Fantastic Mr. Fox (2009)
: Wes Anderson ♥♥♥♥♡
Roald Dahl แต่งวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง Fantastic Mr. Fox (1970) จินตนาการตัวเองคือ Mr. Fox สุนัขจิ้งจอกผู้มีความเฉลียวฉลาดเก่งกาจ สุดมหัศจรรย์เป็นที่หนึ่ง เพื่อให้ภรรยาและลูกๆเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง เพราะชีวิตจริงของเขาก็มิได้สวยเลิศหรูเหมือนในนิยายเลยสักนิด, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
ในชีวิตจริงของ Roald Dahl (1916 – 1990) นักเขียนนิยายเด็กชื่อดัง สัญชาติอังกฤษ เมื่อได้แต่งงานกับภรรยานักแสดง Patricia Neal (1926 – 2010) เมื่อปี 1953
– ลูกสาวคนโต Olivia Twenty เกิดปี 1955 เสียชีวิตปี 1962 จากโรคหัด
– ลูกชายคนที่สาม Theo Matthew ตอนอายุ 4 เดือนประสบอุบัติเหตุ ทุกข์ทรมานจากภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ
– ปี 1965 ระหว่าง Neal กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 5 ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง พูดไม่ได้อยู่เป็นเดือนๆ
นิยาย Fantastic Mr. Fox ตีพิมพ์ปี 1970 นั่นแปลว่า Dahl เขียนเรื่องนี้ขึ้นในช่วงเวลาที่สภาวะจิตใจอยู่ในจุดต่ำสุดๆ ปัญหาต่างๆมากมายรุมเร้าจนอยากจะมุดแทรกแผ่นดินหนี แต่แล้วเขาก็คิดแผนการสุดมหัศจรรย์ขึ้นมาได้ สิ่งสำคัญไม่ใช่การเผชิญหน้ากับปัญหา แต่คือวิธีการรับมือปรับเปลี่ยนตัวเองต่างหาก!
Wesley Wales Anderson (เกิดปี 1969) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์สัญชาตอเมริกัน เกิดที่ Houston, Texas พ่อ-แม่หย่าร้างตอนเขาอายุ 8 ขวบ พี่น้องสามคนเป็นลูกคนกลาง พี่ชาย Mel เป็นหมอ น้องชาย Eric Chase นักเขียนและศิลปิน ร่วมงานออกแบบศิลป์กับ Wes หลายครั้ง, วัยเด็กชื่นชอบการเล่นกล้อง Super 8 ของพ่อ เพ้อฝันอยากเป็นนักเขียน ระหว่างเรียนทำงานเป็นคนฉายภาพยนตร์ จบจาก University of Texas at Austin สาขาปรัชญา ร่วมรุ่นสนิทสนม Owen Wilson กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Bottle Rocket (1996) ดัดแปลงจากหนังสั้นของสองพี่น้อง Wilson (Luke กับ Owen) แม้ไม่ทำเงินนักแต่ได้รับคำวิจารณ์ดีล้นหลาม, Rushmore (1998), The Royal Tenenbaums (2001), The Life Aquatic with Steve Zissou (2004), The Darjeeling Limited (2007) ฯ
“[Fantastic Mr. Fox] was not only the first Roald Dahl book I ever read, it was the first book I ever owned”.
อิทธิพลของการที่เป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิต แม่ซื้อให้ตอนอายุ 7 ขวบ ส่งผลต่อ Anderson หลงใหลในสัตว์หน้าขน Mr. Fox คลั่งไคล้ความเฉลียวฉลาด เก่งกาจ เอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ เปรียบดั่งฮีโร่วีรบุรุษ แถมยังทำให้ชอบการขุดดิน ร่วมกับสองพี่น้องขุดอุโมงค์สร้างป้อมปราการ เวลาไปเที่ยวทะเลคนอื่นสร้างปราสาท บ้านนี้ท้าแข่งกันขุดทรายใครเร็วลึกกว่ากัน!
Anderson มีความสนใจดัดแปลงสร้าง Fantastic Mr. Fox มาตั้งแต่ก่อนเข้าวงการ (เพราะเป็นเรื่องที่ยังไม่เคยกลายเป็นภาพยนตร์มาก่อน) พยายามคะยั้นคะยอโปรดิวเซอร์ทั้งหลายที่เคยร่วมงานให้ใช้เส้นสายขอซื้อลิขสิทธิ์ จนประมาณปี 2001 มีโอกาสพบเจอ Felicity ‘Liccy’ Dahl ภรรยาหม้าย(คนที่สอง)ของ Dahl พูดคุยกันอย่างถูกคอ ภายหลังจึงมอบสิทธิ์ดัดแปลงให้เมื่อปี 2004
ตอนที่ Anderson สร้าง The Life Aquatic with Steve Zissou (2004) มีโอกาสรู้จัก Henry Selick ผู้กำกับอนิเมชั่น Stop-Motion ชื่อดังจาก The Nightmare Before Christmas (1993), James and the Giant Peach (1996) ติดต่อให้มาเป็น Animation Director ซึ่งก็เกิดความประทับใจอย่างยิ่ง เลยชักชวนให้มาร่วมสร้าง Fantastic Mr. Fox แต่ภายหลังเมื่อ Coraline (2009) ได้รับไฟเขียว เลยขอถอนตัวออกจากทีมแต่ก็ยังให้คำแนะนำ ติดตามความคืบหน้าของโปรเจคกันอยู่เรื่อยๆ
ดัดแปลงบทภาพยนตร์ร่วมกับ Noah Baumbach (เกิดปี 1969) ผู้กำกับ/นักเขียนบท สัญชาติอเมริกัน เคยร่วมงานกับ Anderson เรื่อง The Life Aquatic with Steve Zissou (2004), พวกเขาได้ขออนุญาต Liccy มาทำงานยัง Gipsy House บ้านหลังเก่าของ Dahl ที่เคยซื้อไว้ปักหลักทำงาน/พักอาศัยตั้งแต่ปี 1954 เพื่อซึมซับบรรยากาศ และได้พบเห็นอะไรหลายๆอย่างอ้างอิงได้กับสิ่งที่อยู่ในผลงาน
“There is a gigantic beech tree at the end of a fox run, which I immediately recognized from Fantastic Mr. Fox. There is a painted gypsy caravan under a tree, which I had seen in dust-jacket photographs. There is a stone half buried on the edge of the drive with the word ‘gipsy’ carved into it”.
เพราะเนื้อหาในนิยายไม่เพียงพอต่อการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ เลยต้องมีการแก้ไขปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมเรื่องราวหลายๆอย่างเข้าไป อาทิ
– Prologue การโจรกรรมฟาร์ม Berk’s Squab ทำให้ Mr. Fox ครุ่นคิดแผนการเอาตัวรอดด้วยการขุดดินเป็นครั้งแรก
– ลูกๆของ Mr. Fox เดิมมี 4 ตัว (เท่ากับลูกของ Dahl ที่เหลืออยู่ขณะนั้น) รวบให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว Ash กับญาติห่างๆ Kristofferson และใส่ประเด็นปมเด่น ปมด้อยให้กับพวกเขา
– การแข่งขันกีฬา Whack-Bat
– ไคลน์แม็กซ์ กับฉากแอ๊คชั่นต่อสู้แบบเว่อวังอลังการ
– ฉากจบใหม่ในห้างสรรพสินค้า
เกร็ด: ตอนจบของนิยายลงท้ายแค่ Boggis, Bunce, Bean ยังคงนั่งเฝ้ารอสุนัขจิ้งจอกอยู่ตรงปากหลุม รอคอยวันที่พวกมันจะหิวโหยจนต้องขึ้นมาหาอาหาร และข้อสรุปของผู้เขียน
“And so far as I know, they are still waiting.”
Mr. Fox (พากย์เสียงโดย George Clooney) มีชีวิตครอบครัวที่น่าเบื่อหน่ายกับภรรยา Felicity (พากย์เสียงโดย Meryl Streep) และลูกชายไม่เอาอ่าว Ash (พากย์เสียงโดย Jason Schwartzman) ทำงานเป็นนักเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ที่ไม่ค่อยมีใครอ่าน ต้องการย้ายบ้านออกจากโพรงรูหนู ไปดูสถานที่ใต้ต้นไม้ พร้อมกับคำเตือนจากทนาย Clive Badger (พากย์เสียงโดย Bill Murray) ถึงสามเจ้าของฟาร์มบริเวณใกล้เคียง ประกอบด้วย
– Walter Boggis (พากย์เสียงโดย Robin Hurlstone) เจ้าของฟาร์มไก่ น่าจะประสบความสำเร็จที่สุดในโลก เป็นคนอ้วนป้อมน้ำหนัก 339 กิโลกรัม กินไก่วันละ 3+1 เวลา (เช้า, กลางวัน, เย็น, และของว่าง) รวมแล้ว 12 ตัวต่อวัน
– Nathan Bunce (พากย์เสียงโดย Hugo Guinness) เจ้าของฟาร์มเป็ดและห่าน รูปร่างผอมเตี้ย ความสูงอยู่กึ่งกลางระหว่างมนุษย์กับคนแคระ (ประมาณ 4 ฟุต) อาหารโปรดคือโดนัท Home Made สอดไส้ตับห่าน
– Franklin Bean (พากย์เสียงโดย Michael Gambon) เจ้าของฟาร์มไก่งวงและไร่แอปเปิ้ล วันๆสูบบุหรี่กับดื่มเหล้าแอปเปิ้ล (Cider) กลั่นจากโรงงานของตนเอง รูปร่างผอมแห้งเหมือนปากกา แต่ฉลาดหลักแหลมเหมือนเชือกแส้ และน่าจะเป็นคนน่ากลัวสุดในโลก
เพราะความต้องการชีวิตตื่นเต้นท้าทาย Mr. Fox เลยหวนกลับสู่อาชีพดั้งเดิมของตนเองอีกครั้ง โจรกรรมฟาร์มทั้งสามแบบไม่มีใครจับได้ไล่ทัน สร้างความเคียดแค้นจนพวกเขาสุมหัวรวมตัวกัน ใช้รถแทรกเตอร์ขุดทำลายต้นไม้ ปืนยิงได้เพียงหาง เฝ้ารอคอยอยู่ตรงหลุม เพราะคิดว่าสักวันต้องสุนัขจิ้งจอกหัวขโมยพวกนี้ต้องโผล่ออกมาหาอะไรกิน แต่กลับถูกตลบหลังสูญเสียทุกอย่างหมดสิ้น
ปกติแล้วการพากย์เสียงของภาพยนตร์อนิเมชั่น มักมีลักษณะตัวใครตัวมัน กล่าวคือใครคิวงานว่างวันไหนก็เดินทางมาเข้าห้องอัดวันนั้น แต่ความต้องการของผู้กำกับ Anderson พยายามนัดหมายทุกคนให้มาพบเจอพร้อมกัน แล้วพาไปยังสถานที่จริงนอกสตูดิโอ อาทิ ในป่า, ห้องใต้หลังคา, คอกม้า ฯ เพื่อสร้างบรรยากาศ และให้เกิดความสัมพันธ์/เคมีระหว่างนักแสดง ผลลัพท์ออกมาจะได้มีความสมจริงยิ่งๆขึ้นไป
“We went out in a forest, went in an attic, went in a stable… we went underground for some things. There was a great spontaneity in the recordings because of that.”
นึกภาพไม่ออกเป็นยังไง รับชมคลิปนี้เห็น George Clooney ทุ่มเทมากๆเลยนะ
Mr. Fox สุนัขจิ้งจอกวัยกลางคน มีความเฉลียวฉลาดอัจฉริยะว่องไว ปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศ ได้รับยกย่อง MVP กีฬา Whack-Bat ถึง 7 ครั้ง สามปีซ้อน รักความสนุกสนาน มากด้วยสัญชาติญาณสัตว์ป่า แต่ถูกร้องขอโดยแฟนสาวที่ตั้งครรภ์ ให้เลิกลักขโมยใช้ชีวิตอย่างมีสติ ก็อดรนทนมาได้กว่าสองปี สุดท้ายแล้วก็มิอาจหักห้ามใจตนเอง
เกร็ด: แฟนชั่นของ Mr. Fox เสื้อผ้า เพลงโปรด ล้วนในสไตล์ของผู้เขียน Roald Dahl ทั้งหมดทั้งสิ้น
“For me, this guy was such an optimist, and I thought he was just a fun character to play. I remember reading the script, and saying to Wes, ‘listen, I love it and I’m happy, thrilled and excited to do it”.
– George Clooney ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลในการพากย์เสียงนี้
การพากย์เสียงของ Clooney เจ๋งเป้งมากทีเดียว เท่ห์ๆ กวนๆ เก๋าจัด มากประสบการณ์ แบบตอนแสดง Ocean’s Trilogy ไม่ผิดเพี้ยน อัดแน่นด้วยพลังลูกสูบที่พร้อมขับเคลื่อนให้ตัวละครมีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งพอเห็นคลิปด้านบนซูฮกเลยว่า ทุ่มเทแบบสุดๆจริงๆ คงสนุกมาด้วยแหละ Over-Acting แบบไม่ต้องวิตกกังวลมาก (เพราะบันทึกแต่เสียง ไม่ได้ต้องเห็นการแสดงภาษากาย)
ปมของ Mr. Fox ปากอ้างว่ากลัวหมาป่า พอแค่ได้ยินเรียกก็ขนหูลุกชูชันตื่นตัว กระนั้นเมื่อได้พบเจอเข้าตัวจริงช่วงท้ายกลับพูดชื่นชมจนน้ำตาหยดไหล แม้สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง แต่แค่ยกมือก็เข้าใจกัน
หลายคนคงไม่เข้าใจการมีอยู่ของช็อตนี้ช่วงท้าย จะใส่เข้ามาทำไมเหมือนไม่ได้มีประโยชน์อะไร? นี่เป็นฉากที่ก็มีคนสัมภาษณ์ถาม Anderson พี่แกไม่ยอมอธิบายแต่บอกว่า ไม่มีวันตัดออกแน่นอน ซึ่งก็มีคนให้คำอธิบายได้อย่างน่าสนใจ
“It shows that Mr. Fox is afraid of his wild side and yet desires greatly to live it due to fears that he has become domesticated”.
หมาป่าเปรียบได้กับสัตว์ป่าที่มีความบริสุทธิ์แท้ ใช้ชีวิตด้วยสันชาติญาณพูดคุยด้วยภาษาใดๆไม่รู้เรื่อง, ขณะที่สุนัขจิ้งจอกมีลักษณะลูกครึ่งพันธุ์ทาง พวกมันมีส่วนผสมระหว่างสัตว์ป่ากับสามารถอาศัยอยู่ร่วมพึ่งพิงพากับมนุษย์ และการยกมือให้กัน นั่นสัญลักษณ์ของความเป็นพี่น้องพ้องวงศ์เผ่าพันธุ์สุนัขเหมือนกัน
“Are you cussing with me?”
ผู้กำกับ Anderson ได้บัญญัติศัพท์ใหม่ ‘Cuss’ เป็นคำสถบสาปแช่ง (Cursing) ถือว่าหยาบคาย หลบลู่กันและกัน ไม่สมควรพูดซึ่งๆหน้ากับผู้อื่น (โดยเฉพาะเจ้าหมาป่า), มีนักข่าวถามถึงแรงบันดาลใจ Anderson บอกลืมจุดเริ่มต้นไปแล้ว แต่คงเป็นขณะกำลังครุ่นคิดค้นหาคำเหมาะสม แล้ว Cuss ดันออกเสียงได้คล้องจอง ลงตัวพอดี
ในฉบับนิยาย Mrs. Fox ไม่มีชื่อเรียก แต่อนิเมะตั้งให้ว่า Felicity (ชื่อของภรรยาคนที่สองของผู้เขียน Dahl) เป็นจิ้งจอกที่มีความเฉลียวฉลาด แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง สามารถรับมือลูก Ash และสามีได้เกือบอยู่หมัด งานอดิเรกชื่นชอบการวาดรูปธรรมชาติ แต่ทุกครั้งต้องมีสายฟ้าฟาด เพื่อให้ผู้อื่นยำเกรงในความเป็นตัวของตนเอง
ว่ากันว่าในตอนแรก Anderson อยากได้ Cate Blanchett ที่เคยร่วมงานตอน The Life Aquatic with Steve Zissou (2004) ให้มาพากย์เสียงบทบาทนี้ แต่ไปๆมาๆไม่ทราบสาเหตุถอนตัวออกไป ลงเอยที่ Meryl Streep แค่ชุดของ Felicity ก็มีความคล้ายกับแฟชั่นที่ขุ่นป้าชอบสวมใส่สมัยยังสาวๆ
Streep เคยให้สัมภาษณ์เล่าว่า ระหว่างถ่ายทำ Mamma Mia! (2008) ช่วงฤดูร้อนปี 2007 อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์กลางกรุง London วันหนึ่งลืมปิดหน้าต่างห้องน้ำ กลับเข้ามาพบเห็นสุนัขจิ้งจอก ด้วยความสะดุ้งตกใจจับจ้องมองตา แข็งทื่ออยู่อย่างนั้นทั้งคู่ประมาณ 12 นาที ก่อนเผลอแวบเดียว เจ้าจิ้งจอกจะวิ่งหนีหายลับออกหน้าต่างไป ขุ่นป้าจดจำวินาทีนั้นได้เป็นอย่างดี นำมาเป็นแรงบันดาลใจพากย์อนิเมชั่นเรื่องนี้
แต่ส่วนตัวบอกเลยว่าไม่ค่อยประทับใจเสียงพากย์ของ Streep สักเท่าไหร่ เพราะผมจินตนาการเห็นภาพใบหน้าป้าแกไปด้วย ขณะนั้นก็อายุ 50 กว่าแล้ว เลยรู้สึกไม่ค่อยเข้ากับความยังสาวของตัวละครสักเท่าไหร่
แซว: ใครสามารถแบ่งแยกสำเนียงออก จะพบว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายพูดอเมริกัน ขณะที่บรรดามนุษย์จะพูดสำเนียงอังกฤษ ตามพื้นหลังสถานที่ดำเนินเรื่อง
ในขั้นตอนโปรดักชั่น เห็นว่ามีการแบ่งงานออกเป็น 29 หน่วย เพื่อลดระยะเวลาที่ยูนิตหนึ่งสามารถถ่ายทำได้เพียงวันละประมาณ 4 วินาที เพิ่มขึ้นเป็นเกือบๆนาที ซึ่งด้วยปริมาณงานเท่านี้คงไม่มีใครเดินทางไปๆมาๆให้เสียเวลาอย่างแน่นอน
“Doing this sort of movie, it’s a long, long process and it’s very detail-oriented. There are a million decisions, more than a live-action movie, because everything has to be made. People are making decisions not in a moment-to-moment basis but in a frame-to-frame basis and everything is just more intricate. That’s insane. I’m accustomed to one and that’s usually completely overwhelming. But we had such a great group of people and we figured out a way”.
วิธีที่ Anderson ใช้ก็แสนง่ายด้วยเทคโนโลยีสมัยปัจจุบันนั้น คือการนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เปิดโปรแกรมที่สามารถสื่อสารได้พร้อมๆกันหลายที่ ประชุม Live สด เมื่อได้ข้อตกลงจากหน่วยหนึ่ง ก็สามารถส่งต่อให้ยูนิตถัดๆไปปรับความเข้าใจได้ตรงกันเลย
“We also had this software where I could look through any of the cameras on any of the units, and so I could see what the camera was seeing on each unit through a live feed. It was very efficient.”
ถ่ายทำด้วยกล้องดิจิตอล Nikon D3 เลือกรุ่นนี้เพราะคุณภาพความละเอียดสูงกว่า High Definition และเลือกอัตราความเร็ว 12 ภาพต่อวินาที น้อยกว่าปกติที่ 24 fps เพื่อให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความเป็น Stop-Motion กระตุกๆโดยเฉพาะ รวมแล้วทั้งเรื่อง 88 นาที มีประมาณ 56,000 ช็อต (ปกติโดยเฉลี่ยของภาพยนตร์อนิเมชั่น ล้วนต้องเกินแสนภาพทั้งนั้นนะครับ)
จำนวนหุ่นที่ใช้ทั้งหมด 535 ตัว เป็นของ Mr. Fox จำนวน 102 ตัว แบ่งออกเป็น 17 แบบ 6 ขนาด (สำหรับระยะใกล้-ไกล ถ่าย Long Shot จนถึง Close-Up) ขณะที่ผมขนของสัตว์ ทุกชิ้นที่เห็นนำจากขนสัตว์ประเภทนั้นจริงๆ รวมถึงทรงผมของตัวละครมนุษย์ ก็นำจากพนักงานในสตูดิโอนะแหละ และเสื้อผ้าของตัวละคร เห็นว่า Anderson อุทิศสูทหลายตัวของตนเองนำมาตัดเย็บให้กับตัวละคร นี่แสดงว่าแฟชั่นรสนิยมของเขาไม่ต่างจากผู้เขียน Roald Dahl สักเท่าไหร่เลยนะ
โทนสีของอนิเมชั่น ทั้งหมดจะในโทนฤดูใบไม้ร่วง Autumn ประกอบด้วยเหลือง ส้ม และน้ำตาล แทบไม่พบเห็นสีเขียวกับน้ำเงิน ยกเว้นดวงตาและชุดของ Kristofferson ที่เป็นสีขาวอมฟ้า เพื่อแทนถึงความเป็นคนนอกในชุมชนนี้
ใครช่างสังเกตสักหน่อย จะพบเห็นขนของสัตว์ทั้งหลาย ราวกับว่ามีสายลม ‘Invisible Wind’ พัดใส่ตัวละครทำให้มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา มันช่างดูแปลกประหลาดเหลือเกิน แต่จะบอกว่าเป็นความจริงใจของผู้กำกับ ไม่ใช่ความผิดพลาดของทีมทำอนิเมชั่นนะครับ เพื่อให้รู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาของตัวละคร (แม้มันจะดูไม่สมจริงก็ตามเถอะ)
การซักซ้อมเตรียมแผนการของ Mr. Fox กับตุุ่น Kylie แล้วมีการบันทึกเทปด้วยไมโครโฟน นี่เป็นฉากเคารพคารวะผู้เขียน Roald Dahl พบเห็นจากรูปถ่ายเก่าๆ ใช้วิธีการนี้ในการบันทึกพล็อตเรื่องราวที่เพิ่งครุ่นคิดได้ ก่อนค่อยนำมาเรียบเรียงเขียนหนังสือ
Whack-Bat เป็น Fictional Sport (ในนิยายไม่มีนะครับ) มีลักษณะส่วนผสมของ Baseball กับ Cricket (อเมริกันนิยม + อังกฤษนิยม) อธิบายโดย Coach Skip (พากย์เสียงโดย Owen Wilson) ประกอบด้วยผู้เล่น 13 คนในสนาม สามคนเป็น Grabber, สามคนเป็น Tagger, อีกห้าคนเป็น Twig-Runner, หนึ่งคน Center Tagger เป็นผู้ขว้างลูก Pinecone ให้คู่แข่งใช้ไม้ Whack-Bat หวดตีให้ไกล แล้วตนเองออกวิ่งจากซีกสนามหนึ่ง ตีไม้สองฝั่งให้ล้มลงโดยไม่ถูก Tag กรรมการตะโกน Hot Box เป็นอันจบเซต นับคะแนนรวมแล้วหารด้วย 9
การให้คะแนนประกอบด้วย
– Whackbatter ตีโดน Pinecone 45 คะแนน
– Whackbatter ตีไม้ Cedar Stick ล้มลงได้ข้างละ 27 คะแนน
– Twig-runner นำ Pinecone ใส่ตะกร้า 18 คะแนน
กว่าผมจะเข้าใจเกมนี้ก็มึนตึบอยู่นานทีเดียว สรุปง่ายๆก็คือ ผู้เล่น Whackbatter ตีลูกให้โดน (แบบเบสบอล) แล้วรีบวิ่งไปตีไม้ทั้งสองฝั่งให้ล้มลงโดยไม่ถูกจับได้ (แบบ Cricket) ก็จะได้คะแนน 45 + 27 + 27 = 99 นำไปหาร 9 ก็ได้ 9 คะแนนเต็ม Home-run Hot Box!
แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ Computer Graphic จนแล้วจนรอกก็มีฉากน้ำท่วมจำเป็นต้องใช้ CG เข้าช่วย คงเพราะมันไม่มีวิธีอื่นจริงๆในการถ่ายทำช็อตนี้ แต่ก็ขอสตูดิโอที่ทำกราฟฟิกให้ ขอแบบออกมาเหมือน Stop-Motion ไม่เน้นความสมจริง
ขณะที่ช็อตอื่นๆขณะน้ำไหล ใช้ถุงพลาสติกห่ออาหาร (Saran Wrap) ขยุกขยำก็พอดูเหมือนกระแสน้ำไหล
ไดเรคชั่นการถ่ายภาพของผู้กำกับ Anderson ชอบที่จะเคลื่อนกล้องไปทางซ้าย<>ขวา ขึ้น^vลง เข้า-ออก ตัวละครมักเคลื่อนเดินผ่านไปตามทิศทางนั้นแบบตรงไปตรงมา, Tracking Shot ในลักษณะมุมมองบุคคลที่หนึ่ง, หลายครั้งกับช็อต Close-Up แบบหน้าตรง และสบสายตาผู้ชม (Break the Fourth Wall)
เรื่องราวเล่าในมุมมองของ Mr. Fox เป็นส่วนใหญ่ (ถือเป็นจุดหมุนของอนิเมะก็ได้) บางครั้งสลับไปที่ลูกชาย Ash กับความอิจฉาริษยา Kristofferson และบางครั้งในมุมของสามมนุษย์ Boggis, Bunce, Bean สุมหัวกันเพื่อครุ่นคิดกระทำบางอย่างต่อคู่กรณีของตน
จริงๆผมเพิ่งรับรู้จากบทสัมภาษณ์ของ Anderson ว่า Stop-Motion Animation จะต้องเริ่มจากกระบวนการตัดต่อให้เสร็จสิ้นเสียก่อน กล่าวคือมีการกำหนดระยะเวลาความยาวของแต่ละช็อต/ฉากอย่างเปะๆ มุมกล้องทิศทางไดเรคชั่นที่จะใช้ แล้วถึงค่อยเริ่มต้นโปรดักชั่น เพื่อให้การถ่ายทำในแต่ละวันหนึ่งมีเป้าหมายงานอย่างชัดเจน นี่ถือเป็นสิ่งแตกต่างจากภาพยนตร์คนแสดงโดยสิ้นเชิง
เพลงประกอบโดย Alexandre Desplat สัญชาติฝรั่งเศส นี่เป็นการร่วมงานครั้งแรกกับ Anderson ก่อนจะคว้า Oscar: Best Original Score จากเรื่อง The Grand Budapest Hotel (2014),
บทเพลงรับอิทธิพลเต็มๆจาก Ennio Morricone เสียงผิวปากให้สัมผัสของ Western ดินแดนคนเถื่อน บางครั้งเริ่มต้นด้วย Mandolin สร้างสีสันของชนบท Country ท้องทุ่งเหลืองทองอร่ามกว้างไกล มองไปสุดลูกหูตา, นอกจากนี้ยังมีการนำบทเพลงจากศิลปินดังในช่วงทศวรรษ 60s อาทิ The Beach Boys, The Bobby Fuller Four, Burl Ives, The Rolling Stones, เพลงประกอบภาพยนตร์ของ Georges Delerue, George Bruns ฯ
ตั้งแต่บทเพลง Mr. Fox in the Fields ผมก็รู้สึกได้เลยว่าผลงานนี้ของ Desplat ต้องได้เข้าชิง Oscar แน่ๆ ซึ่งก็ไม่ผิดเลย, เริ่มต้นด้วย Mandolin ให้สัมผัสอันงดงามของธรรมชาติท้องทุ่งชนบท ตามด้วยเชลโล่อันลุ่มลึก พรรณาถึงชีวิตที่มีบางสิ่งอย่างสำคัญมากกว่าตาพบเห็น
บทเพลง Boggis, Bunce, and Bean ให้ตายเถอะ ฟังวนอยู่สองสามครั้งก็แทบจดจำทำนอง ฮัมร้องตามได้แล้ว ช่างมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสียเหลือเกิน (คำร้องของบทเพลงนี้ มาจากนิยายของ Roald Dahl โดยตรงเลยนะ)
มาฟังบทเพลงมันส์ๆ ตื่นเต้นเร้าใจกันบ้าง, Bean’s Secret Cidar Cellar การต่อสู้ระหว่างหนูโรคจิตกับ Mr. Fox วินาทีที่เสียงผิวปากดังขึ้น กลิ่นอายของ Ennio Morricone ลอยมาเตะจมูกโดยทันที แถมด้วย Jew’s Harp อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ นี่สะท้อนถึงความป่าเถื่อนของชีวิต (ภาพยนตร์แนว Western นอกจากคำเรียกคาวบอย ยังหมายถึงดินแดนคนเถื่อน ไร้อารยธรรม)
แซว: Desplat น่าจะเป็นคนผิวปากเองเลยนะ เคยเห็นพี่แกโชว์ความสามารถตอนรอสลักชื่อรางวัล Oscar ตัวที่สองจาก The Shape of Water (2017)
แต่เด็ดสะระตี่สุดในผลงานของ Desplat คือตอน Mr. Fox พบเจอหมาป่า Canis Lupus มันเป็นสัมผัสที่โหยหวนทรงพลังอลังการ ซึ่งถ้าคุณอินกับอนิเมะมากๆ อาจได้หลั่งน้ำตาออกมาไม่รู้ตัว
“What a beautiful creature…”
ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ ต่างย่อมประสบพบปัญหาในการใช้ชีวิต เมื่อใดตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มองผิวเผินไร้ซึ่งหนทางออก แต่ถ้ายังไม่ยอมแพ้หมดสิ้นหวังหรือลมหายใจ บางทีอาจค้นพบคำตอบที่ไม่ไช่การดื้อรั้นเผชิญหน้า แต่หลบซ่อนอยู่เบื้องหลังภายใต้ผืนแผ่นดินพสุธา
Mr. Fox เพราะถูกทำให้จนมุมหมดสิ้นหนทางรอด แต่เพราะรับรู้ว่าภรรยาเพิ่งตั้งครรภ์กำลังจะมีลูกน้อย ใช้สติปัญญาไหวพริบอันเฉียบขาด สามารถหาหนทางดิ้นรนเอาตัวรอดเฮือกสุดท้าย มุดขุดดินหนีหางจุกตูด แม้มันดูไม่เห็นเท่ห์ตรงไหน แต่การมีชีวิตรอดย่อมสำคัญกลเม็ดวิธีการใดๆ
เราอาจต้องโทษที่ความละโมบโลภมักมาก ลุ่มหลงใหลในสันชาติญาณความเป็นสัตว์ของ Mr. Fox ทำให้สองปีถัดมาหวนกลับสู่อาชีพโจรกรรม ออกปล้นสามฟาร์มของมนุษย์เพื่อเติมเต็มกิเลสตัณหา แต่ตัวเขาก็ได้รับผลกรรมตอบสนองด้วยการสูญเสียบ้านที่อยู่อาศัย เรียกว่าแทบจะหมดสิ้นเนื้อประดาตัว ถึงกระนั้นเพราะยังมีชีวิตอยู่เลยต้องดิ้นรนต่อไป เอาตัวรอดด้วยการเลี้ยวลดคดเคี้ยว ซิกแซกแบบไม่เผชิญหน้า แก้ปัญหาด้วยปฏิธานไหวพริบไม่ใช่หมกมุ่นอยู่กับความเคียดแค้นต้องการเอาคืนสถานเดียว
เพราะการเอาแต่หมกมุ่นในความเคียดแค้นของ Boggis, Bunce, Bean ทำให้พวกเขามิสามารถติดตามได้ไล่ทันสุนัขจิ้งจอก มืดบอดรอบด้านเพราะแค่คิดว่ามันต้องออกมาจากรังรูทางเข้านี้เท่านั้น ทั้งๆก็เป็นคนเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ แต่ไฉนคิดไม่ถึงหรือยังไงว่ามันต้องมีทางออกอื่น!
ความสุดมหัศจรรย์ของ Mr. Fox สะท้อนอุดมคติของความเป็นพ่อ เฉลียวฉลาด เก่งกาจ พึ่งพิงพาได้ทุกสถานการณ์ นั่นคือสิ่งที่ผู้เขียน Roald Dahl เพ้อฝันอยากกลายเป็น (แม้ไม่สำเร็จก็เถอะ) แต่สำหรับผู้กำกับ Wes Anderson เขามองตัวเองดั่งลูกชาย Ash แค่เด็กธรรมดาสามัญ มักถูกใครๆกล่าวอ้างเทียบความยิ่งใหญ่กับพ่อ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกแต่คนส่วนใหญ่ย่อมไม่เข้าใจ และทำให้กลายเป็นปมด้อยคับข้องใจ ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขยอมรับ โตขึ้นย่อมก้าวร้าวหัวขบถ ปฏิเสธต่อต้านสังคมอย่างแน่แท้
นี่อาจเป็นสิ่งที่ Anderson เติบโตขึ้นอยากก้าวข้ามผ่าน เพราะเขามีหนังสือเล่มนี้คือไอดอล เปรียบ Roald Dahl เสมือนพ่อ(ในจินตนาการ) ผู้คือเป้าหมายที่ต้องการเอาชนะ วาดฝันสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง จะเดินตามรอยเท้าลบเลือนปมด้อยนี้ลงได้หรือเปล่า … ในความเชื่อมั่นของผมเอง ถือว่า Anderson กับอนิเมชั่นเรื่องนี้ไปถึงระดับนั้นแล้วนะครับ แต่จะสามารถก้าวไปไกลกว่านั้นได้ไหม อันนี้คงอยู่ที่กาลเวลาเท่านั้นจะตอบได้
ด้วยทุนสร้าง $40 ล้านเหรียญ ทำเงินในอเมริกา $21 ล้านเหรียญ รวมทั่วโลก $46.4 ล้านเหรียญ, เข้าชิง Oscar 2 สาขา พ่ายให้กับ Up (2009) ทั้งคู่
– Best Animated Feature
– Best Original Score
โดยไม่รู้ตัว Fantastic Mr. Fox คืออนิเมชั่น Stop-Motion เรื่องที่ผมชื่นชอบคลั่งไคล้มากสุด หลงใหลในความมีชีวิตของ Stop-Motion โดยเฉพาะช็อต Close-Up สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ นอกจากนี้ยังการออกแบบศิลป์, ไดเรคชั่นของผู้กำกับ Wes Anderson และเพลงประกอบโดย Alexandre Desplat กลมกลืนลงตัวสุดๆ
ทีแรกผมก็ไม่ได้คิดจัดอนิเมชั่นเรื่องนี้ “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” แต่พอรับทราบทัศนคติของผู้กำกับ Wes Anderson รู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยละ เพราะความมหัศจรรย์ของ Mr. Fox จะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ เรียนรู้จักความกล้าหาญเสียสละ อยากที่จะเฉลียวฉลาด เติบโตขึ้นมีสติปัญญาเก่งกาจ แก้ปัญหาเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ เหล่านี้ถือว่าประโยชน์มหาศาลมากกว่าแค่ความบันเทิง
สำหรับผู้ใหญ่อย่ามองแคบที่การขโมยของ Mr. Fox เป็นสิ่งไม่ดี มนุษย์สามคนดังกล่าวก็หาใช่คนดีเลิศประเสริฐศรี ‘ขโมยของโจร’ แบบ Robin Hood ลองครุ่นคิดดูให้ดีว่าเป็นสิ่งถูกหรือผิดละ! ของแบบนี้อยู่ที่มุมมองนะครับ
ใครชื่นชอบ Stop-Motion เกี่ยวกับสัตว์หน้าขน แนะนำอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด The Tale of the Fox (1930) (เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นขนาดยาวเรื่องแรกของประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย)
จัดเรต PG เพราะความบ้าคลั่งเสียสติแตกของมนุษย์สามคน
Leave a Reply