Eat Drink Man Woman

Eat Drink Man Woman (1994) Taiwanese : Ang Lee ♥♥♥♥

เรื่องวุ่นๆของความหิวกระหาย ต่อการมีชีวิตของคนหนุ่มสาวชาวไต้หวัน ช่วงทศวรรษ 90s ตั้งแต่เด็กเล็ก-ผู้ใหญ่-สูงวัย ล้วนเต็มไปด้วยความเก็บกด ‘sexual repression’ เฝ้ารอคอยวันระบายออกมา, อย่ารับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ตอนท้องหิวเป็นอันขาดเชียวนะ!

Eat, drink, man, woman. Basic human desires. Can’t avoid them.

ขงจื้อ จากหนังสือแห่งพิธีกรรม, หลี่จี้ (礼记, Book of Rituals)

คำแปลใกล้เคียงที่สุด “desires for food and sex are human nature” อาหารและความต้องการทางเพศคือสันชาติญาณพื้นฐานของมนุษย์ แต่แนวคิดดังกล่าวของขงจื้อไม่ได้ถูกต้องสักเท่าไหร่นะครับ ปัจจัย 4 (อาหาร, ที่อยู่อาศัย, เครื่องนุ่งห่ม, ยารักษาโรค) ต่างหากละจำเป็นสูงสุด!

ในบริบทของ Eat Drink Man Woman (1994) ต้องการเปรียบเทียบ ‘Food=Sex’ ความหิวอาหาร ไม่ต่างจากอาการ(หื่น)กระหายทางเพศ! ซึ่งผู้กำกับอังลี่พยายามนำเสนอเรื่องราวที่สะท้อนวิถีชีวิต สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปในไต้หวันช่วงทศวรรษ 90s พานผ่านครอบครัวพ่อเลี้ยงเดี่ยว ล้อมวงรับประทานอาหารเย็นร่วมกับบุตรสาวสามใบเถา แต่ทุกคนกลับต่างใคร่อยากก้าวออกไปใช้ชีวิต กระทำสิ่งสนองตัณหาพึงพอใจส่วนตน

ใครอยากรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ แนะนำให้ตระเตรียมตัวเตรียมใจ รับประทานอาหารให้อิ่มแต่อย่าหนำ เพราะเรื่องราวค่อนข้างมีความซับซ้อน ตัดสลับไปมาระหว่าง 3-4 ตัวละคร (บิดา และบุตรสาวสามใบเถา) ต้องค่อยๆแยกแยะทำความเข้าใจทีละเรื่องราว แล้วค่อยนำมาขมวดปมหาเหตุผลพฤติกรรม … เป็นภาพยนตร์ที่มีความท้าทายในการขบครุ่นคิดไม่น้อยเลยละ!

ผมแอบเสียดายเล็กๆที่หนังดูเฉิ่มเชยตกยุคไปมาก นั่นเพราะมีการอ้างอิงพื้นหลังทศวรรษ 90s ค่อนข้างเยอะ! แต่ถ้ามองในแง่การบันทึกประวัติศาสตร์ ‘Time Capsule’ ต้องถือว่าทรงคุณค่าต่อชาวไต้หวันไม่น้อยเลยละ


หลี่อัน, 李安 (เกิดปี 1954) หรือที่ใครๆรู้จักในชื่ออังลี่ ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์ชาว Taiwanese เกิดที่เมืองแต้จิ๋ว เขตผิงตง บนเกาะไต้หวัน ครอบครัวเป็นสมาชิกกองทัพสาธารณรัฐจีน อพยพหลบหนีพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามกลางเมืองครึ่งหลัง (1942-49), บิดาเป็นครูใหญ่โรงเรียน Provincial Tainan First Senior High School คาดหวังให้บุตรชายเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย แต่หลังสอบไม่ผ่านสองครั้งเลยถูกส่งไป National Taiwan University of Arts ค้นพบความหลงใหลด้านศิลปะและการแสดงจากภาพยนตร์ The Virgin Spring (1960)

เมื่อปี 1979, ออกเดินทางสู่สหรัฐอเมริกา เข้าเรียน University of Illinois at Urbana–Champaign (UIUC) ติดตามด้วย Tisch School of the Arts ณ New York University (NYU) รุ่นเดียวกับ Spike Lee ในตอนแรกสนใจด้านการแสดง ก่อนเปลี่ยนมาสาขาการกำกับ (เพราะพูดภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยชัด) โปรเจคจบ Fine Line (1984) สามารถคว้ารางวัล Wasserman Award: Outstanding Direction

หลังเรียนจบก็พยายามมองหาโอกาสในการทำงานภาพยนตร์ แต่ไม่มีใครไหนอยากว่าจ้างผู้กำกับชาวเอเชียสักเท่าไหร่ อังลี่เลยต้องว่างงานอยู่ถึงหกปี เป็นพ่อบ้านให้ภรรยา Jane Lin นักชีววิทยาโมเลกุล พบเจอแต่งงานระหว่างร่ำเรียน UIUC แต่เขาก็ไม่ได้ใช้เวลาว่างให้เสียเปล่า มองหาไอเดียน่าสนใจ ซุ่มพัฒนาบทหนังได้ถึงสองเรื่อง Pushing Hands และ The Wedding Banquet ส่งเข้าประกวดคว้ารางวัลที่หนึ่งและสองจากรัฐบาลไต้หวัน เลยมีโอกาสดัดแปลงสร้างภาพยนตร์ Pushing Hands (1991) ติดตามด้วย The Wedding Banquet (1993)

จุดเริ่มต้นของ Eat Drink Man Woman (1994) เกิดจากความชื่นชอบหลงใหลการทำอาหารของผู้กำกับอังลี่ ตั้งแต่เดินทางมาร่ำเรียนภาพยนตร์ยังสหรัฐอเมริกา รู้สึกว่าฟาสฟู้ดที่นี่รสชาติไม่ถูกปากเอาเสียเลย นั่นคือสาเหตุให้เขาตัดสินใจเข้าครัว ยิ่งช่วงว่างงานเป็นพ่อบ้านหกปี หนึ่งในหน้าที่ประจำวันก็คือทำอาหารให้ศรีภรรยา

I couldn’t get used to the food here. I spent six years cooking at home when I was doing Hollywood development hell. I know the details of the cooking world.

อังลี่ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นการเป็นพ่อครัวหัวป่า

แต่การจะสรรค์สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับอาหารจีน หนทางง่ายสุดก็คือเดินทางกลับไต้หวัน (ครั้งแรกครั้งเดียวที่ผู้กำกับอังลี่ ถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศบ้านเกิด) ร่วมพัฒนาบทกับ

  • หวัง ฮุย-ลิง (Crouching Tiger, Hidden Dragon, Lust, Caution) นักเขียนชาวไต้หวัน เพราะเรื่องราวนำเสนอผ่านบุตรสาวสามใบเถา มุมมองนักเขียนหญิงเลยมีความจำเป็นอย่างมากๆ
  • James Schamus (Sense and Sensibility, Hulk, Lust, Caution) โปรดิวเซอร์/นักเขียนชาวอเมริกา ช่วยขัดเกลาเรื่องราวผ่านมุมมองผู้ชมต่างชาติ

ความสนใจหลักๆของผู้กำกับอังลี่ ต้องการนำเสนอสภาพสังคมไต้หวันที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงทศวรรษ 90s อันมีต้นสาเหตุจากอิทธิพลชาติตะวันตก นำเอาความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (ทางวัตถุ) รวมถึงแนวความคิด (ทางจิตใจ) ที่ผิดแผกแตกต่างจากขนบประเพณี วิถีปฏิบัติของชนชาวจีน นั่นก่อให้เกิดความขัดแย้งไม่ลงรอยระหว่างคนแต่ละยุคแต่ละสมัย (Generation Gap)

In each of my films, I’ve tried to do an observation of the changing Chinese society and people’s struggles within it. It’s a society that was structured toward the family unit for thousands of years, but suddenly that is changing. The family is collapsing, social values are collapsing, politically things are collapsing, moving toward Western values–toward democracy, industry, toward personal free will and respect for each other’s freedom. People haven’t really adjusted. In one sense, you want to break away from the burdens of the old culture. On the other hand, you kind of miss the old values. There’s a lot of feeling aroused. You don’t know what to believe anymore.


ทุกวันอาทิตย์ เหลาจู (รับบทโดย หลานซง) จะทำอาหารมื้อใหญ่ให้บุตรสาวทั้งสาม เป็นประเพณีที่ทุกคนจะอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าในครอบครัว

  • เจียเจิ้น (รับบทโดย หยางกุ้ยเหมย) พี่สาวคนโต นับถือศาสนาคริสต์ ไม่เคยมีความสัมพันธ์(ทางเพศ)กับใคร ทำงานเป็นครูสอนเคมี จู่ๆได้รับจดหมายบอกรักครุ่นคิดว่าคือครูพละคนใหม่ แต่แท้จริงแล้วคือถูกเด็กนักเรียนกลั่นแกล้ง สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้เธออย่างมาก
  • เจียเชี่ยน (รับบทโดย อู๋เชี่ยนเหลียน) พี่สาวคนรอง ทำงานธุรกิจสายการบินแห่งหนึ่ง กำลังสะสมเงินทองซื้ออพาร์ทเม้นท์ เตรียมตัวจะย้ายออกจากบ้านหลังนี้ แต่กลับถูกเจ้าของโครงการเชิดเงินหลบหนี ส่วนแฟนหนุ่มเพิ่งมาตระหนักได้ว่าเขาเป็นพวกเพลย์บอย สนเพียงเรือนร่างกายของเธอเท่านั้น
  • เจียหนิง (รับบทโดย หวังหยูเหวิน) น้องสาวคนเล็กยังเรียนหนังสือ ทำงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารฟาสท์ฟู้ดแห่งหนึ่ง ชื่นชอบชายหนุ่มซึ่งเป็นแฟนของเพื่อนสนิท เห็นว่าอีกฝั่งฝ่ายดูไม่จริงจิง เลยสวมเขาเข้าหา พาไปที่อพาร์ทเม้นท์สุดหรูของฝ่ายชาย แล้วก็ท้องก่อนแต่ง ต้องออกจากบ้านไปก่อนใครเพื่อน

หลางซง, 郞雄 (1930-2002) นักแสดงชาวจีน เกิดที่ซู่เฉียน มณฑลเจียงซู, เข้าร่วมกองทัพปฏิวัติแห่งชาติจีน (ก๊กมินตั๋น) ต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ ในช่วงสงครามกลางเมืองครึ่งหลัง (1945-49) แล้วอพยพหลบหนีภัยสู่เกาะไต้หวัน ได้เข้าร่วมคณะการแสดง มีผลงานละครเวที ซีรีย์ ภาพยนตร์มากมายจนกลายเป็นตำนาน กระทั่งได้รับการอัญเชิญโดยผู้กำกับอังลี่ แสดงภาพยนตร์ Pushing Hands (1991), The Wedding Banquet (1993), Eat Drink Man Woman (1994) ส่งให้เป็นที่รู้จักโด่งดังระดับนานาชาติช่วงบั้นปลายชีวิต

รับบทเหลาจู ชายสูงวัย เกษียณตัวจากการเป็นเชฟภัตตาคารใหญ่ อาศัยอยู่กับบุตรสาวสามใบเถา ทุกวันอาทิตย์จะเข้าครัวแสดงฝีมือทำอาหารมื้อใหญ่ ต้ม-ผัด-แกง-ทอด กึ่งๆบังคับให้พวกเธอรับประทานพร้อมหน้า (ถือเป็นประเพณีของครอบครัว) สามารถใช้โอกาสนี้ในการพูดคุยสนทนา แสดงความคิดเห็น เล่าความต้องการของตนเองออกมา

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างสามสาวกลับยังโสด ไม่มีใครแต่งงาน ยินยอมออกจากบ้าน แถมเมื่ออยู่พร้อมหน้าก็ไม่สามารถสื่อสารสนทนา พูดบอกแสดงความต้องการออกมา (นั่นเพราะความแตกต่างของช่วงวัยวุฒิ Generation Gap) ทำให้บรรยากาศในครอบครัวเต็มไปด้วยความอึดอัด เก็บกดดัน ราวกับระเบิดเวลาที่ใกล้ปะทุระเบิดเต็มทน

หลานซงเป็นบุคคลที่ยิ่งแก่ยิ่งเก๋า พลังในการแสดง Charisma สูงมากๆ (ชวนให้ผมนึกถึง ส.อาสนจินดา) ริ้วรอยบนใบหน้าชัดเจนว่าพานผ่านประสบการณ์อะไรๆมามาก แม้ลีลาขณะทำครัวจะมีการตัดสลับกับเชฟจริงๆ แต่ต้องชมเลยว่าตัดต่อได้อย่างแนบเนียน ย้ำคิดย้ำทำ จนรู้สึกว่าคุณปู่ลงมือปรุงอาหารเองจริงๆ

ในไตรภาคป๊ะป๋ารู้ดี ‘Father Knows Best’ นำแสดงโดยหลานซง ล้วนเกี่ยวกับบิดาสูงวัยที่ไม่สามารถทำเข้าใจคนหนุ่มๆสาวๆ อันเนื่องจากความแตกต่างทางวัยวุฒิ (Generation Gap)

  • บทบาทที่ผมชอบสุดก็คือ The Wedding Banquet (1993) เพราะป๊ะป๋าทำการซุกซ่อนอคติ ไม่ต้องการเปิดความในออกมา
  • น่าผิดหวังสุดๆก็คือ Eat Drink Man Woman (1994) เพราะจู่ๆเปิดเผยความต้องการนั้นออกมา กลายสภาพเป็นตาแก่ตัณหากลับ หมดสิ้นความศรัทธาน่าเชื่อถือโดยพลัน (หนังจงใจมากๆที่จะให้ผู้ชมรับรู้สึกเช่นนั้น)

แซว: เอาจริงๆเราไม่ควรไปตำหนิต่อว่า ตาแก่ตัณหากลับ (แอบนึกถึงฉลอง ภักดีวิจิตร) ผิดอะไรที่โคแก่กินหญ้าอ่อน มันก็เรื่องของเขา สิทธิ์ของเขา มีเงินมีเรี่ยวแรง แดกไวอาก้าก็ตามสบาย การไปพูดแบบนั้นคืออาการของคนอิจฉาริษยา เพราะไม่มีกฎหมาย หรือศีลข้อไหนระบุว่าชายสูงวัยห้ามแต่งงานกับหญิงสาวอายุน้อยกว่า


หยางกุ้ยเหมย, 楊貴媚 (เกิดปี 1959) นักแสดงจากไต้หวัน เกิดที่เขตว่านหัว กรุงไทเป, เข้าสู่วงการเมื่อปี 1979 เริ่มจากละครโทรทัศน์ ซีรีย์ ภาพยนตร์เรื่องแรก Everlasting Chivalry (1980), ผลงานเด่นๆ อาทิ Eat Drink Man Woman (1994), Vive L’Amour (1994), The Hole (1998), The Moon Also Rises (2004) ฯ

รับบทพี่สาวคนโต เจียเจิ้น สมัยวัยรุ่นเคยอกหักจากชายคนรัก เลยสร้างเรื่องโป้ปดเพื่อปกปิดบังความยังโสดซิง (น่าจะ)ไม่เคยร่วมรักหลับนอนกับใคร นานวันจึงเต็มไปด้วยความอึดอัดอั้น ไม่รู้จะระบายสิ่งคลุ้มคลั่งภายในออกมาเช่นไร จึงหันไปพึ่งพาคริสต์ศาสนา ต้องการอุทิศความบริสุทธิ์ให้แก่พระเป็นเจ้า

เจียเจิ้นทำงานเป็นครูสอนวิชาเคมี เชี่ยวชาญการคำนวณสมการของสสารในตารางธาตุ แต่ไม่ใช่การทำปฏิกิริยาความรู้สึกเรื่องของความรัก เต็มไปด้วยความใคร่ฉงนสงสัยว่าใครเป็นผู้เขียนจดหมาย(รัก)ส่งมาทุกวี่วัน ทีแรกนึกว่าครูสอนพละคนใหม่เพราะชอบส่งสายตาอันหยอกเย้า จนกระทั่งเมื่อความจริงได้รับการเปิดเผย (ว่าเป็นฝีมือเด็กๆในห้อง) ก็มิอาจปกปิดกั้นความรู้สึกใดๆได้อีกต่อไป

พี่สาวคนโตเต็มไปด้วยความเก็บกด อัดอั้น สีหน้านิ่วคิ้วขมวด ตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา สาเหตุจากช่วงเวลาที่เธอเติบโตขึ้นนั้น บรรยากาศการเมืองของไต้หวัน (ช่วงทศวรรษ 60s-70s) ยังเต็มไปด้วยความตึงเครียด สงครามเย็นกับพรรคคอมมิวนิสต์/จีนแผ่นดินใหญ่ เลยได้รับการปลูกฝังทัศนคติชาตินิยม ยึดมั่นในขนบวิถี ธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมสืบต่อกันมา … ด้วยเหตุนี้เจียเจิ้นจึงไม่สามารถเปิดเผยความต้องการ ‘sexual repression’ เลยหันไปพึ่งพาศรัทธาศาสนา คาดหวังว่าจะช่วยผ่อนคลายตัณหา อ้างคุณธรรมสูงส่งในการอาศัยอยู่กับบิดา (แต่จริงๆแล้วเหลาจูต่างห่างที่ยังคอยดูแลบุตรสาว)

ในบรรดาพี่น้องสามใบเถา ตัวละครของหยางกุ้ยเหมยถือว่ามีความสลับซับซ้อนทางอารมณ์ที่สุดแล้ว เพราะทำการปกปิดซุกซ่อนเร้น เก็บสะสมความอึดอัดอั้นไว้ภายใน คล้ายระเบิดเวลาที่รอวันปะทุทำลาย ซึ่งเมื่อเพลานั้นมาถึง อะไรๆก็ปัจจุบันทันด่วน เสื้อผ้าข้าวของยังไม่ทันเก็บยัดใส่กระเป๋าเลยด้วยซ้ำ! หนีเผ่นแนบออกจากบ้านไปโดยทันที


อู๋เชี่ยนเหลียน, 吳倩蓮 (เกิดปี 1968) นักร้อง/นักแสดงจากไต้หวัน เจ้าของฉายา ‘นางเอกมหัศจรรย์แห่งเอเชีย’ เกิดที่เทศมณฑลยฺหวินหลิน กรุงไทเป, วัยเด็กชื่นชอบการร้องเพลง เคยเข้าประกวดคว้ารางวัลอันดับสอง โตขึ้นเข้าศึกษายัง Taipei National University of Arts เพียงชั้นปีที่สองเข้าตาผู้กำกับตู้ฉีฟง แจ้งเกิดโด่งดังภาพยนตร์ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ A Moment of Romance (1990), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Eat Drink Man Woman (1994), From Beijing with Love (1994), Eighteen Springs (1997) ฯ

รับบทพี่สาวคนรอง เจียเชี่ยน เป็นคนเฉลียวฉลาด เปิดกว้าง รักในอิสรภาพ วัยเด็กชื่นชอบเข้าครัวทำอาหารร่วมกับบิดา(และคุณลุง) วาดฝันว่าโตขึ้นอยากทำงานเป็นเชฟ แต่กลับถูกบีบบังคับให้ร่ำเรียนหนังสือ ทำงานไต่เต้าจนกลายเป็นผู้บริหารสายการบินแห่งหนึ่ง แต่งหน้าทำผม สวมชุดสุดหรู เก็บสะสมเงินทองจนสามารถจับจองอพาร์ทเม้นท์ คาดหวังว่าเมื่อสร้างเสร็จสรรพ ก็จักย้ายออกไปพักอยู่อาศัย

พี่คนรองเติบโตขึ้นในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับไต้หวัน ค่อยๆผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดลง อิทธิพลจากชาติตะวันตกเริ่มค่อยๆแผ่เข้ามา (ช่วงทศวรรษ 70s-80s) ทำให้เธอคือคนสองวัฒนธรรม ทั้งหัวก้าวหน้าและยึดติดกับบางขนบประเพณี ไม่ปิดกั้นโอกาสเหมือนพี่สาว หรือปล่อยตัวปล่อยใจอย่างไม่สนอะไรเหมือนน้องคนเล็ก แต่นั่นก็ทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะทั้งพี่และน้องเมื่อหลบหนีออกจากบ้าน หลงเหลือเพียงเธอ(และบิดา) อิสรภาพที่มาโดยไม่ทันคาดคิด เลยยังไม่รู้จะปรับตัวเองเช่นไร

ตัวจริงของอู๋เชี่ยนเหลียน เป็นผู้หญิงที่ติดดินมากๆ ไม่ได้ชื่นชอบแต่งหน้าทำผม สวมใส่ชุดหรูหราแบบตัวละคร (ปัจจุบันเหมือนจะออกจากวงการไปใช้ชีวิตครอบครัวอย่างเรียบง่าย สุขสบาย) แต่รูปลักษณ์ของเธอช่วยขับเน้นความงามให้ดูเฉิดฉาย เปร่งประกาย สวยเซ็กซี่ มีความน่าหลงใหล (ผมเคยคิดว่าเธอไม่ได้สวยมากแค่ดูดี แต่กาลเวลาทำให้กลายเป็นความงามอมตะ) ส่วนการแสดงก็ดูลื่นไหล เป็นธรรมชาติ ไม่ได้เก็บกดเหมือนหยางกุ้ยเหมย เหมือนปล่อยตัวปล่อยใจเหมือนหวังหยูเหวิน กลางๆเหมือนตัวละคร แค่บทบาทตามที่แฟนๆคาดหวังเท่านั้นละ


หวังหยูเหวิน (เกิดปี 1971) นักแสดงจากไต้หวัน เข้าสู่วงการตั้งแต่ปี 1990 มีผลงานภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ อาทิ Rebels of the Neon God (1992), Eat Drink Man Woman (1994)

รับบทน้องสาวคนเล็ก เจียหนิง ระหว่างทำงานอยู่ร้านอาหารฟาสฟู๊ดแห่งหนึ่ง พบเจอแฟนหนุ่มของเพื่อนสาว ชอบเข้าไปหยอกล้อทักทาย ครุ่นคิดว่าอีกฝั่งฝ่ายไม่จริงจังก็เลยปล่อยตัวปล่อยใจ ยินยอมให้เขาพาไปที่บ้าน ร่วมรักหลับนอน แล้วก็ตั้งครรภ์

ผมประเมินว่าน้องสาวคนเล็ก น่าจะอายุประมาณ 17-18 (แต่หวังหยูเหวินก็ 22-23 แล้วละ) ร่ำเรียนวิทยาลัย/มหาวิทยาลัย ยังถือเป็นช่วงวัยรุ่น ไม่ค่อยรับรู้เดียงสา เติบโตขึ้นในช่วงเวลาที่ไต้หวันไม่ได้มีความขัดแย้งใดๆกับจีนแผ่นดินใหญ่ (ช่วงทศวรรษ 80s-90s) แต่อิทธิพลชาติตะวันตกแผ่ปกคลุมเข้ามาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้เด็กสาวจึงใช้ชีวิตอย่างไม่ครุ่นคิดหน้าหลัง ปล่อยตัวปล่อยใจ ท้องก็แต่ง อนาคตจะเป็นยังไงค่อยว่ากัน

แม้เป็นบทบาทเล็กๆที่ไม่ได้ใช้การแสดงอะไรมาก หน้าตาของหวังหยูเหวินก็ไม่ได้สวยเด่นเป็นสง่า แต่ความบ้านๆ ดวงตาใสซื่อไร้เดียงสา ก็ทำให้ตัวละครนี้สร้างเซอร์ไพรส์ให้ผู้ชมอย่างคาดไม่ถึง วัยรุ่นยุคใหม่(ขณะนั้น)มันเร็วแรงได้ขนาดนี้เชียวเลยหรือ … แต่ก็เทียบไม่ได้กับปัจจุบันนี้นะครับ มันแร๊งงงค์ยิ่งกว่ายุคนั้นอีก


ถ่ายภาพโดย หลินเหลียงจง, 林良忠 ตากล้องจากไต้หวัน เกิดที่นครไถจง หลังสำเร็จการศึกษาสาขาวรรณกรรมฝรั่งเศส Tamkang University เดินทางสู่สหรัฐอเมริกาเข้าเรียนสาขาถ่ายภาพ New York Film Academy จบออกมาได้เป็นตากล้อง Pushing Hand (1991), The Wedding Banquet (1993), Eat Drink Man Woman (1994) ฯ

ผมมีความรู้สึกว่างานภาพของ Eat Drink Man Woman (1994) ค่อนข้างแตกต่างจากผลงานอื่นๆของอังลี่ ที่เน้นความงดงาม จัดวางองค์ประกอบอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย, ภาพยนตร์เรื่องเหมือนพยายามบันทึกภาพความจริง เก็บบรรยากาศ วิถีชีวิต ผู้คน ไต้หวันทศวรรษ 90s โดยไม่บิดเบือนปรุงแต่งอะไรมากนัก

แต่ลีลาภาษาภาพยนตร์ ‘สไตล์อังลี่’ ก็ยังจัดเต็มอยู่นะครับ มีความประณีต เต็มไปด้วยรายละเอียด ชักชวนให้ขบครุ่นคิดวิเคราะห์ โดยเฉพาะอาหารแต่ละจานล้วนมีนัยยะซ่อนเร้นอยู่

Kitchens are an emotional place. The dining table is a metaphor–a ritual that brings people together and separates them as well. It symbolizes their fate.

อังลี่กล่าวถึงนัยยะของโต๊ะอาหาร

ภาพแรกของหนังถ่ายทำตรงสี่แยกไฟแดง เมื่อได้รับสัญญาณไฟเขียว มอเตอร์ไซด์ รถยนต์ ต่างค่อยๆเคลื่อนตัวออกออกมา, ช็อตนี้นอกจากเป็นการบันทึกภาพไต้หวันทศวรรษ 90s ยังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ อิทธิพลตะวันตกที่แผ่ปกคลุม นำความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ท้องถนนเต็มไปด้วยรถรา การจราจรคับคั่ง

อีกสิ่งที่น่าสนใจก็คือเส้นการจราจรที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมๆ สัญลักษณ์พื้นที่ห้ามจอด แต่มีนักวิจารณ์แสดงความคิดเห็นว่าอาจแฝงนัยยะ Cubism (บาศกนิยม) ลัทธิการสร้างสรรค์ศิลปะที่ได้รับผลสะท้อนมาจากอิทธิพลด้านความเจริญทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้ปลุกเร้าการสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ รวมทั้งลักษณะการของศิลปินสมัยใหม่ที่พยายามแสวงหาลักษณะเฉพาะตัวให้กับตนเอง

จากนิยามของ Cubism หลายคนก็น่าจะสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับเนื้อเรื่องราวสะท้อนถึงอิทธิพลชาติตะวันตกที่แผ่ปกคลุมเข้ามาในไต้หวัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิตใหม่ (New Normal) แต่มันยังไม่หมดเพียงเท่านั้นนะครับ เพราะโครงสร้างการดำเนินเรื่องที่แบ่งออกเป็น 1+3 ตัวละคร (บิดา+บุตรสาวสามใบเถา) ตัดสลับเวียนวน ซ้ำไปซ้ำมา มันก็ไม่ต่างจากรูปลักษณะเรขาคณิต(ลูกบาศก์)สักเท่าไหร่!

ภาพถัดมาอาจทำให้ใครหลายๆคนตกตะลึง รับไม่ได้ขึ้นมาทันที นั่นเพราะเจ้าปลาที่อยู่ในโอ่งนี้จักถูกจับนำมาปรุงอาหาร ถ้าคุณชอบกินเนื้อกินปลา ก็อย่ามาอ้างจิตสำนึกมโนธรรมเลยนะครับ นี่คือธรรมชาติของชีวิต สะดีดสะดิ้งโลกสวยไปทำไม

จะว่าไปการจับปลา จับไก่ สับหมู หั่นผัก ต้ม-ผัด-แกง-ทอด ฯ ล้วนแฝงนัยยะในการกระทำ แต่ผมขอไม่ลงรายละเอียดในส่วนนี้ แค่เพลิดเพลินไปกับมันก็พอแล้วนะครับ (ผมไม่ค่อยอยากแคปรูปเพราะมันจะทำให้หิวกระหาย) เห็นว่าทั้ง Sequence นี้ใช้เวลาถ่ายเป็นสัปดาห์ๆ (อาจจะรวมมื้ออาหารฉากอื่นๆด้วยกระมัง) และบุคคลที่เป็นเชฟก็เหมือนจะผู้กำกับอังลี่เองนะแหละ

ระหว่างเหลาจูกำลังเข้าครัวทำอาหาร ก็จะมีการแทรกภาพบุตรสาวทั้งสาม ต่างกำลังทำกิจวัตรบางอย่าง

  • เจียเจิ้นอยู่บนรถโดยสารระหว่างเดินทางไปโบสถ์ กำลังฟังเพลงสรรเสริญพระเจ้าจากเทปพกพา แต่เหมือนถ่านใกล้หมดเลยติดๆดับๆ (เป็นการบอกใบ้อย่างชัดเจนว่า เป็นความศรัทธาอย่างมีเลศนัย)
  • เจียเชี่ยนทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ พบเห็นแผนที่ของสายการบิน (มี Bangkok ด้วยนะครับ) ข้อความเป็นภาษาอังกฤษ (สื่อถึงอิทธิพลตะวันตก และความเชื่อมโยงกับชาติอื่นๆ) นั่งอยู่บนตึกสูงระฟ้า ด้านหลังคือทิวทัศน์กลางกรุงไทเป (แสดงถึงตำแหน่งผู้บริหาร สะท้อนภาระหน้าที่การงาน)
  • เจียหนิงกำลังทอดเฟรนฟราย ทำงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารฟาดฟู๊สแห่งหนึ่ง ตรงกันข้ามกับบิดาที่เป็นเชฟมืออาชีพ มีเทคนิคลีลาในการทำอาหารมากมาย แต่ทอดเฟรนฟรายแค่เอามันฝรั่งใส่ในน้ำมันเดือดๆ เรียบง่ายรวดเร็ว ไม่ต้องใช้ฝีมือหรือประสบการณ์ใดๆ

เหล่านี้ล้วนสื่อถึงวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไปของสมาชิกครอบครัวเกา ต่างคนต่างมีโลกส่วนตัวของตนเอง แต่ทั้งหมดล้วนภายใต้อิทธิพลของบิดา ทุกเย็นวันอาทิตย์จะต้องมานั่งรับประทานอาหารร่วมกันพร้อมหน้า

Eat Drink Man Woman (1994) อาจไม่ได้ตั้งใจให้ตลกขบขันเทียบเท่า The Wedding Banquet (1993) แต่หลายๆฉากก็พยายามสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย ด้วยไดเรคชั่นอันเฉียบคายของผู้กำกับอังลี่ สามารถเรียกเสียงหัวเราะหึๆอย่างยียวนกวนบท (สำหรับคนที่สามารถเข้าใจ) ยกตัวอย่างหลังฉากร่วมรักระหว่างเจียเชี่ยนกับแฟนหนุ่ม ตัดมาภาพเหลาจูกำลังเป่าลมเข้าท้องไก่ แล้วเอาน้ำมัดมาราดๆลำดัว ก่อนนำลงทอดในกระทะ … คงไม่ต้องอธิบายหรอกนะ

จริงอยู่ว่าคนจีนสมัยก่อน ครอบครัวใหญ่ๆ จึงนิยมรับประทานอาหาร ‘โต๊ะจีน’ เมื่ออยู่กันพร้อมหน้า แต่ประเพณีดังกล่าวในปัจจุบันค่อยๆเลือนหายไป แทบไม่มีใครถือปฏิบัติกันอีกแล้ว (เพราะที่จีนแผ่นดินใหญ่ถูกพรรคคอมมิวนิสต์ปรับเปลี่ยนค่านิยม, คนไต้หวันก็ค่อยๆซึมซับรับวัฒนธรรมตะวันตก)

วัฒนธรรมการรับประทานอาหารของคนจีน (เอาจริงๆต้องถือว่าทั้งเอเชียเลยนะ คนไทยเราก็เช่นกัน) สมาชิกในครอบครัวมักอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า เวลาไปมาหาสู่ก็มักสอบถาม ‘ดื่มน้ำดื่มท่า ทานอะไรมาหรือยัง?’ ซึ่งไม่แค่คำทักทาย แต่หมายถึงถ้าตอบว่ายัง เจ้าบ้านก็มักกุรีกุจอหาอะไรมาให้รองท้องโดยทันที เรียกว่าเป็นการสานสัมพันธ์ แสดงมิตรไมตรี อัธยาศัยอันดีงาม

แต่เห็นปริมาณอาหารบนโต๊ะ หลายคนน่าจะรู้สึกถึงความสิ้นเปลือง ทั้งบ้านมีแค่ 1+3 คน (บิดา+บุตรสาวสามใบเถา) รับประทานหมดได้ยังไง (ยังมีที่ยังไม่ได้เสิร์ฟอีกนะ!) นี่เป็นการแสดงทัศนะของผู้กำกับอังลี่ ถึงความไม่จำเป็นสักเท่าไหร่ของประเพณีนี้

สังเกตว่าสามสาวบนโต๊ะอาหาร ต่างมีหน้าที่ที่แตกต่างกันไป

  • เจียเจิ้น ก่อนเริ่มรับประทานอาหารจะต้องสวดอธิษฐานขอบคุณพระเป็นเจ้า
  • เจียเชี่ยน เป็นคนเดียวที่กล้าพูดแสดงความคิดเห็นในรสชาติอาหารต่อบิดา (เพราะเธอเป็นเชฟด้วยกระมัง)
  • เจียหนิง แม้จะเงียบงัน แต่ก็มีหน้าที่ปรุงหม้อไฟ เก็บจาน ล้างชาม ฯ

ระหว่างกำลังรับประทานอาหารพร้อมหน้าในครอบครัว เหลาจูได้รับโทรศัพท์ฉุกเฉิน จำต้องออกเดินทางไปช่วยเหลือภัตตาคารแห่งหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาหูฉลาม ‘ปลอม’ ถ้าใครอ่านภาษาภาพยนตร์ออก ก็น่าจะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของทั้ง Sequence ว่าอาหารมื้อใหญ่เย็นวันอาทิตย์ สมาชิกอยู่พร้อมหน้า มันก็แค่ภาพลวงหลอกตา สัมพันธภาพ(ในครอบครัว)จอมปลอม ที่ใกล้ถึงวันแตกหัก

หูฉลาม, ฮื่อฉี่ (魚翅羹) คืออาหารของชนชั้นสูง ถือเป็นยาอายุวัฒนะ เมื่อรับประทานแล้วจะอายุยืนยาว ในอดีตมักถูกปรุงขึ้นเพื่อถวายแก่จักรพรรดิและชนชั้นสูง แต่เมื่อถูกนำมาหลอกขายกลายเป็นของปลอม เหลาจูเลยได้ปรับเปลี่ยนเมนูให้กลายเป็น Joy Luck Dragon Phoenix ซึ่งเป็นเมนูอะไรสักอย่างเกี่ยวกับกุ้งล็อบสเตอร์ (ที่ดูเหมือนมังกร) และไก่ (ที่ดูเหมือนฟินิกส์) ซึ่งต่างเป็นสัตว์มงคลในความเชื่อของจีน เมื่อมารวมกันก็กลายเป็นอาหารมงคลในงานแต่งงาน (เพราะมีสัตว์สัญลักษณ์ชาย-หญิง ราชา-ราชินี อยู่เคียงข้างกัน)

  • ล็อบสเตอร์นั้นถือเป็นราชาแห่งกุ้ง เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่รุ่งเรือง ส่งเสริมยศศักดิ์ ตำแหน่งการงานให้มีความก้าวหน้า
    • มังกร ราชาของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์หรืออำนาจ นอกจากนี้ยังถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณงามความดี ความเหมาะสม ความสงบสุข และความมั่นคงของบ้านเมือง
  • ไก่ เป็นสัญลักษณ์ของความขยันขันแข็ง มีระเบียบวินัย ส่งเสริมอาชีพการงาน-ค้าขาย รวมถึงความสัมพันธ์อันดีในครอบครับ
    • ฟินิกส์ เป็นสัตว์ในตำนานของชาวจีน ตัวแทนจักรพรรดินี อิสตรี สัญลักษณ์ความสงบสุข เจริญมั่นคงและทรงคุณธรรม

จากเมนูชนชั้นสูงของพระราชา กลายมาเป็นอาหารมงคลในงานแต่งงาน นี่ก็แฝงนัยยะถึงพัฒนาการเรื่องราวของหนัง จากพิธีกรรมบนโต๊ะอาหาร กลายมาเป็นเรื่องวุ่นๆของการมีชีวิตคู่ เพศสัมพันธ์ ชาย-หญิงครองรักกัน!

ผมรู้สึกเหมือนผู้กำกับอังลี่ พยายามเน้นย้ำว่าอาหารที่ทำขึ้นมากมาย ‘โต๊ะจีน’ มันเกินความจำเป็นในการบริโภคมากๆ ซึ่งสิ่งหลงเหลือ (ทั้งที่บ้านและภัตตาคาร) ต่างคือเกี้ยว/แป้งต้ม (Dumpling) กำลังจะถูกทิ้งลงถังขยะ นั่นควรเป็นประเพณีที่ควรเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นมองหาวิธีการใหม่ๆได้แล้ว!

เกร็ด: เกี๊ยว ภาษาจีนกลางอ่านว่า เจี่ยวจึ (饺子) ซึ่งไปพ้องเสียงกับคำว่า เจียว (交) หมายถึงการเปลี่ยนสิ่งเก่าให้เป็นสิ่งใหม่ การกินเกี๊ยวเลยสื่อถึงการทิ้งอะไรเก่าๆ แล้วมาเริ่มต้นสิ่งดีๆ (นิยมรับประทานในในช่วงปีใหม่ ตรุษจีน)

หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1994 แสดงว่าโปรแกรม Paint ที่ใช้นี้น่าจะอยู่บนระบบปฏิบัติการ Windows 3.x เริ่มแพร่หลายมาตั้งแต่ปี 1990 ต้องคนรุ่น Gen X ถึงจะทันใช้กันนะครับ (ราคาคอมพิวเตอร์สมัยนั้นแพงมากๆเลยนะ 50,000+ บาท)

ตอนที่เหลาจูพูดอธิบายชื่อหนัง

Eat, drink, man, woman. Basic human desires. Can’t avoid them!

ระหว่างกำลังมึนเมา (หลังเสร็จงานเลี้ยงแต่งงาน) รำพันกับเพื่อนสนิทเหลาเหว่ย (หรือลุงเหว่ย) ถึงมุมมองชีวิตที่มีเพียงดื่ม-กิน ชาย-หญิง หิวกระหายในการบริโภค และทำสิ่งตอบสนองความต้องการต้องเพศ สถานที่ก็คือโถงทางเดินซึ่งมีความเวิ้งว่าง เปล่าเปลี่ยว (ไร้ผู้คนหรือสิ่งข้าวของใดๆขวางกัน) ปลายทางชีวิต(ประตูทางออก)ช่างอยู่ห่างไกลลิบๆ

แซว: ใครเคยรับชม The Wedding Banquet (1993) น่าจะมักคุ้นฉากคล้ายๆกันนี้หลังเสร็จพิธีแต่งงานที่ศาลากลางเมือง มอบสัมผัสอันเวิ้งว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีคุณค่า ไม่น่าจดจำ ไร้ซึ่งความหมายใดๆ 

จดหมายรักของเจียเจิ้น ห่อหุ้มด้วยซองที่ดูเหมือนดาวดารา วางอยู่ถัดจากของรูปภาพนางฟ้า สามารถสื่อถึงความเพ้อฝันของเธอ ที่อยากได้ใครสักคนมาครองคู่อยู่ร่วม ภายในมีความตื่นเต้น ระริกระรี้ แต่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยมันออกมา

อพาร์ทเม้นท์แฟนหนุ่มของเจียหนิง ดูเหมือนยังตกแต่งไม่เสร็จ (แต่จะมองว่าคือสไตล์การออกแบบให้ดูเหมือนยังตกแต่งไม่เสร็จก็ได้นะครับ) สามารถสื่อถึงการปล่อยปละละเลยของบิดา-มารดา ไม่ใคร่สนใจความเป็นอยู่ของบุตรชาย ซึ่งสะท้อนค่านิยมการเลี้ยงดูแลของคนสมัยใหม่ สนเพียงเงินทอง สิ่งข้าวของ ปัจจัยภายนอกเท่านั้น มอบอิสระในการดำรงชีวิต อยากครุ่นคิดทำอะไรก็ตามสบาย ไม่มีการเสี้ยมสอนจิตสำนึก มโนธรรม ทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวอ้างว้าง จนต้องเร่งรีบโหยหาใครสักคนอยู่เคียงข้างกาย

ผมครุ่นคิดว่านี่คือภาพที่ผู้กำกับอังลี่ ต้องการแสดงให้เห็นสีหน้า ปฏิกิริยา เทียบแทนความรู้สึกของตนเองต่อสภาพของไต้หวัน ช่วงทศวรรษ 90s หรือคือสถานะตระกูลเกา บิดาและบุตรสาวสามใบเถา ยังทนกันอยู่ในสภาพแวดล้อมอึดอัด เก็บกดดัน ‘sexual repression’ กันได้อย่างไร!

ซึ่งหลังจากช็อตนี้หนังก็เจียหนิงและแฟนหนุ่ม ก็มิอาจอดรนทนต่อ ‘sexual repression’ ได้อีกต่อไป!

เจียเชี่ยนเก็บสะสมเงินทอง นำไปลงทุนซื้ออพาร์ทเม้นท์ เมื่อสร้างเสร็จสรรพก็จักได้ก้าวออกจากบ้าน แต่โดยไม่รู้ตัวโครงการกลับล้มละลาย ถูกเชิดเงินสูญหายไปไม่น้อย! ทำลายความเพ้อฝัน ตกลงมาจากสรวงสวรรค์

จะว่าไปทศวรรษ 80s-90s ถือเป็น ‘ยุคทอง’ ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตึกระฟ้างอกเงยราวกับดอกเห็ด จนกระทั่งอุปทาน (Supply) มีมากกว่าอุปสงค์ (Deman) ผลลัพท์ก็เลยเริ่มไม่ขายออก ก่อเกิดตึงร้าง สร้างไม่เสร็จขึ้นมากมาย … การลงทุนสมัยนั้นมีความเสี่ยงสูงจริงๆ

ไม่ใช่แค่เงินลงทุนที่สูญเสียไป เจียเชี่ยนเมื่อเดินทางไปเยี่ยมเยือนลุงเหว่ย กลับค้นพบบิดาเดินทางมาพบหมอด้วยตัวคนเดียว ไม่มีญาติ ไม่มีพี่น้อง เธอเองก็ไม่เคยรับล่วงรู้มาก่อน นี่ครอบครัวของเรามีความเหินห่างไกลกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

ตั้งแต่ที่เจียเชี่ยนพบเห็นบิดาแอบมาตรวจโรคที่โรงพยาบาลนี้ มีการปรับสีให้ออกโทนน้ำเงิน เพื่อมอบสัมผัสอันหนาวเหน็บ เย็นยะเยือก อ้างว้างเดียวดาย และการแสดงออกของเจียเชี่ยน (เหมือนจะไม่บอกทั้งพี่และน้องด้วยนะ) ก็มีความห่วงหวง เป็นห่วงเป็นใย ตื่นเช้าโดยไม่ต้องปลุก (แต่เหมือนจะยังไม่ได้นอนมากกว่า)

การออกจากบ้านของเจียหนิงและเจียเจิ้น สังเกตว่ามีความแตกต่างตรงกัน! แต่ก็ละม้ายคล้ายคลึงคือโคตรปัจจุบันทันด่วน ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน (ผู้ชมเองก็ด้วยนะ) และพวกเธอพูดบอกระหว่างกำลังจะรับประทานอาหาร

  • น้องคนเล็กเจียหนิง หันกล้องไปทางหน้าต่าง (ฝั่งตรงข้ามเหลาจู) พูดบอกระหว่างกำลังรับประทานหม้อไฟ (น่าจะสื่อถึงความลุ่มร้อนระอุที่อยู่ภายในจิตใจของคนอื่นๆ) แต่ดูก้มหน้าก้มตา ไม่ค่อยกระตือรือล้นสักเท่าไหร่ และจากไปโดยรถแท็กซี่ พร้อมสัมภาระเสร็จสรรพ
  • พี่คนโตเจียเจิ้น หันกล้องมาภายในบ้าน (ฝั่งด้านหลังเหลาจู) พูดบอกระหว่างใช้ขวานทุบอาหาร (นี่ย่อมสื่อถึงอารมณ์อันเกรี้ยวกราด) แต่เธอกลับเต็มไปด้วยความระริกระรี้ รีบวิ่งพาสามีมาแนะนำตัว และจากไปโดยรถมอเตอร์ไซด์ โดยไม่เก็บสิ่งข้าวของใดๆ

การเสียชีวิต(แบบปัจจุบันทันด่วน)ของลุงเหว่ย ทำให้ความครุ่นคิด สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของเหลาจูปรับเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้าม สอดคล้องกับภาพสี่แยกไฟแดง ล้อกับช็อตแรกของหนัง แต่สังเกตว่ารถจะเคลื่อนจากซ้ายไปขวา (กลับตารปัตรจากเดิมที่เคลื่อนจากบนลงล่าง) … นี่คือช็อตที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของหนังด้วยนะครับ

สำหรับเจียเจิ้น เริ่มจากมิอาจอดรนทนต่อบทเพลงรัก (ของบ้านตรงข้าม) ถึงขนาดยกลำโพงมาเปิดเพลง Handel: Sing Ye to the Lord จากออราทอริโอเรื่อง Israel in Egypt (1739) กระหึ่มไปสามบ้านแปดบ้าน!

จากนั้นปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนเองด้วยการทาลิปสติก แต่งหน้าทำผม เดินอย่างสง่าผ่าเผยไปโรงเรียน แต่พอพบเห็นว่าไม่มีจดหมายรักวางอยู่ตำแหน่งเดิม จึงก้าวขึ้นบนเวทีที่มีธงชาติไต้หวัน ป่าวประกาศค้นหาบุคคลผู้สร้างความปั่นป่วนคลุ้มคลั่งให้ตนเอง … นี่ราวกับเป็นการประกาศอิสรภาพ(ของไต้หวัน)จากเคยเก็บกด ‘sexual repression’ พยายามปกปิดตนเอง ราวกับระเบิดเวลาได้ปะทุระเบิดออกมา ไม่สนห่าเหวอะไรแม้งแล้ว ขอกระทำสิ่งตอบสนองตัณหา ความต้องการ พึงพอใจส่วนตนสักที!

ขณะที่เจียเจิ้นได้ปลดปล่อยตนเองสู่อิสรภาพทางเพศ เจียเชี่ยนเพิ่งมาตระหนักถึงสันดานธาตุแท้ของแฟนหนุ่ม ที่สนเพียงเรือนร่างกายของเธอ แถมยังมีหน้าบอกว่ากำลังจะแต่งงานกับสาวอีกคน แล้วขอคงความสัมพันธ์ FWB (Friend with Benefit) แบบเดิมเอาไว้ นั่นสร้างความปั่นป่วนท้องไส้ แม้ไม่มีเสียงร่ำไห้แต่ผู้ชมจะได้ยินสายน้ำตกไหล และเธอก็อ๊วกพ่นอาหารในกระเพาะทั้งหมดออกมา

เอาจริงๆพฤติกรรมของแฟนหนุ่มมันคือ ‘อิสรภาพ’ ทางเพศอีกรูปแบบหนึ่ง แต่อาการต่อต้านรับไม่ได้ของเจียเชี่ยน สามารถสื่อได้ว่าเธอยังมีบางส่วนในตนเองที่ยึดติดกับขนบประเพณี วิถีปฏิบัติดั้งเดิม ต้องการแต่งงานกับบุคคลผู้มีความจงรัก ซื่อสัตย์ ภักดี (ไม่ใช่เพลย์บอยหน้าด้านๆ มักมากแต่กามคุณ)

นี่เป็นฉากรับประทานอาหารเย็นที่กลับตารปัตรตรงกันข้ามกับตอนต้นเรื่องโดยสิ้นเชิง! จากเคยมีสมาชิกแค่ 1+3 (บิดา+บุตรสาวสามใบเถา) เพิ่มมาเป็น 9 คน! สีหน้าอันเคร่งขรึม บรรยากาศตึงเครียด ไม่มีใครกล้าพูดปริปากอะไรออกมา กลายเป็นสนุกสนานร่าเริง รอยยิ้มเบิกบาน นี่สิสมควรเป็นมื้ออาหารที่ใครๆต่างเฝ้ารอคอย!

เมื่อบิดาลุกขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ กล้องจะถ่ายจากภายนอกห้องอาหาร เคลื่อนเลื่อนผ่านผนังกำแพง ประตูหน้าต่าง จากฟากฝั่งหนึ่งไปสู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง (นัยยะเดียวกับการปรับเปลี่ยนทิศทางเดินรถ) เพื่ออารัมบทถึงทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไป ก่อนจะพูดบอกกล่าวจุดประสงค์แท้จริงของการนัดรวมรับประทานอาหารมื้อนี้!

ซึ่งเมื่อบิดาพูดเล่าความต้องการของตนเองออกมา นี่จึงกลายเป็นอาหารเย็นมื้อสุดท้ายของครอบครัวที่จะมารวมตัวพร้อมหน้า เพราะต่อจากนี้เขาได้ทำการละทอดทิ้งขนบประเพณี สิ่งเคยยึดถือมั่น เขวี้ยงขว้างอดีตทิ้งไป แล้วขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ ประกาศแต่งงานแฟนสาวเหลียงจินหลง แอบคบหามานมนาน (ปกปิดไว้เพราะต้องการให้ปัญหาการหย่าร้างสามีเก่าสิ้นสุด) ต่อจากนี้ไม่มีอะไรต้องปกปิดซุกซ่อนเร้นอีกต่อไป!

ภายหลังจากที่ใครต่อใครต่างแยกย้ายออกจากบ้าน ไปมีครอบครัว โลกส่วนตัวของตนเอง หนังนำเสนอสามฉากของการเกิดใหม่ เริ่มต้นใหม่ และอนาคตใหม่

  • เจียหนิงคลอดบุตร กำลังหลับปุ๋ยฝันถึงอนาคต
  • สามีของเจียเจิ้น กำลังเข้าพิธีจุ่มศีล แบ๊บติสต์ สัญลักษณ์ของการชำระล้างบ้าง เพื่อเริ่มต้นใหม่ในการเป็นคริสตชน
  • และเหลียงจินหลงท้องแก่ใกล้คลอด (ป๊ะป๋ายังน้ำเชื้อแรง) สื่อตรงๆได้ถึงอนาคตกำลังใกล้เข้ามาถึง

สำหรับเจียเชี่ยน แม้ยังคงอยู่ในบ้านหลังเดิมนี้ แต่เธอก็ได้เริ่มต้นเข้าครัว ทำในสิ่งตนเองเคยเพ้อใฝ่ฝัน ปรุงอาหารให้บิดารับประทาน แม้รสชาติของขิงจะเผ็ดปาก แต่นั่นก็ทำให้เขาตระหนักว่า ตนเองสามารถรับรสชาติแห่งความสุข หวนกลับมามีชีวิตชีวา ไม่ต้องระทมอมทุกข์ทรมานอีกต่อไป

ช็อตสุดท้ายของหนังอาจไม่ตราตรึง ลุ่มลึกซึ้งเท่า The Wedding Banquet (1993) แต่ถือเป็นภาพแทนความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างรุ่น บิดา-บุตรสาว เมื่อทั้งสองฝั่งฝ่ายไม่ต้องเก็บกด ปกปิดบัง ซุกซ่อนเร้นความรู้สึกภายใน ก็จักสามารถเริ่มสานสัมพันธ์ … ชวนให้นึกถึงภาพวาด Michelangelo: The Creation of Adam (1512) การสัมผัสระหว่างมนุษย์-พระเจ้า เลยก็ว่าได้!

ตัดต่อโดย Timothy S. Squyres (เกิดปี 1959) สัญชาติอเมริกัน ขาประจำผู้กำกับอังลี่ตั้งแต่ The Wedding Banquet (1993), Eat Drink Man Woman (1994), Sense and Sensibility (1995), Crouching Tiger, Hidden Dragon (2000), Hulk (2003), Lust, Caution (2007), Life of Pi (2012) ฯ

หนังทำการร้อยเรียงเรื่องราวโดยมีสมาชิกตระกูลเกาคือจุดศูนย์กลาง ประกอบด้วย(บิดา) เหลาจู, (บุตรสาวสามใบเถา) เจียเจิ้น, เจียเชี่ยน และเจียหนิง จากเคยรับประทานอาหารพร้อมหน้า ก่อนค่อยๆแยกย้าย จนสุดท้ายหลงเหลือเพียงเจียเชี่ยน (ที่วางแผนออกจากบ้านเป็นคนแรกด้วยซ้ำ)

  • แนะนำตัวละคร ร้อยเรียงวิถีชีวิต ประจำวัน ก่อนที่วันอาทิตย์จะมารับประทานอาหารร่วมกัน
    • เหลาจูตระเตรียมอาหารมื้อเย็น
    • สาวๆถึงเวลาเลิกงาน ตระเตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน
    • พร้อมหน้ารับประทานอาหารเย็น แต่แล้วเหลาจูก็ถูกเรียกตัวไปช่วยงานภัตตาคาร
  • ก้าวย่างของการเปลี่ยนแปลง
    • เหลาจูรำพันกับลุงเหว่ยถึงชีวิตที่หลงเหลือ แล้วได้ค้นพบความสนใจใหม่คือทำอาหารกลางวันให้บุตรสาวเพื่อนบ้าน
    • เจียเจิ้นได้รับจดหมายรัก ครุ่นคิดว่าจากครูพละคนใหม่
    • เจียเชี่ยนกำลังจะได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นผู้บริหาร
    • เจียหนิงใช้มารยาหญิงค่อยๆเกี้ยวพาแฟนของเพื่อน
  • ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง
    • เหลาจูถูกเกี้ยวพาโดยมาดามเหลียง แต่แอบสานความสัมพันธ์กับเหลียงจินหลง (มารดาของเด็กสาวข้างบ้าน)
    • เจียเจิ้นกำลังหมกมุ่นเพ้อคลั่งกับความรัก
    • อพาร์ทเม้นท์เจียเชี่ยนถูกนายทุนเชิดเงินหนี แถมถูกแฟนหนุ่มเปิดเผยว่ากำลังจะแต่งงานกับหญิงอื่น
    • เจียหนิงขึ้นอพาร์ทเม้นท์แฟนหนุ่ม
  • ถึงเวลาที่ต้องแยกจาก
    • การจากไปของเจียหนิง ประกาศว่าตั้งครรภ์
    • การจากไปของเจียเจิ้น จู่แต่งงานกับครูพละ
    • การจากไปของลุงเหว่ย สร้างความเศร้าโศกเสียใจแก่เจียเชี่ยน
    • การจากไปของเหลาจู ประกาศกลางโต๊ะอาหารว่าจะแต่งงานกับเหลียงจินหลง
  • สิ่งหลงเหลืออยู่ของเจียเชี่ยน
    • หลังจากทุกคนแยกย้าย พอถึงเย็นวันอาทิตย์อีกครั้ง เจียเจิ้นลงมือทำอาหารให้เหลาจู

การลำดับเรื่องราวของหนังถือว่ามีความท้าทายไม่น้อย (ทั้งกระบวนการตัดต่อและรับชม) เพราะต้องร้อยเรียง 4 เรื่องราวนำเสนอเคียงคู่ขนาน สลับกันไปมา ซึ่งก็ไม่ได้ไล่เรียงตามที่ผมแยกแยะมานะครับ (แค่อธิบายให้เห็นภาพรวมเฉยๆ) แต่มีการคลุกเคล้าเหมือนส่วนผสมอาหาร เปลี่ยนมุมมองไปมาโดยใช้เวลา เช้า-สาย-บ่าย-ค่ำ ตามอารมณ์ของผู้สร้าง

แต่ไฮไลท์ผมยกให้ตอนเหลาจูเข้าครัวทำอาหาร เพราะมีการตัดต่อสลับกับเชฟตัวจริง (คาดว่าน่าจะผู้กำกับอังลี่เองนะแหละ) ขณะทำการ Close-Up หั่นหมูหันผัก คลุกเคล้าส่วนผสม ต้ม-ผัด-แกง-ทอด ซึ่งต้องชมเลยว่ามีความแนบเนียน เป็นธรรมชาติสุดๆ รับชมแบบผ่านๆจะครุ่นคิดว่าคุณปู่หลานซงแสดงฝีมือด้วยตนเองจริงๆ


เพลงประกอบโดย Thierry Schollhammer (เกิดปี 1958) หรือชื่อในวงการ Mader เกิดที่ Saint-Paul-de-Vence ประเทศฝรั่งเศส, ค้นพบความชื่นชอบด้านดนตรีตั้งแต่อายุ 5 ขวบ หลงใหลบทเพลงแนว Impressionist ของ Maurice Ravel, Nino Rota, Ennio Morricone, Henry Mancini, เข้าสู่วงการภาพยนตร์จากเป็นผู้ช่วย Michel Magne, ผลงานเด่นๆ อาทิ In the Soup (1992), The Wedding Banquet (1993), Eat Drink Man Woman (1994) ฯ

I really liked Mader’s music. It was very romantic, had a lot of Latin elements in it, and I just loved it. To this day I still listen to that sountrack a lot.

อังลี่ กล่าวถึงผลงานเพลงของ Mader

งานเพลงของ Eat Drink Man Woman (1994) มีหลายๆส่วนละม้ายคล้าย The Wedding Banquet (1993) ในการสร้างสีสัน เรียกเสียงหัวเราะขบขัน เต็มไปด้วยความขี้เล่นซุกซน ผสมผสานดนตรีสากลเข้ากับเครื่องดนตรีพื้นบ้านจีนได้อย่างกลมกล่อมลงตัว แต่ในส่วนดราม่าของหนัง จะเน้นบรรยากาศเวิ้งว่างเปล่า โดดเดี่ยวเดียวดาย แม้ครอบครัวจะอาศัยอยู่พร้อมหน้า ต่างคนต่างมีโลกส่วนตัวเอง ไม่สามารถพูดคุยสื่อสาร สนทนาทำความเข้าใจ ช่างมีความเหินห่างไกลกันยิ่งนัก

น่าเสียดายที่อัลบัมเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังไม่ได้รับการเผยแพร่ออนไลน์ เลยนำเอา Ending Credit มาให้ฟังเพลินๆไปก่อนนะครับ

แถมให้กับฉากเข้าครัวทำอาหาร เพลงประกอบฟังดูครื้นเครง ผ่อนคลาย ใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้าน (ซอ, จีน, ขลุ่ย ฯ) มอบกลิ่นอายความเป็นอาหารจีน มักสอดแทรกดังขึ้นระหว่างเสียง Sound Effect (ของการต้ม-ผัด-แกง-ทอด สับหมู หั่นผัก ไล่จับไก่ ฯ) สร้างอรรถรสในการรับสัมผัส ซึ่งถ้าใครท้องว่าง อาจทำให้น้ำลายสลอโดยไม่รู้ตัว

การรับประทานอาหารมื้อเย็น ควรเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข สนุกสนาน เพราะสมาชิกทุกคนในบ้านจักได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้า พูดคุยสนทนา สื่อสารแลกเปลี่ยน แต่สำหรับตระกูลเกา ‘พิธีกรรม’ ดังกล่าวกลับเต็มไปด้วยความอึดอัด เก็บกดดัน บรรยากาศตึงเครียด ไม่มีใครกล้าที่จะปริปาก เพราะรู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับให้ต้องกระทำตาม ยึดถือมั่นในขนบประเพณีโบร่ำราณ ตราบยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้

เราสามารถอุปมาอุปไมยบ้านหลังนี้ ก็คือประเทศไต้หวัน ในช่วงทศวรรษ 90s ประกอบด้วยสมาชิกรุ่นราวคราวแตกต่างกันไป (นักวิจารณ์บางคนจะเรียกตามชื่อรุ่น Baby Boomer, Gen X, Gen Y แต่ผมรู้สึกว่าผู้กำกับอังลี่ใช้การเปรียบเทียบตามทศวรรษมากกว่า!)

  • บิดาเหลาจู (หลานซง เกิดปี 1930) คือชาวจีนแผ่นดินใหญ่ อพยพมาปักหลักไต้หวันช่วงสงครามกลางเมืองจีนครึ่งหลัง (1945-49) ถือเป็นตัวแทนของคน(จีน)รุ่นเก่า ที่ยังยึดถือมั่นในขนบประเพณี ธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิมมาจนถึงปัจจุบัน
  • เจียเจิ้น (หยางกุ้ยเหมย เกิดปี 1959) พี่สาวคนเติบโตขึ้นในช่วงสงครามเย็นระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่ vs. ไต้หวัน จึงยังคงถูกเสี้ยมสอน หล่อหลอม ได้รับอิทธิพลค่านิยมจีนดั้งเดิม เลยรักนวลสงวนตัว ปกปิดความรู้สึกไว้ภายใน จึงกลายเป็นคนเก็บกดดัน ต้องหันไปพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้า
  • เจียเชี่ยน (อู๋เชี่ยนเหลียน เกิดปี 1968) พี่คนรองเติบโตขึ้นในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งเริ่มทุเลาลง อิทธิพลตะวันตกเริ่มเผยแผ่เข้ามา จึงมีความครุ่นคิดหัวก้าวหน้า (เป็นผู้หญิงทำงาน ไม่ปกปิดความต้องการทางเพศ) แต่ก็ยังยึดติดกับขนบประเพณีอยู่บ้าง
  • เจียหนิง (หวังหยูเหวิน เกิดปี 1971) น้องคนเล็กยังร่ำเรียนหนังสือ เติบโตขึ้นในช่วงเวลาที่อิทธิพลตะวันตกแผ่ปกคลุมทั้งทุกสารทิศ แทรกซึมจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ใคร่สนธรรมเนียมปฏิบัติอะไรทั้งนั้น ครุ่นคิดอยากจะทำอะไรก็ทำ สนเพียงตอบสนองความพึงพอใจส่วนตนเท่านั้น

สมาชิกในบ้านหลังนี้ ต่างไม่มีความสุขกับช่วงเวลารับประทานอาหารมื้อเย็น (ก็คือไม่พึงพอใจในวิถี/ประเพณีที่เป็นอยู่) จึงพยายามมองหาหนทาง ต้องการดิ้นรนหลบหนี ก้าวออกจากสถานที่แห่งนี้เพื่อไปมีชีวิตเป็นของตนเอง นั่นหมายถึงสภาพของไต้หวัน (ในความมุมมองผู้กำกับอังลี่) กำลังใกล้ถึงวันล่มสลาย ไม่ใช่แผ่นดินพังทลายนะครับแต่คือการสูญเสียอัตลักษณ์ความเป็นจีน ถูกอิทธิพลตะวันตกเข้าควบคุมครอบงำ กลืนกินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน

แต่ทัศนะของผู้กำกับอังลี่ ไม่ได้คิดจะปฏิเสธต่อต้านอิทธิพลชาติตะวันตกเลยนะครับ ตรงกันข้ามแนะนำให้ยินยอมรับ ปรับตัว เปลี่ยนแปลงตนเองสู่โลกยุคสมัยใหม่ (นั่นเพราะอังลี่ไปร่ำเรียนต่อสหรัฐอเมริกามาหลายปี จึงเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่ชาวตะวันออกมิอาจต่อต้านทาน) ชักชวนให้ผู้ชมรู้สึกรำคาญต่อพฤติกรรมดื้อด้าน เอาแต่ใจ จะมัวเก็บกด ทนอยู่โดดเดี่ยวตัวคนเดียวอยู่ทำไม ไม่ลองพูดเปิดเผย แสดงความต้องการภายในออกมา … เหลาจูแต่งงานกับเหลียงจินหลงที่อายุน้อยกว่าหลายสิบปี มันผิดอะไร?

ระเบิดเวลาที่สะสมมากว่า 5,000 ปี ก็ค่อยๆปะทุระเบิดออกโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้พิธีกรรมรับประทานอาหารเย็นมีอันสิ้นสุดลง สมาชิกแต่ละคนต่างแยกย้ายไปมีครอบครัวใหม่ แต่นั่นกลับทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-บุตรสาวทั้งสามค่อยๆฟื้นฟูขึ้นตามลำดับ เหมือนต่อมรับรสชาติของเหลาชู เมื่อลิ้มลองน้ำซุปบุตรสาวคนรอง รอยยิ้ม คราบน้ำตา วิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

หนึ่งในการเปรียบเทียบที่ผมชื่นชอบมากๆ อาหารดื่มกิน (Eat Drink) คือสิ่งอยู่บนโต๊ะสำหรับรับประทาน ผิดกับเรื่องของชายๆหญิงๆ (Man Woman) ควรซุกซ่อนไว้ใต้โต๊ะ ไม่ควรนำมาเปิดเผยบนโต๊ะอาหาร … แต่เมื่อใครต่อใครต่างเอ่ยปากพูดเรื่องใต้โต๊ะออกมา(บนโต๊ะอาหาร) พิธีกรรมดังกล่าวจึงหมดความศักดิ์สิทธิ์ สิ้นสุดลง ไร้ความจำเป็นอีกต่อไป

ไตรภาคป๊ะป๋ารู้ดี ‘Father Knows Best’ นำเสนอการเผชิญหน้าระหว่างคนสองรุ่น หนุ่มสาว-ผู้สูงวัย ความเป็นตะวันตก-ตะวันออก โหยหาอิสรภาพเสรี (Freedom) vs. ยึดถือมั่นในกฎกรอบประเพณี (Tradition) ต้องการเป็นตัวของตนเอง (Individual) vs. ต้องการการยินยอมรับจากผู้อื่น (Society) ฯลฯ ความขัดแย้งเหล่านี้มักสร้างความอึดอัดคับข้องใจให้ทั้งสองฝั่งฝ่าย ซึ่งสามารถแก้ปัญหาโดยการพูดคุยเผชิญหน้า ยินยอมรับฟังความจริง ปล่อยวางอคติของตนเอง และรู้จักให้อภัยกันและกัน

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกน่าผิดหวังอย่างรุนแรงในบทสัมภาษณ์ของผู้กำกับอังลี่ มีนักข่าวสอบถามว่าเจียเชี่ยน(ลูกคนรอง)จะสามารถเปลี่ยนมาเติมเต็มความฝันในการเป็นเชฟหรือไม่? เขาตอบว่านั่นคือสิ่งเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด! (ตอบแบบอัตโนมัติเลยนะ)

That would be almost impossible. You see, usually chefs in China are not so educated. Usually, they come from poor families and are trained in disciple-master system. It’s a heavy-duty job.

อังลี่ แสดงความคิดเห็นถึงเหตุผลที่เจียเชี่ยน ไม่มีทางเปลี่ยนมาทำอาชีพเชฟ

แต่ผมรู้สึกว่าผู้กำกับอังลี่ เหมือนพยายามจะเปรียบเทียบเจียเชี่ยน คือภรรยาของเขาที่เป็นผู้หญิงทำงาน มีความขยันขันแข็ง ถึงหัวก้าวหน้าก็ยังยึดติดในขนบประเพณีหลายๆอย่าง ยกเว้นเพียงเรื่องทำอาหารเพราะมีความละเอียดอ่อนเกินไป (กลายเป็นอังลี่ที่เป็นพ่อครัวในบ้านหลังนี้แทน)

I’m a good cook, my brother is a good cook, a lot of my male friends are good cooks. But my wife doesn’t cook at all. A lot of Chinese women I know aren’t required to cook any more so they run away–as far as they can–from the kitchen.

อังลี่กล่าวถึงภรรยา ที่ไม่ชอบเข้าครัวสักเท่าไหร่

เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยัง Directors’ Fortnight เทศกาลหนังเมือง Cannes จากนั้นก็ออกไล่ล่ารางวัล จนได้รับเลือกเป็นตัวแทนไต้หวัน เข้าถึงรอบสุดท้าย Oscar: Best Foreign Language Film ก่อนพ่ายให้กับ Burnt by the Sun (1994) จากสหภาพโซเวียต

  • Academy Award: Best Foreign Language Film
  • Golden Globe Award: Best Foreign Language Film
  • BAFTA Awards: Best Film Not in the English Language
  • Golden Horse Film Awards
    • Best Feature Film
    • Best Supporting Actress (กุยย่าเหล่ย)
    • Best Original Screenplay

หนังไม่มีรายงานทุนสร้าง (คาดว่าน่าจะอยู่ประมาณ 1$ ล้านเหรียญ) สามารถทำเงินได้ $24.2 ล้านเหรียญ! ถ้าเทียบอัตราส่วนกำไร รายรับ:รายจ่าย จะสูงอันดับสามของปีรองจาก Four Weddings and a Funeral (1994) และ The Lion King (1994)

บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยชอบหนังแนวนี้เลยนะ สร้างความปั่นป่วนท้องไส้ แค่สิบนาทีแรกก็น้ำลายไหลจนต้องไปหาอะไรมารองท้องรับประทาน แถมชื่อของมาสเตอร์เชฟอังลี่ การันตีว่าต้องมีรสชาติจัดจ้าน ครบเครื่อง อย่างคาดไม่ถึง … แต่เมื่อเทียบกับ The Wedding Banquet (1993) มันเหมือนมีบางสิ่งอย่างขาดๆหายๆ

Eat Drink Man Woman (1994) เป็นภาพยนตร์เต็มไปด้วยความหิวกระหายที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันทันด่วน ‘หักมุม’ จนแทบติดตามไม่ทัน! ซึ่งนั่นจะทำให้การหวนกลับมารับชมครั้งสอง-สาม มันอาจไม่ตราตรึงใจเท่า ‘First Impression’ (แต่ก็แลกมากับการได้พบเห็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ซุกซ่อนเร้นไว้มากมาย)

อีกปัญหาหนึ่งคือ Eat Drink Man Woman (1994) ขาดฉากที่มีความลุ่มลึกล้ำระดับเดียวกับ The Wedding Banquet (1993) ภาพจำส่วนใหญ่จะเป็นโต๊ะอาหาร สาวๆสวยๆ และคุณปู่ตัณหากลับ … เป็นหนังที่เสื่อมสภาพตามกาลเวลา

แนะนำบรรดานักกิน เชฟ-พ่อครัว ผู้ชื่นชอบหลงใหลในอาหารจีน, ศึกษาวิถีชีวิต สภาพสังคมไต้หวัน ช่วงทศวรรษ 90s, คอหนังรัก ชื่นชอบการหักมุม เรื่องราวที่คาดไม่ค่อยถึง, แฟนๆผู้กำกับอังลี่ และนักแสดงสาวๆ หยางกุ้ยเหมย, อู๋เชี่ยนเหลียน, หวังหยูเหวิน ไม่ควรพลาดเลยละ!

จัดเรต 13+ กับความเก็บกดทางเพศของตัวละคร จนแสดงออกอย่างสุดโต่งคนละขั้ว

คำโปรย | Eat Drink Man Woman นำเสนอความหิวกระหายในการมีชีวิตของผู้กำกับอังลี่ จนกระทั่งได้ดื่มกินจนอิ่มหนำ
คุณภาพ | ร์เชฟ
ส่วนตัว | หิวกระหาย

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: