The Celebration (1998) : Thomas Vinterberg ♥♥♥♥
งานเลี้ยงแซยิด (วันเกิดครบรอบ 60 ปี) ของบิดา รายล้อมด้วยลูกๆหลานๆ ญาติพี่น้อง ผองเพื่อน แต่ด้วยความที่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกจากกลุ่มเคลื่อนไหว Dogme 95 มันจึงความบ้าคลั่ง เสียสติแตก ความจริงบางอย่างกำลังได้รับการเปิดเผยอย่างช้าๆ, คว้ารางวัล Jury Prize (ที่สาม) จากเทศกาลหนังเมือง Cannes
It was very banal. I did this with Lars Von Trier, who did “Breaking the Waves,” and it took half an hour and we had great fun and a lot of laughs. And you know it was very simple. We said, “What do you normally do when you make a film?” And we forbid it. That was very easy.
Thomas Vinterberg
กลุ่มเคลื่อนไหว Dogme 95 ที่สองผู้กำกับ Lars von Trier และ Thomas Vinterberg ครุ่นคิดก่อตั้งขึ้นนั้น เอาจริงๆมันก็แค่เรื่องตลกขบขัน ทีเล่นทีจริงจัง เรามาลองสร้างภาพยนตร์ที่ทำลายขนบกฎกรอบ ต่อต้านแนวคิดศิลปิน (anti-Auteur) หลงเหลือเพียงความบริสุทธิ์ของเรื่องราวและการแสดง
แรกเริ่มนั้นผกก. von Trier ตั้งใจสรรค์สร้าง Breaking the Waves (1996) ตามแนวทาง คำปฏิญาณสิบข้อของ Dogme 95 แต่ไปๆมาๆกฎ(ของตนเอง)ที่ร่างขึ้น พี่แกก็ยังทำการ ‘Breaking’ แหกมันเสียเอง! เลยไม่สามารถจัดเข้าพวก ได้รับใบประกาศแปะติดเครดิตหนัง
The Celebration (1998) ของผกก. Vinterberg เลยกลายเป็น Dogme #1 ภาพยนตร์เรื่องแรกของกลุ่มเคลื่อนไหว Dogme 95 ที่ถ่ายทำตามแนวทาง คำปฏิญาณสิบข้อ … แต่ถึงอย่างนั้นผกก. Vinterberg ก็ได้สารภาพ “Confessed” ว่าเคยแหกกฎอยู่หลายครั้ง อาทิ เอาผ้าม่านปิดหน้าต่าง ใช้แสงไฟจากแหล่งกำเนิดแสง และสตั๊นแมนเข้าฉากต่อสู้แทนนักแสดง ฯ
ทีแรกผมตั้งจะเขียน The Idiots (1998) ของผกก. von Trier ซึ่งถือเป็น Dogme #2 ต่อจาก Breaking the Waves (1996) แต่บังเอิญไปพบเห็น The Celebration (1998) อยู่ในคอลเลคชั่นของ Criterion ลองค้นหาข้อมูลได้คะแนน IMDB สูงถึง 8.0 และยังคว้ารางวัล Jury Prize (ที่สาม) จากเทศกาลหนังเมือง Cannes ก็เลยตัดสินใจลองดูหน่อยก็แล้วกัน
คำนิยามภาพยนตร์เรื่องนี้ของนักวิจารณ์ Roger Ebert ตรงใจผมมากๆ ส่วนผสมของ “mixes farce and tragedy” ตลกร้าย (Black Comedy) + โศกนาฎกรรม (Tragedy) เปรียบเทียบการร่วมงานระหว่าง Eugene O’Neill และ Woody Allen พัฒนาบทเกี่ยวกับครอบครัว และกำกับโดย Luis Buñuel
Thomas Vinterberg’s “The Celebration” mixes farce and tragedy so completely that it challenges us to respond at all. There are moments when a small, choked laugh begins in the audience and is then instantly stifled, as we realize a scene is not intended to be funny. Or is it? Imagine Eugene O’Neill and Woody Allen collaborating on a screenplay about a family reunion. Now let Luis Buñuel direct it.
นักวิจารณ์ Roger Ebert ให้คะแนน 3/4
สิ่งที่อยากเพิ่มเติมก็คือเรื่องวุ่นๆ ชิบหายวายป่วงในงานเลี้ยงแซยิด ชวนให้ผมนึกถึงภาพยนตร์อย่าง The Damned (1969), Fanny and Alexander (1982) [เรื่องหลังคือหนังโปรดของผกก. Vinterberg]
Thomas Vinterberg (เกิดปี ค.ศ. 1969) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติ Danish เกิดที่ Frederiksberg, Denmark เติบโตขึ้นชุมชนฮิปปี้ (Hippie Commune) อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ รายล้อมด้วยผู้คน(ที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง)มากมาย มีการจัดงานเลี้ยง 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ดื่ม-กิน มึนเมา มั่วกาม ฯ สังสรรค์เฮฮาอย่างไร้จุดมุ่งหมายไปวันๆ เมื่อบิดา-มารดาหย่าร้าง ทั้งสองขอให้บุตรชายย้ายออกจากชุมชนดังกล่าว แต่กลับได้รับคำตอบปฏิเสธ
I grew up in a commune, from the age of seven until I was 19. I grew up among genitals in a big house, and it was absolutely fabulous and wonderful. When my parents divorced, they asked me to go with them, but I decided to stay: you could say that I fled the nest by staying in the nest.
Thomas Vinterberg
โตเข้าศึกษาภาพยนตร์ National Film School of Denmark โดยโปรเจคจบ Sidste Omgang (1993) แปลว่า Last Round คว้ารางวัล Jury Prize จากเทศกาล Munich Student Film Festival, จากนั้นเข้าทำงานยัง DR TV กำกับซีรีย์โทรทัศน์ หนังสั้นรางวัล ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก The Biggest Heroes (1996), ผลงานอื่นๆ อาทิ The Celebration (1998), Submarino (2010), The Hunt (2012), Another Round (2020) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Foreign Language Film
เมื่อตอนผกก. Vinterberg พูดคุยเล่นๆกับ Lars von Trier เกี่ยวกับ Dogme 95 พวกเขาต่างไม่ได้มีโปรเจคที่อยู่ในความสนใจ แต่รับรู้สึกว่าสิบคำปฏิญาณ/ข้อห้ามโน่นนี่นั่นฟังดูน่าสนใจ ก่อให้เกิดความกระตือรือล้น จึงพยายามมองหาเรื่องราวที่สามารถตอบสนองแนวทางดังกล่าว
Normally you would put on lights. [So we thought], “But that’s also boring–let’s take it out.” And it felt extremely, extremely encouraging doing it. It was such great fun, I had immediately the feeling that this was going to be something. I didn’t even have any idea for the script. I didn’t know at all what to do. Until half a year later or something. But immediately I felt very encouraged to make a film. It was a great refreshment, a great relief.
Thomas Vinterberg
สำหรับแรงบันดาลใจของ The Celebration (1998) นำจากเรื่องเล่าของชายหนุ่มนามสมมติ Allan โทรศัพท์เข้ามาในรายการของ Koplevs Krydsfelt ณ สถานีวิทยุ Denmarks Radio’s Studio วันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1996
Koplevs Krydsfelt: “Allan, on your father’s 60th birthday, you stood up and gave a speech. What did you say?”
Allan: “I told him a little about my childhood, what he had done to me during my childhood and what he had taken from me. Because now that all the others had made a speech for him, I also wanted to say that he hadn’t been an angel all the way through”
ตลอดสองชั่วโมงของการสัมภาษณ์ ชายหนุ่มนามสมมติ Allan เล่าให้ฝังถึงอดีตอันเลวร้าย เมื่อตอนอายุห้าขวบ ตนเองและน้องสาว(ฝาแฝด) Pernille ถูกบิดาบุญธรรมใช้ความรุนแรง ข่มขืนกระทำชำเราทั้งสอง (Sexual Abused) เป็นเวลาสี่ปี โดยหลายครั้งมารดาเพียงจับจ้องมอง ไม่สามารถโต้ตอบทำอะไร นั่นทำให้ Pernille กลายเป็นคนมีปัญหาทางจิต พอเติบใหญ่เลยตัดสินใจกระทำอัตวินิบาต … ในวันเกิดแซยิดครบรอบ 60 ปี Allan จึงทำการล้างแค้นบิดา กล่าวสุนทรพจน์เหตุการณ์เคยบังเกิดขึ้นต่อหน้าแขกเหรื่อจำนวน 78 คน!
ผกก. Vinterberg ไม่เคยฟังรายการวิทยุดังกล่าว แต่รับรู้เรื่องราวจากเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งมีคนรู้จักคือนางพยาบาลในคลินิกจิตเวช อ้างว่าเคยให้การดูแลผู้ป่วย/ชายหนุ่มคนดังกล่าว, เมื่อรับฟังเรื่องเล่าก็เกิดความสนอกสนใจ มอบหมายให้เพื่อนนักเขียน Mogens Rukov ร่วมกันพัฒนาบทภาพยนตร์ (ภาษา Danish) Festen ใช้ชื่ออังกฤษ The Celebration
เกร็ด: แม้ชายหนุ่มนามสมมติ Allan จะเป็นบุคคลมีตัวตนอยู่จริงๆ ขณะนั้นเข้ารักษาอาการป่วยโรค AIDS ระยะสุดท้าย แต่เหตุการณ์ดังกล่าวอาจไม่ได้เกิดขึ้นจริง ภายหลังมีการเปิดเผยจดหมายรับสารภาพผิด บรรยายว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงภาพหลอนในความทรงจำ
I don’t know if the fantasy inside my head has continued because I felt so bad. I think it’s been all the negativity, all the sadness, all the bad in my life that simply just spilled out. I have probably been inspired by the things I have experienced in the health sector, but much of the history – e.g. the speech – is plucked out of thin air.
จดหมายรับสารภาพผิดของ Allen
ในวันเกิดครบรอบ 60 ปีของบิดา Helge Klingenfeldt-Hansen (รับบทโดย Henning Moritzen) มีการจัดงานเลี้ยง ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง (ที่ Helge เป็นเจ้าของกิจการ) มีผู้เข้าร่วมประกอบด้วย แขกเหรื่อ ญาติพี่น้อง และบุตรทั้งสาม ประกอบด้วย
- บุตรคนโต Christian (รับบทโดย Ulrich Thomsen) หลบหนีออกจากบ้านตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น อาศัยอยู่ฝรั่งเศสมีท่าทางบูดบึ้งตึง เต็มไปด้วยความอึดอัดอั้น สีหน้าเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า เหมือนไม่ค่อยอยากมาร่วมงานเลี้ยงนี้สักเท่าไหร่ ตระเตรียมคำกล่าวสุนทรพจน์ไว้สองฉบับ หนึ่งคือถ้อยคำป้อยอ สรรเสริญบิดา และสองพูดเล่าความจริงเคยบังเกิดขึ้น
- บุตรสาวคนเล็ก Helene (รับบทโดย Paprika Steen) เดินทางไปทำงานสหรัฐอเมริกา มักเปลี่ยนคนรักไม่ซ้ำหน้า ล่าสุดคือแฟนหนุ่มผิวสี Gbatokai (รับบทโดย Gbatokai Dakinah) ภายนอกเหมือนเป็นคนเข้มแข็ง แต่แทบอดรนทนไม่ไหวเมื่อถูกใครต่อใครล้อเลียน เหยียดหยามชายคนรัก และเมื่อได้อ่านจดหมายลาตายของพี่สาว Linda รู้สึกผิดหวัง สิ้นหวังกับครอบครัว
- บุตรชายคนเล็ก Michael (รับบทโดย Thomas Bo Larsen) เพราะถูกส่งไปโรงเรียนประจำ ขาดความอบอุ่นครอบครัว จึงโหยหาความรัก เรียกร้องความสนใจ ใช้การดื่มสุราระบายความรู้สึกอัดอั้น อุปนิสัยดื้อรั้น เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ ชอบใช้ความรุนแรง พูดคำดูถูกเหยียดหยามภรรยา เมื่อครั้นพี่ชาย Christian เปิดโปงความจริงเกี่ยวกับบิดา พยายามปกป้องรักษา ไม่ยินยอมให้สูญเสียเกียรติของวงศ์ตระกูล
Henning Moritzen (1928-2012) นักแสดงสัญชาติ Danish เกิดที่ Taarbæk, Denmark ร่ำเรียนการแสดงจาก Privatteatrenes Elevskole มีผลงานละคอนเวทีมากมาย จนได้รับยกย่อง “One of the Great Male Leads of Danish Theatre” นอกจากนี้ยังมีผลงานโทรทัศน์ และโด่งดังกับภาพยนตร์ The Celebration (1998)
รับบทบิดา Helge Klingenfeldt-Hansen ภายนอกเป็นบุคคลภูมิฐาน มาดผู้ดีมีสกุล ทำธุรกิจประสบความสำเร็จ ได้รับนับหน้าถือตาจากผู้คน แต่เบื้องหลังกลับมีรสนิยมใคร่เด็ก (pedophile) ลวนลาม กระทำร้ายร่างกาย ข่มขืนบุตรชาย Christian และบุตรสาว Linda ในวันเกิดครบรอบ 60 ปี ยังทำตัวไม่รู้หนาวไม่รู้ร้อน พยายามปกปิด สรรหาข้ออ้าง สุดท้ายแล้วความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
ผกก. Vinterberg ให้สัมภาษณ์เปรียบเทียบตัวละคร Helge กับ Vito Corleone ภาพยนตร์ The Godfather (1972) [ขณะที่ Christian=Sonny, Michael=Michael] เพราะมีสถานะหัวหน้าครอบครัว/มาเฟีย ดูยิ่งใหญ่ เอ่อล้นด้วย Charisma แต่ทว่าเบื้องหลังเป็นบุคคลอันตราย โฉดชั่วร้าย ถ้าความจริงได้รับการเปิดเผยออกไป ย่อมทำลายภาพลักษณ์ทุกสิ่งอย่างราบเรียบเป็นหน้ากลอง
ภาพลักษณ์ บุคลิกภาพ รวมถึงประสบการณ์แสดงของ Moritzen ถือว่ายิ่งใหญ่ทรงพลัง แต่วิธีการนำเสนอของหนัง ภาพสั่นๆ โคลงเคลงไปมา ทำให้ตัวละครไม่ได้ดูน่าเกรงขามเท่าที่ควร นี่ถือเป็นจุดด้อยของ Dogme 95 ที่พยายามจะ ‘breaking’ ขนบวิถี วิธีการทางภาพยนตร์มากเกินไป จนทำขาดมนต์เสน่ห์ที่น่าหลงใหล ผู้ชมต้องคอยสังเกตฝีไม้ลายมือนักแสดงเอาเองว่าเล่นดี-แย่ ไม่มีตัวช่วยอื่นใด
Ulrich Thomsen (เกิดปี ค.ศ. 1963) นักแสดงสัญชาติ Danish เกิดที่ Odense, Denmark สำเร็จการศึกษาด้านการแสดง Danish National School of Theatre and Contemporary Dance จากนั้นมีผลงานละคอนเวที เข้าสู่วงการภาพยนตร์ตั้งแต่ Nightwatch (1994), ผลงานเด่นๆ อาทิ The Biggest Heroes (1996), The Celebration (1998), The World Is Not Enough (1999), The Inheritance (2003), Adams æbler (2005) ฯ
รับบท Christian บุตรชายคนโตของ Helge ภายนอกดูเป็นคนเก็บกด สีหน้าตึงเครียด นั่นเพราะยังคงจดจำพฤติกรรมบิดา เมื่อครั้นยังเป็นเด็กเล็กถูก ‘Sexual Abuse’ ร่วมกับน้องสาวฝาแฝด Linda พอเติบใหญ่เลยตัดสินใจหนีออกจากบ้าน เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ทอดทิ้งน้องสาว จนเธอกระทำอัตวินิบาต หวนกลับมาครั้งนี้เพื่อต้องการเปิดโปงความจริงทุกสิ่งอย่าง
ภาพลักษณ์ของ Thomsen ดูอ่อนแอ ปวกเปียก สีหน้าเหมือนคนเก็บกด อัดอั้น ทุกครั้งที่กล้องจับจ้องเหมือนต้องการจะพูดบอกอะไรบางอย่าง แต่กลับอ้ำๆอึ้งๆ กล้ำกลืนฝืนทน เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ตัวละครจะเปิดเผยปมในใจ พฤติกรรมชั่วร้ายของบิดา เรียกร้องหาความยุติธรรมในสังคม
ปฏิกิริยาท่าทาง สีหน้า การแสดงออกทั้งหมดของตัวละคร ล้วนสะท้อนผลกระทบจากการถูก ‘Sexual Abuse’ รวมถึงความหย่อนยาน ไร้สมรรถภาพทางเพศ เพราะยังโดนกดทับจากบิดา ไม่สามารถลุกขึ้นมาเผชิญหน้า ก้าวข้ามผ่านตราบาปจากอดีต แต่หลังจากพูดเล่าความจริงออกมา ท้ายที่สุดเขาก็น่าจะได้รับอิสรภาพ เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เสียที!
Kirstine ‘Paprika’ Steen (เกิดปี ค.ศ. 1964) นักแสดงสัญชาติ Danish เกิดที่ Frederiksberg, Denmark บิดาเป็นวาทยากร/นักดนตรี มารดาคือนักแสดง Avi Sagild ส่งบุตรสาวเข้าคณะการแสดง Acting School of Odense Theater จนมีโอกาสเข้าร่วม Royal Danish Theatre ตามด้วยผลงานซีรีย์โทรทัศน์ ก่อนกลายเป็นขาประจำกลุ่มเคลื่อนไหว Dogme 95 อาทิ The Celebration (1998), The Idiots (1998), Mifune (1999) ฯ
รับบท Helene น้องสาวคนเล็ก ถูกส่งไปโรงเรียนประจำตั้งแต่เด็ก เลยไม่เคยรับรู้เหตุการณ์บังเกิดขึ้นกับพี่ชาย-สาว เพราะห่างไกลจากครอบครัว ทำให้เธอโหยหาความรัก ใครสักคนสำหรับพึ่งพักพิง ชื่นชอบเดินทางต่างประเทศ เปลี่ยนแฟนหนุ่มไม่ซ้ำหน้า คนปัจจุบันคือชายผิวสี Gbatokai แต่พอพามางานเลี้ยงวันนี้ กลับถูกบรรดาแขกเหรื่อ โดยเฉพาะน้องชาย Michael มองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม ขับร้องบทเพลงที่ทำเอาเธอแทบจะคลุ้มบ้าคลั่ง
ตัวละครของ Steen เป็นคนเรื่องมาก เจ้ากี้เจ้าการ ภายนอกอาจไม่ได้ดูเก็บกด อัดอั้น หรือเคยโดนกระทำสิ่งชั่วร้าย แต่เป็นคนรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เมื่อแฟนหนุ่มโดนดูถูกเหยียดหยาม สำแดงอาการคลุ้มบ้าคลั่ง แทบมิอาจควบคุมอารมณ์ตนเอง หรือตอนอ่านจดหมายลาตายพี่สาว ก็ไม่สามารถกลั้นหลั่งธารน้ำตา ตกอยู่ในสภาพห่อเหี่ยว สิ้นหวัง อยากออกไปจากสถานที่แห่งนี้ใจจะขาด
Thomas Bo Larsen (เกิดปี ค.ศ. 1963) นักแสดงสัญชาติ Danish เกิดที่ Gladsaxe, Denmark ในครอบครัวชนชั้นแรงงาน (Working Class) ตอนอายุ 14-15 ออกจากโรงเรียนมาฝึกงานร้านเบเกอรี่ ต่อด้วยทำงานโรงงาน ช่างตัดกระจก จนกระทั่งกลายเป็นคนรักนักแสดง Mette Horn ช่วยผลักดันเข้าสู่วงการ ร่วมงานขาประจำผกก. Thomas Vinterberg ผลงานเด่นๆ อาทิ The Celebration (1998), The Hunt (2012), Another Round (2020) ฯ
รับบท Michael น้องชายคนเล็ก ถูกส่งไปโรงเรียนประจำตั้งแต่เด็ก ทำให้ขาดความรัก ความอบอุ่น แตกต่างจากพี่สาว Helene ที่สามารถเปลี่ยนแฟนหนุ่มไม่ซ้ำหน้า ตัวเขาต้องจมปลักอยู่กับภรรยา มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ใช้ความรุนแรงไม่เว้นวัน ในงานเลี้ยงแซยิด พยายามปกป้องบิดา ปฏิเสธเชื่อคำกล่าวพี่ชาย Christian แต่พอรับฟังจดหมายลาตายพี่สาว Linda แสดงอาการคลุ้มคลั่ง ดื่มสุราเมามาย ระบายอารมณ์อัดอั้น ตกอยู่ในสภาพหมดสิ้นหวัง
ท่าทางของ Larsen ดูเหมือนมึนเมาตลอดเวลา หน้าตาสะลึมสะลืม พูดน้ำเสียงอู้อี้ในลำคอ ชอบวางมาดนักเลง โอ้อวดเก่ง เอาแต่ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ไม่เว้นแม้แต่ภรรยา ใช้ถ้อยคำตำหนิต่อว่า ปัดความรับผิดชอบ ไม่พึงพอใจก็ลงไม้ลงมือ (แต่ด่าเสร็จก็ขอร่วมเพศสัมพันธ์) สนเพียงกระทำสิ่งตอบสนองกามารมณ์ ปกป้องเกียรติ ศักดิ์ศรีของตน
ความพยายามปกป้องบิดาของ Michael ปฏิเสธเชื่อคำกล่าวพี่ชาย Christian มองมุมหนึ่งคือการรักษาเกียรติ ศักดิ์ศรีวงศ์ตระกูล ขณะเดียวกันยังเป็นการเรียกร้องความสนใจ (ต่อบิดา) ภาพสะท้อนตนเองในสถานะบิดา/หัวหน้าครอบครัว ไม่ต้องการยินยอมรับความเป็นจริง
ผกก. Vinterberg รับเชิญ (Cameo) บทบาทคนขับแท็กซี่ มาส่งชายผิวสี Gbatokai (แฟนหนุ่ม Helena) สอบถาม Michael ว่าตนเองเดินทางกลับได้หรือยัง?
ถ่ายภาพโดย Anthony Dod Mantle (เกิดปี ค.ศ. 1955) สัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Witney, Oxfordshire เป็นบุคคลแรกของประเทศอังกฤษที่ใช้กล้องดิจิตอล Red One ถ่ายทำโปรดักชั่นซีรีย์โทรทัศน์ กลายเป็นขาประจำก Thomas Vinterberg, Lars von Trier, Danny Boyle ผลงานเด่นๆ อาทิ The Biggest Heroes (1996), The Celebration (1998), 28 Days Later (2002), Dogville (2003), Slumdog Millionaire (2008) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Cinematography, Antichrist (2009), 127 Hours (2010) ฯ
หนังถ่ายทำด้วยกล้อง Sony DCR-PC3 ม้วนวีดิโอ Mini-DV cassettes อัตราส่วน Academy Ratio (
1.37:1) คุณภาพตามมีตามเกิด แต่ลีลาการถ่ายภาพมีความโฉบเฉี่ยว ฉวัดเฉวียด กวัดแกว่งยิ่งกว่าเครื่องเล่นรถไฟเหาะ (Roller Coaster) เต็มไปด้วยมุมมองแปลกๆ บางครั้งให้นักแสดงถือกล้อง บันทึกภาพขณะม้วนกลิ้งกับพื้น
หนังปักหลักถ่ายทำยัง Skjoldenæsholm Castle ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Ringsted, Denmark เป็นปราสาทที่มีประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ ค.ศ. 1340s โดยหลังที่ยังหลงเหลือถึงปัจจุบัน สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1766 ด้วยสถาปัตยกรรม Neoclassical และปัจจุบันกลายเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว (คืนละประมาณ 300 เหรียญ)
ใครเคยรับชม Fanny and Alexander (1982) ก็น่าจะมักคุ้นกับซีเควนซ์นี้ที่บรรดาแขกเหรื่อลุกขึ้นมาจับมือ กระโดดโลดเต้นไปรอบๆบ้าน ผกก. Vinterberg มีโอกาสคุยโทรศัพท์กับ Ingmar Bergman
I was lucky enough to have a conversation about Fanny and Alexander with Bergman after I made The Celebration. It was only one phone call, but it was a long one. He called my film a masterpiece, and I was very proud of that. I told him that I had to apologize for stealing one of his scenes, because there’s a moment that is almost an exact copy of the dance around the house in Fanny and Alexander. He said, “Oh, that doesn’t matter, I stole it from The Leopard!”
Thomas Vinterberg
แซว: ผกก. Vinterberg เคยชักชวน Ingmar Bergman ให้สรรค์สร้างภาพยนตร์ Dogme 95 แต่ได้รับคำตอบปฏิเสธทันควัน เพราะมันเป็นคนละแนวทางกับตนเองโดยสิ้นเชิง
Both Lars von Trier and I invited him to do a Dogme film, but he thought Dogme was the silliest thing he’d ever heard of. He just pulled it apart completely in that conversation I had with him. He was more authoritative, decisive, and stringent with his camera, and in that sense our films went against his approach. The Dogme films take the camera where the actors are; Bergman puts the actors in front of where he likes the camera to be. He was educated in the theater, so he knew how to make something like a cut on the stage. When characters suddenly go silent or sit down, that’s like a cut; if everyone onstage looks at one person, that’s like a close-up. He used those methods within the frame of the camera as well.
ตัดต่อโดย Valdís Óskarsdóttir (เกิดปี ค.ศ. 1949) สัญชาติ Icelandic เกิดที่ Akureyri, Iceland ผลงานเด่นๆ อาทิ The Celebration (1998), Mifune (1999), Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) ฯ
หนังไม่ได้เล่าเรื่องผ่านมุมมองตัวละครหนึ่งใด ร้อยเรียงเหตุการณ์ผ่านบรรดาแขกเหรื่อ ญาติพี่น้อง เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงแซยิด ครบรอบ 60 ปีของบิดา Helge ในระยะเวลา 1 วัน 1 คืน
- อารัมบท ก่อนเริ่มต้นงานเลี้ยง
- บรรดาญาติพี่น้อง แขกเหรื่อ เดินทางมาถึงยังโรงแรมจัดงานเลี้ยง
- Christian พูดคุยกับบิดา Helge ไม่ได้พบเจอหน้ามาหลายปี
- เรื่องวุ่นๆวายๆในห้องพักโรงแรม
- ภรรยาของ Michael ลืมแพ็กรองเท้า สร้างความไม่พึงพอใจ เกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง หลังสงบสติอารมณ์ ทั้งสองก็ร่วมเพศสัมพันธ์กัน
- Helene และ Christian แวะเวียนไปยังห้องพักของ Linda พบเจอจดหมายลาตาย
- เริ่มต้นงานเลี้ยงกับเมนู Hors d’oeuvre (หรือ Appetizer)
- บรรดาญาติพี่น้องรวมตัวในห้องรับรอง
- Toastmaster กล่าวสุนทรพจน์เริ่มงาน ตามด้วยคำขอบคุณแขกเหรื่อของบิดา Helge
- ระหว่างรับประทานอาหารเมนูแรก Christian อ่านสุนทรพจน์ที่ตระเตรียมมา
- Christian ตั้งใจจะเดินทางกลับ แวะเวียนมาร่ำลาเพื่อนเชฟ แต่ถูกยื้อย่างหลังพูดคุยกับบิดา
- หัวหน้าเชฟสั่งให้สาวใช้ลักขโมยกุญแจ เพื่อว่าทุกคนจะไม่สามารถเดินทางกลับ
- แฟนหนุ่มผิวสี Gbatokai ของ Helena เดินทางมาถึงงานเลี้ยง แต่เกิดความเข้าใจผิดกับ Michael
- ระหว่าง Main Course
- หลังจาก Christian กลับเข้าห้องอาหาร ลุกขึ้นกล่าวสุนทรพจน์อีกครั้ง คราวนี้สร้างความไม่พึงพอใจต่อบิดาและแขกเหรื่อ พากันออกมายังห้องรับรอง หลายคนตั้งใจจะกลับบ้าน แต่กุญแจรถสูญหาย
- Toastmaster เรียกร้องขอให้แขกเหรื่อกลับไปรับประทานอาหาร
- มารดาพยายามโน้มน้าว ร้องขอให้ Christian กล่าวคำขอโทษบิดา แต่เขากลับลุกขึ้นตำหนิต่อว่า เพราะเธอคือประจักษ์พยานรู้เห็นเป็นใจ
- นั่นสร้างความไม่พึงพอใจให้กับ Michael และอีกหลายคนพยายามขับไล่ ใช้ความรุนแรงกับ Christian ให้ออกจากโรงแรม ผูกมัดไว้กับต้นไม้
- เมนูของหวาน Dessert
- พอกลับเข้ามาระหว่างรับประทานอาหาร Michael มีเรื่องขัดแย้งกับ Gbatokai ขับร้องบทเพลง Jeg har set en rigtig negermand สร้างความไม่พึงพอใจต่อ Helena
- ประเพณีของครอบครัว จับมือล้อมวง เต้นรำไปรอบๆห้อง
- Toastmaster มอบจดหมายลาตายของ Linda ให้กับ Helena อ่านต่อหน้าสาธารณะชน
- เมื่อความจริงปรากฎ ทุกคนอยู่ในสภาพอ้ำอึ้ง ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ ก่อนแยกย้ายเข้าห้องพัก
- ค่ำคืนนั้น Michael ดื่มสุราเมามาย ระบายอารมณ์อัดอั้นกับบิดา
- Breakfast
- เช้าวันใหม่ แขกเหรื่อต่างทะยอยเข้ามารับประทานอาหารเช้า
- บิดา Helge กล่าวสุนทรพจน์ครั้งสุดท้าย ก่อนถูกเชิญออกจากห้องอาหาร
ลีลาการตัดต่อเต็มไปด้วย ‘jump cut’ กระโดดโลดเต้นไปมา ซีเควนซ์หนึ่งระหว่างอยู่ในห้องพักโรงแรม มีการตัดสลับมุมมองจากห้องของ Michael กับการผจญภัย(ในห้อง Linda)ของ Christian และ Helena พยายามมองหาสิ่งเชื่อมโยงสัมพันธ์ สำหรับสร้างสัมผัสกวีภาพยนตร์
ระหว่างรับชมผมไม่ได้สนใจในคอร์สอาหารมากนัก แต่ระหว่างครุ่นคิดเขียนบทความนี้ เกิดความตระหนักว่าหนังใช้การเปรียบเทียบคู่ขนาน Hors d’oeuvre → Main Course → Dessert → Breakfast แทนเรื่องราว รายละเอียดที่ค่อยๆเปิดเผยข้อเท็จจริงออกทีละเล็ก
ตามกฎของ Dogme 95 จะไม่มีการใช้เพลงประกอบ และเสียงประกอบ นอกเหนือจากการบันทึกระหว่างถ่ายทำ ‘diegetic sound’ หนึ่งในนั้นที่เชื่อว่าหลายคนจดจำแน่ได้คือบทเพลง Jeg har set en rigtig negermand (1970) แปลว่า I have seen a real negro man แต่งโดย Niels C. Andersen ตั้งใจให้เป็นบทเพลงสำหรับเด็ก (Children’s Song) ขับร้องโดยบุตรชายวัยสี่ขวบ Bo Andersen สำหรับบรรยายความแตกต่างทางสีผิว ชาติพันธุ์ แต่ในยุคสมัยปัจจุบันถูกตีความว่ามีลักษณะของ Racism Song
ต้นฉบับ Danish | แปลโดย Google Translate |
---|---|
Jeg har set en rigtig negermand Og han var så sort i ho’det som en tjærespand Og han sa’ så mange mærk’li’ ting Og i næsen havde han en kæmpe ring Jeg spurgte ham, hvad er du da for én, hvorfor har du smurt sværte op ad dene ben Så lo han blot og sa’ så disse ord Af ordene forstod jeg ikke spor: Fidlihak-olatom-rassi-gassi bom Sorte Massa var fra Umblagidarum Jeg har set en indianermand Og han var så rød i ho’det som en ildebrand Han var klædt så fint med fjerhat på Der var både gulde, røde, blå Jeg spurtge ham, havd er du da for én Hvorfor har du de streger op ad dine ben Så lo han blot og sa’ så disse ord Af ordene forstod jeg ikke spor: Umaluk-ughlituk-ramba ugh, ugh, ugh. Røde udl var kommet helt fra Wig Wam-suck Jeg har set en gul kinesermand Og han var så gul i ho’det som en sodavand Han en dragt af silka havde på Og hans sjove øjne de sad helt på skrå Jeg spurgte ham, hvad er du da for én Hvorfor har du da ingen sko på dine ben Så lo ham blot og sa’ så disse ord Af ordene forstod jeg ikke spor: Tingeling-pingpongping-simme laladim Gule Ming var kommet helt fra Tangtongsim Jeg tror alle folk sku’ males blå For så blev de nemlig sjovere at kigge på Så ku’ sort og rød og gul og hvid Være sammen i en verden uden strid Så spør’ jeg ej, hvad er du da for én Jeg ved vi alle har de samme sære ben Så ler vi blot og si’r så disse ord Og ordene fortæller hvad jeg tror: Lad ej farven på mennesker spiller ind Vi må mødes med et godt og ærligt sind | I have seen a real negro man And he was as black in the head as a tar bucket And he said so many remarkable things And in his nose he had a huge ring I asked him, what kind of person are you, why have you smeared black on those legs Then he simply laughed and said these words Of the words I did not understand a trace: Fidlihak-olatom-rassi-gassi bom Sorte Massa was from Umblagidarum I have seen an Indian man And he was as red in the head as a fire He was dressed so nicely with a feathered hat on There were gold, red, blue I asked him, what kind of person are you? Why do you have those lines up your legs Then he simply laughed and said these words Of the words I did not understand a trace: Umaluk-ughlituk-ramba ugh, ugh, ugh. Red udl had come all the way from Wig Wam-suck I have seen a yellow Chinese man And he was as yellow in the head as a soda He wore a suit of silk And his funny eyes they sat completely at an angle I asked him, what kind of person are you? Why don’t you have any shoes on your feet? Then just laughed at him and said these words Of the words I did not understand a trace: Tingling-pingpongping-simme laladim Yellow Ming had come all the way from Tangtongsim I think all people should be painted blue Because then they became more fun to look at So ku’ black and red and yellow and white Be together in a world without strife So I don’t ask, what kind of person are you? I know we all have the same weird legs Then we just laugh and say these words And the words tell what I think: Don’t let the color of people come into play We must meet with a good and honest mind |
The Celebration (1998) ไม่ใช่แค่งานเลี้ยงรวมญาติ ในวโรกาสครบรอบ 60 ปีของบิดา! แต่เรายังสามารถมองถึงการเฉลิมฉลอง #MeToo ของบุตรชายคนโต Christian เปิดเผยการถูกกระทำร้ายทางร่างกาย-จิตใจ ‘Sexual Abuse’ พยายามเรียกร้องความเป็นธรรม ให้คนชั่วต้องโดนลงโทษทัณฑ์
เรื่องราวของ The Celebration (1998) สะท้อนปัญหาระบบสังคมชายเป็นใหญ่ ปิตาธิปไตย (Patriarchy) หัวหน้าครอบครัวมีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจ กระทำสิ่งใดๆ โดยไม่สนถูก-ผิด ดี-ชั่ว ทุกคนต้องก้มหัวศิโรราบ ไร้ซึ่งสิทธิ์เสียงลุกขึ้นมาเผชิญหน้าต่อต้าน … การนำเสนอด้วยวิธีการของ Dogme 95 ก็เพื่อจะ ‘breaking’ ทำลายขนบวิถีทางสังคมดังกล่าว ให้พังทลาย สูญสลาย ก้าวสู่โลกใบใหม่
ไม่ใช่แค่ระบบครอบครัว แต่อาจยังสามารถเหมารวมถึง Kongeriget Danmark (Kingdom of Denmark) แบบเดียวประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข … ผมไม่ค่อยอยากวิเคราะห์ประเด็นนี้นัก เพราะไม่ได้รับรู้จักเบื้องหน้า-หลังการเมืองของประเทศนี้ดีพอ เอาแค่ว่ามันสามารถตีความในระดับจุลภาค-มหภาคได้ด้วยเช่นกัน (แต่มันอาจไม่ใช่ความตั้งใจของผกก. Vinterberg)
ผกก. Vinterberg เติบโตในวิถี Hippie Commune รายล้อมรอบด้วยผู้คน ดื่มสุรา เสพกัญชา มั่วกาม เรียกว่าใจแตกตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่ตัวเขาไม่ได้เก็บกด อัดอั้นเหมือนอย่าง Christian ตรงกันข้ามมองว่าคือช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ เมื่อกลายมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ผลงานหลายๆเรื่องจึงมักเกี่ยวกับกลุ่มคนขนาดใหญ่ ร่วมกันกระทำสิ่งบ้าบอคอแตก แหกขนบกฎกรอบทางสังคม
แรกเริ่มต้นใครๆแม้แต่ผกก. Vinterberg ครุ่นคิดว่าเรื่องราวได้ยินคือเหตุการณ์จริง แม้ภายหลังค้นพบว่ามันอาจคือจินตนาการของผู้ป่วยจิตเวช แต่นั่นก็ไม่ได้ทำหนังสูญเสียอะไร เพราะสื่อภาพยนตร์คือการปรุงแต่ง สร้างความบันเทิง (แฝงสาระข้อคิด) เรื่องราวจะจริง-เท็จ หามีความสลักสำคัญอันใด
การที่ The Celebration (1998) คือ Dogme #1 ผมถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นอันยอดเยี่ยม สะท้อนอุดมการณ์ของกลุ่มเคลื่อนไหว แบบเดียวกับตัวละคร Christian ที่ต้องการแหกขนบกฎกรอบ พยายามดิ้นหลุดพ้นจากการถูกควบคุมครอบงำ อิทธิพลของบิดาที่ยังคงติดตามมาหลอกหลอน ตราบาปฝังใจตั้งแต่เด็ก เพื่อให้ตนเองสามารถลุกขึ้น ก้าวเดิน เริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่หลงเหลืออะไรติดค้างคาใจ
หนังใช้ทุนสร้าง US$1.3 ล้านเหรียญ เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Cannes เสียงตอบรับดียอดเยี่ยม ได้รับการยืนปรบมือนานถึง 15 นาที! แต่ก็มีนักวิจารณ์บางคนเกิดอคติอยู่บ้าง เพราะคุณภาพของวีดิโอ (Mini-DV) ค่อนข้างต่ำ กล้องส่ายไปส่ายมา ชวนปวดเศียรเวียนเกล้า สุดท้ายสามารถคว้ารางวัล Jury Prize (ที่สาม) เคียงข้างกับ Class Trip (1998)
จากนั้นหนังเดินทางไปฉายตามเทศกาลต่างๆทั่วโลก กลายเป็นตัวแทน Denmark ส่งลุ้นรางวัล Oscar: Best Foreign Language Film แต่ไม่ผ่านการคัดเลือกใดๆ
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ ‘digital restoration’ โดย Danish Film Institute ร่วมกัน Nimbus Film คุณภาพ 2K ผ่านการตรวจอนุมัติโดยผกก. Vinterberg เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 2018 สามารถหาซื้อ Blu-Ray หรือหารับชมออนไลน์ทาง Criterion Channel
แม้จะเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวครุ่นคิดมาเล่นๆ แต่ผกก. Vinterberg ก็สามารถมองหาเรื่องราว สรรค์สร้างภาพยนตร์ที่ตอบสนองแนวทางดังกล่าวได้อย่างยอดเยี่ยม อยากจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบ แต่เพราะผมยังไม่เคยรับชมผลงานอื่นๆของพี่แก เลยบอกไม่ได้ว่าถึงเรื่องนี้ถึงจุดสูงสุดนั้นหรือเปล่า … แต่เมื่อผกก. Ingmar Bergman เคยกล่าวเอาไว้เช่นนั้น ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
จัดเรต 18+ กับความสุดเหวี่ยงของการถ่ายภาพ เรื่องราว เบื้องหลังความจริงที่ไม่ใช่ทุกคนสามารถยินยอมรับ
Leave a Reply