
Edvard Munch (1974)
: Peter Watkins ♥♥♥♥♡
(5/5/2025) ภาพยนตร์ชีวประวัติ Edvard Munch จิตรกรลัทธิสำแดงพลังอารมณ์ (Expressionism) ด้วยลีลานำเสนอสไตล์สารคดีปลอมๆของผู้กำกับ Peter Watkins จับจ้องมองหน้าหาเรื่อง สร้างความอึดอัดอั้น ทำเอาผู้ชมอยากจะกรีดร้อง (The Scream) อย่างคลุ้มบ้าคลั่ง
ผมไม่เคยรับรู้จัก Edvard Munch หรือลัทธิสำแดงพลังอารมณ์ (Expressionism) ก่อนหน้ารับชม Edvard Munch (1974) เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นยังเข้าไม่ถึงวิธีการนำเสนอของหนังด้วยซ้ำ แต่สัมผัสได้ถึงพลัง อารมณ์ ถ่ายทอดความรู้สึกอัดอั้น กรีดกรายผ่านภาพวาดบนผืนผ้าใบได้อย่างทรงพลัง
เก้าปีผ่านไปไวเหมือนโกหก! เมื่อหลายวันก่อนตอนเขียนถึง The War Game (1966) ผมเกิดความกระตือรือลือร้นอยากรับชมหนังเรื่องนี้อีกสักรอบ แล้วบอกเลยว่ายิ่งดูยิ่งขนลุก มันเป็นความรู้สึกอันเอ่อล้น บางคนอาจรำคาญกับการฉายภาพซ้ำๆ นักแสดงจับจ้องมองหน้าหาเรื่อง “Breaking the Fourth Wall” แต่ถ้าคุณสามารถทำความเข้าใจแนวคิด วิธีการนำเสนอของผกก. Watkins ก็อาจพบเห็นสรวงสวรรค์รำไร โดยเฉพาะวินาทีถือกำเนิดภาพวาด Expressionism มันช่างงดงามตราตรึงยิ่งนัก
แนวคิดของผกก. Watkins มีคำเรียก Pseudo หรือ Fake Documentary จริงๆมันก็คือภาพยนตร์นะแหละ (Fictional Films) แต่ใช้วิธีการนำเสนอสไตล์สารคดี (Documentary-like) มีการพูดคุยสัมภาษณ์ จำลองสถานการณ์ กล้องบันทึกภาพเหตุการณ์ ตัวละครรับรู้การมีตัวตนของกล้อง จึงมักหันมามองหน้าสบตา “Breaking the Fourth Wall”
แซว: บางคนอาจไม่เข้าใจว่า Edvard Munch มีชีวิตในช่วงปลายศตวรรษที่ 20th (เรื่องราวเกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1884-1895) ยุคสมัยนั้นสองพี่น้อง Lumière เพิ่งเริ่มประดิษฐ์คิดค้น Cinématographe มันจะมีกล้องให้ตัวละครจับจ้องมองได้ยังไง? … เอิ่ม นี่มันภาพยนตร์นะครับ วิธีการนำเสนอของผกก. Watkins มีคำเรียก Fake Documentary จะไปจริงจังกับมันทำไม?
ด้วยวิธีการนำเสนออันแปลกประหลาด เสียงตอบรับเมื่อตอนออกฉายจึงก้ำๆกึ่งๆ “Trip on the borders of Genius and Insanity” “the struggle to remember, the struggle to forget” แถมกาลเวลายังทำให้หนังค่อยๆเลือนหาย ไม่ได้รับการพูดกล่าวถึงสักเท่าไหร่ แต่นี่คือผลงานมาสเตอร์พีซ คุณภาพระดับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาล!
Peter Watkins (เกิดปี ค.ศ. 1935) ผู้กำกับภาพยนตร์/สารคดี สัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Norbiton, Surrey ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองยังไม่ค่อยประสีประสา แต่รับรู้ว่าครอบครัวต้องอพยพย้ายบ้านบ่อยครั้งเพื่อหาสถานที่ปลอดภัย โตขึ้นหลังรับใช้ชาติ East Surrey Regiment เข้าเรียนต่อวิทยาลัย Christ College, Cambridge ฝึกฝนการแสดงยัง Royal Academy of Dramatic Arts, London จากนั้นเข้าร่วมคณะละคอนเวที Playcraft ต่อด้วยสถานีโทรทัศน์ BBC ไต่เต้าจากผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ ผู้ช่วยตัดต่อ กำกับโฆษณา พัฒนาสไตล์ Newsreel-like สำหรับหนังสั้น The Diary of An Unknown Soldier (1959), The Forgotten Faces (1961), สารคดีเรื่องแรก Culloden (1964), The War Game (1966)
ช่วงปี ค.ศ. 1968, ระหว่างที่ผกก. Watkins นำหลายๆผลงานไปฉายยัง Oslo University แล้วมีโอกาสเดินทางเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Edvard Munch Museum เกิดความตราตรึงหลายๆผลงานของจิตรกร Edvard Munch โดยเฉพาะ The Sick Child (1885-86) และ Death and the Child (1889) ที่ตอนวาดเสร็จมักถูกโจมตีจากนักวิจารณ์ศิลปะ กล่าวว่าดูเหมือนยังวาดไม่เสร็จ “incomplete” แต่กาลเวลาได้ทำให้ผลงานเหล่านั้นกลายเป็นมาสเตอร์พีซ
Edvard Munch is the most personal film I have ever made. Its genesis lies in a visit to the Edvard Munch Museum in Oslo, in 1968, during the time of a screening of several of my films by the Oslo University. I was awestruck by the strength of Munch’s canvases, especially those depicting the sad life of his family, and was very moved by the artist’s directness – with the people in his canvases looking straight at us.
Peter Watkins
ผกก. Watkins ใช้เวลาถึงสามปีกว่าจะสามารถโน้มน้าวสถานีโทรทัศน์ NRK (Norsk rikskringkasting หรือ Norwegian Broadcasting Corporation) ให้ยินยอมร่วมทุนสร้างกับสถานีโทรทัศน์อีกช่อง SVT (Sveriges Television หรือ Sweden’s Television Stock Company)
ในส่วนของบทหนังผกก. Watkins ดัดแปลงรายละเอียดจากสมุดบันทึกประจำวันของ Munch หยิบยืมจากพิพิธภัณฑ์ Edvard Munch Museum ในไดอารี่ระบุไว้ว่าได้รับคำแนะนำจาก Hans Jæger ให้เขียนเรื่องราวชีวิต สำรวจสภาวะอารมณ์ สภาพจิตวิทยาของตนเอง “reflection and self-examination” และมีคำเรียก “Soul’s Diary”
Edvard Munch (1863-1944) จิตรกรเอกสัญชาติ Norwegian เกิดที่ Ådalsbruk, Løten (ขณะนั้นคือ United Kingdoms of Sweden and Norway) เป็นบุตรคนที่สองจากพี่น้องทั้งหมดห้าคน บิดาคือนายแพทย์ผู้เคร่งครัดศาสนา Christian Munch ต้องพาครอบครัวออกเดินทางไปทำงานยังเมืองต่างๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1964 ปักหลักอาศัยอยู่ Kristiania (ปัจจุบันคือเมืองหลวง Oslo), สองปีถัดมามารดา Laura Catherine Bjølstad เสียชีวิตจากวัณโรค (Tuberculosis)

วัยเด็กของ Edvard ล้มป่วยอิดๆออดๆ จึงมักไม่ค่อยได้ไปโรงเรียน ชื่นชอบเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนค้นพบความสนใจด้านการวาดภาพจากพี่สาวคนโต Johanne Sophie แล้วคุณป้าพบเห็นพรสวรรค์จึงให้การส่งเสริมสนับสนุน จนอายุสิบสามมีโอกาสรู้จักสมาคมศิลปะ (Art Association) ได้รับอิทธิพลภาพวาดทิวทัศน์ (Norwegian Landscape) จึงเริ่มฝึกหัดใช้สีน้ำมันเป็นครั้งแรก
บิดาพยายามบังคับให้บุตรชายเรียนต่อวิศวกรรม แต่สุขภาพร่างกายไม่ไหว จึงตัดสินใจลาออกกลางคัน ก่อนเลือกดำเนินตามความฝัน (ขัดขืนคำสั่งบิดา) สอบเข้าโรงเรียนศิลปะ Royal School of Art and Design (ที่บรรพบุรุษ Jacob Munch เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง) ฝึกฝนภาพวาดแนวธรรมชาตินิยม (Naturalism) จากจิตรกร Christian Krohg

ประมาณปี ค.ศ. 1884, Edvard ได้เข้าร่วมกลุ่ม Kristiania-bohemen (Kristiania Bohemians) ที่มีผู้นำ Hans Jæger เสี้ยมสอนแนวคิดต่อต้านขนบสังคม โอบรับวิถีชีวิตสไตล์ Bohemian โหยหาอิสรภาพ เปิดกว้างเรื่องความสัมพันธ์(ทางเพศ) เรียนรู้จักการพูด-แสดงออกความต้องการ ถ่ายทอดอารมณ์/สภาพจิตวิทยาผ่านงานศิลปะ (Soul Painting) … อิทธิพลของ Kristiania Bohemians ทำให้ Edvard Munch รังสรรค์ภาพวาด Inger Munch in Black (1884)

เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1885, Edvard ได้รับทุนการศึกษาจาก Frits Thaulow เดินทางสู่กรุง Paris แม้ในระยะเวลาเพียงสามสัปดาห์สั้นๆ พบเห็นผลงาน Classical Art ที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างล้นหลาม, พอหวนกลับ Norway เดินทางไปพักร้อนยังหมู่บ้านชนบท Bone แอบสานสัมพันธ์กับหญิงนามสมมติ Mrs. Heiberg (ชื่อจริงคือ Millie Thaulow) แต่เธอมีคู่ครองอยู่แล้วเขาจึงเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา สำแดงออกมาผ่านภาพวาด The Sick Child (1885-86) อุทิศให้พี่สาวคนโต Johanne Sophie ล่วงลับจากวัณโรค (เดียวกับมารดา) ตอนอายุเพียง 15 ปี

แต่ด้วยเสียงตอบรับที่ย่ำแย่ทำให้ Edvard ตัดสินใจออกเดินทางสู่กรุง Paris ขณะนั้นลัทธิ Symbolism กำลังเข้ามาแทนที่ Naturalism แล้วพอได้ยินข่าวการเสียชีวิตของบิดา (เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989) ความเศร้าโศกจึงถาโถมเข้าใส่ รังสรรค์ภาพวาด Night in Saint Cloud (1890) เงาของชายคนหนึ่งนั่งอยู่ตัวคนเดียวภายในบ้านอันมืดมิด
หลังรักษาตัวจากไข้รูมาติก (Rheumatic fever), Edvard ก็ได้รังสรรค์ภาพวาดอย่าง Melancholy (1891), Kiss by the Window (1891), Sick Mood at Sunset. Despair (1892), Inger in Black and Violet (1892) ฯ ล้วนถูกนักวิจารณ์ส่ายหัว ตอนจัดแสดงผลงานที่ Berlin ผู้จัดถึงขนาดต้องล้มเลิกงานกลางคัน




ระหว่างพำนักอาศัยอยู่ Imperial Germany, Edvard ได้กลายเป็นเพื่อนกับ August Strindberg, Sigbjorn Obsfelder และ Stanislaw Przybyszewski ทั้งยังคบหานักเรียนดนตรีสาว Dagny Juel ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นนางแบบภาพวาดเปลือย Madonna (1894) ของพระแม่มารีย์ (Virgin Mary)
ต่อด้วย Moonlight (1893), Death in the Sickroom (1893), Love and Pain (1894) ตั้งใจให้เป็นภาพหญิงสาวจุมพิตต้นคอแฟนหนุ่ม แต่ทว่า Stanislaw Przybyszewski แนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็น Vampire ดูดเลือด!





สำหรับผลงานชิ้นเอกที่ถือเป็นจุดสูงสุดของศิลปะ Expressionism ได้รับการยกย่องกล่าวขวัญ “an icon of modern art” เทียบเท่ากับภาพวาด “Mona Lisa for our time” ก็คือ Skrik แปลว่า The Scream (1893) ภาพบุคคลหน้าเหมือนเด็ก แสดงสีหน้าหลอกหลอน หวาดสะพรึงกลัว ระหว่างพบเห็นพระอาทิตย์กำลังตกดิน ก้อนเมฆสะท้อนแสงสีแดง(เลือด) ดูราวกับเปลวเพลิงมอดไหม้ เสียงกรีดร้องของธรรมชาติ … ด้วยความบิดๆเบี้ยวๆของภาพนี้ จึงมักถูกเชื่อมโยงกับความผิดปกติทางจิต อาการตกใจกลัวอย่างรุนแรง (Panic Attack)
Munch วาดภาพ The Scream ทั้งหมดสี่ภาพ และยังทำเป็นภาพพิมพ์หิน (Lithography) สำหรับพิมพ์งานศิลปะลงกระดาษ … สำหรับภาพที่ใช้ในหนังวาดขึ้นปี ค.ศ. 1893 เป็นการผสมผสานระหว่างสีน้ำมัน สีชอร์ก และสีฝุ่นเทมเพอรา (ไม่ได้ยึดติดกับการใช้สีประเภทเดียว) น่าจะเป็นภาพโด่งดังที่สุดในคอลเลคชั่นแล้วกระมัง เคยถูกโจรกรรมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1994 ก่อนจะตามคืนมาได้ในอีกสามเดือนถัดมา ปัจจุบันจัดแสดงอยู่หอศิลป์แห่งชาติ Nasjonalgalleriet หรือ National Gallery ณ กรุง Oslo
ปล. หนึ่งในภาพ The Scream ที่ใช้สีชอล์กบนกระดาษแข็ง วาดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1895 ได้ถูกประมูลในราคาราว 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี ค.ศ. 2012 กลายเป็นหนึ่งในผลงานศิลปะราคาสูงที่สุดโลก (ขณะนั้น)
One evening I was walking along a path, the city was on one side and the fjord below. I felt tired and ill. I stopped and looked out over the fjord – the sun was setting, and the clouds turning blood red. I sensed a scream passing through nature; it seemed to me that I heard the scream. I painted this picture, painted the clouds as actual blood. The color shrieked. This became The Scream.
I was walking along the road with two friends – the sun was setting – suddenly the sky turned blood red – I paused, feeling exhausted, and leaned on the fence – there was blood and tongues of fire above the blue-black fjord and the city – my friends walked on, and I stood there trembling with anxiety – and I sensed an infinite scream passing through nature.
คำอธิบายภาพวาด The Scream ในไดอารี่ของ Edvard Munch

กว่าที่ผลงานของ Edvard จะเริ่มได้รับคำชื่นชมก็เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1894 โดยนักวิจารณ์ศิลปะ Julius Meier-Graefe แต่ส่วนใหญ่ยังคงโจมตีผลงาน จนเมื่อถึงจุดๆหนึ่งเขาจึงมองหาหนทางออกอื่น เรียนรู้การทำภาพพิมพ์จาก Auguste Clot รังสรรค์ภาพพิมพ์แกะไม้ (Woodcut), ภาพพิมพ์หิน (Lithography) และภาพพิมพ์กัดกรด (Etching) ทำให้ผลงานได้รับการเผยแพร่ เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
(จริงๆมันยังมีภาพวาดอีกหลายชิ้นที่พบเห็นในหนัง แต่ผมเลือกเอาเฉพาะผลงานสำคัญๆ แค่พอหอมปากหอมคอเท่านี้ก็เพียงพอแล้วกระมัง)
From my rotting body,
Edvard Munch
flowers shall grow
and I am in them
and that is eternity.
สไตล์การทำงานของผกก. Watkins เลือกใช้นักแสดงสมัครเล่นทั้งหมด 360 คน คัดเลือกจากละแวกที่เดินทางไปถ่ายทำยัง Oslo, Åsgårdstrand และพิพิธภัณฑ์ Musée Rodin (ฝรั่งเศส) โดยการถ่ายทำแบ่งออกเป็นสองช่วงเวลา
- กุมภาพันธ์ – มีนาคม ค.ศ. 1973 สำหรับฉากฤดูหนาว (Winter)
- พฤษภาคม – มิถุนายน ค.ศ. 1973 คาบเกี่ยวระหว่างฤดูใบไม้ผลิ (Spring) และฤดูร้อน (Summer)
สำหรับทีมงานแทบทั้งหมดมาจากสถานีโทรทัศน์ NRK ทุกคนล้วนมีประสบการณ์ เป็นมืออาชีพ ถึงขนาดผกก. Watkins ต้องเอ่ยปากชื่นชม
The film crew – cameraman Odd Geir Sæther, art director Grethe Hejer, costume director Ada Skolmen, make-up artist Karin Sæther, sound recordists Kenneth Storm-Hansen and Bjørn Hansen, researcher Anne Veflingstad, dialogue advisor Åse Vikene – came from NRK, and was one of the very best working groups I have ever had. This was truly one of the ‘magical’ creative experiences of my life – and I sadly regret not having been allowed, in all those years since, to continue developing this method of working.
Peter Watkins
ถ่ายภาพโดย Odd Geir Sæther (เกิดปี ค.ศ. 1941) สัญชาติ Norwegian ได้แรงบันดาลใจจาก French New Wave ทำให้หลงใหลการใช้แสงธรรมชาติ ผลงานเด่นๆ อาทิ Journey to the Sea (1966), Edvard Munch (1974), Man on the Roof (1976), และบังเอิญพบเจอ David Lynch ขณะถ่ายทำ Inland Empire (2006) ที่ Łódź, Poland ประทับใจในผลงานเลยชักชวนมาเป็นผู้ควบคุมกล้อง (Camera Operator)
หนังถ่ายทำด้วยฟีล์ม 16mm อัตราส่วน Academy Ratio (1.37:1) สำหรับฉายทางโทรทัศน์ (อัตราส่วนพอๆกับผืนผ้าใบวาดรูป) คุณภาพอาจดูเก่าๆ หยาบๆ จัดแสงฟุ้งๆ เต็มไปด้วยเม็ดฟีล์ม (Grain) กอปรกับลีลาถ่ายภาพที่เต็มไปด้วยช็อตระยะใกล้ โคลสอัพใบหน้า ตัวละครหันมาสบตาหน้ากล้อง (Breaking the Fourth Wall) สร้างความอึดอัด กระอักกระอ่วน ผู้ชมรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ (รวมถึงการฉายภาพพี่สาวกระอักเลือดซ้ำๆ) นั่นคึอวิธีสำแดงพลังอารมณ์ของผกก. Watkins แบบเดียวกับภาพวาด Expressionism ถ่ายทอดความรู้สึกของ Edvard Munch
วิธีการนำเสนอของผกก. Watkins ในสไตล์เลียนแบบสารคดี มีทั้งบทสัมภาษณ์ บันทึกภาพเหตุการณ์ (ถ้าไม่พูดคุยสนทนา ก็มักเดินไปเดินมา และขีดๆฆ่าๆภาพวาดศิลปะ) ราวกับกล้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราว แลดูเหมือนการแอบถ่าย ทำให้ตัวละครมักหันมาสบตา มองหน้าหาเรื่อง (Breaking the Fourth Wall) … บุคคลในภาพวาดของ Munch ก็มักจับจ้องผู้ชมเช่นเดียวกัน
ตัดต่อโดย Peter Watkins พร้อมกับผู้ช่วยตัดต่อ Lorne Morris,
ถ้าไม่นับภาพ ‘Flash’ ที่มักปรากฎขึ้นซ้ำๆบ่อยครั้ง หนังดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรง (Linear Narrative) ผ่านเสียงบรรยายภาษาอังกฤษของผกก. Watkins (ฉบับ Norwegian โดย Svein Sturla Hugnes) เล่าเรื่องราวชีวิตที่สร้างอิทธิพลต่อผลงานศิลปะของ Edvard Munch ระหว่างปี ค.ศ. 1884-95 (สิ้นสุดตอนภาพวาดเริ่มได้เสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์)
เกร็ด: หนังเรื่องนี้สองฉบับ ผมขอเรียกว่าฉบับเต็ม (Television Cut) ความยาว 211-221 นาที (ฉบับฉายโทรทัศน์จะมีแบ่งสองตอน เมื่อมาทำเป็น Home Video บางฉบับยังคงเครดิต Opening-Closing รวมๆแล้วประมาณสิบนาที) และฉบับฉายทางโรงภาพยนตร์ (Theatrical Cut) ความยาว 174 นาที … เอาชัวร์แนะนำให้ซื้อแผ่นของ Eureka Entertainment (Master of Cinema)
- ค.ศ. 1884, เริ่มต้นเล่าชีวิตวัยเด็ก ความเข้มงวดของบิดา การจากไปของมารดา
- Munch เข้าร่วมกลุ่ม Kristiania Bohemians ซึมซับรับอิทธิพลจาก Hans Jæger รังสรรค์ภาพวาด Inger Munch in Black
- ค.ศ. 1885, Munch แอบสานสัมพันธ์กับ Mrs. Heiberg แต่เธอมีครอบครัวอยู่แล้ว เขาจึงเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา สำแดงอารมณ์ผ่านภาพวาด The Sick Child
- ค.ศ. 1888, ความสัมพันธ์ระหว่าง Munch และ Mrs. Heibert (รวมถึง Kristiania Bohemians) ถึงจุดแตกหัก เขาพยายามคบหา Aasen Carlson แต่เธอตอบปฏิเสธแต่งงาน
- ค.ศ. 1889, Munch เดินทางไปเรียนศิลปะที่ฝรั่งเศส หลังรับทราบข่าวการเสียชีวิตของบิดา รังสรรค์ผลงาน Night in Saint Cloud
- ค.ศ. 1890-92, รังสรรค์ผลงานอย่าง Melancholy, Kiss by the Window, Sick Mood at Sunset. Despair, Inger in Black and Violet ฯ ล้วนถูกนักวิจารณ์ส่ายหัว เคยถูกล้มเลิกจัดแสดงผลงานกลางคัน
- ค.ศ. 1893, Munch กลายเป็นเพื่อนกับ August Strindberg, Sigbjorn Obsfelder และ Stanislaw Przybyszewski แล้วยังคบหา Dagny Juel กลายมาเป็นนางแบบภาพเปลือย Madonna
- รังสรรค์ผลงานชิ้นเอก The Scream
- ค.ศ. 1894, Munch ค้นพบความสนใจใหม่ ภาพพิมพ์แกะไม้ (Woodcut), ภาพพิมพ์หิน (Lithography) และภาพพิมพ์กัดกรด (Etching)
- ช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1894 ครั้งแรกๆได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ศิลปะ Julius Meier-Graefe
- ค.ศ. 1895, Munch นำผลงานหวนกลับไปจัดนิทรรศกาลที่ Bloomqvist Gallery, Kristiania แม้ยังคงได้เสียงตอบรับย่ำแย่ แต่ทัศนคติของผู้คนวงกว้างเริ่มปรับเปลี่ยนแปลงไป
บ่อยครั้งที่หนังมีการแทรกภาพ ‘Flash’ ล้วนเป็นเหตุการณ์เลวร้าย ความตาย สิ่งตราฝังอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืมเลือน อย่างภาพวัยเด็กกับมารดา, พี่สาวกระอักเลือด, บิดาแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด, จุมพิตกับ Mrs. Heiberg, เริงระบำ/รับชมการแสดงในผับบาร์ ฯ มักปรากฎขึ้นเพื่อตอกย้ำเตือนความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน คือส่วนหนึ่งในชีวิตของ Munch ที่จักช่วยผลักดันให้รังสรรค์ผ่านภาพวาด Expressionism
การปรากฎขึ้นของภาพ ‘Flash’ ไม่ใช่แค่คอยย้ำเตือนความทรงจำเท่านั้น แต่ยังมีความเชื่อมโยง(ในลักษณะกวีภาพยนตร์)กับภาพวาดของ Munch ยกตัวอย่าง
- Munch บีบหลอดสีแดง = ภาพวัยเด็กที่กระอักเลือดไหลออกจากปาก
- Mrs. Heiberg จุมพิตต้นคอ Munch = ภาพวาด Vampire
- จุมพิตริมแม่น้ำยามท้องฟ้าแดงฉาน = ภาพวาด The Scream



สำหรับเพลงประกอบ ทั้งหมดถือเป็น ‘diegetic music’ ดังจากผับบาร์ในความทรงจำ ทำออกมาลักษณะเดียวกับการปรากฎขึ้นของภาพ “Flash” เสียงเพลงที่ติดตราฝังจิตใจของ Munch ไม่รู้ลืมเลือน คอยย้ำเตือน เชิงเปรียบเทียบ ประวัติศาสตร์เกิดขึ้นซ้ำรอยเดิม … ผมก็ขี้เกียจหาค้นหาบทเพลงอื่นๆที่หนังใช้ เลยเลือกเอา Edward Elgar: Salut d’Amour Op.12 ดังขึ้นระหว่าง Closing Credit มาให้รับฟัง
เกร็ด: Edward Elgar ประพันธ์เพลงนี้สำหรับประกอบโคลงภาษาอังกฤษ The Wind at Dawn ที่แฟนสาว Caroline Alice Roberts มอบให้เป็นของขวัญ ตอนแรกตั้งชื่อเป็นภาษาเยอรมันว่า Liebesgruss แปลว่า Love’s Greeting บรรเลงครั้งแรกในงานหมั้นวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1880 … ด้วยความที่โน๊ตเพลงขายไม่ออก เลยลองเปลี่ยนชื่อฝรั่งเศส Salut d’Amour กลายเป็นขายดีเทน้ำเทท่า
In my art I attempt to explain life and its meaning to myself.
Edvard Munch
สมุดไดอารี่ของ Munch ผมรู้สึกว่ามีความสำคัญไม่ด้อยไปกว่าผลงานศิลปะที่เขาสรรค์สร้าง ต้องขอบคุณ Hans Jæger ผู้แนะนำการจดบันทึกไม่ใช่แค่เรื่องราวชีวิต แต่ยังเสี้ยมสอนให้สำรวจสภาวะอารมณ์ ทำความเข้าใจสภาพจิตวิทยาตนเอง “reflection and self-examination” สมดั่งคำเรียก “Soul’s Diary” ส่งต่อให้คนรุ่นหลังๆรับเรียนรู้ว่า “ข้างหลังภาพ” มีอะไรซุกซ่อนเร้น
ภาพยนตร์/สารคดี Edvard Munch (1974) จึงไม่ใช่แค่ชีวประวัติของจิตรกรเอกแห่งลัทธิสำแดงพลังอารมณ์ แต่ยังนำเสนอเบื้องลึก-เบื้องหลัง อิทธิพล แรงบันดาลใจ วิวัฒนาการทางความคิด โดยเฉพาะวินาทีแห่งการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ ‘breakthrough’ ในการรังสรรค์ผลงานแต่ละชิ้น
ผมไม่สามารถหารายละเอียดช่วงชีวิตวัยเด็กของผกก. Watkins ไม่ค่อยกล่าวถึงเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่ แต่การเติบโตขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งสอง ครอบครัวต้องอพยพย้ายบ้าน หลบหนีการถูกโจมตีทางอากาศ นั่นคือการพานผ่านประสบการณ์เฉียดตาย อาจคงเคยสูญเสียญาติพี่น้อง คนรู้จัก เลยไม่น่าแปลกใจเมื่อรับชมภาพวาด The Sick Child (1885-86) และ Death and the Child (1889) จึงเกิดความตราตรึง เข้าถึงอารมณ์อย่างซาบซึ้ง
I also felt a personal affinity with his linking of past and present, e.g., in the large painting showing the anguish of his family as his sister Sophie is dying: the artist and his brothers and sisters are depicted as adults -as they were in the 1890s when he painted this scene – even though the event had taken place ca. 20 years earlier. On another occasion, I was also very moved by Munch’s masterpiece ‘Death of a Child’, hanging in the National Gallery in Oslo; in this painting the artist is broken, and has, in an almost desperate frenzy, blurred the form of his earlier depiction of Sophie’s death.
Peter Watkins
แต่สิ่งที่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่สามารถเปรียบเทียบผกก. Watkins และจิตรกร Munch คือผลงานของพวกเขามักถูกโจมตีจากนักวิจารณ์ ไม่ได้รับการยอมรับจากวงกว้าง, สำหรับผกก. Watkins เริ่มต้นจาก The War Game (1966) ไม่เพียงแบนห้ามฉาย ยังโดนแบล็กลิสต์จากหน่วยงานรัฐ พอไม่มีสตูดิโอ/สถานีโทรทัศน์ไหนยินยอมให้ทุนสร้างหนัง เลยจำต้องระหองระแหง อพยพย้ายออกจากเกาะอังกฤษ ติดต่อขอทุนจากสตูดิโอ Hollywood, สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก ฯ
แม้แต่ Edvard Munch (1974) ที่เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์เมื่อตอนออกฉายถือว่าค่อนข้างดี แต่ทว่าสถานีโทรทัศน์ NRK กลับไม่ประทับใจผลงานนี้สักเท่าไหร่ มองการใช้นักแสดงสมัครเล่น ดูไม่เหมาะกับวิถียุคสมัยใหม่ หลังออกฉายจึงปล่อยปละละเอย ไม่เคยนำออกฉายซ้ำ จนฟีล์มเนกาทีฟต้นฉบับสูญหาย … หรือถูกทำลาย?
In the case of Edvard Munch, a group of NRK producers met the day after the film was shown to denounce its use of ‘amateurs’ and the fact that the cast employed idiomatic modern expressions in their dialogue, as opposed to the style of Norwegian language spoken at the turn of the century. From that moment on, NRK demonstrated a high level of antipathy towards the film. They – and the Swedish TV – tried to prevent Edvard Munch from representing Norway at the Cannes Film Festival, and NRK subsequently destroyed all of the original quarter-inch sound recordings (including the final sound mix) at the time when these were needed to produce a cinema version of the film. All that was left were battered and worn 16mm magnetic working copies.
จริงๆแล้ว Munch เป็นจิตรกรที่อายุยืน เสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1944 สิริอายุ 80 ปี! แต่ผลงานเด่นๆส่วนใหญ่สร้างขึ้นก่อนศตวรรษที่ 20th (ก่อนปี ค.ศ. 1900) นั่นคงคือเหตุผลที่ผกก. Watkins เลือกตอนจบกล่าวถึง The Dance of Life (1899-90) ไม่ได้ฉายให้เห็นภาพวาด เพียงพบเห็นผู้คนดื่มด่ำ เริงระบำ สาวๆบนเวทีเต้นเพลง Offenbach: Can Can

หนังออกฉายครั้งแรกทางสถานีโทรทัศน์ NRK โดยแบ่งเป็นสองตอน ฉายสองวันที่ 12-13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 จากนั้นฉบับตัดต่อภาพยนตร์เดินทางไปฉายนอกสายการประกวด (Out-of-Competition) เทศกาลหนังเมือง Cannes และเมื่อเข้าฉายประเทศอังกฤษ สามารถคว้ารางวัล BAFTA TV Award: Best Foreign Programme
ด้านหลังแผ่น Blu-Ray ของค่าย Eureka Entertainment (Master of Cinema) เมื่อปี ค.ศ. 2016 ขึ้นข้อความไว้ว่า “Director-approved High-Definition restoration of the long version” แต่ผมพยายามสังเกตความแตกต่างจากเว็บ dvdbeaver.com นอกจากขนาดภาพใหญ่ขึ้น ก็แทบไม่เห็นความแตกต่างใดๆ น่าเสียดายที่ฟีล์มเนกาทีฟต้นฉบับ 16mm ได้สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย (ผกก. Watkins ถึงขนาดกล่าวหาว่า NRK ทำลายฟีล์มหนังต้นฉบับ) หลงเหลือเพียงฉบับก็อปปี้เก็บไว้ที่ Edvard Munch Museum ซึ่งพิพิธภัณฑ์นำออกมาฉายอยู่เรื่อยๆ คุณภาพก็เลยได้แค่นั้น
แต่ส่วนตัวชื่นชอบพื้นผิวสัมผัส (Texture) ที่มีความหยาบๆ แสงฟุ้งๆ เต็มไปด้วยเม็ดฟีล์ม (Grain) แลดูละม้ายคล้ายผลงานศิลปะของ Edvard Munch สามารถสำแดงทางอารมณ์ของผู้สร้างต่อจิตรกรออกมาได้อย่างงดงาม ทรงพลัง
แม้งานศิลปะ Expressionism จะไม่ใช่แนวสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้ผมหลงใหลคลั่งไคล้ Edvard Munch (1974) คือวินาที ‘breakthrough’ ถือกำเนิดภาพวาด Expressionism มันช่างขนลุกขนพอง สัมผัสได้ถึงอารมณ์จิตรกรเอ่อล้นออกมาจากภาพวาด และภาพยนตร์เรื่องนี้!
จัดเรต 15+ บรรยากาศห่อเหี่ยวสิ้นหวัง มองหน้าหาเรื่อง
คำโปรย | Edvard Munch จิตรกรลัทธิสำแดงพลังอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความเก็บกด ด้วยลีลานำเสนอของผู้กำกับ Peter Watkins สร้างความอึดอัดอั้น ทำเอาผู้ชมอยากจะกรีดร้องอย่างคลุ้มบ้าคลั่ง
คุณภาพ | มาสเตอร์พีซ
ส่วนตัว | กรีดร้อง (The Scream)
Edvard Munch (1974)
: Peter Watkins ♥♥♥♥
(15/5/2016) ภาพวาดที่ผมใส่เป็นโปสเตอร์วันนี้ คุณรู้รึเปล่าครั้งหนึ่งมันเป็นภาพวาดที่ถูกประมูลในราคาสูงถึง $119.9 ล้านดอลลาร์ นี่เป็นหนังชีวประวัติของ Edvard Munch ศิลปิน Expressionist สัญชาติ Norwegian ผู้วาดภาพ The Scream ที่โด่งดัง
ผมเพิ่งจะมารู้จักกับ Edvard Munch ก็จากหนังเรื่องนี้นะครับ ได้เข้าใจวิถีชีวิต วิธีการคิด แรงบันดาลใจในการสร้างผลงาน ที่ต้องบอกว่าเศร้าสลดสุดแสนรันทดจริงๆ ผลงานแสดงถึงตัวตน ความรู้สึก สิ่งที่อยู่ในใจ หรือที่เรียกว่าจิตวิญญาณ ล้วนรับอิทธิพลมาจากคนรอบๆข้าง ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาดด้วยเทคนิค วิธีการที่ ก้าวผ่านขนบธรรมเนียมประเพณี รูปแบบของการวาดภาพ (breakthrough) นักวิจารณ์สมัยนั้นต่างต่อต้านวิธีคิดและผลงานของ Munch อย่างรุนแรง บ้าถึงกลับพูดว่า นี่เป็นผลงานขยะของคนบ้า กี่ปีให้หลังไม่รู้กว่าที่ผลงานจะได้รับการยอมรับ ไม่ง่ายเลยเมื่อมนุษย์ค้นพบเทคนิค วิธีการอะไรใหม่ๆจะได้รับการยอมรับในทันที Edvard Munch เป็นตัวอย่างที่หดหู่และรันทน จะว่าไปผมว่าชีวิตเขาโชคร้ายยิ่งเสียกว่า Vincent Van Gogh เสียอีกนะ
ผู้กำกับ Peter Watkins เป็นผู้กำกับชาว British ที่ควรรู้จักไว้นะครับ เขาเคยได้ Oscar สาขา Best Documentary จากหนังสารคดีเรื่อง The War Game (1965) สำหรับ Edvard Munch จะว่าเป็นงานในฝันของ Watkins เลยก็ได้ ซึ่งเขาได้ประยุกต์เรื่องราวชีวประวัติ Biographical ให้เข้ากับสไตล์การกำกับของตัวเอง ยึดลักษณะกึ่ง Drama กึ่ง Documentary ที่เรียกว่า docudrama (คล้ายๆ The Fighter-2010, 127 Hours-2010) แนว Drama-Documentary นี้ถือกำเนิดมาก่อนหน้านี้นะครับ ซึ่งผู้กำกับที่นำมาประยุกต์สร้างเป็นหนังบ่อยครั้งที่สุดก็คือ Peter Watkins นี่แหละ, มีหนังเรื่องหนึ่งในกำกับของ Watkins ที่ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ยาวที่สุดในโลก (ไม่นับหนังแนวทดลอง) เรื่อง Resan (1983) ความยาว 873 นาที (14 ชั่วโมง, 33 นาที) [อันดับ 2 คือ Out 1 (1971) ของ Jacques Rivette ยาว 773 นาที]
หนังเรื่องนี้นิตยสาร TIMEOUT จัดว่าเป็นหนัง British เพราะ Peter Watkins เป็นผู้กำกับสัญชาติอังกฤษ และให้ติดอันดับ 71 จาก The 100 Best British Films แต่ผมถือว่าเป็นหนังของประเทศ Norway เพราะ Edvard Munch เป็นชาว Norwegian ตัวละครพูดภาษานอร์เวย์ทั้งเรื่อง และหนังได้ทุนจาก NRK และ SVT (TV Netword ของ Norway และ Sweden) จะไม่นับว่าเป็นหนังสัญชาติ Norwegian ก็กระไรอยู่, ความตั้งใจของผู้กำกับ คือสร้างให้เป็น TV mini-Series จำนวน 3 ตอน ฉายใน TV Netword ของประเทศแถบ Scandinavia ความยาว mini-Series 210 นาที แต่เพื่อให้ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ต่างประเทศและอเมริกา จึงทำการตัดทอนเรื่องราวบางส่วน เหลือความยาว 174 นาที, เวอร์ชั่นที่ผมดูความยาว 3 ชั่วโมงครึ่ง น่าจะเป็นเวอร์ชั่นเต็มที่ฉาย mini-Series
สิ่งหนึ่งที่ผมขอเตือนไว้สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ นี่เป็นหนังที่ดูค่อนข้างยาก ไม่ใช่เพราะแนว docudrama ที่อาจดูน่าเบื่อ เพราะสารคดีชีวประวัติมันจะมีอะไรน่าตื่นเต้น น่าสนใจกัน? … จุดนี้หนังทำได้ไม่น่าเบื่อเลย สิ่งที่ทำให้หนังดูยากคือวิธีการถ่ายภาพและการตัดต่อ, หนังเรื่องนี้มีแต่ close-up, mid-shot และ full-shot ไม่มีถ่ายภาพ long-shot หรือ landscape หรือภาพที่ดูสวยงามสบายตาเลย โทนหนังค่อนข้างอึมครึม เต็มไปด้วยหมอกควัน กล้อง 16-mm ใช้ฟีล์มเก่าสีตก ให้ความรู้สึกเหมือนหนังเก่าๆตกยุค ใครเห็นงานภาพของหนังนี้ ความคิดแรกคือนี่ต้องเป็นหนังเกรด B เป็นแน่, ถ่ายภาพว่าโหดแล้ว แต่การตัดต่อโหดยิ่งกว่า ตัดสลับระหว่างตอนเด็กกับตอนโตยังไม่ยากเท่าไหร่ แต่เล่นเอาภาพซ้ำๆบางฉากมาฉายซ้ำให้เราดูแทบทุก 5 นาทีครั้ง แล้วหนังยาว 3 ชั่วโมงครึ่ง ผมไม่ได้นับว่าเท่าไหร่ แต่ต้องเกิน 20+ ครั้งแน่ๆ เชื่อว่านี่อาจทำให้คนดูบางคนถึงขั้นกระอักเลือดออกมาแบบในหนังได้เลยก็ได้ คือภาพที่มันเอามาวนซ้ำๆ เป็นภาพที่เต็มไปด้วยเลือด ความตาย ความหดหู่ ผมเห็นฉากนี้จากครั้งแรกๆไม่รู้สึกอะไร หลังๆสะอิดสะเอียดจนต้องเบือนหน้าหนี, การที่ผู้กำกับใช้เทคนิคอย่างนี้ มันอาจทำให้หนังดูคุณภาพต่ำๆก็จริง แต่มันคือความจงใจที่มีเหตุผลอันลึกซึ้ง เข้ากับบริบทเรื่องราวของหนังมากๆ เพราะมันทำให้คุณสามารถสัมผัส รับรู้ เข้าใจถึงตัวตนของ Edvard Munch ได้ลึกซึ้งถึงขั้วหัวใจของเขาเลย
ดัดแปลงเรื่องราวมาจากจาก Diary ของ Edvard Munch โดยใช้คำพูดบรรยายภาษาอังกฤษประกอบหนังไปตลอดทั้งเรื่อง ถ้าสังเกตคำพูดบรรยาย มันมักจะไม่ได้เล่าถึงตัวเขาเองเท่าไหร่ มักจะพูดถึงผู้คนที่รู้จัก เปรียบเทียบ ให้คำนิยาม เรียนรู้ทำความเข้าใจจิตวิญญาณ (Soul) ของคนเหล่านั้น นี่เป็นวิธีการศึกษามนุษย์และจักรวาลในมุมมองของ Edvard Munch นะครับ
ชีวิตวัยเด็กของ Edvard Munch เกิดในครอบครัวครีสเตียนที่เคร่งครัด แม่เสียชีวิตจากวัณโรค พี่น้องทั้ง 5 ก็ไม่ได้แข็งแรง ตัวของ Munch เองก็มีร่างกายอ่อนแอ ตอนเด็กเคยป่วยหนักจนเกือบตายมาแล้ว ในหนังไม่ได้บอกเราว่า Munch เริ่มต้นการเป็นนักวาดภาพตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไปอ่านประวัติเพิ่มเติมจึงรู้ได้ว่า เขาได้รับการสนับสนุนจากป้า(พี่ของแม่) หลังจากแม่เสียชีวิต เป็นป้าที่คอยเลี้ยงดูพวกเขา เธอเห็นแววด้านศิลปะของ Munch จึงออกทุนซื้ออุปกรณ์ต่างๆที่ใช้วาดรูปให้ ส่วนพ่ออยากให้เขาเป็นวิศวกร แต่ Munch ชอบการวาดรูปมากกว่าจึงขัดใจพ่อออกจากโรงเรียน เข้าร่วมกับกลุ่มศิลปินในสมาคมศิลปะ เพื่อฝึกหัดการวาดรูป ณ ที่นั่นทำให้เขาได้พบกับสภากาแฟ ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นที่รวมของนักคิด นักพูด นักเคลื่อนไหว ผู้คนต่างๆที่คอยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทำให้มุมมอง ทัศนคติต่อสิ่งต่างๆรอบๆตัวของ Munch เปลี่ยนไป เขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก Hans Jaeger นักเคลื่อนไหวอนาธิปไตยสุดโต่งชื่อดัง ที่ทำให้เขากล้าแสดงออกซึ่งความรู้สึกภายในจิตใจออกมา ผ่านงานศิลปะชิ้นแรก
Lady in Black นี่ถือเป็นการเปิดประตู breakthrough ครั้งสำคัญในนำเสนอสิ่งที่อยู่ในจิตใจของเขาวาดภาพนำเสนอออกมา (Expressionist) ด้วยวิธีการที่รุนแรง ผลลัพท์เป็นภาพที่มีใจความแฝงความรุนแรง ทั้งภายนอกและภายในจิตใจ เมื่อผลงานนี้นำไปจัดแสดง ก็ถูกโจมตีอย่างหนักจากนักวิจารณ์ เพราะพวกเขาไม่ยอมรับวิธีการ นำเสนอภาพอันรุนแรงที่แสดงถึงจิตใจของผู้วาด จึงเปรียบ Edvard Munch ว่าเหมือนคนบ้า ที่วาดภาพไม่เหมือนคนปกติวาดกัน (มันคือการไม่ยอมรับตัวเองว่าในจิตใจของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยลักษณะเดียวกับภาพเขียนนี้)
ในหนังจะเป็นการเล่าเหตุการณ์ในชีวิตของ Edvard Munch สลับกับสิ่งที่เป็นอิทธิพล แรงบันดาลใจ ขณะวาดภาพ เขามีความคิด ความรู้สึก จิตใจเป็นอย่างไร วาดเพื่ออะไร ใช้เทคนิคอะไร, ผมไม่ได้นับว่าหนังมีเรื่องราวทั้งหมดเท่าไหร่ จะขอเล่าเฉพาะภาพวาดสำคัญๆที่น่าสนใจนะครับ
Vampire ภาพนี้แท้จริงแล้วคือ Kissing on the Neck ช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของ Edvard Munch เขาตกหลุมรักกับหญิงหม้ายคนหนึ่ง ทั้งสองแอบเป็นชู้กัน ในไดอารี่ใช้ชื่อสมมติว่า Mrs. Heiberg วิธีที่ Munch แสดงออกต่อเธอ คือการจุมพิตเบาๆที่ต้นคอ นี่ถือว่าเป็นแรงบันดาลใจให้กลายเป็นภาพนึ้ขึ้นมา, เหตุที่เรียกภาพนี้ว่า Vampire เพราะมันดูเหมือนหญิงสาวกำลังดูดเลือดจากคอของชายหนุ่ม ซึ่งการดูดเลือดมันคือสัญลักษณ์ของการซึมซัม กัดกร่อน ดูดซึม ในยุคสมัยที่ผู้ชายมองตัวเองเหนือกว่าผู้หญิงในทุกๆด้าน (ผมลืมบอกไปว่าหนังเรื่องนี้นำเสนอความ Racist ในหลายๆระดับ คนชั้นกลางต่อคนชั้นสูงและคนชั้นต่ำ, ผู้ชายต่อผู้หญิง) พวกเธอจะเปรียบเหมือนปลิงที่คอยเกาะกินผู้ชาย เมื่อใดที่หมดประโยชน์ ก็จะทิ้งคนเก่าไปหาคนใหม่
The Kiss คนสองคนจุมพิตกัน ไม่รู้ชาย-หญิง ชาย-ชาย หรือ หญิง-หญิง เพราะภาพส่วนใบหน้าใช้การเบลอ ไม่มีการลงลายละเอียด ผมรู้สึกภาพนี้เป็นภาพที่น่ากลัวมากๆ เพราะการไม่ลงรายละเอียดใบหน้าทำให้เราสามารถจินตนาการถึงอะไรก็ได้มากมาย มันอาจจะไม่ใช่แค่การจูบกัน แต่สื่อถึงการกระทำบางอย่างที่รวมคนสองคนเข้าเป็นหนึ่งเดียว มีคำพูดในหนังประมาณว่า “ในความมืดฉันสามารถทำอะไรก็ได้” ทำอะไร…ละ!
Madonna มีช่วงหนึ่งที่ Edvard Munch วาดภาพเปลือย (Nude) ด้วยนะครับ และภาพที่โด่งดังที่สุดชื่อ Madonna คำนี้จริงๆถือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์นะครับ เพราะหมายถึงพระแม่มารี มารดาของพระผู้เป็นเจ้า, การวาดภาพนี้ของ Munch รู้สึกเขาใช้โสเภณีเป็นแบบ นี่ไม่ได้สะท้อนความเชื่อคริสเตียนของเขานะครับ ผมจำเหตุผลที่เขาวาดไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าหนังพูดถึงหรือเปล่า แต่การวาดภาพหญิงสาวเปลือยแล้วให้ชื่อว่า Madonna มีความหมายที่ลึกซึ้งมากๆ, ความโดดเด่นของภาพไม่ได้อยู่ที่ร่างเปลือยเปล่า แต่เป็นผ้าคาดผมสีแดงแสดงถึงความพรหมจรรย์ ผมสีน้ำเงินหมายถึงความตาย (การจุติจากสวรรค์มาบนโลก) ร่างเปลือยเปล่าแสดงถึงความบริสุทธิ์ที่ไม่มีอะไรต้องปกปิด นี่ไม่ใช่ภาพเปลือยที่ทำให้เกิดอารมณ์ความต้องการ แต่เป็นภาพวาดที่สะท้อนจิตใจของ Munch ออกมาถึงหญิงสาวในฐานะมารดาของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการนิยามความบริสุทธิ์ของตนเองขึ้นมา
The Scream “ขณะที่ฉันกำลังเดินอยู่บนท้องถนนกับเพื่อนทั้งสองในตอนพระอาทิตย์อัสดง ทันใดนั้นท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงดุจเลือด ฉันหยุดนิ่งและโน้มตัวไปยังขอบรั้ว รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยที่ไม่อาจบรรยายได้ เปลวเพลิงสีเลือดทอดข้ามฟากฟ้าสีดำ เพื่อนของฉันยังคงเดินต่อไป ฉันหยุดนิ่งอยู่เบื้องหลัง สั่นสะท้านด้วยความกลัว ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันไม่มีที่สิ้นสุดของธรรมชาติ” ภาพวาดที่โด่งดังที่สุดของ Edvard Munch ส่งเสียงกรีดร้อง กึกก้อง และโหยหวน จากข้างในจิตใจ จิตวิญญาณของเขาสะท้อนออกมา นี่เป็นภาพที่ไม่ว่าใครที่เห็นจะรู้สึกตื่นตระหนก ตกใจ หวาดกลัว สัมผัสได้แม้จะไม่มีความรู้ความเข้าใจในงานศิลปะมาก่อน นี่คือ Expressionist ที่แสดงออกซึ่งความรู้สึกของศิลปิน สมัยก่อนไม่มีใครคนไหนจะกล้านำเสนอสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจออกมา ไม่ใช่ว่า Munch เป็นคนกล้าหรืออะไร เขาได้รับอิทธิพล ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งต่างๆมากมาย ผู้คนรอบข้าง ความตาย ภาพนี้สิ่งที่ Munch กลัวที่สุดคือความตาย มันหลอกหลอน มันสีแดงฉาน (เหมือนสีเลือด) แม่น้ำสายสีน้ำเงิน (สีแห่งความตาย) มนุษย์ทุกคนกลัวความตาย ยิ่งเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะตายมันยิ่งกลัว ความกลัวถูกถ่ายทอดออกมากลายเป็นภาพ ภาพนี้แหละคือความกลัว กลัวที่สุดในโลก
Expressionist ผมเชื่อว่าลัทธินี้เกิดขึ้นจากวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ก้าวมาไกล สะสมเพิ่มพูนแทรกซึมอยู่รอบๆตัวเรา มันมีมานานแล้วแต่ไม่มีใครที่จะนำเสนอมันออกมาให้กลายเป็นสิ่งที่เด่นชัด ผู้ที่ค้นพบนำเสนอออกมาเป็นคนแรก คือคนที่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่าง เป็นตัวตน จับต้องในสิ่งที่คนอื่นๆมองข้าม, Expressionist คือการแสดงออกซึ่งความรู้สึก ตัวตน จิตวิญญาณ ภาพ The Scream คือผลลัพท์จากการไม่พยายามมองมัน มองข้าม เป็นสิ่งที่มีในใจมนุษย์ทุกคนหวาดกลัว แต่เลือกไม่รับรู้ ไม่อยากมองเห็น ภาพนี้เป็นภาพของความตาย คนสมัยนั้นไม่สามารถยอมรับตัวเองได้ว่า ตัวเองกลัวตาย เขาเห็นภาพนี้แล้วกลัว กลัวอะไร? กลัวในสิ่งที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ จริงๆมันพูดได้ พวกเขาเข้าใจแต่ไม่พยายามพูด กาลเวลาผ่านไปมนุษย์เริ่มเปิดใจรับ ภาพนี้แค่นำเสนอความจริงออกมา นี่คือสิ่งจริงแท้ นี่แหละที่ทำให้มันเป็นอมตะ
นักแสดงหนังเรื่องนี้ เห็นว่าเป็นหน้าใหม่ทั้งหมด ไม่เคยมีประสบการณ์แสดงภาพยนตร์มาก่อน Watkins คงมีเหตุผลประมาณ ไม่ต้องการให้นักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังกลบสิ่งที่เขาต้องการนำเสนอเสียหมด, วิธีการของ Watkins ถือว่าตรงข้ามกับผู้กำกับ Robert Bresson แต่ผลลัพท์ออกมาคล้ายๆกัน Bresson เลือกนักแสดงที่ไม่มีประสบการณ์ สั่งแสดงฉากเดิมซ้ำไปซ้ำมาจนร่างกายหมดแรงไม่เกิดความรู้สึกต่อต้าน ทำให้แสดงออกมาด้วยความเป็นธรรมชาติที่สุด ส่วน Watkins นักแสดงคงไม่ต้องถ่ายซ้ำหลายๆครั้ง แต่ถ่ายครั้งละนิดๆหน่อยๆ บางครั้งนักแสดงจ้องมองหน้ากล้อง ให้เกิดความกระอักกระอ่วน ยิ่งอายมากยิ่งดี สามารถนำเอาไปใช้ได้เลย, สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือ 2 วิธีนี้ให้ผลลัพท์ออกมาคล้ายๆกัน คือ นักแสดงดูเป็นเหมือนหุ่นเชิดที่ไม่มีอารมณ์ประกอบ แต่เราสามารถเข้าใจตัวละครผ่านการกระทำ เราจะไม่รู้สึกสุขทุกข์ไปกับตัวละคร แต่จะมองเห็นสถานการณ์ที่เป็นอยู่พวกเขา ดีร้าย สุขทุกข์ การแสดงไม่จำเป็นต้องมากฝีมือ แต่เมื่อผ่านกระบวนการเทคนิคที่มีชั้นเชิง ผู้กำกับจะสามารถทำให้คนดูเข้าถึงตัวละครได้ แม้จะไม่ได้ทำอะไรเลย
ตอนที่ Watkins เลือกนักแสดงประกอบนั้น เห็นว่าเขามองหาคนที่ไม่ชอบผลงานของ Munch มาเพื่อให้บรรยายสรรพคุณว่าไม่ชอบยังไง โดยบทพูดที่ให้ไป เขาอนุญาติให้นักแสดงไร้ประสบการณ์พวกนี้สามารถปรับคำพูด เพื่อให้จดจำได้ง่าย และพูดออกมาได้โดยไม่ติดขัด ประมาณว่าอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาเลย ให้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องฝืน
ถามว่าการกำกับแบบไหนยอดเยี่ยมกว่า ผมคงไม่ขอตัดสิน แต่ถ้าพูดถึงวิธีการ ผมไม่ชอบทั้งคู่นะครับ ของ Bresson มันเป็นการทรมานนักแสดง ส่วน Watkins เหมือนทำให้นักแสดงขายหน้า ผมไม่มองว่านักแสดงควรจะเป็นหุ่นกระบอก เขาควรมีปากเสียงสามารถพูดคุยนำเสนอแลกเปลี่ยน และแสดงออกมาในความเชื่อของเขา ผู้กำกับทั้งสองถือความได้เปรียบ เพราะเขาคัดนักแสดงหน้าใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ จึงสามารถสั่งการ เผด็จการ ในแบบที่เขาสามารถควบคุมได้ ผู้กำกับสไตล์แบบนี้ผมไม่อยากเอ่ยปากชื่นชมสักเท่าไหร่
ถ่ายภาพโดย Odd Geir Sæther การที่หนังมีเฉพาะ close-up, mid-shot และ full-shot (ถ่ายเต็มตัว) ทำให้ภาพของหนังถูกจำกัดด้วยกรอบของจอภาพยนตร์ คือเราจะไม่สามารถเห็นอะไรไปมากกว่าที่ผู้กำกับต้องการนำเสนอ ความที่ไม่เห็นอะไรทำให้ความสนใจของคนดูไม่เบี่ยงเบนไป นี่สะท้อนถึงผลงานของ Edvard Munch ด้วยนะครับ ตอนเขาวาด Lady in Black เดิมทีภาพนี้มีองค์ประกอบอื่นๆในภาพด้วยอาทิ แจกัน ดอกไม้ ฯ แต่ตอนที่เขาขับความรู้สึกออกมาขณะวาดภาพ ได้ปรับปรุงโดยการตัดรายละเอียดที่ไม่สำคัญออก รายละเอียดที่ทำให้ผู้ชมเบี่ยงเบนความสนใจไปจากใจความที่ต้องการนำเสนอ
บอกตามตรงคือผมไม่ชอบเทคนิคนี้เท่าไหร่ เชื่อว่าหลายคนก็คงเหมือนกัน ลักษณะมันเหมือนการแอบถ่าย (แบบ Cloverfield) โดยเฉพาะเมื่อนักแสดงหันมามองกล้องบ่อยครั้งทำให้ผู้ชมเกิดความกระอักกระอ่วน (เหมือนว่า Watkins มี Time Machine แล้วย้อนเวลาไปเป็น Paparazzi แอบถ่ายชีวประวัติของ Edvard Munch) คือมันแปลกประหลาดตรงที่ หนังทำให้เราสับสนว่านี่เป็นหนัง หรือเป็นอะไร? ภาพบันทึกเหตุการณ์จริงๆ แอบถ่าย ฯ การสัมภาษณ์ตัวละคร, เสียงบรรยายประกอบ, นักวิจารณ์งานศิลปะออกมาพูดความเห็นแบบตรงไปตรงมา (แถมสวมใส่ชุดในยุคนั้นอีก) นี่เป็นการผสมผสานประเภทของหนัง (Genre) สารคดี เล่าเรื่องดราม่า ที่รวมเรียกว่า DocuDrama ที่ผมเอ่ยไปตั้งแต่ต้น มุมของนักวิจารณ์จะชื่นชมและคลั้งไคล้มากๆ ส่วนคนดูทั่วๆไปจะกุมขมับ มันดูมั่วๆ เละเทะ นี่ฉันดูอะไรอยู่นี่!
ปกติแล้วภาพวาดของ Edvard Munch ถ้าเป็นภาพวาดเสมือน (portrait) บุคคลในภาพจะหลบสายตา ไม่จ้องมองตรงๆหาผู้ชม การหลบสายตานี้ถือว่าตรงข้ามกับเทคนิคการถ่ายหนัง (ที่นักแสดงมักสบตากล้องบ่อยๆ) ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ รูปวาดของ Munch พยายามหลีกเลี่ยงการแสดงออกทางอารมณ์ผ่านสายตา เพราะเขาเน้นให้ภาพแสดงอารมณ์ จิตใจของผู้วาด ไม่ใช่ผู้ถูกวาด แต่ก็มีบางรูปที่บุคคลในภาพจะจ้องมองมาตรงๆ ซึ่งดวงตาของเขาเหล่านั้นมักจะซึมเศร้า หดหู่ ดูแล้วหลอนๆพิกล อย่างภาพ The Murderess, Jealousy มีความพิศวง สัมผัสได้ถึงจิตใจของผู้อยู่ในภาพวาดที่หลอนๆ น่ากลัว
ตัดต่อโดย Watkins เอง ผมเชื่อว่าพี่แกได้แรงบันดาลใจมาจาก A Man with a Movie Camera แน่ๆ ผมไม่ได้ลองจับเวลาว่าแต่ละฉากค้างกล้องไว้นานเกิน 3 วินาทีไหม (น่าจะมีพวกฉากที่ถ่าย close-up ภาพวาดที่เกิน 3 วินาทีแน่ๆ) วิธีนี้ที่ผมเอ่ยไปแล้ว คือมันทำให้ผู้ชมไม่สามารถจับอารมณ์ของตัวละครได้ ซึ่งหนังใช้เทคนิคอีกอย่างหนึ่งคือการบรรยาย โดยปกติการปล่อยให้คนดูสัมผัสอารมณ์ต่างๆด้วยตนเอง มนุษย์แต่ละคนอาจรู้สึกเข้าใจได้ต่างกัน แต่เมื่อเป็นคำพรรณาบรรยาย ความเข้าใจจะตรงกัน และยิ่งตัดต่อเร็วๆ จับอารมณ์จากการแสดงไม่ได้ คำบรรยายนี่แหละจะช่วยทำให้เราเห็นภาพ จินตนาการเข้าใจอารมณ์ของเรื่องราวได้, ช่วงท้ายๆตอน Dance of Life ก่อนเครดิตจบเรื่องขึ้น มีการตัดต่อที่เร็วมากๆ สลับเหตุการณ์ไปมาราวกับประมวลทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นผ่านมาแล้ว ที่เร็วขึ้นเหมือนเป็นการบอกให้รู้ว่านี่คือ Climax ของหนังนะ ใกล้จบแล้ว ตอนจบอาจจะดูห้วนๆ ไม่มีการอธิบายอะไรมาก ไม่มีการทำให้ผู้ชมเห็นว่าเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ Munch ได้รับการยอมรับ อยู่ดีๆก็บอกว่า ได้รับสถาปนาให้มียศ (อะไรสักอย่าง) แล้วตัดจบเลย เอิ่ม…
เทคนิคการเอาภาพเดิมๆมาฉายซ้ำๆ นี่เพื่อเป็นการย้ำเตือนความทรงจำของผู้ชม เพื่อบอกว่า Edvard Munch อะไรบ้างที่ฝังลึกอยู่ในใจของเขา สิ่งที่โผล่ออกมาหลอกหลอนอยู่เรื่อยๆ ไม่มีวันหายไปไหน ช่วงแรกๆจะเห็นว่ามีแค่ตอนแม่ป่วยใกล้ตาย กับวัยเด็กของ Munch ที่ป่วยหนัก กระอักเลือดออกมา อาจมีช่วงทะเลาะกับพ่อบ้าง, ส่วนครึ่งหลังจะเพิ่มช่วงที่เขาตกหลุมรักกับ Mrs. Heiberg จูบครั้งแรกและการเลิกรา เหตุการณ์บางอย่างลืมเลือนหายไป แต่บางอย่างไม่มีวันลืมยังโผล่มาให้เห็นเรื่อยๆ เหตุการณ์ใหม่ๆก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ, ในแต่ละปีของเหตุการณ์ในหนัง เสียงบรรยายจะมีสรุปเหตุการณ์สำคัญระดับโลก อาทิ ฮิตเลอร์เกิด, Van Gogh วาดภาพ, ญี่ปุ่นทำสงครามกับจีน ฯ นี่คล้ายๆกับ The Mirror (1975) นะครับ ทำแบบนี้ก็เพื่อให้คนดูมีจุดอ้างอิงต่อเหตุการณ์จริง ว่าช่วงเวลาในหนัง โลกขณะนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เสียงบรรยาย ให้เสียงพากย์โดย Peter Watkins ผู้กำกับพากย์เองเลยเป็นภาษาอังกฤษซะงั้น, หนังเรื่องนี้ไม่มีเพลงประกอบนะครับ ที่เราจะได้ยินอยู่เรื่อยๆจะเป็นเสียงเปียโนเล่นสด เอามาจากเพลงคลาสสิคดังๆ ที่ผมจำได้ก็อย่าง CanCan Suit, เพลงตอนจบ Edward Elgar: Salut d’Amour Op.12 ฯ หลายฉากในหนังจะมีการลากเสียงประกอบ (Sound Effect) ที่เรียกว่า overlapping sound layers ภาพเปลี่ยนไปไหนต่อไหนแล้ว แต่เสียงที่ได้ยินยังคงเป็นเสียงเดิมลากมาตั้งแต่ซีนแรก ที่ได้ยินชัดๆก็มี เสียงร้องไห้, เสียงหัวเราะ, เสียงพูดคุย, เสียงไอ, ไสไม้, เครื่องจักรทำงาน ฯ สาเหตุที่ต้องมีการลากเสียง ซ้อนทับกันนี้ เหตุผลคล้ายๆกับการตัดต่อที่มีภาพความทรงจำในอดีตโผล่มาให้เราเห็นเรื่อยๆ เสียงมันอาจจะย้อนไม่ได้ (บางทีภาพ Flashback จะไม่มีเสียง) เสียงที่ได้ยินเป็นเสียง ณ จุดเริ่มต้นก่อนที่จะเห็นภาพ มันคือ ณ ปัจจุบันเป็นต้นกำเนิดเสียง ภาพที่เปลี่ยนไปมันคือเหตุการณ์ที่ไม่ได้มีความสำคัญมากกว่าเสียง, อธิบายไปก็งง เอาว่ามันทำให้หนังดูมีมิติของเสียงที่ดูเหนือชั้นก็พอนะครับ
ผมเชื่อว่าคนที่สามารถดูหนังเรื่องนี้จบและรู้เรื่อง คุณน่าจะดูงานศิลปะ ‘เป็น’ ผมเองก็รู้สึกตัวว่าเริ่มเข้าใจความหมายของงานศิลปะมากขึ้น ที่จริงจุดประสงค์ของคอลเลคชั่น Painter & Artist ก็คือเพื่อรวมๆรีวิวหนังแนวคล้ายๆกัน ขมวดเข้ามาเป็นก้อนๆ แต่กลายเป็นว่าผมได้ประโยชน์อื่นที่คาดไม่ถึง คือเข้าใจแนวคิดของศิลปินแขนงอื่นในการสร้างสรรค์ผลงาน ผมเริ่มสามารถ จับใจความสำคัญของงานศิลปะแขนงอื่นได้โดยไม่รู้ตัว ถ้าคุณเป็นนักวาดรูป หรือศิลปิน ดูหนังเรื่องนี้คงจะบรรลุถึง Edvard Munch แน่ๆ ผมถือว่าถ้าใครก็ตามที่เรียกตัวเองว่า Artist แล้วยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ถือได้ว่า “เสียชาติเกิด” นะครับ
นี่เป็นหนังที่ดูยาก เหมาะสำหรับคนที่เรียนสายศิลป์ สายภาพยนตร์/นักวาดรูป/ออกแบบ/ศิลปะทุกแขนง หรือคนที่ต้องการศึกษาประวัติศาสตร์ของ Expressionist นี่เป็นหนังที่คุณต้องทำความเข้าใจให้ได้อย่างลึกซึ้ง ไม่แนะนำกับนักดูหนังกร่างๆทั่วไป คุณต้องมีประสบการณ์พอสมควร มีความติสต์ระดับหนึ่งถึงจะเข้าใจหนังเรื่องนี้ได้ จัดเรต 15+ กับภาพและแนวคิดที่ถือว่ารุนแรงพอสมควร
[…] Edvard Munch (1974) : Peter Watkins ♥♥♥♥ ภาพวาดงานศิลปะ เป็นสื่อที่นำเสนอจิตวิญญาณของศิลปิน Edvard Munch ถือว่าเป็นศิลปินคนแรกๆ ที่ค้นพบวิธีถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นภาพวาด (Expressionist), ผู้กำกับ Peter Watkins นำเสนอแนวคิด สิ่งที่เป็นแรงบันดาล ด้วยเทคนิคแบบสารคดีเชิงแอบถ่ายที่อาจจะดูยากเสียหน่อย แต่ถ้าทนได้ มันจะทำให้คุณสามารถเข้าใจงานศิลปะอย่างถ่องแท้เลยละ […]