Black Orpheus

Black Orpheus (1959) French : Marcel Camus ♥♥♥♥♡

คัดลอกจากเทพปกรัมณ์กรีก เรื่องราวความรักระหว่าง Orpheus กับ Eurydice เปลี่ยนพื้นหลังเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชานเมือง Rio de Janeiro, Brazil ในช่วงเทศกาล Carnival, หนังคว้ารางวัล Palme d’Or จากเทศกาลหนังเมือง Cannes และกวาดเรียบ Best Foreign Language Film จากทั้ง Oscar, Golden Globe, BAFTA Award

ต้องออกหน้าชมก่อนเลยว่า งานภาพของหนังเรื่องนี้มีความสวยสดงดงามมากๆ ด้วยฟีล์มสี Eastmancolor ที่ล้างออกมาแล้วให้ความสดสมจริง คนผิวสีทั้งหลายจะดูเข้มขึ้น, วิวทิวทัศน์ของ Rio de Janeiro อยู่ในสายตา, และงานเทศกาล Carnival หลากหลายสีสันตระการตา เสื้อผ้าหน้าผมพริ้วไหวอลังการ, แค่เฉพาะความสวยงามของงานภาพ ผมยกให้เทียบเท่า The Red Shoes (1948) และ The River (1951)

เป็นความสนใจของผมมาสักพักแล้วกับ Black Orpheus เพราะเป็นเพียง 1 ใน 5 เรื่องที่คว้ารางวัล Palme d’Or ควบ Oscar: Best Foreign Language Film ประกอบด้วย
– Black Orpheus (1959) หนังของผู้กำกับสัญชาติฝรั่งเศส Marcel Camus พูดภาษา Portuguese ถ่ายทำที่ Brazil ทั้งเรื่อง
– A Man and a Woman (1966) ภาพยนตร์สัญชาติฝรั่งเศส ของผู้กำกับ Claude Lelouch
– The Tin Drum (1979) หนังสัญชาติเยอรมัน ของผู้กำกับ Volker Schlöndorff
– Pelle the Conqueror (1987) หนังสัญชาติเดนมาร์ก ของผู้กำกับ Bille August
– Amour (2012) หนังสัญชาติฝรั่งเศส ของผู้กำกับ Michael Haneke (ตัวผู้กำกับเป็นชาว Austria)

แซว: คงมีแต่หนังยุโรปเท่านั้นแหละที่จะสามารถคว้า Palme d’Or ควบ Oscar ได้

หนังเรื่องนี้ยังมีความเซอร์ไพรส์อีกประการหนึ่ง สังเกตปีที่สร้าง 1959 ออกฉายในเทศกาลหนังเมือง Cannes ซึ่งพอดีตรงกับการมาถึงของ The 400 Blows (1959) ของ François Truffaut, Hiroshima Mon Amour (1959) ของ Alain Resnais, The Diary of Anne Frank (1959) ของ George Stevens แต่ยังสามารถแย่งชิงคว้ารางวัล Palme d’Or มาครอบครองได้ ถือว่าธรรมดาที่ไหน

Marcel Camus (1912 – 1982) ผู้สร้างภาพยนตร์สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Chappes, Ardennes เข้าเรียนสาขาศิลปะและต้องการเป็นอาจารย์สอน แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาขัดจังหวะชีวิต  เขากลายเป็นหนึ่งในสมาชิกค่ายกักกันของนาซี รอดชีวิตออกมาผันตัวกลายเป็นผู้ช่วยของผู้กำกับดังแห่งยุค อาทิ Jacques Feyder, Luis Buñuel, Jacques Becker ในที่สุดได้รับโอกาสกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Fugitive in Saigon (1957) และผลงานลำดับถัดมา Orfeu Negro หรือ Black Orpheus ผลงาน Masterpiece หนึ่งเดียวของผู้กำกับ

คงด้วยบุญบารมีแต่ไร้วาสนาต่อเนื่อง, ทั้งชีวิตของ Camus กำกับภาพยนตร์ทั้งหมด 10 เรื่อง มีเพียง Black Orpheus เท่านั้นที่ได้รับการยกย่องพูดกล่าวขวัญถึงปัจจุบัน ชะรอยเดียวกับ Michael Cimino ทั้งชีวิตกำกับภาพยนตร์หลายสิบเรื่อง แต่มีเพียง The Deer Hunter (1979) เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ

ดัดแปลงจากบทละครเพลง 3 องก์ของ Vinicius de Moraes (ชาว Brazilian) ร่วมกับ Antônio Carlos Jobim (แต่งเพลง) ชื่อเรื่อง Orfeu da Conceição (1956) [แปลว่า Orpheus of the Conception, ในความคิดของ Orpheus] นำเค้าโครงเรื่องจากเทพปกรณัมกรีก ตำนานของ Orpheus และ Eurydice เปลี่ยนยุคเป็นสมัยปัจจุบัน มีพื้นหลังเป็นสลัม (ภาษาบราซิล คือ favela) ในกรุง Rio de Janeiro ระหว่างงานเทศกาลประจำปี Carnival, เปิดการแสดงครั้งแรกในประเทศบราซิล เมื่อปี 1956 ณ โรงละคร Teatro Municipal กรุง Rio de Janeiro

Orpheus มนุษย์นักดีดพิณฝีมือระดับเทพ บรรเลงทุกบทเพลงได้มีความไพเราะเพราะพริ้งเป็นที่สุด คราใดที่เสียงพิณล่องลอยไปกลางดง ก็มีพลังเพียงพอที่จะทำให้กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากหยุดไหล หรือแม้แต่สัตว์ป่าเสือสิงห์ที่แสนดุร้าย ก็กลับเชื่องและซบเซาลงไปได้ถนัดตา เช่นกันกับนางไม้ นางอัปสรทั้งหลายต่างก็เคลิบเคลิ้มหลงใหลเมื่อได้ยินเสียงบทเพลงจาก Orpheus วาดหวังจะให้มาเชยชม

เบื้องหลังของ Orpheus บางตำนานอ้างว่าเป็นบุตรของ Calliope, อีกตำนานเป็นบุตรของ Apollo, Hermes, Oeagrus ฯ แต่จะใครก็ช่าง พิณคู่กายน่าจะได้ประทานมาจากพระบิดาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อเจริญวัยเติบใหญ่ก็ไม่เคยสนอย่างอื่นเลยนอกจากการเล่นพิณ จนกระทั่งได้พบกับ Eurydice หญิงสาวตามตำนานอ้างว่าเป็นหนึ่งในนางไม้ (Oak Nymph) อีกตำนานว่าเป็นลูกสาวของ Apollo ทั้งสองตกหลุมรักและได้แต่งงานกัน

แต่ชะตาฟ้าเล่นตลก ในวันวิวาห์ขณะที่ Orpheus บรรเลงเพลงกล่อมเหล่านางฟ้าทั้งหลาย Eurydice เล่นเต้นรำไปรอบๆพร้อมเหล่านางไม้ นางอัปสร แล้วเหตุการณ์อันน่าสลดก็เกิดขึ้น เมื่อเธอก้าวพลาดเหยียบลงไปในรังงู โดนฉกเข้าที่เท้า พิษร้ายแล่นเข้าสู่ร่างเสียชีวิตในทันที

ความวิปโยคถาโถมสู่ Orpheus ในทันที ทว่าเขาไม่สามารถทำอะไรอื่นได้นอกจากบรรเลงบทเพลงอันแสนเศร้า ส่งเสียงดังกึกก้องไปไกลจนเหล่าทวยเทพเทวดาต่างต้องหลั่งน้ำตาแห่งความโศกเศร้า ว่ากันว่าเป็นเทพ Apollo ที่แนะให้ลูกชายเดินทางลงไปยมโลกเพื่อตามหาสุดที่รัก, ระหว่างทางนั้นยากลำบาก แต่ Orpheus ใช้พลังของดนตรีนำพาให้ผ่าน Cerberus สุนัขสามหัวผู้เฝ้าประตู ที่มักโกรธเกรี้ยวกราดยังต้องสงบลง พบเจอกับ Hades เทพเจ้าแห่งความตายยังหลงใหลในเสียงเพลง ยินยอมให้นำพา Eurydice กลับไป แต่มีข้อแม้ต้องให้เธอเดินตามหลังตลอดทางในนรกพิภพ และห้ามหันกลับมามองจนกว่าจะไปถึงโลกมนุษย์

แต่เพราะระหว่างทาง Orpheus สังเกตว่าตนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของ Eurydice คิดว่าเทพเจ้าแห่งยมโลกคงหลอกเล่นตลกเป็นแน่จึงหันหลังกลับไป อนิจจาหญิงสาวเดินตามเขามาจริงๆ แต่ในรูปของเงาที่รอคอยแสงสว่างเพื่อกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง ทันทีที่ Orpheus ผิดสัญญา วิญญาณของ Eurydice จึงเลือนหายกลับสู่ความมืด

Orpheus ที่หัวใจแตกสลายพยายามหาทางไปยังดินแดนของ Hades อีกครั้ง แต่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถกลับลงยมโลกได้ถึงสองครั้ง ขณะยังมีชีวิตอยู่ทำได้เพียงบรรเลงบทเพลงแห่งความโศกเศร้าร้องขอความตาย จนสุดท้ายบางตำนานเล่าว่า ตัดสินใจปลิดชีพตนเองเพื่อลงไปพบกับ Eurydice อีกครั้งในดินแดนแห่งความตาย อีกตำนานเล่าว่า Orpheus เดินเตร็ดเตร่ไปด้วยความโศกเศร้าหมดอาลัย พบกับพวก Maenads กลุ่มผู้หญิงที่นมัสการ Dionysus เทพแห่งไวน์และงานเลี้ยงฉลอง พวกนางไม่พอใจที่ชายหนุ่มมัวแต่เศร้าและไม่ยอมเต้นรำบูชาเทพเจ้าด้วยกัน จึงรุมสังหารเขาอย่างโหดเหี้ยมด้วยความสนุกสุดเหวี่ยง

ศีรษะของ Orpheus ร่วงหล่นลงน้ำลอยไปติดชายฝั่งบนเกาะ Lesbos จึงเป็นรากศัพท์ที่มาของคำว่า Lesbian ที่หมายถึงกลุ่มหญิงรักร่วมเพศ, ร่างกายถูกนำไปฝังที่ตีนเขา Olympus ที่ซึ่งนกไนติงเกงร้องเพลงได้ไพเราะเสนาะหูกว่าที่ไหน, และพิณของ Orpheus ถูกนำไปถวายเทพ Zeus ที่ได้เนรมิตให้กลายเป็นกลุ่มดาวพิณ (Lyra) จนถึงปัจจุบัน

reference: https://www.gotoknow.org/posts/185208
reference: https://www.meekhao.com/news/orpheus-and
reference: http://www.tumnandd.com/เทพออร์ฟีอัส-orpheus/

หนังได้ทุนสร้างร่วมสามสตูดิโอ จากสามประเทศ Dispat Films (ฝรั่งเศส), Gemma (อิตาลี), Tupan Filmes (บราซิล) เดินทางไปถ่ายทำที่สลัม Morro da Babilônia ในเขต Leme ชานเมือง Rio de Janeiro

สำหรับผู้มารับบทบาทในหนัง แทบทั้งนั้นเป็นนักแสดงสมัครเล่น

Breno Mello ผู้รับบท Orfeu เป็นนักฟุตบอลอาชีพเล่นสโมสร Renner, Fluminense และ Santos FC ไร้ประสบการณ์การแสดง ผู้กำกับพบเจอขณะกำลังเล่นเดินอยู่บนท้องถนน Rio de Janeiro หลงใหลในรูปกายที่มีความสวยงามสมบูรณ์แบบ (physical beauty) เข้าไปชักชวนเขาให้มาเล่นหนัง, แปลกประหลาดดีนะครับ คัดเลือกนักแสดงโดยเลือกจากความสวยงามของร่างกาย คงเพราะบทบาทนี้กึ่งๆต้องเปลือยท่อนบน (คือก็ไม่ถึงกับเปลือยหรอก แต่ชุดที่สวมใส่เหมือนจะมองเห็นข้างใน กล้ามจึงต้องเปะ เนื้อต้องแน่น และเข้ารูปสวยงาม

Marpessa Dawn ผู้รับบท Eurydice, เกิดที่ Pittsburgh, Pennsylvania มีเชื้อสาย African-American และ Filipino (ไม่ใช่คนบราซิลนะครับ) เธอทำงานเป็นฝ่ายเทคนิคห้องแลป (ทำอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน) อยู่ได้ไม่นานคงเพราะเรื่องเหยียดผิวจึงอพยพสู่ยุโรป มีบทบาทเล็กๆในละครโทรทัศน์ที่อังกฤษ ย้ายมาอยู่ฝรั่งเศสเป็นนักร้อง นักเต้นตามไนท์คลับ ที่ซึ่งได้พบกับผู้กำกับ Marcel Camus ได้แต่งงานหลังถ่ายหนังเสร็จ แต่ไม่นานก็หย่ากัน, ความงามของ Dawn ได้รับการยกย่องว่าเป็น หนึ่งในผู้หญิงผิวสีที่สวยเข้มที่สุด

Léa Garcia ผู้รับบท Serafina ลูกพี่ลูกน้องของ Eurydice, นี่เป็นบทบาทการแสดงแรกของเธอ ก่อนจะตัดสินใจเลือกเดินทางสายนี้ กลายเป็นนักแสดงสัญชาติ Brazilian ที่มีผลงานภาพยนตร์, โทรทัศน์ ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังพอสมควรในประเทศบราซิล,

Adhemar da Silva ผู้รับบท Death เป็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิค 2 สมัย (ปี 1952 และ 1956) กีฬาเขย่งก้าวกระโดด ก็ว่าอยู่นะทำไมถึงชอบกระโดดโย่งๆไปมา

ถ่ายภาพโดย Jean Bourgoin ตากล้องยอดฝีมือสัญชาติฝรั่งเศส ที่มีผลงานดังอย่าง Mon Oncle (1958), The Longest Day (1962) ฯ ความโดดเด่นอยู่ที่สีของภาพ จากฟีล์ม Eastmancolor มีความสดเข้ม รับเข้ากับความหลากหลายตระการตาอลังการ สัมผัสได้ราวกับเข้าไปอยู่ในเทศกาล Carnival นั้นจริงๆ, นอกจากนี้เมือง Rio de Janeiro ในมุมสูงมีความแปลกตาที่คนไม่เคยไปบราซิลอย่างเราๆ อาจไม่คุ้นเสียเท่าไหร่ (อาจมีนัยยะแทนด้วยเรื่องราวของเทพปกรัมณ์กรีก) และภาพพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก จะบอกว่าสวยมว๊ากกก ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ (ทั้งๆที่แถวนั้นเป็นสลัมนะ!)

เกร็ด: Carnival คือเทศกาลของผู้นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ที่บราซิลถือเป็นประเทศแรกและเมืองหลวงของเทศกาลนี้ จัดขึ้นช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ก่อนจะเริ่มเทศกาลมหาพรต (Lent) ในวันพุธ (Ash Wednesday) โดยหลังงานเทศกาล ชาวคริสต์ทุกคนถูกคาดหวังให้ละเว้นจากความสุขทางกาย หรือเป็นช่วงถือศีลอด เป็นเวลา 40 วัน, จุดเด่นของงานอยู่ที่ การแข่งขันเต้นระบำแซมบ้าที่จะมาประชันกันปีละครั้ง ทั้งลีลาท่าเต้น ความเริดหรูอลังการของเสื้อผ้าหน้าผม แฟนตาซีความคิดสร้างสรรค์จัดเต็ม และความปราณีตอลังการของขบวนรถแห่ ประมาณการมีผู้ชมทั้งชาว Brazilian และนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกไปชุมนุมนับล้านคน

มันเป็นความเยอะที่ชวนให้ผู้ชมรู้สึกอยากขยับแขนขา ลุกขึ้นมาเต้นออกลีลาอย่างบ้าคลั่งสุดเหวี่ยง เกินกว่าครึ่งแรกที่เรื่องราวเกี่ยวกับการเต้น …อะไรก็ไม่รู้… เห็นเท้า มือ ใบหน้า ทุกสัดส่วนร่างกายที่มีการเคลื่อนไหว ทั้งจากมุมกว้าง เคลื่อนไหว ล้อมวง วิ่งเต้นไปมาและ Close-Up เห็นสีหน้า ท่าทาง อารมณ์, ผู้ชมไม่รู้สึกราวกับได้เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลนี้ให้มันรู้ไปสิ

ไฮไลท์จริงๆของหนังอยู่ที่ครึ่งหลัง, การเดินทางลงสู่ยมโลกของ Orfeu ณ ชั้น 12 ของสถานีตำรวจ ผมอึ้งไปเลยมี 2 ช็อตที่การถ่ายภาพสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครออกมา

นี่เป็นโถงทางเดินที่เปล่าเปลี่ยว ไม่มีใครอาศัยอยู่เลยนอกจากกระดาษเอกสารและภารโรงทำความสะอาด

นี่คือบันไดเดินลงสู่ขุมนรกของ Orpheus (สังเกตสีตรงชั้นล่างสุดคือสีแดง)

การใช้แสงโดยเฉพาะ สีแดง จะเห็นได้บ่อยครั้งทีเดียว เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความตาย (ตัวละคร Death จะอาบด้วยแสงสีนี้บ่อยครั้ง)

ครึ่งแรกของหนังถือว่ามีความสมจริง Realist อยู่มาก แต่เมื่อ Death ปรากฎตัวออกขึ้น (เป็นสัญลักษณ์แทบความตาย) และหลังจากที่ Eurydice เสียชีวิต งานภาพเปลี่ยนไปเป็น Surrealist โดยใช้สถานที่ การจัดแสง เปรียบเทียบแทนเรื่องราวที่มีความเว่อเกินจริง สมมติเป็นยมโลกตามเทพปกรัมณ์กรีกที่ผมเสียเวลาเกริ่นเล่ามาอย่างยาวเยอะ นี่เรียกว่าการ’แปรสภาพ’ ซึ่งเป็นการสะท้อนภาพสิ่งที่อยู่ในจิตใจของ Orpheus ออกมา

ตัดต่อโดย Andrée Feix ชาวฝรั่งเศส, ผมรู้สึกว่าหนังใช้การเล่าเรื่องผ่านมุมมองของเด็กชาย Benedito จริงอยู่อาจไม่ได้รับรู้ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น แต่เขามักด้อมๆแอบมองอยู่แถวนั้น คิดเพ้อฝันจินตนาการ และเป็นทายาทสืบต่อกีตาร์ของ Orpheus มา

หนังใช้เวลา 2 วัน 2 คืนเต็ม แบ่งออกได้เป็น 3 องก์
– วันแรกและค่ำคืนแรก Orpheus พบเจอ Eurydice โดยบังเอิญ ตกหลุมรักและใช้ชีวิตผ่านค่ำคืนนี้ไปด้วยกัน
– วันที่สองจนถึงเทศกาล ความสนุกสุดเหวี่ยงราวกับเป็นงานแต่งงานของทั้งคู่ แต่แล้วโชคชะตาก็มีเรื่องให้พลิกผัน
– การจากไปของ Eurydice และการออกตามหา เดินทางสู่ยมโลกของ Orpheus

เพลงประกอบโดย Luiz Bonfá, Antônio Carlos Jobim และ João Gilberto ในแนวที่เรียกว่า Bossa Nova นี่เป็นดนตรีที่ทั่วโลกยังไม่เคยได้ยินรับฟังกันมาก่อน ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้เปิดประตูเพลงแนวนี้ให้เป็นที่รู้จัก ได้รับความนิยมแพร่หลายสู่ระดับโลก

เกร็ด: บอสซาโนวา หรือบอสซา (Bossa Nova) เป็นชื่อของแนวเพลงที่กำเนิดในประเทศบราซิล ช่วงปี 1958  โดยมาจากการผสมผสานดนตรี Jazz ของ African-American กับดนตรี Samba พื้นบ้านของบราซิล, เครื่องดนตรีที่ใช้หลักๆมีเพียง 2 ชิ้น คือ กีตาร์คลาสสิก (เล่นโดยใช้นิ้ว ไม่ใช้ปิ๊ก) และเปียโน โดยมีเครื่องดนตรีเสริมอื่นๆ อาทิ ออร์แกนไฟฟ้า, ดับเบิลเบส, กลอง และเครื่องเคาะประกอบจังหวะ, ปัจจุบันยังคงได้รับความนิยมอยู่บ้างในบราซิล, สหรัฐอเมริกา, ยุโรปตะวันตก, ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์

บทเพลงแรกตอน Opening Credit ชื่อ A Felicidade (แปลว่า happiness, ความสุข) ขับร้องโดย Antônio Carlos Jobim หรือชื่อในวงการ Tom Jobim เป็นชาว Brazilian ผู้บุกเบิกแนวเพลง Bossa Nova จนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก, ในหนังจะได้ยินแค่ท่อนแรกนิดเดียวเองนะครับ ผมเลยเอาทั้งเพลงมาให้ฟังกัน

The happiness of the poor
Is like the great illusion of Carnival
The poor work all year round
For a moment’s dream

– A Felicidade

สำหรับ Luiz Bonfá นักกีตาร์และนักแต่งเพลงชาวบราซิล มี 2 เพลงที่แต่งขึ้นในหนังคือ Manhã de Carnaval และ Samba de Orfeu ถือว่าเป็น Bossa Nova Classics ที่มีฮิตติดหูผู้คนสมัยนั้น

Manhã de Carnaval (Morning Carnival) ขับร้องโดย Agostinho dos Santos เสียงกีตาร์ดีดนุ่มๆ ให้สัมผัสหอมกรุ่นของแสงแดดยามเช้า เริ่มต้นวันใหม่อย่างสดชื่นแจ่มใสเป็นสุข, นี่เป็นบทเพลงที่ Orpheus ขับร้องแล้วได้ยินไปถึงหูของ Eurydice จนเธอเกิดความหลงรัก

Samba de Orfeu จังหวะแซมบ้าของ Orfeu, ผมชอบทำนองนี้แหะ รู้สึกคุ้นหูมากต้องเคยได้ยินจากที่ไหนแน่ๆ ไม่รู้จุดเริ่มต้นมาจากบทเพลงนี้เลยหรือเปล่า ให้ความรู้สึกอยากลุกขึ้นมาลัลลาลัลล้า เคลื่อนไหว ทำอะไรสักอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าใช้กีตาร์แค่ตัวเดียวจริงๆนะครับ

สำหรับเพลงพื้นบ้าน Tradition Song ทั้งหลายที่เราจะได้ยินประกอบงานเทศกาล Carnival ให้ลองตั้งใจฟังดีๆจะมีเสียงคล้ายๆสิงสาราสัตว์ (แต่รู้สึกว่าเป็นการทำเสียงของนักร้องนะครับ) มีหลายเพลง หลายเครื่องดนตรีที่ผมไม่รู้จักเยอะทีเดียว

เรื่องราวความรักของ Orpheus กับ Eurydice สอนใจอะไรเรา?, ผมคิดว่าคือ ศรัทธาและความเชื่อมั่นในรัก

Orpheus ผู้ไม่เคยยึดถือเชื่อมั่นในสิ่งใด ได้พบรักกับ Eurydice เกิดความรักหลงใหลต้องการครอบครองเธอสุดหัวใจ แต่แล้วโชคชะตาเล่นตลกทำให้เขาต้องพิสูจน์ศรัทธาแห่งรัก มีโอกาสได้เธอคืนมาแล้วแต่ยังเกิดความลังเล ไม่เชื่อใจตนเอง การหันหลังกลับไปมองทำให้เขาสูญเสียทุกอย่าง รวมทั้งศรัทธาในตนเอง ในใจของ Orpheus นับจากนั้นคงประมาณ ‘ถ้าฉันไม่หันหลังไปนะ?’ ‘ทำไมฉันต้องหันหลังไปด้วย?’ ‘ไอ้โง่ หันไปทำไม?’

ในบริบทของหนังเรื่องนี้ การตายของ Eurydice เกิดจากการกระทำด้วยน้ำมือของ Orpheus ทั้งขาขึ้นขาล่อง นี่แปลว่าเขาขาดศรัทธาความเชื่อมั่นในรักแท้โดยสิ้นเชิง มุมหนึ่งอาจด้วยความไม่รู้ แต่ผมคิดว่าเพราะเห็นแก่ตัวที่มีมาตลอดชีวิต ทำให้เมื่อเริ่มรู้จักความรัก เลยไม่สามารถเชื่อไว้เนื้อเชื่อใจใครได้ แม้แต่ตนเอง!

น่าสงสารเห็นใจแทน Orpheus ชายผู้สามารถมอบความเพลิดเพลินบันเทิงใจด้วยดนตรีให้กับทุกผู้คนรอบข้าง แต่ผู้หญิงหนึ่งเดียวที่ตนมีกลับไม่มีโอกาสตอบรับมอบตอบแทนความรู้สึกที่มีให้กันได้ เช่นนี้เรียกว่า โศกนาฎกรรม แนวของละครที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกเจ็บปวด โหยหา เป็นทุกข์ และตระหนักเห็นคุณค่ากับสิ่งที่ตนมีอยู่

ผู้ชมควรที่จะหวนระลึกถึงตนเอง ฉันมีอะไรในครอบครอง มีคนรักที่หวงแหนไหม จงจับมือรักษากันไว้ให้แนบแน่น เดินไปข้างหน้าโดยพร้อมเพื่อไม่ต้องหันหลังย้อนมองอดีตที่อาจผิดพลาด เรียนรู้อะไรดีให้คงไว้ผิดให้แก้ไข อย่าพลาดพลั่งทำให้เสียคนรักไปแบบ Orpheus เพราะชีวิตไม่มีโอกาสได้แก้ไขซ้ำสอง พลาดแล้วพลาดเลย จบสิ้นชีพม้วยมลาย

สรุปรางวัลที่ Black Orpheus กวาดมาทั้งหมด
– Palme d’Or จากเทศกาลหนังเมือง Cannes
– Academy Award: Best Foreign Language Film (ประเทศฝรั่งเศสส่งเข้าชิง)
– Golden Globe Award: Best Foreign Language Film (ถือเครดิตร่วม บราซิล/ฝรั่งเศส/อิตาลี)
– BAFTA Award: Best Foreign Language Film

อิทธิพลของหนังเรื่องนี้ เป็นที่กล่าวขานสำหรับจิตรกร Abstraction, Jean-Michel Basquiat ที่บอกว่าได้แรงบันดาลใจจากหนังเรื่องนี้เยอะมาก

อดีตปธน. Barack Obama เขียนในหนังสือบันทึกความทรงจำของตนเอง Dreams from My Father: A Story of Race and Inheritance (1995) มีย่อหน้าหนึ่ง พูดถึง Black Orpheus เหมือนว่าจะเป็นหนังเรื่องโปรดของแม่

“We took a cab to the revival theatre where the movie was playing. The film, a groundbreaker of sorts due to its mostly black, Brazilian cast, had been made in the fifties. The storyline was simple: the myth of the ill-fated lovers Orpheus and Eurydice set in the favelas of Rio during carnival, in Technicolor splendour, set against scenic green hills, the black and brown Brazilians sang and danced and strummed guitars like carefree birds in colourful plumage. About halfway through the movie I decided I’d seen enough, and turned to my mother to see if she might be ready to go. But her face, lit by the blue glow of the screen, was set in a wistful gaze. At that moment I felt as if I were being given a window into her heart, the unreflective heart of her youth. I suddenly realised that the depiction of the childlike blacks I was now seeing on the screen, the reverse image of Conrad’s dark savages, was what my mother had carried with her to Hawaii all those years before, a reflection of the simple fantasies that had been forbidden to a white, middle-class girl from Kansas, the promise of another life: warm, sensual, exotic, different.”

เหตุที่คิดเช่นนั้นเพราะใบหน้าของเธอช่างเป็นประกายสดใส สายตาบ่งบอกถึงความโหยหา ราวกับว่าหนังได้สะท้อนความสุขของเธอช่วงวัยเยาว์ ต่อความเพ้อวาดฝัน จินตนาการแฟนตาซีของผู้หญิงผิวสีคนหนึ่ง ชนชั้นกลางจาก Kansas เดินทางสู่ Hawaii หวังจะได้พบความอบอุ่น อ่อนหวาน ตื่นเต้น มีชีวิตที่แปลกแตกต่างจากเดิม

ผมไปอ่านเจอว่านักวิจารณ์ ผู้ชมชาว Brazilian สมัยนั้นไม่ค่อยชื่นชอบประทับใจหนังสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลประมาณว่า เทศกาล Carnival เป็นสิ่งที่พวกเขาพบเจอได้บ่อยจนไม่เกิดความสนุกสนานตราตรึงอะไร และการนำเสนอผู้คนในชุมชนสลัม ที่ถือเป็นด้านมืดของประเทศตนเอง พวกเขาจึงไม่ค่อยอยากยอมรับความจริงสักเท่าไหร่, กระนั้นหนังเรื่องนี้ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับ City of God (2002) ไม่อายที่จะถ่านในสลัมของ Rio de Janeiro

ส่วนตัวหลงรักหนังเรื่องนี้อย่างยิ่งเลยละครับ ประมาณสักครึ่งชั่วโมงแรกที่พอรับรู้ว่าอ้างอิงจากเทพปกรัมณ์กรีกกรีกก็เกิดความสนใจ ถึงจะไม่เคยรับรู้เรื่องราวนี้มาก่อนแต่คิดว่าต้องเกิดโศกนาฎกรรมแน่ และเป็นเช่นนั้นจริงๆ, หลงใหลในบทเพลง ไม่ใช่ Bossa Nova ที่แสนจืดชืด แต่คือ Tradition Song บทเพลงพื้นบ้านของบราซิล และลีลาการเต้นที่มันส์ชิบหาย ทั้งๆที่เคยปฏิญาณไว้ว่าจะไม่ไปเหยียบประเทศบราซิล แต่กลับอยากไปเที่ยวงาน Carnival นี้สักครั้ง

แนะนำกับผู้หลงใหลเรื่องราวเทพปกรัมณ์กรีก, ชื่นชอบเรื่องราวรักโรแมนติกหวานๆ ที่กลายเป็นโศกนาฎกรรม, สนใจหนังมากรางวัล, และคอเพลง Bossa Nova

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนกำลังจะไปเที่ยวบราซิล หรือหลงใหลในประเทศแห่งนี้ เทศกาล Carnival จะทำให้คุณสัมผัสถึงจิตวิญญาณของประเทศนี้ได้อย่างถ่องแท้

จัดเรต 13+ กับความสับสนวุ่นวายอลม่าน และความตาย

TAGLINE | “Black Orpheus ของ Marcel Camus มีความสวยงาม สนุกสนาน โศกเศร้าระดับจิตวิญญาณ”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | LOVE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: