
หลังสหรัฐอเมริกาถูกโจมตี Pearl Harbor เสนาธิการทหารบก George C. Marshall ติดต่อขอให้ผู้กำกับ Frank Capra สรรค์สร้างภาพยนตร์ชวนเชื่อ (Propaganda Film) เพื่อโต้ตอบกลับ Triumph of the Will (1935) กลายมาเป็นหนังซีรีย์จำนวน 7 ภาคละ 40-83 นาที
hollywood, america film, united states
หลังสหรัฐอเมริกาถูกโจมตี Pearl Harbor เสนาธิการทหารบก George C. Marshall ติดต่อขอให้ผู้กำกับ Frank Capra สรรค์สร้างภาพยนตร์ชวนเชื่อ (Propaganda Film) เพื่อโต้ตอบกลับ Triumph of the Will (1935) กลายมาเป็นหนังซีรีย์จำนวน 7 ภาคละ 40-83 นาที
สร้างใหม่จาก A Guy Named Joe (1943) หนึ่งในแรงบันดาลใจ Steven Spielberg ให้อยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ นำเสนอเรื่องราวความเชื่อว่าเมื่อคนรักตายจากไป อีกฝ่ายจะกลายเป็นวิญญาณ ยังคงล่องลอยอยู่เคียงข้าง ‘ตลอดไป’
สองสามีภรรยาหลบหนีออกจากเรือนจำ ปล้นรถตำรวจ ลักพาตัวสายตรวจ มุ่งหน้าสู่ Sugarland เพื่อทวงคืนสิทธิ์การเลี้ยงดูบุตรชาย แต่ความเพ้อฝันของพวกเขาไม่ได้เคลือบด้วยน้ำตาล มันคือหนทางด่วนมุ่งสู่หายนะต่างหาก!
ผลงานเรื่องแรกได้รับโอกาสฉายในโรงภาพยนตร์ของผู้กำกับ Steven Spielberg นำเสนอการท้าดวลระหว่างรถเก๋ง vs. รถบรรทุก ที่มีความเสี่ยงอันตราย ท้าความตาย เต็มไปด้วยความตื่นเต้นลุ้นระทึก และแฝงนัยยะลุ่มลึกอย่างคาดไม่ถึง
วินาทีที่คุณหนูไฮโซ Kate Winslet ให้คำมั่นสัญญาหนีตามไอ้หนุ่มชนชั้นสาม Leonardo DiCaprio นั่นคือสิ่งที่สังคมสมัยนั้นยังไม่ให้การยินยอมรับ พอดิบพอดีกับเรือ RMS Titanic พุ่งชนภูเขาน้ำแข็งอย่างจัง กลายเป็นคำเรียก ‘ชู้รักเรือล่ม’ ไม่มีวันจมหายตามกาลเวลา
ชมรมการต่อสู้กับตัวตนเอง เพื่อก้าวออกมาจากโลกที่เต็มไปด้วยวัตถุ สิ่งข้าวของ ระบอบทุนนิยม ล้างสบู่ในอ่างทองคำ แล้วจุดระเบิดทำลายล้างทุกสรรพสิ่งอย่าง แต่ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นภายในความครุ่นคิด จิตใต้สำนึกของผู้กำกับ David Fincher เท่านั้น!
ของขวัญวันเกิดจากน้องชาย ทำให้ Michael Douglas ได้เล่นเกมที่ต้องเอาชีวิตท้าเสี่ยง เป็นประสบการณ์ชีวิตไม่รู้ลืมเลือน เหมือนการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ครั้งแรกก็สนุกอยู่หรอก หักมุมตอนจบแบบที่ไม่มีใครคาดคิดถึง แต่มันอาจสร้างความระทมขมขื่นในรอบถัดๆไป
ครั้งแรกย่อมรู้สึกตกตะลึง ครั้งสองสัมผัสถึงความลุ่มลึกซึ้ง ครั้งสามบังเกิดความตราตรึง … รับชมถึงครั้งที่เจ็ดเมื่อไหร่คงคบไม่ได้อีกต่อไป! คำเทศนาสั่งสอนวันสิ้นโลกาวินาศของผู้กำกับ David Fincher เปียกปอน หนาวเหน็บ สั่นสะท้านทรวงใน กลายเป็นผลงานอมตะเหนือกาลเวลาไปแล้วละ
ตาบอดคลำช้าง คือแนวคิดที่ผู้กำกับ Gus Van Sant ใช้นำเสนอเหตุการณ์สังหารหมู่ ณ โรงเรียนมัธยมปลาย Columbine High School เมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1999 ด้วยการร้อยเรียงเรื่องราววัยรุ่น ทั้งมีส่วนร่วม พบเห็น เป็น-ตาย แต่ไม่มีใครล่วงรับรู้ว่าบังเกิดห่าเหวอะไรขึ้น, คว้ารางวัล Palme d’Or จากเทศกาลหนังเมือง Cannes
ครึ่งหลับครึ่งตื่นบนโลกส่วนตัวของผู้กำกับ Gus Van Sant เพื่อออกค้นหารากเหง้าของ River Phoenix และทอดทิ้งตัวตนเองของ Keanu Reeves แต่สุดท้ายแล้วผู้ชมก็เกาหัว นี่มันหนังห่าเหวอะไรกัน?
ภาพยนตร์เกี่ยวกับการเล่นยาเรื่องแรกๆที่นำเสนอผ่านมุมมองของผู้เสพ (จะหายาเสพติดก็ต้องปล้น ร้านขายยา!) ตอนออกฉายได้รับเสียงฮือฮา ‘Universal Acclaim’ แต่กาลเวลาทำให้แปรสภาพสู่ ‘อเมริกันคลาสสิก’ ถึงอย่างนั้นก็ยังสมควรค่า “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
นี่คือภาพยนตร์ที่มีความรุนแรงเหี้ยมโหดร้ายที่สุดของ Martin Scorsese ทั้งๆไม่มีฉากต่อสู้ เข่นฆ่า ทาสีบ้าน แต่ในยุคสมัยทองชุบ Gilded Age (1865–1914) ภายนอกดูสวยหรูระยิบระยับ จิตใจมนุษย์กลับมีเพียงความเลือดเย็นชา
มหกรรมการเข้าร่วมงานแต่งงานของ Hugh Grant เป็นทั้งเพื่อนเจ้าบ่าว ผู้มาร่วมงาน อดีตคนรัก(ของเจ้าสาว) และ… เต็มไปด้วยความหลากหลายทางอารมณ์ สนุกสนาน หวานขม เศร้าโศกเสียใจ ก่อนชักชวนให้ผู้ชมตั้งคำถาม งานเลี้ยงเหล่านี้มันมีความสำคัญอะไร?
ผู้กำกับ Michael Cimino ทำสัญญาปีศาจเพื่อสรรค์สร้างโปรเจคในฝัน Heaven’s Gate (1980) ใส่ใจทุกรายละเอียดถ่ายทำ 50+ กว่าเทค ได้ฟีล์มความยาวประมาณ 1.3 ล้านฟุต (220 ชั่วโมง) งบประมาณบานปลาย 4 เท่าตัว เมื่อนักวิจารณ์ส่ายหัว ผู้ชมไม่เอาด้วย เลยถูกตีตรา ‘Worst Movie of All-Time’ แต่ตัวหนัง Director’s Cut ความยาว 216 นาที ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีเปลือย หรือหญิงสาวเปลื้องผ้า แต่คือการเปิดโปงธาตุแท้ของสงคราม ว่าเป็นเพียงกลเกม ความทะเยอทะยานของใครบางคน ต้องการไปให้ถึงจุดสูงสุดบนยอดเขา เข้าครอบครองตำแหน่งสำคัญทางยุทธศาสตร์ โดยไม่สนว่าต้องแลกมาด้วยชีวิต หรือความตายของผู้อื่นใด
ถนนสาย Flamingo Road สร้างขึ้นเพื่อ Joan Crawford กรุยทางสู่ความสำเร็จ แต่ก่อนจะก้าวถึงเป้าหมายย่อมเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม สิ่งชั่วร้าย คอรัปชั่นนานัปการพยายามฉุดเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ สุดท้ายแล้วผลลัพท์จะลงเอยเช่นไร
ทั้งตัวละครของ Marlene Dietrich และผู้กำกับ Josef von Sternberg ต่างถูกตีตราว่ามีความโฉดชั่ว อันตราย ไม่ต่างจากปีศาจร้าย เพียงเพราะต้องการใช้ชีวิตอย่างอิสรภาพ สรรค์สร้างภาพยนตร์ด้วยวิสัยทัศน์ส่วนตน แต่ทัศนคติของผู้คนสมัยนั้น และสตูดิโอใน Hollywood มิอาจยินยอมรับความเป็นปัจเจกบุคคลของพวกเขา
เพื่อโต้ตอบกับ Dishonored (1931) สตูดิโอ M-G-M จึงรีบเร่งสรรค์สร้าง Mata Hari (1931) นำแสดงโดย Greta Garbo ในบทสายลับนักเต้น โดดเด่นในการใช้มารยาหญิง เย้ายวน ยั่วราคะ ล้วงความลับจากบรรดาบุรุษทั้งหลาย แม้หนังจะประสบความสำเร็จทำเงินถล่มทลาย แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าจดจำสักเท่าไหร่
ไม่ใช่ความตั้งใจของผู้กำกับ Josef von Sternberg ที่จะตีตราสายลับว่าเป็นอาชีพไร้เกียรติ ‘Dishonored’ แต่มันคือมุมมองคนยุคสมัยนั้น (รวมถึงสตูดิโอภาพยนตร์) ยินยอมรับไม่ได้ต่อพฤติกรรมบุคคลสองหน้า ใช้มารยาลวงล่อหลอก ล้วงความลับผู้อื่น ไร้ซึ่งศีลธรรมจรรยา ทั้งๆพวกเขาและเธอต่างทำเพื่อผลประโยชน์ประเทศชาติบ้านเมือง
ดัดแปลงจากนวนิยายของ Erich Maria Remarque ผู้แต่ง All Quiet on the Western Front (1928) นำเสนอผ่านมุมมองนายทหารเยอรมัน/นาซี ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีโอกาสลาพักสามสัปดาห์ พบเจอหญิงสาวเคยรู้จัก ตกหลุมรัก ตัดสินใจแต่งงาน แล้วใช้ชีวิตครองคู่เพียงระยะเวลาสั้นๆ เพราะเมื่อเขาหวนกลับไปแนวหน้านั้น…