Bringing Up Baby

Bringing Up Baby (1938) hollywood : Howard Hawks 

ปล่อยตัวตามสบาย อย่าไปคิดอะไรมาก ให้ความตลกแบบไร้สาระของ Screwball Comedy พาคุณไป, ผลงานฮาตกเก้าอี้ที่สุดของ Howard Hawks นำแสดงโดย Katharine Hepburn, Cary Grant และเบบี้เสือดาว หือ?

เนื่องจากหนังมันไม่มีสาระ ผมก็จะเขียนบทความนี้แบบไม่มีสาระเช่นกันนะครับ

Screwball Comedy เป็นประเภทหนึ่งของภาพยนตร์ (Genre) มีลักษณะ ความขบขันที่เกิดจากความไม่รู้ คาดไม่ถึง ตลกไร้เดียงสา (Screwball ในพจนานุกรมไทยแปลว่า คนเซี้ยว) ได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วง Great Depression (กลางยุค 30s – ต้นยุค 40s) อันเนื่องมาจากความต้องการของผู้คน ที่ต้องการหลีกหนี (escapist) จากโลกความเป็นจริงอันทุกข์ยาก และเป็นการมาของ Hays Code ที่ทำให้ผู้สร้างหนัง ต้องหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่มีความหมิ่นเหม่ทางศีลธรรม, ภาพยนตร์ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของแนวนี้คือ It Happened One Night (1934) ของผู้กำกับ Frank Capra

จุดเด่นของ Screwball Comedy มักประกอบด้วย
– ผู้หญิงมักจะข่ม เหนือกว่าผู้ชาย (dominate)
– ความตลกเกิดจากความขัดแย้ง ไม่พึงพอใจ/เข้าใจกัน ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย
– เรื่องราวมักเกี่ยวกับ การจีบหญิง/ชาย, ความไม่พอใจในชีวิตคู่ และการแต่งงาน
– หญิงชายที่ดูไม่น่าเข้ากันได้ มักลงเอยด้วยกันตอนจบ

กับคนที่ชื่นชอบหนังแนวนี้ ลองไปหา Twentieth Century (1934), My Man Godfrey (1936), The Awful Truth (1937), His Girl Friday (1940), The Lady Eve (1941), The Palm Beach Story (1942) ฯ สมัยนี้ก็ยังมีแนวนี้ให้พบเห็นได้เรื่อยๆ ล่าสุดก็ Hail, Caesar! (2016) และหนังของพี่น้อง Coen หลายๆเรื่อง

Howard Winchester Hawks (1896 – 1977) ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์และนักเขียนบทสัญชาติอเมริกัน ในยุค Classic Hollywood ผู้กำกับชื่อดัง Jean-Luc Godard ยกย่องเขาว่า เป็นศิลปินแห่งอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ‘the greatest American artist.’

Hawks เป็นผู้กำกับที่ทำหนังหลากหลายมาก ทั้งแนว ตลก, ดราม่า, คาวบอย Western, Gangster, ไซไฟ และหนังนัวร์ ผลงานดังๆก็มีเยอะมาก อาทิ Scarface (1932), Bringing Up Baby (1938), His Girl Friday (1940), The Big Sleep (1946), Red River (1948), Rio Bravo (1959) สไตล์ของเขา ตัวละครมักจะพูดมาก ลีลาท่าเยอะ นำไหลไฟดับ ชักแม่น้ำทั้งห้า โดยเฉพาะผู้หญิง ที่ถึงขนาดมีชื่อเรียก นางเอกที่เคยร่วมงานกับ Hawks ว่า ‘Hawksian woman’

Orson Welles เคยให้สัมภาษณ์ยกย่องว่า ‘Hawks คือผู้กำกับร้อยแก้ว ส่วน Ford คือผู้กำกับร้อยกรอง’

“Hawks is great prose; Ford is poetry.”

– Orson Welles

น่าเสียดายที่ทั้งชีวิตของ Hawks  ได้เข้าชิง Oscar แค่ครั้งเดียวจาก Sergeant York (1942) นี่ทำให้ Academy ต้องมอบ Honorary Award ให้ปี 1975

สำหรับหนังเรื่องนี้ เริ่มต้นเมื่อเดือนเมษายน 1937 Hawks ได้อ่านเรื่องสั้นของ Hagar Wilde ในนิตยสาร Collier ชื่อเรื่อง Bringing Up Baby ที่ทำให้เขาหัวเราะออกมาดังลั่น จึงต้องการดัดแปลงสร้างขึ้นเป็นภาพยนตร์ ซื้อลิขสิทธิ์โดย RKO ในราคา $1,004 เหรียญ

เรื่องราวต้นฉบับนั้น Susan กับ David หมั้นหมายกัน ต้องร่วมกันออกตามหาเสือดาวชื่อ Baby ที่พี่ชาย Mark ตั้งใจมอบให้เป็นของขวัญป้า Elizabeth แต่หายตัวไประหว่างทางในป่า Connecticut, วิธีการที่ใช้ก็คือ ร้องเพลงโปรดของ Baby ที่ชื่อ I Can’t Give You Anything but Love, Baby

นำแสดงโดย Katharine Hepburn รับบท Susan นี่เป็นบทที่เขียนมาให้เธอโดยเฉพาะ (เห็นว่าตอนนั้น Hawks กำลังจีบ Hepburn อยู่ เลยเขียนบทนี้เพื่อเธอ) Hepburn เป็นนักแสดงหญิงที่คว้า Oscar มากที่สุดถึง 4 ครั้ง ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘นักแสดงหญิงยอดเยี่ยมที่สุดในโลก’ แต่กว่าจะเป็นดาวค้างฟ้า ก็ขึ้นๆลงๆอยู่หลายรอบ, ช่วงต้นยุค 30s หลังจากได้ Oscar: Best Actress ตัวแรกจากหนังเรื่อง Morning Glory (1933) ที่เหมือนจะกำลังรุ่งโรจน์ขึ้น แต่กลับร่วงโรยรา ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ โดยเฉพาะกับหนังเรื่องนี้ แม้จะได้รับการยกย่องภายหลังว่า เป็นหนึ่งในสุดยอดการแสดงของเธอ แต่หนังดับสนิท (Flop) จนถูกมองว่าเป็น ‘box office poison’, แต่ไม่นานนักเธอก็กลับมาใหม่ คราวนี้สว่างจ้ากว่าเดิม จนไม่มีใครเทียบรัศมีได้

สำหรับ Susan เป็นหญิงสาวเจ้าเล่ห์ เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ เรียกร้องความสนใจ กวนประสาท … ไม่ได้มีอะไรดีเลย นอกจากความบ้องแบ้ว ไร้เดียงสา น่ารักน่าชัง ที่เหมือนกับเด็กหญิงจอมแก่น, การแสดงของ Hepburn โดดเด่นมากๆ เป็นการพลิกบทบาทครั้งใหญ่ (ตัวจริงของเธอไม่ไร้เดียงสาแบบในหนังนะครับ) เรียกได้ว่า non-stop แทบไม่เห็นหยุดพูดเลยเลย แต่คงมีหลายคนรำคาญ ช่วงแรกๆผมก็รำคาญ แต่หลังๆ … จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ไม่แคร์แล้ว

สำหรับบท Dr. David Huxley (หรือชื่อปลอม Mr. Bone) หนุ่มแว่น อัจฉริยะ ทีแรก Hawks เล็ง Harold Lloyd ไว้ แต่โปรดิวเซอร์ไม่ยอม โอกาสจึงตกเป็นของ Cary Grant ที่ถือว่าก็พลิกบทบาทเช่นกัน เพราะตัวจริงเขามาดเท่ห์ กวนๆ แต่รับบทหนุ่มเนิร์ด ถูกกวนประสาทตลอดเวลา

Dr. David Huxley เป็นอัจฉริยะที่ IQ สูงแต่ EQ ต่ำ ไม่สามารถตามทันความเฉลียวฉลาดแกมโกงของ Susan ที่ IQ ต่ำกว่าแต่ EQ สูงกว่าได้ ???

และการเป็นนักสัตววิทยา (Zoology) [จริงๆ Dr. David เป็น Paleontologist นักบรรพชีวินวิทยา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสัตววิทยาเลยนะครับ] ไม่ได้แปลว่าจะสามารถรับมือกับสัตว์ทุกชนิดได้ มี 3 ชนิดที่ David ไม่สามารถรับมือได้ 1) เสือดาวชื่อ Baby 2) หมาชื่อ George 3) ผู้หญิงชื่อ Susan

เอะ! เดี๋ยวนะ
1) Baby = เด็กทารก
2) George หรือว่า George Washington (ปธน. คนแรกของสหรัฐ)
3) Susan คือชื่อผู้หญิง

ถ้าคุณสังเกตชื่อของตัวละครอื่น อาทิ Elizabeth Carlton Random (ชื่อป้าของ Susan), Major Horace Applegate (Horace = ชื่อนักกวีชาวกรีก ชื่นชอบการวิจารณ์เหน็บแนม), Alexander Peabody (Pea=ถั่ว), Alice Swallow (คู่หมั้นของ David) ฯ นี่มันต้องมีนัยยะ เสียดสี ประชดประชันอะไรสักอย่างแน่ๆ

ตัวละครที่ต้องพูดถึงเลยคือ เสือดาวชื่อ Nissa รับบท Baby และเสือดาวอีกตัวที่หลุดจากกรง (คือในหนังมีเสือดาว 2 ตัว แต่มีนักแสดงแค่ตัวเดียว) นี่เป็นเสือดาวเลี้ยงที่ค่อนข้างเชื่อง เคยเล่นหนังเกรด B มาแล้วหลายเรื่อง, ตอนถ่ายทำ Hepburn ไม่กลัว Nissa เลยนะครับ แม้จะถูกกัดไปรอบหนึ่งก็ไม่ถือสา แต่ Grant กลัวหัวหด แบบในหนังไม่มีผิด

มองเสือดาว เป็นสัตว์สัญลักษณ์, เสือคือสัตว์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร เป็นผู้ล่า เปรียบได้กับผู้นำ หัวหน้า ฯ, เสือดาว เป็นสายพันธุ์ที่มีลวดลายจุดเต็มตัว (เป็นพันธุ์ด้อยของเสือดำ) มนุษย์มองว่ามีความสวยงาม นิยมล่าเสือเพื่อนำหนัง/ขนสัตว์ มาประดับบ้าน, แต่เสือดาวกลับชื่อ Baby ที่ทั้ง Susan และ David ต้องเอาใจใส่ดูแลเหมือนเด็กทารก เพราะถ้าปล่อยให้หลุดไปจะมีแต่คนเข้าใจผิด

การมีเสือดาว 2 ตัวในหนัง เปรียบได้กับฝั่งดี/ชั่ว ถูก/ผิด ขาว/ดำ, Baby เป็นเสือนิสัยดี เปรียบได้กับความดีที่ต้องใช้การเอาใจใส่ ดูแล ทะนุถนอมเหมือนเด็กเล็ก, เสือจากคณะละครสัตว์ที่นิสัยไม่ดี เปรียบกับความชั่วที่ต้องถูกตามล่า ผู้คนหวาดกลัว จำต้องถูกกักขัง/ฆ่าให้ตาย หรือเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่น

เกือบลืมอีกตัว น้องหมาชื่อ Skippy สายพันธุ์ Wire Fox Terrier รับบท George หมาของป้า Elizabeth ที่กวนประสาทใช่เล่น, Skippy นี่ก็เป็นดาราดังในยุคนั้นเช่นกัน โดยปกติค่าตัวน้องหมาในหนัง Hollywood ยุคนั้น ได้วันละ $3.50 แต่ Skippy ได้สัปดาห์ละ $250 เหรียญ

ถ่ายภาพโดย Russell Metty (Spartacus-1960) ส่วนใหญ่จะเป็นภาพ Full Shot และ Long Medium Shot คือเห็นนักแสดงเต็มตัว หัวถึงขา ขณะเดินไปมา และครึ่งตัวสำหรับฉากสนทนา มี Close-Up อยู่ไม่กี่ครั้ง, นี่เป็นสไตล์การถ่ายภาพยอดนิยมในยุค Hollywood Classic ไม่ได้มีความหวือหวาอะไร

ฉากที่ผมชอบสุด ตอน Susan และ David ออกตามหา เรียกชื่อเจ้าหมา George ได้ขโมยกระดูกไดโนเสาร์ชิ้นสำคัญไป ทั้งสองเดินตามติดกัน David นำหน้าเรียก George, Susan เรียกต่อ George, David: George, Susan: George สลับกันไปมาอยู่หลายครั้ง ทั้งสองรับส่งมุกได้พร้อมเพียง เข้าขากันมาก

ตัดต่อโดย George Hively ขาประจำของ Hawks, หนังมีการตัดต่อที่รวดเร็วมาก เพื่อให้เข้ากับจังหวะ (pace) ของหนัง ที่นักแสดงพูดรัวๆ เร็วจนหมดลมหายใจ ซึ่งเมื่อจบฉากๆหนึ่ง มักจะมีการ Cross-cutting เหมือนเพื่อให้จังหวะหายใจ

เปรียบเทียบกับการออกกำลังกาย เช่นวิ่ง/ปั่นจักรยาน มันเหมือนว่าขณะที่นักแสดงพูด พวกเขาวิ่งแข่งกัน ใครเร็วกว่าดังกว่าก็จะได้พูดก่อน ใครคิดช้าพูดช้าวิ่งช้า (แบบ David) ได้แค่อ้าปากจะพูด แต่ไม่มีสิทธิ์พูด ไม่ทันได้พูด สัก 2-3 ครั้งเขาก็จะยอมแพ้

หนังไม่มีเพลงประกอบนะครับ Opening/Ending Credit บทเพลงบรรเลงโดย Roy Webb แต่เพลง I Can’t Give You Anything But Love ที่ Susan และ David ร้องในหนัง ได้รับการ Cover โดยนักร้องดังๆหลายคนในยุคนั้นเลย ผมเอาฉบับของ Doris Day มาให้ฟัง

ใจความของเรื่องนี้ … จริงๆผมไม่อยากใช้สมองกับหนังมากนะครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้นหา/ตามหา/ดูแล/ปกป้องเสือดาว ใช้การโกหกหลอกลวงปลิ้นปล้อน จนถูกเข้าใจผิด จับพลัดจับผลู, เอาเป็นว่าจะมโนเรื่องหนึ่งขึ้นมาแทนแล้วกัน

ประธานาธิบดีสหรัฐ มักมาจาก ไม่เดโมแครต ก็รีพับลิกัน, ผมเปรียบเบบี้เชื่องๆ เป็นเดโมแครต และเสือดาวอีกตัวที่ดุๆ เป็นรีพับลิกัน, การออกตามหา เปรียบเสมือนการค้นหา คัดเลือกบุคคลที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ซึ่งเจ้าหมาชื่อ George (Washington) ได้พา David ไปพบเบบี้ นั่นคือการชี้ชักนำผู้นำที่มีความเหมาะสม ส่วนเสืออีกตัวที่จับพลัดจับผลู ชะตากรรมของมันคือจับขังไปอยู่ในคุก ไม่ควรให้ออกมาเดินเพ่นพ่าน

หนังเรื่องนี้คือ Screwball Comedy นะครับ ดูให้ได้ความบันเทิง จะมีประโยชน์กว่านั่งคิดให้ปวดหัวว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เพราะคงไม่มีใครรู้ (นอกจากผู้กำกับ) ว่าแท้จริงแล้วมีการเสียดสี นัยยะ เปรียบเทียบกับ ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร? ถ้าคุณมีเรื่องมโนที่คิดได้น่าสนใจ จะเอามาแชร์กันก็ได้นะครับ

ขณะดูหนังเรื่องนี้ ทำให้ผมนึกถึง Slapstick Comedy ตลกเจ็บตัวในยุคหนังเงียบ ที่หมดสิ้นความนิยมไปเมื่อทศวรรษก่อนหน้า Screwball Comedy ถือว่าเป็นทายาทหนังแนวตลกรุ่นถัดมา มีลักษณะหลายๆอย่างคล้ายกัน อาทิ ใช้ความเร็วในการตัดต่อ เพียงแต่เปลี่ยนจากการแสดงออกที่ขบขัน เป็นการพูด บทสนทนาเพื่อให้ฟังดูตลกแทน

ปล. บทสนทนา มุกตลก หลายครั้งเป็นบทดั้นสด (ad-lib) ของทั้ง Hepburn และ Grant นะครับ

ด้วยทุนสร้างประมาณ $1.096 ล้านเหรียญ หนังทำเงิน $1.109 ล้านเหรียญ ขาดทุนย่อยยับ (flop) แต่คำวิจารณ์ได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดี, นักวิจารณ์ชื่อดัง Leonard Maltin ให้คำชมหนังว่า ‘เป็นหนัง Screwball Comedy รวดเร็วที่สุด สนุกที่สุด และที่สำคัญมีการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด’

“considered the definitive screwball comedy, and one of the fastest, funniest films ever made; grand performances by all.”

ส่วนตัวหลงรักหนังเรื่องนี้ เพราะการแสดงอันน่ารักน่าชัง น่าหยิกแก้มของทั้ง Katharine Hepburn และ Cary Grant นี่น่าจะก่อนที่ทั้งสองจะกลายเป็นคนกร้านโลก ผู้เย่อหยิ่งจองหอง (นี่เป็นบทที่ผมรู้สึกว่า ตรงกันข้ามกับบุคลิกของทั้งคู่โดยสิ้นเชิง)

สำหรับมุกตลก ถ้าคุณคล่องภาษาอังกฤษ คงไม่มีปัญหาแน่ เชื่อว่าฮากระจายท้องแข็งแน่ แต่ถ้าไม่แล้วหาคำบรรยายไทยอ่าน ก็ไม่รู้จะแปลได้ใกล้เคียงความเงอะง่ะ เฟอะฟ้า บ้าบิ่นของตัวละครหรือเปล่านะ

แนะนำกับคนกำลังเครียดๆ ต้องการผ่อนคลาย และฟังภาษาอังกฤษออก ได้หัวเราะท้องแข็งเป็นแน่, แฟนๆของ Katharine Hepburn และ Cary Grant จะได้เห็นทั้งคู่พลิกบทบาทครั้งใหญ่เลยละ

จัดเรตทั่วไป

TAGLINE | “Bringing Up Baby หนังตลกไร้สาระขบขันที่สุดของ Howard Hawks กับการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของ Katharine Hepburn และ Cary Grant”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | LOVE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: