Fox and His Friends (1975) German : Rainer Werner Fassbinder ♥♥♥♥

Fox (รับบทโดย Rainer Werner Fassbinder) ถูกลอตเตอรี่ DEM 500,000 มาร์ค จากเคยต้องดิ้นรนคนทำงาน (Working Class) สามารถไต่เต้าสู่ชนชั้นกลาง (Bourgeoisie) แต่กลับถูกผองเพื่อน แฟนหนุ่ม แสร้งว่ารัก สนเพียงกอบโกยผลประโยชน์ หมดตัวเมื่อไหร่ก็พร้อมตีจากไป, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”

พล็อตเรื่องราวของ Fox and His Friends (1975) อาจดูเฉิ่มๆเชยๆแบบเศรษฐีอนาถา (พ.ศ ๒๔๙๙) แต่ไดเรคชั่นของผู้กำกับ Rainer Werner Fassbinder สามารถสร้างความแตกต่างเฉพาะตัว โดยเฉพาะการนำเสนอธรรมชาติความสัมพันธ์ชาย-ชาย ผู้ชมสมัยนั้นคงกรีดกรายอย่างคลุ้มบ้าคลั่ง เป็นภาพยนตร์ที่ถูกตีตราทำให้สังคมเสื่อมคุณค่า แต่ปัจจุบันคงไม่เท่าไหร่แล้ว … มั้งนะ

ระหว่างรับชมผมไม่มีความรู้สึกกระอักกระอ่วนต่อความสัมพันธ์ชาย-ชาย หรือตะขิดตะขวงขณะเปลือยกาย โทงเทง พบเห็นอวัยวะเพศ มันก็แค่ส่วนหนึ่งของร่างกาย! นั่นเพราะผู้กำกับ Fassbinder จงใจทำให้เรื่องราว Homosexual ดูปกติ ธรรมชาติชีวิต นำเสนอเรื่องราวความรัก ที่ก็เหมือนหนังโรแมนติก(ชาย-หญิง)ทั่วๆไป … ถ้าคุณยังมีอคติต่อเรื่องราวพรรค์นี้ ควรเริ่มฝึกฝน หาหนทางปรับเปลี่ยนมุมมองของตนเองได้แล้วนะครับ

แต่สิ่งที่ผมรู้สึกอึ้งทึ่งสุดๆไม่ใช่ธรรมชาติความสัมพันธ์ชาย-ชาย คือการสร้างความเคลือบแคลงให้ผู้ชม หลายคนอาจสัมผัสได้ตั้งแต่การพบเจอครั้งแรกๆของคู่รักชาย-ชาย เหมือนมีบางสิ่งอย่างแอบแฝง น่าสงสัย หาได้บริสุทธิ์จริงใจ ถึงอย่างนั้นก็ยังโล้เลลังเล คาดหวังว่าเรื่องราว(อาจ)ไม่ดำเนินไปในทิศทางนั้น … ลักษณะดังกล่าวชวนให้นึกถึงหนังของ Alfred Hitcock ที่โดดเด่นด้านการสร้างความระทึก (Suspense) ลึกลับ (Mystery) ขณะที่ภาพยนตร์เรื่องนี้คือความหวาดระแวง (Doubt) คลางแคลงใจ (Distrust)

และการที่ผู้กำกับ Fassbinder แสดงนำด้วยตนเอง (ถึงขนาดยอมลดพุง น้ำหนักลงไปหลายกิโล) ไม่ใช่แค่ใบหน้าที่ดูละอ่อน เดียงสาต่อโลก แต่ผู้ชมยังตระหนักว่าข้างหลังกล้องไม่มีใครคอยควบคุมดูแล บังเกิดความหวาดระแวง เคว้งคว้าง คลางแคลงใจ (แต่มันก็เฉพาะคนที่รับรู้ว่าเขาคือผู้กำกับนะครับ) … นี่เป็นการใช้ประโยชน์จาก ‘ความเป็นผู้กำกับ’ ระดับอัจฉริยะจริงๆ

There is a certain kind of artist–the reckless genius. He just shrugs all setbacks off, he is so ultimately convinced that he is bound to succeed. Now Fassbinder has that. I’m not necessarily saying he’s a genius–but I personally think he is–but he has that kind of confidence in his own talent. And in Germany, he needs it.

Douglas Sirk พูดชื่นชม Rainer Werner Fassbinder

R. W. Fassbinder หรือ Rainer Werner Fassbinder (1945-82) นักแสดง ผู้กำกับ สัญชาติเยอรมัน เกิดที่ Bad Wörishofen, Bavaria เพียงสามสัปดาห์หลังจากนาซี ประกาศยอมพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง, บิดาเป็นแพทย์ที่มีความหลงใหลในการเขียนบทกวี ส่วนมารดาทำงานล่ามแปลภาษา (German <> English) ครอบครัวหย่าร้างเมื่อเขาอายุได้หกขวบ อาศัยอยู่กับแม่ที่มักส่งบุตรชายไปดูหนังเพื่อไม่ให้รบกวนเวลาทำงาน (และกุ๊กกิ๊กกับคนรักใหม่) นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ Fassbinder ชื่นชอบหลงใหลภาพยนตร์ โดยเฉพาะผลงานของผู้กำกับ Jean-Luc Godard

ช่วงวัยรุ่นถูกส่งไปโรงเรียนประจำ แต่พยายามหลบหนีหลายครั้ง จนบิดาต้องพามาอาศัยอยู่ด้วยกัน กลางวันช่วยทำงานหาเงิน กลางคืนร่ำเรียนหนังสือ และค้นพบความหลงใหลในการเขียนบทกวี ละคร เรื่องสั้น (จากอิทธิพลของบิดา), พออายุ 18 มุ่งหน้าสู่ Munich เข้าเรียนการแสดงยัง Fridl-Leonhard Studio ทำให้พบเจอว่าที่(นักแสดง)ขาประจำ Hanna Schygulla ระหว่างนั้นก็ได้ทำงานผู้ช่วยผู้กำกับ บันทึกเสียง Sound Man เขียนบทละคร สร้างหนังสั้น เคยยืนใบสมัคร Berlin Film School แต่ได้รับการบอกปัดปฏิเสธ, กระทั่งเมื่อปี 1967 มีโอกาสเข้าร่วม Munich Action-Theater ได้เป็นทั้งนักแสดง เขียนบท ผู้กำกับ ไม่นานก็ประสบความสำเร็จ จากนั้นร่วมก่อตั้งคณะการแสดง Aktion-Theater (แปลว่า Anti-Theater) สรรค์สร้างผลงานที่ผิดแผก แหกขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของวงการละครเวที! กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Love Is Colder Than Death (1969) เป็นการทดลองแนว Avant-Garde ที่ได้รับเสียงโห่ไล่เมื่อฉายรอบปฐมทัศน์เทศกาลหนังเมือง Berlin แต่กลับมาคว้ารางวัล German Film Award ถึงสองสาขา

ในช่วงเวลา Avant-garde Period (1969–1971) ผู้กำกับ Fassbinder ได้รับอิทธิพลจากยุคสมัย French New Wave โดยเฉพาะ Jean-Luc Godard สรรค์สร้างผลงานสิบกว่าเรื่องในระยะเวลา 2 ปีเศษๆ ด้วยไดเรคชั่นที่ไม่ประณีประณอมผู้ชม มีความเป็นส่วนตัวสูงมากๆ จึงมิอาจเข้าถึงบุคคลทั่วไป จนกระทั่งหลังเสร็จจาก Pioniere in Ingolstadt (1971) ได้รับชักชวนเข้าร่วมงานสัมมนาที่ Münchner Stadtmuseum (Munich Film Archive) มีโอกาสรับชมภาพยนตร์ของ Douglas Sirk อาทิ All That Heaven Allows (1955), Imitation of Life (1959) ฯลฯ บังเกิดความหลงใหลคลั่งไคล้ ต้องการปรับเปลี่ยนแนวทางสรรค์สร้างผลงานของตนเองโดยทันที

เรื่องราวของ Fox and His Friends ได้แรงบันดาลใจจาก Armin Meier หนึ่งในคู่ขาของผู้กำกับ Fassbinder เคยเป็นพ่อค้าขายเนื้อ (Butcher) ซึ่งถือว่าคือชนชั้นทำงาน (Working Class) ไม่เชิงว่าถูกลอตเตอรี่ แต่เมื่อมีโอกาสพบเจอ รับรู้จัก ตกหลุมรัก เลยชักชวนมาอาศัยอยู่ร่วม แสดงภาพยนตร์ ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่สามารถปรับตัว เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตสู่ชนชั้นกลาง (Bourgeoisie) ได้โดยง่าย

มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้กำกับ Fassbinder สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะอยากพบเจออดีตคู่ขา El Hedi ben Salem ที่หลังเลิกราเมื่อปี 1974 ดื่มเหล้ามึนเมาแทงคนเสียชีวิตในบาร์ จนต้องลักลอบหลบหนีออกนอกประเทศ เลยนัดหมายยังประเทศ Morocco ได้ทั้งท่องเที่ยว ทำงาน และฮันนีมูน พร้อมกันในตัว


เรื่องราวของ Franz Bieberkopf (รับบทโดย Rainer Werner Fassbinder) นักแสดงคณะละครสัตว์ฉายา Fox, the Talking Head จับพลัดจับพลูถูกลอตเตอรี่รางวัล DEM 500,000 มาร์ค ได้รับคำแนะนำให้รู้จักกับ Eugen (รับบทโดย Peter Chatel) ทายาทกิจการโรงพิมพ์ซึ่งกำลังประสบปัญหาขาดทุน จึงมีโอกาสเรียนรู้วิถีชีวิตชนชั้นกลาง (Bourgeoisie) แรกเริ่มก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจ เออออห่อหมก เขาต้องการอะไรก็มอบให้ทุกสิ่งอย่าง

แต่ความแตกต่างทางชนชั้นค่อยๆทำให้ Franz รู้สึกอยู่ผิดที่ผิดทาง นั่นไม่ใช่วิถีชีวิต โลกของตนเอง ต้องการจะเลิกรากับ Eugen แต่พอมารู้ตัวอีกทีก็พบว่าถูกคดโกง หลอกลวง จนสูญเสียทุกสิ่งอย่าง นั่นทำให้เขาตกอยู่ในสภาพหมดสิ้นหวัง ไม่มีใครสามารถให้ที่พึ่งพักพิง จึงตัดสินใจดื่มกินยานอนหลับฆ่าตัวตาย


Franz เกย์หนุ่มหน้าใส ละอ่อนวัย ไร้เดียงสาต่อโลก ได้ทั้งสองประตูหน้า-หลัง วันๆเคยแต่ต้องทำงานต่อสู้ดิ้นรน (Working Class) จนกระทั่งถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ เลยได้รับการแนะนำเข้าสังคมชนชั้นกลาง (Bourgeoisie) พบเจอตกหลุมรัก Eugen ยินยอมเออออห่อหมกโดยไม่สนอะไรสักอย่าง เชื่อว่าเขาปรารถนาดี ต้องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจริงๆ แต่พอถูกทรยศหักหลัง เลยไม่สามารถครุ่นคิด ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หมดสูญเสียสิ้นความเชื่อมั่นต่อทุกสิ่งอย่าง

เกร็ด1: Franz Bieberkopf เป็นชื่อที่ได้แรงบันดาลใจจากนวนิยาย Berlin Alexanderplatz (1929) ของ Alfred Döblin แตกต่างกันเล็กน้อยเพียงตัวอักษรเดียว Biberkopf … ซึ่งผู้กำกับ Fassbinder มีโอกาสสรรค์สร้าง miniseries เรื่อง Berlin Alexanderplatz (1980) ความยาว 14 ตอน 900+ นาที

เกร็ด2: โดยปกติแล้ว Fox, สุนัขจิ้งจอก เป็นสัตว์สัญลักษณ์ของความเฉลียวฉลาด จอมหลอกลวง (Trickster) แต่ด้วยความที่มันตัวเล็กเลยมักถูกไล่ล่า (จากสัตว์ขนาดใหญ่กว่า)

สำหรับคนที่ไม่รับรู้ว่านักแสดงนำคือผู้กำกับ Fassbinder ก็น่าจะยังชื่นชมในภาพลักษณ์ ใบหน้าดูละอ่อนต่อโลก บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทั้งการแสดงดูเป็นธรรมชาติ ไม่ตะขิดตะขวง แม้ต้องเปลือยกายโทงเทง นั่นสร้างความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย เป็นกำลังใจให้เขาประสบสิ่งดีงาม แต่ทุกสิ่งอย่างรอบข้างกลับรายล้อมด้วยภยันตราย ค่อยๆกัดกร่อนทำลายจิตวิญญาณ(ทั้งผู้ชมและตัวละคร) จนกระอักเลือก จุกแน่นอก หัวใจแตกสลาย

เพิ่มเติมสำหรับคนที่รับรู้ว่า Fassbinder = Franz (เป็นชื่อตัวละครที่เขานิยมใช้ซ้ำบ่อยๆ) มันจะมีความหวาดระแวง วิตกจริตเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะผู้กำกับไม่ได้อยู่ด้านหลังกล้อง แล้วใครจะเป็นคนควบคุมไดเรคชั่นหนัง จริงอยู่เขาสามารถซักซ้อมทีมงาน ตากล้อง แต่สันชาตญาณผู้ชมจะไม่รู้สึกผ่อนคลายลงสักเท่าไหร่

(ผมอยากแนะนำให้ลองหา The Wild Child (1970) ซึ่งผู้กำกับ François Truffaut เล่นเอง กำกับเอง ทั้งหน้า-หลังกล้อง อาจช่วยสร้างความเข้าใจถึงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อ ผกก. รับบทแสดงนำ คล้ายๆภาพยนตร์เรื่องนี้)

แม้นักวิจารณ์บางคนจะมองว่าตัวละครนี้ดูทึ่มทื่อ ซื่อตรงเกินไป แต่นั่นคือวิธีการสร้างเรื่องราวของผู้กำกับ Fassbinder เพื่อให้ผู้ชมบังเกิดการเปรียบเทียบกับตนเอง ว่าฉันคงไม่ทำตัวโง่งมไร้เดียงสาขนาดนั้น … เป็นการหลอกล่อผู้ชม เพื่อสร้างสามัญสำนึกบางอย่างให้บังเกิดขึ้น!


Peter Chatel (1943-86) นักแสดงสัญชาติ German เกิดที่ Bad Segeberg, ค้นพบความสนใจในละครเวทีตั้งแต่เด็ก จนมีโอกาสฝึกฝนการแสดงกับ Gustaf Gründgens จากนั้นเข้าเรียนต่อยัง Hochschule für Musik und Theater Hamburg กลายเป็นนักแสดงที่ Zimmertheater, Heidelberg เริ่มมีชื่อเสียงจากเป็นแสดงละครโทรทัศน์ ไปโด่งดังอยู่ประเทศอิตาลี กระทั่งถูกจับกุมข้อหาครอบครองกัญชา รอดคุกสองปีแต่ถูกขับไล่กลับเยอรมัน กระทั่งพบเจอผู้กำกับ Rainer Werner Fassbinder ไม่มีรายละเอียดว่าเป็นคู่ขากันหรือเปล่า แต่ก็มีแนวโน้มสูงมากๆเพราะพี่แกเสียชีวิตโรค AIDS ขณะอายุเพียง 42 ปี

รับบท Eugen ทายาทกิจการโรงพิมพ์ที่กำลังประสบปัญหาขาดทุน ได้รับคำแนะนำให้รู้จัก Franz ปฏิกิริยาแรกคืออคติ ต่อต้าน ไม่ต้องการยินยอมบุคคลต่ำต้อยกว่า แต่ก็ตัดสินใจเสียสละตนเองเพื่อความอยู่รอดของตระกูล พยายามแสดงความรักใคร่ ห่วงใย แนะนำให้รู้จักวิถีสังคมชนชั้นกลาง (Bourgeoisie) ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดวางแผนทรยศหักหลัง ลวงล่อหลอกโน่นนี่นั่น จนกระทั่งอีกฝั่งฝ่ายใช้เงินหมดสิ้น ก็พร้อมร่ำลาตีจากไป

The curious thing is that the character I play is him, the person who exploits. What he plays is how he would have liked to be, the delicate, sensitive proletarian child that he wasn’t.

Peter Chatel

Chatel เล่าว่าตัวละครนี้ก็คือผู้กำกับ Fassbinder ที่เคยพยายามควบคุมครอบงำ ปรับเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของหนึ่งในคู่ขา แค่ว่าเขาไม่ได้คิดหวังกระทำสิ่งชั่วร้ายแบบตัวละคร สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่อทบทวนการกระทำของตนเอง ในมุมมองของคนรัก จะครุ่นคิดเห็นย้อนกลับเช่นไร

ผมรู้สึกว่าภาพลักษณ์ของ Chatel (เมื่อเทียบกับ Karlheinz Böhm ที่รับบท Max) ดูไม่ค่อยเหมือนคนที่มีความเย่อหยิ่ง ทะนงตน หัวสูงส่งสักเท่าไหร่ แต่ความเยือกเย็นชา แสดงสีหน้าไม่ยี่หร่าอะไรใคร นั่นเป็นสิ่งที่ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ เกิดความเคลือบแคลงสงสัยตั้งแต่ฉากแรกๆพบเจอ หมอนี่ต้องมีลับลมคมใน บางสิ่งอย่างชั่วร้ายซุกซ่อนอยู่อย่างแน่นอน


ถ่ายภาพโดย Michael Ballhaus (1935-2017) ตากล้องสัญชาติ German เกิดที่ Berlin เป็นบุตรของนักแสดง Lena Hutter กับ Oskar Ballhaus, ช่วงวัยเด็กมีโอกาสเป็นตัวประกอบภาพยนตร์เรื่อง Lola Montès (1955) จึงตัดสินใจเอาดีด้านการถ่ายภาพ เริ่มมีชื่อเสียงจากการร่วมงานผู้กำกับ Rainer Werner Fassbinder อาทิ The Bitter Tears of Petra von Kant (1972), Chinese Roulette (1976), The Marriage of Maria Braun (1978), แล้วยังโกอินเตอร์กลายเป็นขาประจำผู้กำกับ Martin Scorsese อาทิ The Last Temptation of Christ (1988), Goodfellas (1990), The Age of Innocence (1993), Gangs of New York (2002), The Departed (2006) ฯลฯ

การที่ผู้กำกับ Fassbinder เป็นนักแสดงอยู่หน้ากล้อง นั่นแปลว่าเขามีความเชื่อมั่นใน Ballhaus (คงประทับใจการร่วมงานเมื่อครั้น The Bitter Tears of Petra von Kant (1972)) จักสามารถถ่ายทำหนังตามไดเรคชั่นที่พูดคุยกันไว้ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตนเอง

ไดเรคชั่นของหนังได้รับอิทธิพล ‘สไตล์ Sirk’ เต็มไปด้วยสีสัน รายละเอียด โดยเฉพาะฉากภายใน (อพาร์ทเม้นท์ของ Franz ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์หรูหราราคาแพงๆทั้งนั้น) ลีลากล้องขยับเคลื่อนไหว Tracking-Panning-Zooming ดูมีความเป็นธรรมชาติ เพิ่มเติมคือมุมกล้อง ภาพโป๊เปลือย เดินโทงเทงอย่างไม่รู้สึกอับอาย (ผู้ชมหลายคนคงเบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน) นั่นคือความหาญกล้าบ้าบิ่นของ Fassbinder ต้องการท้าทายขนบกฎกรอบทางสังคมยุคสมัยนั้น แม้มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับการยินยอมรับ แต่กาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าเขาคือผู้ชนะ


ใครเคยรับชม Flamingo Road (1949) น่าจะตระหนักถึงความละม้ายคล้ายฉากอารัมบท การแสดงคณะละครสัตว์ แถมยังถูกขัดจังหวะจากเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ เรียกว่าคัทลอกกันมาเหมือนเปี๊ยบ แตกต่างที่ Fox and His Friends (1975) นำเสนอให้ดูมีความสมจริงมากขึ้น (ถ่ายทำยังสถานที่จริง ไม่ใช่ในสตูดิโอ)

สำหรับฉายา Fox, the Talking Head สื่อถึงการแบ่งแยกระหว่างศีรษะ-ร่างกาย หรือคือคำพูด/ความครุ่นคิด vs. สันชาตญาณร่างกาย/ทางเพศ ไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้ตรงกัน (ดังคำร้องบทเพลง ‘รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก’ คือศีรษะครุ่นคิดได้ว่าเขาไม่ใช่คนดี แต่ร่างกายกลับไม่อาจต่อต้านทานสันชาตญาณความต้องการ/ทางเพศ)

ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กำกับ Fassbinder และ Irm Hermann รับเชิญบทบาท Madame Cherie ขณะนั้นน่าจะเหมือนในหนังเปี๊ยบๆ คือไม่ได้ครองคู่อยู่ร่วมกันอีกแล้ว แต่เขาก็ยังพยายามโน้มน้าว หาหนทางกลับมาคืนดี สังเกตสีหน้าเศร้าๆ (ของ Fassbinder) คงเอาความรู้สึกในชีวิตจริงถ่ายทอดออกมา

และบริเวณด้านหลังของสาวๆ พบเห็นชิงช้าสวรรค์กำลังหมุนวน สามารถสื่อถึงชีวิตที่พวกเธอเลือกเดินก้าวต่อไป (โดยไม่มี Fassbinder)

พฤติกรรมหมกมุ่นลอตเตอรี่ของ Franz สะท้อนถึงการโหยหาความสำเร็จ เพ้อใฝ่ฝันชีวิตสุขสบาย ต้องการดิ้นให้หลุดพ้นวังวนชนชั้นกรรมาชีพ (Working Class) แต่หนังนำเสนอช็อตนี้ถ่ายผ่านรองเท้าของบรรดามาเฟีย (Franz ยังซ่อนเงินไว้ในถุงเท้าด้วยนะ!) มองการกระทำดังกล่าวดูต่ำต้อยด้อยค่า ไม่สมควรกับโชคชะตาที่กำลังจะได้รับมา

ลอตเตอรี่ ถือเป็นความเพ้อฝันของชนชั้นกรรมาชีพ (และชนชั้นกลางหลายๆคน) เชื่อว่าโชคชะตาสามารถเปลี่ยนชีวิต ยกระดับทางสังคมให้กับตนเอง ไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรน ทนทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป ประเทศไหนที่คนนิยมเล่นหวยกันเยอะ (โดยเฉพาะชาวสารขัณฑ์) แสดงว่าสังคมมีความเหลื่อมล้ำอยู่มาก กลุ่มชนชั้นล่างต้องทนทุกข์ยากลำบาก ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐเท่าที่ควร

Max (รับบทโดย Karlheinz Böhm) เป็นคนแรกพบเจอ Franz แล้วประจักษ์ความโชคดี แทงถูกลอตเตอรี่ แม้ลึกๆคงมีความชื่นชอบพออยู่บ้าง แต่ความแตกต่าง(ทางชนชั้น)ที่กว้างเกินไป เลยตัดสินใจแนะนำต่อให้ Eugen (หรือไม่รู้เพราะ Franz มีความสนใจ Eugen แล้วร้องขอ Max ให้เป็นผู้แนะนำ)

ระหว่างการพูดแนะนำ Franz ปฏิกิริยาของ Eugen เต็มไปด้วยอคติ ดูถูกเหยียดหยาม แต่พอได้ยินถึงความร่ำรวย ถูกหวย DEM 500,000 มาร์ค ทัศนคติของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปโดยทันที ซึ่งวินาทีนั้น Max เดินเข้าไปยืนตรงผ้าม่าน แสดงถึงการหลีกทาง เพียงเฝ้ามองจากด้านหลัง ให้คนหนุ่มมีโอกาสเผชิญหน้ากันเอง

ผู้ชมน่าจะสังเกตความโล้เล้ลังใจของ Eugen ไม่ได้อยากสานสัมพันธ์กับ Franz แต่ก็ไม่สามารถบอกปัดปฏิเสธ ที่โดดเด่นคือภาษาภาพยนตร์ตั้งแต่ระหว่างออกเดินทาง กล้องถ่ายหน้ารถที่แทบมองไม่เห็นพวกเขาทั้งสอง (สื่อถึงความสัมพันธ์เลือนลาง เจือจาง ไม่น่าเป็นไปได้) และพอเข้ามาในอพาร์ทเม้นท์ ก็มีกฎเกณฑ์โน่นนี่นั่น ต้องถอดรองเท้า ต้องเก็บเสื้อผ้าให้เรียบร้อย (ภาพของบิดาสื่อถึงอิทธิพลควบคุมครอบงำ) ทุกช็อตล้วนถ่ายจากอีกห้องผ่านบานประตู นี่ไม่ได้สื่อถึงโลกส่วนตัวที่มีเพียงเราสอง แต่คือกรอบทางสังคม วิถีปฏิบัติที่แตกต่างกันของคนสองชนชั้น

หนังพยายามแบ่งแยก Eugen กับ Franz ในอีกหลายๆช็อตฉาก หนึ่งในนั้นที่สังเกตเห็นโดยง่ายคือร้านอาหาร นอกจากเสาไม้ช็อตนี้ เมนูยังเขียนด้วยภาษาฝรั่งเศส มองมุมหนึ่งเป็นการแสดงความเฉลียวฉลาดของ Eugen แต่แท้จริงแล้วเขาต้องการดูถูก เหยียดหยาม Franz ให้สำเนียกตนเอง รับรู้ว่าใครมีความสูงส่งเหนือชั้นกว่า

ผมเริ่มสังเกตจากหนังหลายๆเรื่อง ผู้กำกับ Fassbinder นิยมใช้การสั่งอาหารจากร้านหรู อ่านเมนูไม่ค่อยออก คือสัญลักษณ์แทนความแตกต่างทางชนชั้น ความเพ้อใฝ่ฝันของคนทำงาน (Working Class) และบริกรมักมีความอ้ำๆอึ้งๆ แสดงอาการรังเกียจเดียดฉันท์ออกมาอย่างชัดเจน

สถานที่แห่งนี้น่าจะคือ Gay Spa อาบโคลน/น้ำมัน ใครๆต่างเปลือยกายล่อนจ้อน เดินโทงเทงอย่างไม่เหนียงอาย หรือแม้แต่ Max (เป็นคนเดียวที่ไม่ยินยอมเปิดเผยอวัยวะเพศ) ขณะนั่งตรงเก้าอี้ เคียงข้างอวัยวะเพศชายหนุ่มคนหนึ่งอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ … แต่ผู้ชมส่วนใหญ่อาจเบือนหน้าหนี คนไม่มักคุนยากจะทำใจยากจริงๆ

การเปลือยกายในสถานที่แห่งนี้สะท้อนถึงไม่มีอะไรต้องปกปิด ซึ่ง Max ก็พยายามพูดเตือนสติเกี่ยวกับการใช้เงินของ Franz คิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ อ่านสัญญาให้ดีก่อนเซ็นชื่อ นี่ถือเป็นความปรารถนาดีมากๆจากคนที่เหมือนจะไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์ใดๆ

อพาร์ทเม้นท์ของ Franz (และ Eugen) เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์หรู สิ่งข้าวของราคาแพง งานศิลปะเก่าแก่ (ซื้อจาก Max) ซึ่งไม่ได้มีความจำเป็นใดๆต่อการดำรงชีวิต แต่เป็นข้อเรียกร้องของ Eugen เพื่อกอบโกย หวังผลอนาคต เมื่อไหร่เลิกราต่อกัน ทุกสิ่งอย่างนี้จักกลายมาเป็นของตนเองทั้งหมดทั้งสิ้น!

แซว: แทนที่จะเป็นรูปปั้นสุนัขจิ้งจอก (เพื่อล้อกับชื่อของ Fox) กลับเป็นรูปปั้นเสือดาว สัตว์ผู้ล่า (แทนด้วย Eugen) จ้องจับกินเจ้าจิ้งจอกน้อย

แม้ร่างกายจะตกเป็นของ Franz แต่จิตใจของ Eugen กลับยังคงโหยหาแฟนเก่า Philip สังเกตจากภาพสะท้อนกระจกในร้านเสื้อผ้า (ของ Philip) โดยเฉพาะเมื่อกล้อง Tilt Up พบเห็นกระจกบนเพดาน ทั้งสองถาโถมเข้ากอดจูบ แอบคบชู้นอกใจ เฝ้ารอคอยวันเวลาสูบเลือดสูบเนื้อ Franz หมดตัวเมื่อไหร่ ก็จักหลงเหลือเพียงเราสอง สุขกระสันต์แบบไม่ต้องปกปิดบังอีกต่อไป

ไดเรคชั่นของฉากเซ็นสัญญายืมเงิน เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง น่าสงสัย ทนายพยายามสื่อสารต่อ Franz ให้เขาตระหนักว่าสัญญาฉบับนี้ไม่มีความชอบธรรมเลยสักนิด! แต่เจ้าตัวกลับไม่สนอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องการรับรู้ อ่านรายละเอียดเพียงผ่านๆ แล้วจรดปากกาเซ็นชื่อ พร้อมเสียงไวโอลินบาดแทงหัวใจผู้ชม ทำไมหมอนี่มันช่างโง่งมยิ่งนัก!

ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือครอบครัวของ Eugen เออออห่อหมกไปกับบุตรชาย ยินยอมรับได้ที่เขากระทำการลวงล่อหลอก Franz นี่เป็นการเหมารวมทั้งชนชั้นกลาง (ฺBourgeoisie) ส่วนใหญ่ก็กอบโกย แสวงหาผลประโยชน์จากบุคคลต่ำต้อยกว่าตน

การเดินทางไปถ่ายทำยัง Morocco สำหรับผู้กำกับ Fassbinder มีเหตุผลเดียวเท่านั้นคือเพื่อให้ได้พบเจอกับอดีตคู่ขา El Hedi ben Salem ที่ต้องหลบหนีเพราะถูกหมายจับคดีแทงผู้อื่นเสียชีวิตในเยอรมัน … แต่เขาก็โดนจับอยู่ดีในฝรั่งเศสปีถัดๆมา และฆ่าตัวตายในคุกไม่นานหลังจากนี้

ไฮไลท์ของ Sequence นี้คือการที่ชาว Moroccan ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในโรงแรม แต่กลับสองมาตรฐานให้พนักงาน(ที่ก็เป็นชาว Moroccan)ขึ้นห้องพักลูกค้าได้ … คำว่าสองมาตรฐาน มันคือมุมมองคนนอกที่ไม่ได้พบเห็นความแตกต่างใดๆ แต่สำหรับคนในเชื้อชาติเดียวกันเองกลับสามารถแยกแยะความแตกต่างทางชนชั้นได้อย่างชัดเจน!

ความผิดพลาดในการตัดนิตยสารของ Franz ทำให้ส่วนบนมีความเว้าแหว่ง ซึ่งล้อกับฉายาของตัวละคร “Fox, the Talking Head” ซึ่งสื่อถึงการแบ่งแยกระหว่างส่วนศีรษะ-ร่างกาย คำพูด/ความครุ่นคิด vs. สันชาตญาณร่างกาย/ทางเพศ ไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้ตรงกัน

ในขณะนี้ยังสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่าง Franz กับ Eugen ที่เริ่มขัดแย้ง ไม่ลงรอย ตระหนักว่าวิถีของชนชั้นกลาง ไม่ค่อยเหมาะสมกับตนเองสักเท่าไหร่ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฉันไม่ใช่พนักงานโรงพิมพ์ด้วยซ้ำ!

สถานที่ที่ Franz พูดบอกเลิกรากับ Eugen คือระหว่างทางลาดเดินลงห้างสรรพสินค้า สื่อถึงชีวิตขาลง มุ่งสู่วังวนแห่งความตกต่ำ กำลังจะสูญเสียสิ้นทุกสิ่งอย่างโดยไม่ทันรู้ตัว

สิ่งน่าสนใจมากๆของฉากนี้ก็คือ Max ไม่รู้นัดหมายกันมาหรืออย่างไร คือบุคคลผู้ปลอบปะโลม อยู่เคียงข้าง Franz ตลอดการก้าวเดินลงมาถึงชั้นล่าง แม้ไม่ได้เอ่ยกลายคำพูดอะไร แต่สายตาอันห่วงใย เห็นใจ เขาคงคาดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ที่ตนเองเป็นผู้แนะนำ จะมีจุดจบในลักษณะเช่นนี้

ภาพช็อตสุดท้ายของ Eugen ในอพาร์ทเม้นท์ที่เคยเป็นของ Franz แต่บุคคลเคียงข้างกลับคือคนรักแท้ Philip กล้องถ่ายออกไปภายนอกระเบียง พบเห็นทิวทัศน์ ตึกระฟ้ากรุง Munich สะท้อนสภาพสังคมยุคสมัยนั้น(นี้) ที่ถ้าไม่ประสบความสำเร็จไต่เต้าขึ้นสูง ก็จะตกต่ำใต้ดิน มีความแตกต่างราวกับฟ้า-เหว

แซว: ขณะที่ Eugen ได้มีชีวิตยังอพาร์ทเมนท์ที่อยู่สูง แต่ Franz กลับค่อยๆตกต่ำจนหมดสิ้นลมหายใจยังสถานีรถไฟใต้ดิน

ตั้งแต่ที่ Franz ถูกรางวัลลอตเตอรี่ เขาคือผู้จับจ่ายเงิน ไม่เคยมีใครมอบอะไรให้สักอย่าง จนกระทั่งทหารอเมริกันสอบถามราคาค่าตัว ต้องการซื้อบริการ นั่นทำให้เขาถึงกับสะอื้อร่ำไห้ นี่ฉันหมดสิ้นเนื้อประดาตัว มาถึงจุดตกต่ำสุดแล้วหรือนี่!

แม้หลังความตาย ชีวิตของ Franz ก็ยังคงถูกกอบโกยผลประโยชน์ หัวขโมยต้องการฉกชิงทุกสิ่งอย่างไม่เว้นแม้แต่เสื้อแจ็กเก็ต ขณะที่ Max เมื่อพบเห็นสิ่งบังเกิดขึ้น ทีแรกต้องการช่วยเหลือ แต่ก็ตระหนักว่าอย่าเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวดีกว่า นี่ก็สะท้อนว่าเขาเป็นพวกสนเพียงผลประโยชน์ ไร้สามัญสำนึก มนุษยธรรม ไม่แตกต่างจาก Eugen สักเท่าไหร่

สถานที่แห่งนี้น่าจะคือสถานีรถไฟใต้ดิน สะท้อนถึงความตกต่ำในชีวิตของ Franz มาถึงจุดที่ไม่สามารถหวนกลับไปแก้ไขอะไรได้ทั้งนั้น, ส่วนการฆ่าตัวตายด้วยการดื่มยานอนหลับ ล้อกับเรื่องราวทั้งหมดที่ราวกับอยู่ในความเพ้อฝัน จักได้ฟื้นตื่นพบเจอโลกความจริงหลังความตาย

ตัดต่อโดย Thea Eymèsz หรือ Thea Eymeß (1936-2015) สัญชาติ German เกิดที่ Munich คนรู้จักของ Peer Rabin แนะนำต่อให้ผู้กำกับ Rainer Werner Fassbinder ร่วมงานกันตั้งแต่ Gods of the Plague (1970)

ดำเนินเรื่องโดยใช้มุมมองของ Franz Bieberkopf ตั้งแต่วันถูกลอตเตอรี่ DEM 500,000 มาร์ค แล้วพบเจอ ตกหลุมรัก Eugen จากเคยไม่มีอะไร -> ครอบครองเป็นเจ้าของทุกสิ่งอย่าง -> กระทั่งถูกหลอกจนหมดตัว หลังความตายยังโดนโจรกรรม เสื้อแจ็คเก็ตก็ไม่ละเว้น

  • อารัมบท, วันแห่งโชคชะตากรรม
    • คณะการแสดงของ Franz ถูกใบสั่งให้ล้มเลิกการจัดงาน
    • เดินทางไปเยี่ยมเยือนพี่สาว ตั้งใจจะขอเงินซื้อลอตเตอรี่
    • ขึ้นรถไปกับ Max และประสบโชคชะตาพลิกผัน
  • องก์หนึ่ง, หนูตกถังข้าวสาร
    • Franz ได้รับแนะนำให้รู้จัก Eugen พาขึ้นอพาร์ทเม้นท์ร่วมรักหลับนอน
    • Eugen ลากพา Franz แนะนำให้รู้จักกับวิถีชนชั้นกลาง
    • ซื้อบ้าน ซื้อรถ เซ็นสัญญาเงินกู้ Franz ให้ความเชื่อมั่นใจ Eugen ทุกสิ่งอย่าง
  • องก์สอง, ชีวิตของฉันหรือของใคร
    • ฮันนีมูนยัง Morrocco พบเจอกับ Ali แต่ก็ยังมีเหตุการณ์คาดไม่ถึงบางอย่าง
    • เมื่อกลับมา Franz ก็เริ่มตระหนักว่าตนไม่เหมาะกับวิถีชีวิต/การทำงานแบบนี้
    • Franz ตัดสินใจบอกเลิกรา Euge ถึงเวลาแยกย้ายคนละทาง
  • องก์สาม, สิ่งหลงเหลือของ Franz
    • แต่กลับถูก Eugen ยึดอพาร์ทเม้นท์ ขับไล่ออกจากโรงพิมพ์ หลงเหลือเพียงรถหรู ขายได้ไม่กี่พันมาร์ค
    • เยี่ยมเยียนหาพี่สาว แต่ก็ถูกผลักไสขับไล่
    • เพื่อนพ้องก็ไม่มีใครใคร่สนใจ ไร้บุคคลให้สามารถพึ่งพักพิง
  • ปัจฉิมบท, ความตายของ Franz ยังโดนโจรกรรม เสื้อแจ็คเก็ตก็ไม่ละเว้น

เพลงประกอบโดย Peer Raben (1940-2007) หนึ่งในเพื่อนสนิท เคยเป็นคู่ขาผู้กำกับ Rainer Werner Fassbinder และร่วมก่อตั้ง Aktion-Theater มีผลงานร่วมกัน (ทั้งภาพยนตร์และละครเวที) หลายเรื่องทีเดียว

โดยปกติแล้วหนังของ Fassbinder นิยมที่ใช้เพียง ‘diegetic music’ เสียงเพลงดังขึ้นจากแหล่งกำเนิดเสียงในฉากนั้นๆ แต่สำหรับ Fox and His Friends (1975) เพราะมีบรรยากาศเหมือนฝัน (ของ Franz) เลยมีหลากหลายท่วงทำนองที่สะท้อนห้วงความรู้สึกตัวละคร ในลักษณะคล้ายๆสร้อยของบทกวี

เท่าที่ผมสังเกตบทเพลงของหนัง มักมีท่วงทำนองสั้นๆ เน้นถ่ายทอดความรู้สึกตัวละครประกอบช่วงขณะนั้นๆ ยกตัวอย่าง

  • Franz แรกพบเจอ Max ใช้เสียงเครื่องสายไวโอลิน & เชลโล่ คลอเคล้า หยอกเย้า มองตารู้ใจ ต้องการชักชวนกันไปร่วมรักหลับนอน
  • Franz หัดเล่นเปียโน/ฮาร์ปซิคอร์ด สะท้อนการตั้งไข่ ตั้งตัว เพราะเพิ่งร่ำรวยถูกลอตเตอรี่ เลยยังไม่รู้จะเลือกดำเนินชีวิตต่อไปยัง
  • เสียงเครื่องเป่าในค่ำคืนแรกของ Franz และ Eugen … ไม่ต้องอธิบายก็น่าจะเข้าใจได้กระมัง (Blow***)
  • ณ ร้านขายเสื้อผ้า ขณะลำลองชุดสูท ได้ยินเสียงเปียโนคลอประกอบเบาๆ สร้างบรรยากาศลึกลับ มีบางอย่างซุกซ่อนเร้น (นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่าง Eugen กับแฟนเก่า)
  • ระหว่างการเซ็นสัญญา ได้ยินทั้งเสียงไวโอลินบาดแหลม และเครื่องเป่าปวดแก้วหู สะท้อนถึงสัญญาณอันตราย หายนะในสิ่งกำลังทำอยู่
  • ขณะขับรถแล้ว Franz เกิดอาการแน่นหน้าอก เปียโนบรรเลงด้วยความกระแทกกระทั้น พร้อมเครื่องสายกรีดกรายอย่างเจ็บปวด เสียดแทงไปถึงทรวงใน
  • เมื่อตอนเลิกรา ท่วงทำนองมีความโหยหวน เศร้าซึม เป็นอีกครั้งที่ Franz ยินยอมมอบทุกสิ่งอย่างให้ Eugen (แต่ก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้วละ)

แต่คงไม่มีบทเพลงไหนตราตรึงเท่า … (ไม่รู้ชื่อเพลง) ขับร้องโดย Ingrid Caven (เธอคือหนึ่งในคนรักของผู้กำกับ Fassbinder) ใจความของเนื้อร้องคือการโหยหากรุงเซี่ยงไฮ้ สถานที่ที่ปรับเปลี่ยนไปแล้วในปัจจุบัน ไม่มีทางจะหวนย้อนกลับหาอดีตอันแสนหวาน (นอกจากเงินทองจับจ่ายหมดตัวของ Franz ยังสื่อถึงช่วงเวลาที่พานผ่าน อะไรก็ตามที่สูญเสียไปแล้วย่อมไม่มีทางหวนย้อนกลับคืนมาได้อีก)

Fox and His Friend นำเสนอแง่มุมหนึ่งของความรัก ที่เมื่อมีผลประโยชน์เงินทองเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจสร้างความคอรัปชั่นขึ้นในหัวใจ ถึงขนาดยินยอมอดรนทน แสร้งว่ารัก เพื่อกอบโกยแสวงหากำไร หมดตัวเมื่อไหร่ก็พร้อมเฉดหัวผลักไส โดยไม่สนว่าอีกฝั่งฝ่ายจะเป็นตายร้ายดี เรื่องของมรึง คนชั้นต่ำ!

นิยามความรักของบุคคลละชนชั้นถือว่ามีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งหนังพยายามแยกแยะให้เห็นว่า

  • ชนชั้นกรรมาชีพ (Working Class) เป็นพวกหมกมุ่น มักมาก เหมือนเดรัจฉานที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ ความต้องการทางเพศ ดูสกปรก ต่ำต้อย ไร้สามัญสำนัก สนเพียงความสุขเฉพาะหน้า
  • ชนชั้นกระฎุมพี (ฺBourgeoisie) เพราะมีความรู้ ความเฉลียวฉลาด จึงวางตัวหัวสูงส่ง เริดเชิดหยิ่งทะนง อ้างระเบียบพิธีการ ต้องกระทำตามขั้นตอน ไม่เอาแต่หมกมุ่นกามคุณ รู้จักควบคุมตนเอง มองอนาคตการณ์ไกล เตรียมพร้อมเผื่อวันข้างหน้า

ความแตกต่างชนชั้น คือกลไกทางสังคมที่สะท้อนชาติกำเนิด ศักยภาพส่วนบุคคล ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปรับเปลี่ยน (ข้ามชนชั้น) เพราะทุกคนมักพึงพอใจในวิถีชีวิต สภาพแวดล้อมที่เติบโตมา นอกเสียจากคนผู้นั้นมีความรู้ ความทะเยอทะยาน ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน (หรือถูกหวย) ต้องการยกระดับตนเอง (และครอบครัว) ดิ้นให้หลุดพ้นวังเวียนแห่ง Rat Race!

ผมเคยจีบสาวต่างจังหวัดด้วยการพาไปกิน KFC เธอน้ำตาคลอบอกว่าในชีวิตไม่เคยกินอะไรอร่อยขนาดนี้ คุยไปคุยมาถึงรู้ว่าวันๆเอาแต่งกๆทำงาน ต่อสู้ดิ้นรนโดยแทบไม่มีเวลาว่างทำอะไรอย่างอื่น นั่นคือลักษณะของ Working Class ผิดกับชนชั้นกลางอย่างเราๆที่มักหาเวลาว่างอ่านหนังสือ ดูหนัง เดินเล่นห้าง ทำโน่นนี่นั่น บลาๆๆๆ เคยลองพยายามเปลี่ยนแปลงทัศนคติ แล้วก็พบว่าเป็นไปได้ยากยิ่งๆ เพราะวิถีชีวิต มุมมองต่อโลก ถูกเสี้ยมสอนเติบโตมาอย่างนั้น … สุดท้ายก็ต้องเลิกราเพราะทัศนคติที่ไม่ลงรอย เธอต้องการอย่างหนึ่ง ผมต้องการอย่างหนึ่ง (ผมพยายามดึงเธอขึ้นมา ส่วนเธอก็พยายามฉุดผมลงไป ต่างฝ่ายต่างไม่ยินยอมกันเลยต้องแยกย้ายกันไป) จริงอยู่ความรักไม่มีแบ่งแยก แต่เส้นบางๆระหว่างชนชั้นคือกำแพงสูงใหญ่ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถ(ปีนป่าย)ข้ามผ่านไปได้

จากเคยพานผ่านประสบการณ์ดังกล่าว ผมเลยพอเข้าใจความต้องการของผู้กำกับ Fassbinder สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่อทบทวนตนเอง ทุกสิ่งที่เคยกระทำกับแฟนหนุ่ม Armin Meier เป็นสิ่งเหมาะสมหรือเปล่า? ด้วยการสลับสับเปลี่ยนมุมมอง เล่นเป็นตัวละครที่ได้รับผลกรรมคล้ายๆกันคืนตอบสนอง … แล้วตระหนักว่า นั่นอาจไม่ใช่สิ่งถูกต้องสักเท่าไหร่เลยนะ

ในมุมมองของคนชนชั้นกลาง ความพยายามดึงกรรมาชน (Working Class) ก้าวขึ้นมาใช้ชีวิตแบบเดียวกันตน มีเพียงสองเหตุผลเท่านั้นคือ ความรักและผลประโยชน์ ซึ่งมักเป็นการบีบบังคับ ชักจูงจมูก ไม่ค่อยสนความคิดเห็น/ต้องการของอีกฝั่งฝ่าย ทำได้เพียงเออออห่อหมก จนกว่าจะสามารถเรียนรู้วิถี ปรับตัวเข้าสังคม แต่จิตวิญญาณก็หาใช่ชนชั้นกลางที่แท้จริง

สำหรับชนชั้นกรรมมาชีพ (Working Class) เมื่อถูกชักจูงเข้าสู่วิถีชนชั้นกลาง สิ่งต่างๆแรกพบเจอคงดูราวกับความเพ้อฝัน รู้สึกเพลิดเพลิน สำราญกาย-ใจ กระทั้งเมื่อเริ่มตระหนักถึงมูลค่า ความเท็จ-จริง ทิศทางชีวิตที่แตกต่าง ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายจะยินยอมรับ ปรับตัว เปลี่ยนแปลงตนเอง ก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) … แต่ถ้าย่างออกมาแล้วต้องการหวนกลับไป จักพบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด เพราะมันจะเกิดการเปรียบเทียบ นี่ใช่-โน่นไม่ใช่ จนอาจสร้างสุญญากาศในชีวิต โดยไม่รู้ตัวผลลัพท์อาจลงเอยแบบจุดจบตัวละครก็เป็นได้

ประเด็นการหลอกลวงของชนชั้นกลาง สามารถมองในเชิงสัญลักษณ์สะท้อนพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบของนายทุน สนเพียงกอบโกยผลประโยชน์จากบุคคลอื่น (สมัยนี้ไม่ใช่แค่ชนชั้นกรรมาชีพแล้วนะครับ ทุกระดับแม้งก็เอาหมดละ!) รับซื้อสินค้าแสนถูก แต่ราคาขายกลับสูงลิบลิ่ว! ไม่สนเลยสักนิดว่าใครจะลำบาก เดือดเนื้อร้อนใจ แค่ฉันได้กำไร นั่นคือสิ่งถูกต้องเหมาะสม … ตรงไหน?

โศกนาฎกรรมของหนัง สะท้อนถึงชีวิตที่ต้องต่อสู้แบบชื่อหนังภาษาเยอรมัน Faustrecht der Freiheit แปลตรงตัวว่า Fist-Right of Freedom กำหมัดเพื่อเสรีภาพ ใครเข้มแข็งกว่าก็สามารถดิ้นรนเอาตัวรอด ปลาเล็กกินปลายใหญ่ ไม่สนว่าอีกฝั่งฝ่ายจะคือใคร ชนชั้นไหน มีสภาพเป็นหรือตาย ถ้าได้รับประโยชน์ก็ตรงรี่เข้าหา หมดตูดเมื่อไหร่ก็ไสก้นออกมา!

โชคชะตากรรมของ Armin Meier เมื่อได้รับการอุ้มชูจนก้าวขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างชนชั้นกลาง ทำให้หมกมุ่นยึดติดผู้กำกับ Fassbinder จนไม่สามารถยินยอมรับการเลิกรา ตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิด (ของ Fassbinder) … ไม่ต่างจากตอนจบของหนังเท่าไหร่เลยนะ!


หนังมีรายงานทุนสร้าง DEM 450,000 (น้อยกว่าถูกรางวัลลอตเตอรี่อีกเหรอเนี่ย!) ใช้เวลาถ่ายทำ 21 วัน เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ Directors’ Fortnight เทศกาลหนังเมือง Cannes กลับถูกนักวิจารณ์(อนุรักษ์นิยม)โจมตีอย่างรุนแรง ต่อการสร้างธรรมชาติความสัมพันธ์ชาย-ชาย ว่าคือต้นเหตุให้สังคมตกต่ำทรามลงทุกวี่วัน (นี่เป็นเรื่องเข้าใจไม่ยากในสังคมสมัยนั้น)

Its version of homosexuality degrades us all, and should be roundly denounced.

นักวิจารณ์ Andrew Britton

ครั้งหนึ่งเมื่อเข้าฉายเทศกาล Festival du film homosexuel วันที่ 27 มกราคม 1978 มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายขวาจัดสุดโต่ง (extreme-right) จำนวน 20 นาย บุกเข้ามาก่อกวนสร้างความวุ่นวาย มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 6 ราย และลักขโมยฟีล์มหนังเรื่องนี้ไปทำลายสิ้นซาก

เสียงตอบรับหนังในปัจจุบันถือว่าดีขึ้นเรื่อยๆ อคติประเด็นรักร่วมเพศเจือจางลงไป โดยเฉพาะหลังได้รับการบูรณะ (digital restoration) คุณภาพ 4K สามารถเข้าถึงผู้ชมในวงกว้าง หาซื้อ Blu-Ray หรือดูออนไลน์ได้ทาง Criterion Channel

ช่วงแรกๆระหว่างรับชม เมื่อผมตระหนักถึงความละม้ายคล้าย Flamingo Road (1949) และเศรษฐีอนาถา (พ.ศ ๒๔๙๙) ก็เริ่มหวาดหวั่นวิตกว่าอาจดูหนังไม่สนุกสักเท่าไหร่ แต่กลับผิดคาดคิดอย่างรุนแรง โดยไม่รู้ตัวค่อยๆถูกไดเรคชั่นผู้กำกับ Fassbinder ดึงดูดความสนใจ ชักนำพาอารมณ์ไปสู่จุดที่คาดไม่ถึง สร้างความอึ้งทึ่ง ประทับใจ และไม่รู้สึกซ้ำแบบใครทั้งนั้น!

“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” นี่คือเรื่องราวที่สามารถเป็นข้อคิด คติสอนเกี่ยวกับความไว้เนื้อเชื่อใจ ดั่งสำนวน ‘อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง’ โดยเฉพาะความรักที่มาพร้อมผลประโยชน์ ถ้าเราใช้เงินซื้อใจใคร เมื่อไหร่หมดตัวเขาก็เฉดหัวจากไป

เรื่องราวของหนังยังสะท้อนปัญหาสังคมเกี่ยวกับความแตกต่างชนชั้น เงินทองคือต้นเหตุความคอรัปชั่น โดยเฉพาะพฤติกรรมของชนชั้นกระฎุมพี (ฺBourgeoisie) เพียงเพราะตนเองมีความเฉลียวฉลาดกว่าเล็กน้อย กลับพยายามเอารัดเอาเปรียบ กอบโกยผลประโยชน์จากคนทำงาน (Working Class) นี่ถือว่าไร้ซึ่งสามัญสำนึก หวังว่าคงได้รับผลกรรมติดตามทันเข้าสักวัน

จัดเรต 15+ กับภาพโป๊เปลือยท่อนล่าง การถูกคิดคดทรยศหักหลัง และโศกนาฎกรรม

คำโปรย | Fox and His Friends คือการถูกลอตเตอรี่ของผู้กำกับ Rainer Werner Fassbinder สรรค์สร้างผลงานที่ทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา
คุณภาพ | คุค่
ส่วนตัว | ชื่นชอบมากๆๆ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: