Butch Cassidy and the Sundance Kid

Butch Cassidy and the Sundance Kid (1969) hollywood : George Roy Hill ♥♥♥

คู่หูมหาโจรโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ Western รับบทโดยสองตำนาน Paul Newman กับ Robert Redford เพราะความสำเร็จในการปล้นรถไฟหลายครั้ง ทำให้ถูกไล่ล่าโดยโคตรนายอำเภอ และกองกำลังชุดติดตามพิเศษ ต้องหลบลี้หนีภัยไปยังประเทศ Bolivia เหมือนการได้รับโอกาสครั้งที่ 2 แต่กลับเอาเวลาไปออกปล้นธนาคารอีก ครานี้ยกกำลังมาล้อมทั้งกองทัพ จะยังสามารถเอาตัวรอดพ้นได้อีกหรือเปล่า, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”

ในความเป็นจริงแล้ว Butch Cassidy กับ Sundance Kid ไม่ได้สนิทสนมปานจะกลืนกินกันขนาดนั้น Kid เป็นสมาชิกรุ่นที่สองของแก็งค์ The Wild Bunch ก่อตั้งโดย Cassidy พวกเขาจับคู่กันขณะหลบหนีจากกองกำลังชุดติดตามพิเศษ Pinkerton Detective Agency หลังจากปล้นรถไฟหลายครั้งติดๆ ทำให้ต้องหัวซุกหัวซุนพร้อม Etta Place (แฟนสาวของ Kid) ไปยังประเทศ Argentina ตามด้วย Bolivia, ว่ากันว่ามีประมาณ 30% ของหนังเท่านั้นที่เป็นเรื่องจริง

ช่วงโปรดักชั่นของหนังเรื่องนี้ มีภาพยนตร์ Western อีกเรื่องหนึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นออกฉายในเวลาไล่เลี่ยก่อนหน้า The Wild Bunch (1969) ของผู้กำกับ Sam Peckinpah ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับ Butch Cassidy หรือ The Sundance Kid แม้แต่น้อย แต่เพราะชื่อหนัง The Wild Bunch ดันตรงกับชื่อแก็งค์ของ Cassidy เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาข้อกฎหมาย ทำให้หนังเรื่องนี้ต้องเปลี่ยนชื่อกลุ่มเป็น Hole-in-the-Wall Gang มาจากชื่อของสถานที่หลบซ่อนตัวของพวกเขา (Hideout)

ผมเคยรับชม Butch Cassidy and the Sundance Kid เมื่อครั้งนานมาแล้ว แต่รู้สึกไม่ค่อยประทับใจสักเท่าไหร่ ทั้งๆที่บทเพลง Raindrops Keep Fallin’ on My Head แม้งโคตรเพราะเลยว่ะ แต่ทำนองดนตรีมันผิดยุคหรือเปล่าเนี่ย! รสนิยมของผู้กำกับในการเลือกสไตล์เพลงประกอบแบบว่า ‘Bad Taste’ อย่างยิ่งยวด, หวนกลับมารับชมครานี้ในจุดนั้นก็ยังคงมีทัศนคติเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มันทำให้ผมเกิดข้อสงสัยมากว่า ผู้กำกับ/นักเขียน รู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่ากำลังทำหนัง Western ?

ก่อนหน้านี้ เรื่องราวของ Butch Cassidy และ/หรือ The Sundance Kid เคยได้รับอ้างอิงถึงในภาพยนตร์มาแล้วหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่เป็นตัวประกอบไม่ก็ผู้ร้ายโฉดชั่ว อาทิ
– Cheyenne (1947) หรือ The Wyoming Kid กำกับโดย Raoul Walsh มี Arthur Kennedy รับบท Sundance Kid
– Return of the Bad Men (1948) มี Robert Ryan รับบท Sundance Kid
– The Texas Rangers (1951) มี Ian Macdonald รับบท Sundance Kid, John Doucette รับบท Butch Cassidy
– The Three Outlaws (1956) มี Alan Hale Jr. รับบท Sundance Kid, Neville Brand รับบท Butch Cassidy
– Cat Ballou (1965) มี Arthur Hunnicutt รับบท Butch Cassidy

เพราะความล่มสลายของ Hays Code ที่เคยมีกฎห้ามมิให้สร้างภาพยนตร์ในมุมมองของผู้ร้ายน่าเห็นใจ มาถึงความสำเร็จอันล้นหลามของ Bonnie and Clyde (1967) ถือกำเนิดหนังแนวคู่หูมหาโจร นี่เป็นโลกทัศน์ใหม่ของ Hollywood ซึ่งเรื่องที่คลอดตามมาติดๆก็คือ Butch Cassidy and the Sundance Kid สองคู่หูโคตรมหาโจร เรื่องราวของพวกเขาไม่ได้มีอะไรให้น่าสงสารเห็นใจ แต่มิตรภาพของเพื่อนรักเพื่อนตาย เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ตราตรึง

จุดเริ่มต้นของหนังมาจาก William Goldman (เกิดปี 1931) นักเขียนชื่อดังสัญชาติอเมริกัน ที่มีผลงานเขียนแทบทุกแขนง นิยาย, ละครเวที, บทภาพยนตร์ดังๆ อาทิ Marathon Man (1976), All the President’s Men (1976), Heat (1986), The Princess Bride (1987) ฯ

Goldman ได้มีโอกาสพบเจอเรื่องราวของ Cassidy กับ Kid ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 50s ใช้เวลาศึกษา ค้นหา รวบรวมข้อมูลอยู่ถึง 8 ปีตั้งใจเพื่อเขียนนิยาย จนความขี้เกียจเข้าครอบงำ เปลี่ยนแผนมาพัฒนาบทภาพยนตร์ที่ใช้เวลาน้อยกว่า เพราะแค่อ้างอิงหลายๆเหตุการณ์จริง แล้วคิดสร้างเรื่องราวมาประติดประต่อแต่งเติมก็เพียงพอแล้ว

“The whole reason I wrote the … thing, there is that famous line that Scott Fitzgerald wrote, who was one of my heroes, ‘There are no second acts in American lives.’ When I read about Cassidy and Longbaugh and the superposse coming after them—that’s phenomenal material. They ran to South America and lived there for eight years and that was what thrilled me: they had a second act. They were more legendary in South America than they had been in the old West”

แต่เมื่อนำบทหนังไปเสนอขายสตูดิโอ แทบทั้งนั้นบอกปัดปฏิเสธ ด้วยเหตุผลที่ว่า

“I don’t give a shit. All I know is John Wayne don’t run away.”

Goldman แก้ไขบทเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก แค่ทำไม่ให้ดูเหมือนว่า Cassidy กับ Kid เอาแต่วิ่งหนีเอาตัวรอด คราวนี้ทุกสตูดิโอต่างให้ความสนใจแย่งกันขอซื้อบทหนัง

เมื่อโอกาสมาถึงแล้วก็เลยเรียกค่าลิขสิทธิ์สูงถึง $400,000 เหรียญ (ปี 2015 เทียบเท่า $2.7 ล้านเหรียญ) กลายเป็นสถิติบทภาพยนตร์ Original Screenplay ที่มีมูลค่าสูงสุดขณะนั้น ซื้อโดยโปรดิวเซอร์ John Foreman สตูดิโอ Fox, แน่นอนว่า Goldman เข้าชิงคว้ารางวัล Oscar: Best Writing และบทหนังยังได้รับการยกย่องติดอันดับ 11 ชาร์ท 101 Greatest Screenplays Ever Written (of American) ของ Writers Guild of America

เกร็ด: ชื่อเดิมของหนังคือ The Sundance Kid and Butch Cassidy แต่เพราะขณะนั้น Paul Newman มีชื่อเสียงโด่งดังกว่า Robert Redford เลยมีการสลับเปลี่ยนชื่อให้กลายเป็น Butch Cassidy and The Sundance Kid

George Roy Hill (1921 – 2002) ผู้กำกับภาพยนตร์สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Minneapolis, Minnesota ตั้งแต่เด็กมีความสนใจการบิน ได้รับใบขับขี่ตั้งแต่อายุ 16 รับใช้ชาติในสงครามโลกครั้งที่ 2 และ Korean War ปลดประจำการออกมาทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ Texas ไปๆมาๆเกิดความสนใจในการแสดงละครเวที โทรทัศน์ ต่อมาเขียนบท กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Period of Adjustment (1962), โด่งดังกับ Hawaii (1966), Thoroughly Modern Millie (1967), Butch Cassidy and the Sundance Kid (1969) ฯ คว้า Oscar: Best Director เรื่อง The Sting (1973)

ไดเรคชั่นของ George Roy Hill ให้คำอธิบายโดย Paul Newman เป็นผู้กำกับที่รับรู้ความต้องการของตนเองอย่างชัดเจน

“any hesitation or indecision; he knew precisely what he wanted in a scene, what he wanted from an actor.”

ช่วงปลายทศวรรษ 1890s ที่ Wyoming, Butch Cassidy (รับบทโดย Paul Newman) ผู้นำของกลุ่มนอกกฎหมาย Hole in the Wall Gang เดินทางร่วมกับ Sundance Kid (รับบทโดย Robert Redford) หวนกลับไปยัง Hole-in-the-Wall สถานที่หลบซ่อนตัวของพวกเขา เพื่อเตรียมการปล้นขบวนรถไฟ แต่แล้วครั้งหนึ่งถูกไล่ล่าโดยกองกำลังชุดติดตามพิเศษ เอาตัวรอดมาได้เส้นยาแดงผ่าแปด ทำให้ตัดสินใจหนีหัวซุกหัวซุน ร่วมกับ Etta Place (รับบทโดย Katharine Ross) แฟนสาวของ Kid เดินทางสู่ประเทศ Bolivia

Butch Cassidy ชื่อจริง Robert Leroy Parker (1866 – 1908) เกิดที่ Beaver, Utah Territory เติบโตขึ้นที่ฟาร์มชนบท ทำงานในร้านขายเนื้อ (เลยใช้ชื่อว่า Butch) มีอาจารย์เป็นคาวบอยต้อนวัวชื่อ Mike Cassidy (ยืมนามสกุลมาใช้) ขโมยของครั้งแรกตอนอายุ 16 สามปีถัดมาร่วมกับพรรคพวกปล้นธนาคาร San Miguel Valley Bank เมือง Telluride เอาเงินมาซื้อที่แถวๆ Dubois, Wyoming ตั้งชื่อว่า Hole-in-the-Wall สำหรับเป็นสถานที่หลงภัย ครั้งหนึ่งเคยถูกจับขณะขโมยม้าติดคุก Wyoming State Prison อยู่ 18 เดือน ออกมารวมกลุ่มกับเพื่อนๆสนิท ก่อตั้ง The Wild Bunch ประกอบด้วย
– William Ellsworth ‘Elzy’ Lay
– Harvey ‘Kid Curry’ Logan (คนที่ท้าดวลดาบกับ Butch ตอนต้นเรื่อง)
– Ben Kilpatrick ‘Tall Texan’
– Harry Tracy
– Will ‘News’ Carver
– Laura Bullion
– George ‘Flat Nose’ Curry

Sundance Kid ชื่อเดิม Harry Alonzo Longabaugh (1867 – 1908) เกิดที่ Mont Clare, Pennsylvania, ตอนอายุ 20 ถูกจับได้ขณะกำลังขโมยม้าที่ Sundance, Wyoming (ทำให้ได้ชื่อว่า Sundance) ติดคุก 18 เดือน ออกมายังคงทำงานสุจริตที่ Bar U Ranch อยู่ที่ Alberta, Canada รู้จักกับ Cassidy เมื่อไหร่ไม่มีใครทราบได้ แต่ประมาณการณ์เข้าร่วมกลุ่ม Wild Bunch ประมาณปี 1896

ประมาณปี 1899, ครั้งแรกที่กลุ่ม Wild Bunch ปล้นขบวนรถไฟ Overland Limited บริเวณใกล้ๆ Wilcox, Wyoming ทำให้ถูกจองล้างจองผลาญโดย E. H. Harriman ผู้บริหารสูงสุดของ Union Pacific Railroad ติดต่อว่าจ้างบริษัท Pinkerton Agency เพื่อออกติดตามล่า Cassidy กับ Kid โดยเฉพาะ

ภาพถ่ายของกลุ่ม
– แถวหน้าไล่จากซ้าย Sundance Kid, Tall Texan, Butch Cassidy
– แถมวหลัง News Carver, Kid Curry

นำแสดงโดย Paul Leonard Newman (1925 – 2008) นักแสดงสัญชาติอเมริกา เกิดที่ Shaker Heights, Ohio ในครอบครัว Jewish ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ แสดงเป็นตัวตลกในละครเวทีของโรงเรียนเรื่อง Robin Hood สมัครเป็นทหารเรือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สังกัด Pacific Theater ไม่ได้ขับเรือรบเพราะตาบอดสี ปลดประจำการออกมาเข้าเรียน Kenyon College จบ Bachelor of Arts ต่อมากลายเป็นลูกศิษย์ของ Lee Stransberg ที่ Actors Studio, เริ่มทำงานเป็นนักแสดง Broadway สู่วงการภาพยนตร์ด้วยการแข่งขันกับ James Dean เรื่อง East of Eden (1955) แม้จะไม่ได้บทแต่  Somebody Up There Likes Me (1956) กับ The Left Handed Gun (1958) เป็นตัวแทนหลังจาก Dean ด่วนเสียชีวิตไปก่อนวัย, มีชื่อเสียงโด่งดังกับ Cat on a Hot Tin Roof (1958), The Long, Hot Summer (1958), ผลงานเด่นอื่นๆอาทิ Exodus (1960), The Hustler (1961), Cool Hand Luke (1967), Butch Cassidy and the Sundance Kid (1969), The Sting (1973), The Verdict (1982) ฯ คว้า Oscar: Best Actor เรื่อง The Color of Money (1986)

รับบท Butch Cassidy หัวหน้ากลุ่มนอกกฎหมาย Hole in the Wall เป็นคนเรื่อยๆเปื่อยๆไร้แก่นสาน ชอบเพ้อฝันโน่นนี่นั่น ทำอะไรบ้าๆบอๆ แต่ไม่ค่อยจริงจังอะไรกับชีวิตหรือเคยเข่นฆ่าใครมาก่อน, สิ่งหนึ่งที่ Cassidy โดดเด่นมากๆ คือความเป็นผู้นำ และกล้าตัดสินใจทำอะไรเสี่ยงๆด้วยตนเอง

Newman ได้อ่านบทหนังพร้อมๆกับ Steve McQueen คิดว่าตัวเองคงได้แสดงเป็น Sundance Kid แต่เมื่อ McQueen ถอนตัวออกไป ผู้กำกับ Roy Hill ขอให้เขาเล่น Butch Cassidy ที่แม้ไม่เต็มใจนักเพราะรู้ตัวเองว่าเล่น Comedy ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ถูกโน้มน้าวบอกว่า ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำให้ตลกเลย แสดงออกมาในความเป็นตัวของตนเองก็พอ

ภาพลักษณ์ของ Newman ในบทบาทนี้ค่อนข้างเหมือน Playboy ปล่อยตัวกายใจ ยิ้มแย้มหัวเราะร่า ไม่ครุ่นคิดมากอะไร สบายๆเรื่อยเปื่อย สร้างสีสันเรียกเสียงหัวเราะหึๆได้อยู่เรื่อยๆ

เกร็ด: Newman เล่นฉากปั่นจักรยานด้วยตนเองแทบทั้งหมด เพราะสตั๊นแมนของเขาปั่นจักรยานไม่เป็น เว้นแค่ฉากกระแทกรั้ว เป็นลีลาของตากล้อง Conrad Hall

Charles Robert Redford Jr. (เกิดปี 1936) นักแสดง ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์สัญชาติอเมริกัน ผู้ก่อตั้งเทศกาลหนัง Sundance Film Festival (ไม่ต้องบอกก็รู้ เลือกสถานที่ตั้งชื่อก็จากตัวละครนี้แหละ) เกิดที่ Santa Monica, California สมัยเด็กชื่นชอบศิลปะและกีฬา โตขึ้นเข้าเรียน University of Colorado ไม่ทันจบหนีไปเที่ยวยุโรป ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี กลับมาเรียนวาดรูปที่ Pratt Institute, Brooklyn ตามด้วยการแสดงที่ American Academy of Dramatic Arts, New York City เริ่มจากเป็นนักแสดง Broadways ตามด้วยแสดงซีรีย์โทรทัศน์ จนได้เข้าชิง Emmy Award: Best Supporting Actor, ภาพยนตร์เรื่องแรก Tall Story (1960) เริ่มมีชื่อเสียงจาก The Chase (1966), Barefoot in the Park (1967), โด่งดังกับ Butch Cassidy and the Sundance Kid (1969), Downhill Racer (1969), The Sting (1973), All the President’s Men (1976) ฯ กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Ordinary People (1980) คว้า Oscar: Best Director

รับบท Sundance Kid ชายหนุ่มผู้เคร่งขรึม พูดน้อย คิดมาก จริงจังกับชีวิตแทบจะตลอดเวลา มีความเฉลียวฉลาดรอบรู้ เป็นนักวางแผน และยิงปืนน่าจะแม่นกว่า Cassidy, Kid ตกหลุมรักเดียวใจเดียวกับ Etta Place (รับบทโดย Katharine Ross) แต่รสนิยมของเขา ค่อนข้างแสดงถึงความมีโลกส่วนตัวสูงสักหน่อย

แรกสุดเลยบทบาทนี้ถูกเสนอให้ Jack Lemmon แต่ถูกปฏิเสธทันควันเพราะเจ้าตัวไม่ชอบขี่ม้า ตามมาด้วย Steve McQueen (ไม่พอใจค่าตัว), Warren Beatty (บอกปัดเพราะรู้สึกว่าเรื่องราวคล้าย Bonnie and Clyde), Marlon Brando (ติดถ่ายทำ Burn!), สำหรับคนที่แนะนำ Redford คือภรรยาของ Newman ขณะนั้น Joanne Woodward ที่ค่อนข้างประทับใจการแสดงน่าจะจากบทบาทละครเวที

ภาพลักษณ์ของ Redford หน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลา ไม่ค่อยเห็นรอยยิ้มแย้มร่าเริงหรือพูดตลกขบขัน แม้แต่ขณะร่วมรักกับแฟนสาว ชื่นชอบการบีบบังคับออกคำสั่ง, นี่เป็นภาพลักษณ์ ‘ชายผู้เคร่งขรึม’ ที่ติดตัว Redford ตลอดชีวิตของเขาเลยละ

ในตอนแรก Redford ต้องการเล่นฉากสตั๊นเองทั้งหมด แม้เขาจะได้กระโดดวิ่งบนรถไฟ แต่นั่นสร้างความไม่พอใจให้กับ Newman สักเท่าไหร่ หลังจากนั้นเลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสตั๊นแมนเล่นฉากเสี่ยงตาย

“I don’t want any heroics around here . . . I don’t want to lose a co-star.”

Katharine Juliet Ross (เกิดปี 1940) นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกา เกิดที่ California ตั้งแต่เด็กมีความชื่นชอบสนใจขี่ม้า เกิดความสนใจการแสดงจากละครเวที The King and I สมัครเข้าเรียน The Actors Workshop, บทบาทแจ้งเกิดของเธอคือ The Graduate (1967) ตามด้วย Butch Cassidy and the Sundance Kid (1969), Tell Them Willie Boy Is Here (1969), The Stepford Wives (1975) ฯ ผลงานภาพยนตร์ไม่เยอะนัก ชื่นชอบละครเวทีมากกว่า

รับบท Etta Place แฟนสาวของ Sundance Kid แต่ดูแล้วเหมือนจะตกหลุมรัก Butch Cassidy มากกว่า เพราะพบเจอช้ากว่าเลยได้กลายเป็นเพียงเพื่อนสนิท, เดิมเป็นครูสอนหนังสือ ยินยอมติดตามพวกเขาทั้งสองเดินทางสู่อเมริกาใต้ เพราะจะได้ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน แต่สุดท้ายไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ลาจากพวกเขาไปก่อนถึงฉากไคลน์แม็กซ์

ตำนานเล่าว่า Place อาจเป็นโสเภณีที่ Kid ซื้อตัวเพื่อครองคู่แต่งงาน ติดตามพวกเขาสู่อเมริกาใต้ แต่ภายหลังมีปากเสียงทะเลาะกันรุนแรงจึงหนีกลับอเมริกัน แต่ก็ไม่ค้นพบหลักฐานอะไรใดๆ หรืออาจถูกยิงได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตไปแล้วก็ไม่รู้

บทบาทนี้ของ Ross ใกล้เคียงกับหนังเรื่อง The Graduate มากๆ จิตใจของตัวละครต้องการอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่สิ่งเดิมๆมีมา ยินยอมออกเดินทางติดตามคนรัก เพื่อแสวงหาความตื่นเต้นท้าทายใหม่ในชีวิต อารมณ์ความรู้สึกนี้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านคำพูด สายตา และการกระทำของเธอ เป็นผู้หญิงที่ ‘More than meets the eye’ อย่างยิ่ง

วันๆที่ว่างๆ Ross เดินทางไปกองถ่ายด้วยความปรารถนาดีอยากช่วยงานอื่นๆ เป็นผู้ควบคุมกล้อง (Camera Operation) แต่ถูกผู้กำกับขับไล่ ห้ามเข้ากองถ่ายในวันที่ไม่มีคิวถ่ายทำ นี่สร้างความไม่พึงพอใจให้เธออย่างมาก

“Any day away from George Roy Hill was a good one”

ถ่ายภาพโดย Conrad Hall (1926–2003) ตากล้องยอดฝีมือสัญชาติอเมริกัน เจ้าของ 3 รางวัล Oscar: Best Cinematography จากเรื่อง Butch Cassidy and the Sundance Kid (1969), American Beauty (1999) Road to Perdition (2003)

สถานที่ถ่ายทำประกอบด้วย Colorado, Utah, New Mexico ขณะที่ครึ่งหลังของหนัง พื้นหลัง Bolivia แต่ถ่ายทำจริงๆที่ Cuernavaca กับ Taxco ประเทศ Mexico

เกร็ด: นักแสดงนำทั้งสาม วันๆเอาแต่ดื่มเบียร์/น้ำอัดลมแทนน้ำเปล่า (เพราะไม่เชื่อมั่นในความสะอาด) กลายเป็นความโชคดีเพราะวันหนึ่งในกองถ่าย ทีมงานหลายคนท้องเสีย สาเหตุน่าจะเพราะน้ำนี่แหละ

ถ่ายทำด้วยกล้อง Panavision (Anamorphic) แลปสี DeLuxe ซึ่งมีการย้อมสีน้ำตาลสามครั้งในหนัง (ต้น-กลาง-จบ) เพื่อให้สัมผัสเหมือนรูปภาพโปสการ์ดเก่าๆ ซึ่งขณะที่หนังค่อยๆเฟดกลายเป็นภาพสีปกติ ราวกับอดีตกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง

ฉาก Prologue แนะนำตัวละคร กล้องจับจ้อง Close-Up ใบหน้าของ Kid เล่นไพ่ไม่ได้โกง ในระดับที่สื่อถึงสายตาของเขามองปืนที่คาดเอวศัตรูอย่างไม่คาดสายตา

สิ่งที่พบเห็นบ่อยครั้งในหนังคือการซูมเข้า-ออก เลื่อนกล้อง และการปรับโฟกัส เหล่านี้เพื่อสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครออกมา แต่ไฮไลท์คงหนีไม่พ้นความสวยงามของภาพ Extreme Long-Shot ทิวทัศนียภาพกว้างใหญ่ไพศาล สวยงามตราตะลึง

หลายครั้งน่าจะเป็นการซูมระยะไกลด้วย Tele Lens มีจุดประสงค์แทนสายตาของตัวละคร ให้ผู้ชมจับจ้องสังเกตพบเห็นเองว่า ชายคนหน้าสุดสวมหมวกสีขาว (มันก็หมวกขาวจริงๆแหละนะ)

ช็อตสุดท้ายของหนังใช้การ Freeze ค้างภาพไว้ ตามด้วยเสียงปืน ภาพค่อยๆเฟดกลายเป็นสีน้ำตาล (กลายเป็นอดีต/ความทรงจำ) แล้วค่อยๆซูมออก, ใครๆคงสามารถจินตนาการคาดเดาได้ว่าเกิดขึ้นในฉากนี้ ที่ค้างทิ้งไว้เพราะผู้สร้างไม่ได้ต้องการนำเสนอความรุนแรงเลือดท่วมจอแบบ Bonnie and Clyde แค่นี้ก็ถือว่าอาร์ทเพียงพอแล้ว

ตัดต่อโดย John C. Howard เมื่อนำไปทดลองฉาย ผู้ชมหัวเราะขบขันมากเกินไป โปรดิวเซอร์จึงมอบหมายให้ Richard C. Meyer เข้ามาเล็มๆตัดโน่นนี่นั่นออกไปเยอะพอสมควร

ส่วนตัวมองว่าหลายๆ Sequence มีความยืดยาวเกินไป ตัดออกไปบ้างก็ได้
– ขณะบทเพลง Raindrops Keep Fallin’ on My Head ใส่มาเต็มเพลง ยาวเกินไปหน่อยหรือเปล่า
– ฉากถูกไล่ล่าโดยกองกำลังชุดติดตามพิเศษ ความยาวประมาณครึ่งชั่วโมง สงสัยคงกลัวเสียดายฟุตเทจที่ไปถ่ายทำมาด้วยความยากลำบาก

ขณะที่ฉาก Intermission กึ่งกลางเรื่องเมื่อ Cassidy, Kid และ Place ออกท่องเที่ยวสวนสนุก ถ่ายรูป ลัลล้าก่อนเดินทางสู่ Bolivia ใช้การรวบรัดตัดตอน ประมวลผลนำเสนอเป็นภาพนิ่งทั้งหมด (Slice Show), ผมไม่คิดว่าหนังจะมีไดเรคชั่น Sequence นี้ตั้งแต่แรก คงเพราะความยาวที่มากเกินหรือตลกไป จึงถูกตัดออกแล้วเลือกเฉพาะช็อตภาพนิ่งมาเรียงร้อยประกอบเพลง เหลือความยาวประมาณ 3-4 นาทีเท่านั้น

กระนั้นไดเรคชั่นฉากดวลปืนไคลน์แม็กซ์ เจ๋งสุดของหนังเลย เริ่มจากตำรวจลุกขึ้นมายิงปืน (แต่ไม่โดน) -> ภาพไปที่ Kid ม้วนตัวมายิง -> ตำรวจคนนั้นถูกยิงล้มลง -> ตำรวจคนถัดไปยิงปืน (แต่ไม่โดน) -> Kid ม้วนตัวมายิง -> ตำรวจถูกยิงล้มลง, วนเวียนแบบนี้อยู่หลายครั้งทีเดียว

เพลงประกอบโดย Burt Bacharach (เกิดปี 1928) นักแสดงเพลงชื่อดังสัญชาติอเมริกา โดดเด่นในสไตล์ Jazz Harmony เพลงดังๆที่ติดอันดับ 1 ของ Billboard Hot 100 ประกอบด้วย This Guy’s in Love with You (1968), Raindrops Keep Fallin’ on My Head (1969), (They Long to Be) Close to You (1970), Arthur’s Theme (Best That You Can Do) (1981), That’s What Friends Are For (1986), On My Own (1986)

ทั้งๆที่เริ่มต้นของหนังมาดีมากๆ เสียงดีดกีตาร์นุ่มๆ (หรือ Banjo ก็ไม่รู้นะ) ประกอบเสียงเครื่องฉายฟีล์มโปรเจคเตอร์ ให้สัมผัสของจุดเริ่มต้น ราวกับเด็กทารกน้อยที่กำลังตั้งไข่หัดเดิน

ชื่อเพลงจริงๆของ Opening Title คือ Not Goin’ Home Anymore ผมพบเจอฉบับที่บันทึกลงแผ่นคลั่ง ไพเราะมากๆ นี่สิถึงเข้ากับสัมผัสบรรยากาศของหนังยุคสมัย 1890s

เพลงที่กลายเป็นตำนานของหนัง Raindrops Keep Fallin’ on My Head ขับร้องโดย B. J. Thomas นอกจากคว้า Oscar: Best Original Song ยังสามารถไต่ขึ้นอันดับ 1 ชาร์ท Billboard Hot 100 เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ยอดขายเกิน 2 ล้านก็อปปี้ และติดอันดับ 23 ของ AFI’s 100 Years…100 Songs เมื่อปี 2008

อารมณ์โรแมนติกรักสามเส้าของ Cassidy, Kid และ Place เป็นอะไรที่เข้าใจได้อยู่ ตัดประเด็นความเยิ่นยาวของ Sequence นี้ทิ้งไป ถ้าคุณหลับตาฟังโดยไม่เคยรับชมหนังเรื่องนี้ คิดว่าน่าจะเป็นบทเพลงแห่งช่วงเวลาทศวรรษไหน … การันตีได้ว่าไม่มีใครตอบ 1890s แน่ๆ ทำนองสไตล์ดนตรีมันคือ Pop Song แห่งทศวรรษ 1950s-60s แล้วมันเข้ากับสัมผัสพื้นหลังของหนังเช่นไร!

บทเพลงนี้ก็เช่นกัน South American Getaway นี่คือลักษณะของ Jazz Harmony สไตล์ถนัดของผู้แต่ง Bacharach ไม่ยักรู้ว่าทศวรรษ 1890s มีสไตล์เพลงแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว

ผมมองการเลือกเพลงประกอบลักษณะนี้ เหมือนผู้กำกับไม่ได้ต้องการให้หนังมีกลิ่นอายของ Western สักเท่าไหร่ พยายามใส่สัมผัสร่วมสมัยเหมือน Bonnie and Clyde (ที่ก็ไม่ได้ใช้เพลงประกอบอิงจากพื้นหลังทศวรรษเดียวกัน) เน้นเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของเพื่อนรักเพื่อนตายทั้งสอง สะท้อนถึงบางสิ่งอย่างมากกว่า

Cassidy กับ Kid สามารถเอาตัวรอดหนีพ้นจากเงื้อมมือของยมทูตแห่ง Wyoming แต่พวกเขาหาได้คิดสำนึกกลับตัว เดินทางไปถึง Bolivia พูดภาษาท้องถิ่นไม่ได้ด้วยซ้ำ ยังคงคิดชั่วเป็นอาชญากรปล้นธนาคาร ครั้งหนึ่งพบเจอชายสวมหมวกขาว หลงคิดไปว่ามัจจุราชกำลังตามมาทวงชีวิตถึงดินแดนไกลปืนเที่ยง เกิดสำนึกต้องการกลับตัวกลับใจ แต่อดีตความชั่วร้ายทุกประการที่เคยกระทำ หวนกลับคืนสนองให้ระลึกถึง เมื่อทำดีไม่ได้ก็ต้องเป็นคนชั่ว ความผิดพลาดเกิดขึ้นง่ายๆจากการหลงระเริง สุดท้ายจึงได้รับผลกรรมสนองอย่างสาสม

ว่าไปสองขั้วตรงข้ามของ Cassidy กับ Kid ถ้ามองเป็นเชิงสัญลักษณ์ของร่างกาย-จิตใจ ก็ย่อมได้เช่นกัน
– Cassidy คือสันชาติญาณทางกาย เหมือน Playboy รักอิสระ ไม่ต้องการยึดติดอยู่กับสิ่งใด
– Kid เปรียบได้กับสมองครุ่นคิด จิตใจ ความมีคุณธรรม รักเดียวใจเดียว

มองลักษณะนี้จะเห็นว่าทั้งสองคือตัวแทนของ ‘มนุษย์’ ผู้เคยกระทำอะไรผิดพลาดชั่วร้าย แล้วได้รับโอกาสแก้ตัวหนีเอาชีวิตรอด แต่กระนั้นยังเกิดความหลงระเริงคิดว่าเวรกรรมคงไม่มีจริงตามไม่ทันหรอก สุดท้ายหายนะมันเคยหวนคืนสู่ตัวพวกเขาเอง

สำหรับ Etta Place แฟนสาวของ Kid คือผู้ให้การหนุนหลังสนับสนุนผลักดัน ยินยอมเสียสละเดินทางสู่อเมริกาใต้ด้วยกัน คาดหวังว่าพวกเขาคงสามารถกลับตัวกลับใจเป็นคนดี แต่ที่ไหนได้, การจากไปของเธอแบบเงียบๆยามค่ำคืน สะท้อนถึงหมดสิ้นความหวังที่จะพบเห็นโอกาสของพวกเขา หลังจากเลือกที่จะยอมพ่ายแพ้ต่อชีวิตปกติทั่วไปเสียแล้ว การโจรกรรมครั้งถัดมาเรียกได้ว่า สูงสุดคืนสู่สามัญ จากเคยปล้นรถไฟ ธนาคาร ได้เงินมากมาย ดักปล้นคนจนๆระหว่างทางได้เงินน้อยนิด ตกต้อยต่ำถึงขีดสุด มันคือความผิดพลาดที่ทำให้พบเจอกับ…

ผมไม่เคยอ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ของ William Goldman แต่สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าต้องคือ Masterpiece เพราะใจความมิได้อยู่แค่หน้าหนัง และมีเนื้อหาเป็นคติธรรมสอนใจคนได้อย่างลงซึ้ง

แต่ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไม่ค่อยน่าประทับใจสักเท่าไหร่ จะมีสักกี่คนที่สามารถเข้าใจได้ว่าเพลงประกอบผิดยุคสมัยมันมีนัยยะความสำคัญอื่นแทรกอยู่ด้วย ผมละอยากรับชมต้นฉบับ Pre-Release เสียเหลือเกิน มันอาจลงตัวกลมกล่อมกว่าฉบับนี้ก็เป็นไปได้

ด้วยทุนสร้าง $6 ล้านเหรียญ เฉพาะในอเมริกาทำเงินได้ $102.3 ล้านเหรียญ สูงสุดแห่งปี เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 4 ทำเงินเกิิน $100 ล้านเหรียญ ถัดจาก Gone With The Wind (1939)** รวม re-release, The Sound of Music (1965) และ The Graduate (1967)

เข้าชิง Oscar 7 สาขา ได้มา 4 รางวัล
– Best Picture
– Best Director
– Best Writing, Story and Screenplay Based on Material Not Previously Published or Produced ** คว้ารางวัล
– Best Cinematography ** คว้ารางวัล
– Best Music, Original Song บทเพลง Raindrops Keep Fallin’ on My Head ** คว้ารางวัล
– Best Music, Original Score for a Motion Picture (not a Musical) ** คว้ารางวัล
– Best Sound

เห็นว่า William Goldman ไม่ได้เข้าร่วมงานประกาศรางวัล Katharine Ross ขึ้นรับรางวัลสาขา Best Writing แทบ, ขณะที่ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปีนั้นตกเป็นของ Midnight Cowboy

หนังถือครองสถิติคว้ารางวัล BAFTA Award สูงสุด เข้าชิง 9 สาขา คว้ามาได้ 8+1 รางวัล (จริงๆคือทุกสาขา เพราะ Best Actor แข่งกันเอง)
– Best Film
– Best Direction
– Best Actor (Robert Redford)
– Best Actor (Paul Newman) ** พลาดรางวัล
– Best Actress (Katharine Ross)
– Best Screenplay
– Best Cinematography
– Best Film Editing
– Best Sound Track
– รางวัลพิเศษ Anthony Asquith Award for Film Music (มอบให้ Burt Bacharach)

แม้ส่วนตัวไม่ค่อยชอบรสนิยมนี้ของผู้กำกับสักเท่าไหร่ แต่หลงใหลคลั่งไคล้ฉากไล่ล่าระหว่างของ Cassidy, Kid กับเหล่าโคตรนายอำเภอ และกองกำลังชุดติดตามพิเศษ เป็นอะไรที่เจ๋งมากๆ ทั้งๆที่ก็แทบไม่มีอะไร เห็นแค่ระยะไกลลิบๆ แต่สร้างความกดดันให้พวกเขาและพวกเรา ลุ้นระทึกกดดันอย่างยิ่งว่าจะเอาตัวรอดได้หรือเปล่า

“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” ถ้าครั้งหนึ่งเคยทำอะไรผิดพลาดในชีวิต แล้วได้รับโอกาสแก้ไขปรับปรุงตัวเอง จงรีบคว้ามันไว้ จดจำอดีตเป็นบทเรียน อย่าให้มันเกิดขึ้นซ้ำรอยโง่ๆแบบหนังเรื่องนี้เป็นอันขาด

แนะนำกับคอหนัง Outlaw Western, รู้จักชื่นชอบ Butch Cassidy และ/หรือ Sundance Kid, หลงใหลในภาพทิวทัศน์สวยๆ เพลงประกอบเพราะเว่อ (แต่ดันไม่เข้ากับหนัง), แฟนๆผู้กำกับ George Roy Hill นักแสดง Paul Newman, Robert Redford, Katharine Ross ไม่ควรพลาด

จัดเรต 15+ จากการกระทำปล้น ชิงทรัพย์ ยิงคนตาย

TAGLINE | “Paul Newman กับ Robert Redford กลายร่างเป็น Butch Cassidy and the Sundance Kid เพื่อนรักเพื่อนตายได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
QUALITY | SUPERB
MY SCORE | LIKE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: