadness of the soul Is coming up there |
ตอนผมได้ยินบทเพลงนี้ครั้งแรก (จากตัวอย่างอนิเมะ) แม้ไม่รับรู้คำแปล/ความหมาย แต่ยังรู้สึกเศร้าๆ หัวใจสั่นไหว สะท้านทรวงใน ราวกับได้สูญเสียบางสิ่งอย่าง จมปลักอยู่ในความทุกข์ทรมาน … เพลงนี้ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมมีความกระตือรือร้น ขวนขวายติดตามค้นหา Belladonna of Sadness (1973) มาชื่นเชยชมแทบจะโดยทันที!
บทเพลงที่ผมชื่นชอบรองจาก Main Theme ชื่อว่า Belladonna ขับร้องโดย Chinatsu Nakayama (ภรรยาของผู้แต่ง Masahiko Satoh) เริ่มต้นด้วยโน๊ตตัวเดียวลากเสียงยาว (แบบเดียวกับเส้นตรงลากยาว) ตามด้วยคำร้อง “Once upon a time…” ใช้เนื้อร้องพรรณาพื้นหลัง เล่าเรื่องราว อารัมบทนำเข้าสู่เรื่องราวได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง ตบท้ายด้วยเสียงระฆังวิวาห์ “May they live happily ever after.” แต่ทุกสิ่งอย่างเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง
Once upon a time…
A kind young man and
a beautiful young woman
Were joined in love
Jean and Jeanne
Dancing in the sky of bliss
Smiled upon by God
Drunk on happiness
Jean and Jeanne
Together forever
Smiled upon by God
Forever with each other..
May they live happily ever after.
บทเพลงชื่อ Andy Warhol (จริงๆนะ) ท่วงทำนองเริ่มต้นด้วยความวาบหวิว สยิวกาย พร้อมเสียงรัวกลองเบาๆ แล้วช่วงท้ายจู่ๆเกิดอาการเร่งรีบ กรีดกราย (ผมจินตนาการถึงภาพวาด Abstract ที่มีความยุ่งๆ เส้นระโยงระยาง แบบผลงาน Jackson Pollock) พอดิบพอดีกับเรื่องราวตอนที่ Jeanne โดนฉุดกระชาก สูญเสียความบริสุทธิ์ ถูกข่มขืนกระทำชำเรา
แซว: ผมพอเข้าใจแหละว่าต้องการเคารพคารวะศิลปิน Andy Warhol ผู้บุกเบิก “Golden Age of Porn” แต่ทำไมถึงเลือกบทเพลงนี้? มันไม่มีอะไรเข้ากับความเป็น Warhol?? หรือขณะที่จู่ๆมีการเปลี่ยนท่วงทำนอง สอดคล้องแนวคิดศิลปะ Pop Art???
บทเพลงรำพันความเจ็บปวด จับจ้องมองกระจก ตั้งคำถามกับตนเองว่าฉันเกิดมาเพื่ออะไร? ได้ยินครั้งแรกตอนต้นเรื่องหลัง Jeanne ถูกข่มขืนกระทำชำเรา และอีกครั้งระหว่างเธอถูกขับไล่ ผลักไส แม้แต่สามียังไม่เหลือเยื่อใย จำต้องวิ่งหลบหนีไปให้แสนไกล, ชื่อเพลง Aoi Kagami no Naka de (แปลว่า In the Blue Mirror) แต่ฉบับภาษาอังกฤษใช้ชื่อภาษาอิตาเลี่ยน Valle Incantata แปลว่า Enchanted Valley, ขับร้องโดย Chinatsu Nakayama
What is that flickering
In the pale mirror?
Not tears, Not sighs,
But tomorrows vanished scraps
Or could it be…
A woman’s leaden body?What is that howling
In the black sunset?
Not the night wind, Not a crow,
But a creaking hinge of rusted hope
Or could it be…
A woman’s painful moan?What is burning
In the dark judgement?
Not grief, Not penitence
But the silhouette of one exhausted
Or could it be…
A woman’s strong resentment?What awaits
In the pale march of time?
Not a life, Not a grave
But the mirage of a dead heart
Or could it be…
A woman’s crimson blood?
บทเพลงอาจจะชื่อ Take It Easy แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนิเมะมันไม่ง่ายเลยสักนิด! หลังจาก Jeanne ยินยอมขายวิญญาณให้กับปีศาจ จากนั้นเธอก็อ้าขากว้าง โอบรับทุกสรรพสิ่งอย่าง ผสมผสานทุกสรรพเสียง เข้ามาในร่างกายตนเอง ซึ่งจะมีการร้อยเรียงชุดภาพการ์ตูน อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต คน-สัตว์-สิ่งของ สถานที่สำคัญๆ โลก ดวงดาว และจักรวาล ฯลฯ ราวกับช่วงเวลาตรัสรู้ บรรลุหลุดพ้น พบเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
เพลงนี้ยังได้ยินอีกครั้งหลังจากผู้คนกำลังดูดดื่ม มึนเมาจากเจ้า Little Flower บังเกิดความเคลิบเคลิ้ม ดวงตาหยาดเยิ้ม ราวกับจิตวิญญาณล่องลอยออกจากร่าง พบเห็นภาพอัปลักษณ์พิศดาร เหนือจินตนาการ มันช่างมีความคลุ้มบ้าคลั่ง ไม่น่าจะเป็นการ Take It Easy อีกเช่นเดียวกัน
รับฟังบทเพลง The Plague Reins หลายคนอาจแสบแก้วหู เต็มไปด้วยอะไรไม่รู้กรีดกรายอย่างคลุ้มบ้าคลั่ง แต่ผมชื่นชอบความรู้สึกหนักอึ้ง (เกือบๆจะ Heavy Metal) สะท้อนเรื่องราวในช่วงโรคระบาดห่าใหญ่ คร่าชีวิตผู้คนมากมาย ช่วงเวลาแห่งหายนะ ความตายอยู่รายล้อมรอบไปทั่ว
ช่วงท้ายหลังจาก Jeanne มอดไหม้ในกองเพลิง ดังขึ้นอีกครั้งกับบทเพลง Belladonna of Sadness แต่คราวนี้ไม่มีเสียงร้องของ Mayumi Tachibana นั่นเพราะหญิงสาวไม่หลงเหลือถ้อยคำใดๆมาพรรณาความรู้สึกอีกต่อไป … สามารถตีความได้ทั้ง ก็พูดบอกออกไปหมดแล้ว และเจ็บปวดทรมานเกินกว่าจะถ้อยคำใดๆ
ชีวิตลูกผู้หญิงของ Jeanne เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน วันแต่งงานถูกข่มขืนกระทำชำเรา พอทำงานมีเงินทอง ใครต่อใครต่างมองด้วยสายตาอิจฉาริษยา เมื่อกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพล โดนใส่ร้ายป้ายสี ตีตราแม่มด เลยถูกขับไล่ ผลักไส ไม่หลงเหลือใครเคียงข้างกาย ตัดสินใจขายวิญญาณให้ปีศาจ เพื่อแลกกับอิสรภาพ ได้ครอบครองเป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่งอย่าง
ความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานของ Jeanne เกิดจากวิถีชีวิต สภาพสังคม ยุโรปยุคกลางยังคงเป็นดินแดนบ้านป่าเมืองเถื่อน พวกชนชั้นผู้นำ/เจ้าขุนมูลนาย ต่างใช้ข้ออ้างศาสนาเพื่อควบคุมครอบงำ บีบบังคับให้ทำโน่นนี่นั่น แต่ตนเองกลับเต็มไปด้วยอภิสิทธิ์ชน เลือกปฏิบัติในสิ่งตอบสนองความต้องการส่วนตน สนเพียงผลประโยชน์ ร่ำรวยเงินทอง ชีวิตสุขสบาย ไม่สนหัวประชาชนจะลำบากยากแค้นขนาดไหน
ตั้งแต่โบราณกาล บุรุษเปรียบดั่งช้างเท้าหน้า เพราะสรีระร่างกายที่แข็งแกร่ง สามารถต่อสู้ ปกป้อง เลยมีอำนาจในการครุ่นคิดตัดสินใจ, ส่วนสตรีคือช้างเท้าหลัง หน้าที่ตั้งครรภ์ เลี้ยงดูแลบุตร จัดการกิจการงานบ้าน เลยไร้สิทธิ์เสียง ไม่สามารถครุ่นคิดทำอะไรได้ด้วยตนเอง
แต่เมื่อบริบททางสังคมค่อยๆปรับเปลี่ยนแปลงไป มนุษย์ไม่จำเป็นต้องใช้ความเข้มแข็งแกร่งในการดิ้นรนต่อสู้กับธรรมชาติ นั่นทำให้บทบาทของบุรุษค่อยๆลดเลือน จางหาย ด้วยความหวาดสะพรึงกลัวจะสูญเสียอำนาจ จึงสร้างกฎระเบียบ ข้อบังคับให้กับสตรี ห้ามทำโน่นนี่นั่น ต้องถูกควบคุมครอบงำ ใครต่อต้านขัดขืนจักถูกตีตราแม่มด ต้องกำจัดให้พ้นภัยพาล
กาลเวลายังคงดำเนินต่อมา ทัศนคติทางเพศชาย-หญิง ค่อยๆปรับเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด มาจนถึง French Revolution (1789) ครั้งแรกๆในประวัติศาสตร์ที่สตรีเข้ามามีส่วนร่วม บทบาทสำคัญในการเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ นำไปสู่การปฏิวัติทางการเมือง … จริงๆนี่ไม่ใช่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สตรีเข้ามามีส่วนร่วมกับการปฏิวัติระดับชาติ แต่ถือเป็นครั้งที่ทรงอิทธิพล และคือจุดเริ่มต้นของ Feminist ในโลกยุคสมัยใหม่ (Early Modern Period)
ส่วนหมุดหมายครั้งสำคัญที่สุดก็คือ Sexual Revolution ในทศวรรษที่ 60s-70s ช่วงเวลาแห่งการปลดปล่อย เปิดกว้าง สังคมเริ่มให้การยินยอม ไม่ใช่แค่เรื่องเพศ แต่ยังรวมถึงเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคเท่าเทียมระหว่างบุรุษ-สตรี ผลลัพท์ก็คืออนิเมะเรื่องนี้ แม้มีเรื่องราวเล่าย้อนไปยุคกลาง แต่สามารถสะท้อนจิตวิญญาณ การเปลี่ยนแปลง อิสรภาพทางเพศ ยุคสมัย “Golden Age of Porn”
สำหรับประเทศญี่ปุ่น ผู้หญิงเพิ่งเริ่มได้รับสิทธิ์ในการเลือกตั้งเมื่อปี 1946, จากนั้นมีการก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหว Ūman Ribu (แปลว่า Woman Lib) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 แต่จุดประสงค์หลักไม่ใช่การเรียกร้องความเสมอภาคเท่าเทียม หรือการปลดปล่อยทางเพศ เป้าหมายคือพยายามลบล้างโครงสร้างพื้นฐานสังคมที่แบ่งแยกชาย-หญิงออกจากกัน
Ribu’s notion of the liberation of sex was not the same as sexual liberation, if the latter were taken to imply the liberalization of sex relation between men and women. To the contrary, the contemporary trend of “free sex” was a problematic practice that ribu women would continue to deplore. They would emphasize instead an alternative relationality … between men and women.
Setsu Shigematsu จากหนังสือ Scream from the Shadows: The Women’s Liberation Movement in Japan (2012)
การทำสัญญากับปีศาจ/ซาตานของ Jeanne มันอาจดูเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เราสามารถมองในเชิงสัญลักษณ์ถึงคำมั่นสัญญากับตนเอง (จริงๆมันก็มีคำพูดบอกใบ้อยู่แล้วว่า “I am you.”) ไม่ต้องการอดรนทนทุกข์ทรมานต่อความเจ็บปวด ทุกครั้งหลังพานผ่านความเศร้าโศกเสียใจ “ล้มแล้วลุก” เธอสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่น ทำบางสิ่งอย่างจนประสบความสำเร็จ ค่อยๆปลดปล่อยตนเองทีละนิด จนได้รับอิสรภาพทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ
แม้เรื่องราวจะนำเสนอความทุกข์ทรมานของหญิงสาว แต่ผมครุ่นคิดว่าอาจสะท้อนความรู้สึกผกก. Yamamoto จากความล้มเหลวย่อยยับ Cleopatra (1970) ได้ด้วยเช่นกัน! ผิดหวังจนถึงขนาดยื่นใบลาออกจาก Mushi Production แต่เพราะได้รับโอกาสให้หวนกลับมาอีกครั้ง จึงระบายความอึดอั้ดอั้นผ่านเรื่องราวอนิเมะ ปลดปล่อยตนเองผ่านสื่อศิลปะ
แม้ด้วยทุนสร้างจำกัด แต่พอออกฉายกลับยังขาดทุนย่อยยับ! (มีโอกาสเข้าฉายในสายการประกวดเทศกาลหนัง Berlin ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ) ถึงขนาดทำให้ Mushi Production ต้องประกาศล้มละลายในปี ค.ศ. 1973 จำต้องหยุดสรรค์สร้างอนิเมชั่นอยู่หลายปี ถึงสามารถระดมทุน ฟื้นฟูกิจการ (Reestablished) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 ยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน
ความล้มเหลวดังกล่าวทำให้ Belladonna of Sadness (1973) ไม่ได้รับการจัดเก็บรักษาที่ดี คุณภาพฟีล์มเสื่อมถดถอยตามกาลเวลา จนกระทั่งได้รับการบูรณะ ‘digital restoration’ คุณภาพ 4K เมื่อปี ค.ศ. 2015 ถึงกลายเป็นที่รู้จักแพร่หลาย นักวิจารณ์ประเมินค่าใหม่ ยกย่องหนังคัลท์คลาสสิก อนิเมชั่นใต้ดินมาสเตอร์พีซ
แม้ผมเพิ่งรับชมอนิเมชั่นเรื่องนี้ไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่การหวนกลับมาดูรอบนี้กลับรู้สึกแปลกใหม่ เหมือนไม่เคยผ่านตาอะไรๆมาก่อน (อาจเพราะประสบการณ์รับชมภาพยนตร์ ทำให้สามารถซึมซับรายละเอียด เข้าใจสิ่งสัญลักษณ์ต่างๆโดยอัตโนมัติ มันจึงราวกับได้พบเห็นโลกใบใหม่) เต็มไปด้วยภาพวาดสวยๆงามๆ ความคิดสร้างสรรค์สุดบรรเจิด เทคนิคภาพยนตร์เลิศหรู ทำนองเพลงไพเราะติดหู ทุกสิ่งอย่างมันช่างลงตัวในสไตล์ ‘psychedelic’ สะท้อนอิทธิพลยุคสมัย Sexual Revolution และสำแดงพลังหญิง (Feminist) ได้อย่างโคตรๆทรงพลัง
มันอาจต้องใช้เวลาและประสบการณ์ค่อนข้างสูงในการรับชมอนิเมชั่นเรื่องนี้ รวมถึงทัศนคติเรื่องเพศและงานศิลปะที่ต้องเปิดกว้างสักนิด แล้วคุณอาจสามารถพบเห็นโลกใบใหม่ ความเป็นไปได้ไม่รู้จบของสื่อภาพยนตร์ (และอนิเมชั่น)
จัดเรต 18+ กับความโจ่งครึ่มทางเพศ เล่นยา มั่วกาม รังเกียจเหยียดหยาม ใช้อำนาจในทางมิชอบ
คำโปรย | บทกวีรำพรรณาความทุกข์ทรมานของหญิงสาว Belladonna of Sadness อนิเมชั่นใต้ดินมาสเตอร์พีซ งดงามวิจิตรศิลป์ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถชื่นเชยชม
คุณภาพ | มาสเตอร์พีซ
ส่วนตัว | แผดเผาทรวงใน
Belladonna of Sadness (1973)
: Eiichi Yamamoto ♥♥♥♥
(27/9/2016) ภาพยนตร์อนิเมชั่นสุด Cult จากญี่ปุ่น เรต 18+ อันเลื่องชื่อ ด้วยภาพที่โคตรรุนแรงแต่มีความงดงามราวกับภาพสีน้ำมัน และเทคนิคการเล่าเรื่องที่เป็น Cinematic แบบเดียวกับอนิเมชั่นของ Osamu Tezuka, ถ้าคุณโตพอและชื่นชอบอนิเมชั่น ลองหาเรื่องนี้มาดูนะครับ เพิ่งได้รับการ Restoration 4K digital ในปี 2016 นี้เอง
ให้ดูตัวอย่างอนิเมชั่นเรื่องนี้ก่อนเลยนะครับ ชอบไม่ชอบค่อยว่ากันอีกที ความแนวลักษณะนี้ไม่ใช่ทุกคนจะดูได้แน่นอน
ผมหลงอะไรกับตัวอย่างอนิเมะเรื่องนี้ งานภาพที่งดงามราวกับภาพวาดสีน้ำมัน, เพลงประกอบ Jazz Fusion (Jazz Rock) เป็น Avant-Garde ที่มีความไพเราะมากๆ, และความ Erotic ที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจ ถ้าคุณมี 1 ใน 3 อย่างนี้ แนะนำให้หาโหลดอนิเมะมาดูเลยนะครับ (คิดว่าอนิเมชั่นแบบนี้คงไม่มีวันเข้าไทยแน่ๆ)
Belladonna of Sadness เป็นผลงานของ Mushi Production ด้วยความตั้งใจของ Osuma Tezuka ให้ปิดไตรภาค Animerama ที่สร้างมาก่อนแล้วสองเรื่อง One Thousand and One Arabian Nights (1969) และ Cleopatra: Queen of Sex (1970) แต่เพราะเขาออกจาก Mushi Production ไปเสียก่อน ตั้งแต่โปรเจคยังไม่ได้ตั้งไข่ เลยไม่ได้รับเครดิตใดๆ
ผู้กำกับ Eiichi Yamamoto ได้แรงบันดาลใจมาจาก Non-Fiction ของ Jules Michelet เรื่อง Satanism and Witchcraft เรื่องราวของ Jeanne (หรือ Joan of Arc) หญิงสาวที่มีชีวิตสุดระทมขื่นขม ในงานแต่งงานเธอถูกข่มขืนกระทำชำเราเพราะสามีไม่มีเงินใช้หนี้งานแต่ง แต่กลับค่อยๆไต่เต้า ทำชีวิตให้รุ่งโรจน์ จนถูกกล่าวหาว่าใช้มนต์ดำ (Witchcraft) ล่อลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อ จนถูกจับเผาไฟให้ตายทั้งเป็น
ในอนิเมชั่นจะมีตัวละครหลักอยู่ 3-4 คน
Jeanne พากย์เสียงโดย Aiko Nagayama, หญิงสาวอาภัพผู้โชคร้าย แทบไม่มีอะไรในชีวิตเธอที่ดูมีความสุขเลย ต้องประสบกับเรื่องเลวร้ายตลอดเวลา แต่เธอไม่เคยยอมแพ้ เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ใจ ความดี และรักสามีสุดหัวใจ
The Devil พากย์เสียงโดย Tatsuya Nakadai เป็นมารร้ายที่อยู่ในจิตใจของ Jeanne ไม่มีใครอื่นที่เห็นเจ้าสิ่งนี้ มันเกิดขึ้นมาได้ยังไงกัน เป็นเรื่องพิศวงไม่น้อย
Jean สามี Jeanne พากย์เสียงโดย Katsutaka Ito, ชายยากจน ที่โชคดีได้แต่งกับสาวสวย Jeanne ทำให้กลายเป็นที่อิจฉาของใครๆ กระนั้นเขาก็ได้ดีเพราะภรรยา แต่ไม่เคยรู้ตนเอง แม้ Jean จะรัก Jeanne มาแค่ไหน แต่เขารักตนเองมากกว่า สุดท้ายแล้ว…
สไตล์ของอนิเมชั่นถือว่าได้อิทธิพลมาจาก Gustav Klimt จิตรกรชาว Austria ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในสไตล์ศิลปะแนวใหม่ หรือ Art Nouveau, ภาพวาดที่โด่งดังที่สุดของ Klimt คือ The Kiss จิตรกรรมสีน้ำมันปิดทองบนผ้าใบ เป็นภาพคู่รักในผ้าคลุมสีทองหลากหลายที่ตกแต่งอย่างวิจิตรและเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ
เกร็ด: Gustav Klimt มีอีกภาพวาดหนึ่ง ประมูลได้ราคาแพงที่สุดในโลกชื่อ Portrait of Adele Bloch-Bauer I ราคา $135 ล้านดอลลาร์
ด้วยความที่เรื่องราวของอนิเมะค่อนข้างมีความโหดร้ายรุนแรง ผู้สร้างจีงไม่ต้องการทำให้มันออกมาดูเหมือนอนิเมะธรรมดาทั่วไป เลือกที่จะวาดภาพโป๊เปลือย ตีแผ่สิ่งที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้า เนื้อหนัง เข้าไปถึงข้างในจิตใจ นำเสนอออกมาให้ดูดีมีสไตล์ เชิงสัญลักษณ์ ในแบบที่ไม่ใช่ว่าใครๆจะดูเข้าใจได้
ถ่ายภาพโดย Shigeru Yamazaki มีการซูมเข้า-ออก เลื่อนภาพ ฯ, ต้องบอกว่าอนิเมะใช้การเลื่อนภาพไปทางขวาได้ไกลมากๆ นี่แสดงว่าใช้การวาดภาพขนาดยาวแล้วใช้กล้องสไลด์ถ่ายไปเรื่อยๆ (ส่วนใหญ่เป็นภาพนิ่ง), ผมชอบฉากต้นเรื่องมากๆ ที่ขณะภาพเลื่อนไป แล้วงานภาพค่อยๆพัฒนาขึ้น จากเส้นกลายเป็นวัตถุ กลายเป็นบ้าน เมือง ตัวละครใส่สี ถือเป็นการเริ่มต้นที่น่าประทับใจมาก
ไฮไลท์ของงานภาพคงเป็นตอน Jeanne โดนเผา ผมรู้สึกว่ามันสวยมากๆ คือไม่ได้เป็นไฟลุกโชติช่วงอะไร แต่เป็นการเล่นกับจินตนาการ ให้เราคิดไปเองว่านั่นคือไฟ นั่นคือควัน ถึงผู้ชมจะไม่รู้สึกเร่าร้อน แต่จะรุ่มร้อนในอก
การใช้สีของอนิเมะ มีหลากหลายมาก และใช่ว่าทุกฉากจะมีสีที่เหมือนกัน อย่างสีผมของ Jeanne ผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆเธอสีผมอะไร ชมพู, น้ำเงิน, ม่วง, ส้ม ฯ เพราะมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ น่าจะตามอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร, แต่มี 2-3 สิ่งที่สีแน่นอนมั่นคงมาก อาทิ ชุดของ The Witch จะสีดำสนิท และ Devil ตัวจะสีแดง (สีแห่งความชั่วร้าย) ฯ
ตัดต่อโดย Masashi Furukawa ด้วยความที่ทุนสร้างอนิเมชั่นสมัยนั้นไม่ได้มีเยอะแยะ นักวาดเก่งๆก็ไม่ได้มีมากมาย แถมเทคนิคก็ยังอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา และเวลาการสร้างที่จำกัด ทำให้หลายฉากในอนิเมะมีแค่ภาพหลัก (Key) ที่ไม่มีภาพเคลื่อนไหว (Animation) ก็ต้องทำใจนะครับ กับคนที่เคยดูอนิเมชั่นของ Osamu Tezuka ก็คงจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี นี่ถือเป็นสไตล์ที่เรียกว่า Cinematic นะครับ ต้องใช้จินตนาการเยอะมากเพื่อทำความเข้าใจ สร้างภาพเคลื่อนไหวในหัวของเรา
เพลงประกอบโดย Masahiko Satoh นักประพันธ์ เปียโนและ Jazz, สไตล์เพลงของอนิเมะถูกเรียกว่า Jazz Fusion หรือ Jazz Rock คือมีส่วนผสมของดนตรี Jazz กับเครื่องดนตรีสมัยใหม่ อาทิ กลอง กีตาร์ เบส คีย์บอร์ด ฯ กับเพลงชื่อ Belladonna Of Sadness เสียงกระซิบเรียก Belladonna ช่างโหยหวน แสดงถึงความรู้สึกถึงตัวละครนี้ ที่เจ็บปวดรวดร้าว จากการถูกทรยศ หักหลัก ฟังแล้วโศกเศร้า อยากร้องไห้แต่มันไม่มีน้ำตาไหลออกมา
ถ้าคุณดูอนิเมะเรื่องนี้แล้วไม่เศร้า ไม่รู้สึกเจ็บปวด มันก็คงผิดความตั้งใจของผู้สร้างแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องร้องไห้ออกมานะครับ (คือผมก็ไม่ได้ร้องไห้นะครับ) เพราะมันคนละอารมณ์กับความเจ็บปวด, ทั้งงานภาพและเพลงประกอบ สร้างบรรยากาศความรู้สึกแทนตัวละคร Belladonna (Bella ภาษาฝรั่งเศส แปลว่า สวย, Donna มาจาก Madonna ที่แปลว่า ผู้หญิง, รวมแล้วแปลว่า ผู้หญิงสวย) เราจะเห็นทั้งภายนอกและภายในจิตใจของเธอ
The Devil เป็นตัวละครเชิงสัญลักษณ์ของอนิเมะ เปรียบได้ก็คือด้านมืดในจิตใจของมนุษย์ ที่ช่วงแรกๆมันอาจตัวเล็กนิดเดียว แต่พอความเจ็บปวด ผิดหวัง สะสมเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ เปรียบได้กับอาหาร เชื้อเพลิงของความชั่วร้าย ที่จะขยายขนาดใหญ่โตจนกลายเป็นเหมือนยักษ์ใหญ่กลืนกินจิตใจมนุษย์ ถ้ามันร่างกายของมันใหญ่เกินกว่าโลกมนุษย์ คนๆนั้นก็จะถูกความชั่วร้ายเข้าครอบงำทั้งจิตใจจนหมดสิ้น
หลายคนอาจรู้สึกขัดแย้ง คือถ้า The Devil มันคือด้านมืดในหัวใจ แล้วทำไมสิ่งที่ Jeanne แสดงออกมา ถึงออกไปในทางดีทั้งหมด?, ใช่ครับ ฟังดูมันขัดแย้งนะแหละ เพราะแทนที่ Jeanne จะทำอะไรที่ชั่วร้าย แต่อนิเมะกลับตารปัตรโดนสิ้นเชิง ให้เธอแสดงความดีบริสุทธิ์ของตนเองออกมา, นั่นเพราะสิ่งที่ Jeanne ทำข้างในจิตใจก็คือ นำความเกลียดชัง ความเจ็บปวดทั้งหลายป้อนให้กลายเป็นอาหารของ The Devil (มันจึงมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ) ส่วนตัวเธอเองเมื่อปราศจากความชั่วร้าย ก็เหลือแต่ความดีบริสุทธิ์ นั่นคือธาตุแท้ ตัวตนของเธอที่แสดงออกมา, ซึ่งหลายครั้งเมื่อความเจ็บปวด ชั่วร้ายกลับมา มันจะมีขนาดใหญ่ขึ้น เธอต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะมารร้ายในจิตใจ ให้ตนเองกลับมาบริสุทธิ์สดใส จิตใจเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมในความดี
ตอนจบถือ น่าจะถือว่า Sadnest เศร้าที่สุด เพราะคนสุดท้ายที่ทรยศ Jeanne กลับเป็นคนใกล้ตัว ที่เธอเชื่อใจที่สุด, ผมค่อนข้างเชื่อว่า Jean รู้ตัวเองดีที่ทำแบบนั้นนะครับ แต่เพราะความเห็นแก่ตัว และต้องการมีชีวิต นั่นทำให้ผลลัพท์ เกิดความบ้าคลั่ง (รับตัวเองไม่ได้) ถูกธนูอันแหลมคม ไม่รู้จำนวนเท่าไหร่ทิ่มแทงตาย (เปรียบเทียบแทนความเจ็บปวดของ Jeanne ที่ถูกทิ่มแทงลักษณะนี้เช่นกัน), การตายของ Jeanne คือการถูกเผา แบบเดียวกับ Joan of Arc (คือหนังอิงจากตำนาน Joan of Arc พอสมควรนะครับ ซึ่งในประวัติศาสตร์ Joan อ้างว่าได้ยินเสียงคำสั่งของพระเจ้า ในหนังเปรียบเหมือนเสียงของ The Devil ที่สุดท้ายไม่มีใครเชื่อ ถูกตีตราว่าเป็นคนนอกรีตแล้วจึงถูกเผาตายทั้งเป็น)
อนิเมะฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังเมือง Berlin ก่อนฉายที่ญี่ปุ่นในวันถัดมา แต่คงเพราะไม่ได้มีเครดิตของ Osuma Tezuka ทำให้ขาดทุนย่อยยับ และ Mushi Production ต้องประกาศล้มละลายตอนสิ้นปี (แต่บริษัทก็ยังไม่ได้ปิดตัวไปนะครับ แค่ล้มละลายเฉยๆ)
แนะนำกับคออนิเมชั่น ถ้าคุณโตพอ และไม่มีอคติต่อภาพความรุนแรง ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องดูอนิเมะเรื่องนี้ให้ได้, นักคิด นักปรัชญา ที่ชอบคิดวิเคราะห์ความหมายเชิงสัญลักษณ์, แฟนอนิเมชั่นของ Osamu Tezuka ถ้าเขาไม่รีบออกจากสตูดิโอเสียก่อน น่าจะเป็นผู้กำกับอนิเมะเรื่องนี้ แต่ Eiichi Yamamoto ก็ยังคงสไตล์ของ Tezuka เอาไว้ ดูแล้วจะรู้สึก God-like มาก
แนะนำอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับศิลปิน จิตรกร ผู้ชื่นชอบงานศิลปะ Avant-Garde และคอเพลง Jazz Fusion ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
จัดเรต 18+ ภาพความรุนแรง ข่มขืน เลือด ยาเสพติด มีครบทุกอย่าง
Leave a Reply