Guide (1965)
: Vijay Anand ♥♥♥♥♥
หนังเรื่องนี้คือคู่มือแนะนำการปล่อยวาง โดยมัคคุเทศก์ (รับบทโดย Dev Anand) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการนำเที่ยว ชีวิตเคยรุ่งโรจน์สูงสุดและตกต่ำย่ำดิน วันหนึ่งเริ่มตระหนักคิดได้ ทุกสิ่งอย่างในโลกนี้ล้วนไร้ความจีรัง, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
ประเทศอินเดียเป็นแหล่งกำเนิดของ 2 พระศาสนาที่สำคัญของโลก คือ พราหมณ์และพุทธ แต่ปัจจุบันประชาชนร้อยละ 79 นับถือฮินดู ร้อยละ 15 นับถืออิสลาม ที่เหลืออีก 2.5 นับถือคริสต์ ทั้งพุทธและพราหมณ์ล้วนถูกขับไล่หมดสิ้นไปจากดินแดนแห่งนี้ ปัจจุบันหลงเหลือเพียงคนกลุ่มน้อย ไม่ถึงร้อยละ 1 ด้วยซ้ำ นี่แสดงถึงความไม่จีรังยั่งยืนในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า ‘ความเชื่อ’
ผมค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว เมื่อเห็นหนังเรื่องนี้นำเสนอแนวคิดคล้ายๆของพุทธศาสนา เข้าใจชีวิต-ปล่อยวาง-หลุดพ้น แต่เมื่อได้ศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียดก็พบว่า ผู้เขียนนิยายอ้างอิงจากแนวคิดของฮินดูเสียมากกว่า ที่ก็คล้ายๆกัน คือพูดถึงเป้าหมายสุดท้ายคือการหลุดพ้น, กระนั้นบทความนี้ผมจะขอนำเสนอตีความในทางพุทธนะครับ และอยากให้ลองทำความเข้าใจด้วยว่า ทำไมผมถึงชื่นชอบจนกลายเป็นหนังโปรดเรื่องล่าสุด
Rasipuram Krishnaswami Iyer Narayanaswami ชื่อย่อ R. K. Narayan (1906 – 2001) นักเขียนชาวอินเดียที่มีชื่อเสียงระดับโลก, เกิดที่ Madras (ปัจจุบันคือ Chennai), รัฐ British India พ่อเป็นครูใหญ่สอนหนังสือ ทำให้ Narayan สนใจในอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ได้ย่าเป็นผู้สอนคณิตศาสตร์ เทพนิยายโบราณ ดนตรี และภาษาสันสกฤตให้, เข้าเรียนในโรงเรียนของสอนศาสนา ทำให้มีโอกาสได้อ่านนิยายภาษาอังกฤษของ Charles Dickens, P. G. Wodehouse, Arthur Conan Doyle, Thomas Hardy ฯ เขียนนิยายตีพิมพ์ครั้งแรก (เป็นภาษาอังกฤษ) เรื่อง Swami and Friends (1935) ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจนต้องเขียนเล่มต่อ กลายเป็นนิยายไตรภาค The Bachelor of Arts (1937) และ The English Teacher (1945)
สไตล์ของ Narayan มักนำเสนอเรื่องราวของคนธรรมดาทั่วไป (เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพตัวละคร เหมือนคนข้างบ้าน ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท ใครก็ได้ทั่วไป) ที่ได้พบเจอเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ อาทิ สังคม-วัฒนธรรม-ความเชื่อ ของคนอินเดีย อันก่อให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดในเชิงขบขัน (แต่ขณะเดียวกันก็มองได้ในเชิงสะท้อน/เสียดสี)
“the simplicity and the gentle beauty and humour in tragic situations”
สิ่งที่เป็นลายเซ็นต์ของ Narayan คือเมืองสมมติ Malgudi ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย, ไม่มีบันทึกหลักฐานการมีตัวตนของเมืองนี้ในหนังสือประวัติศาสตร์ไหน แต่ในมหากาพย์รามายณะ (Ramayana) ครั้งหนึ่งพระรามผ่านมาดินแดนที่ชื่อ Malgudi แล้วกล่าวว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าก็เคยเสด็จผ่านมาเมืองนี้
ในบรรดานิยายของ Narayan เรื่องที่ได้รับการพูดถึงเป็นที่จดจำมากสุดคือ The Guide (1958) ถูกการยกย่องว่าคือ Magnum Opus (Masterpiece) ได้รับการจัดอันดับ ‘1001 Books: You Must Read Before You Die.’ รวบรวมโดย Peter Boxall
สำหรับแรงบันดาลใจนิยายเล่มนี้ Narayan เคยเล่าให้สองพี่น้อง Anand ตอนที่มาพบว่า มาจากเรื่องจริงที่บ้านเกิดของตน ในความสิ้นหวังสุดๆผืนแผ่นดินแห้งแล้งฝนไม่ตกอย่างยาวนาน มีกลุ่มพระ (ที่บวชในศาสนาฮินดู) ได้รวมกลุ่มกันทำพิธีถือศีลอดข้าวอดน้ำ อยู่ที่แม่น้ำ Kaveri ยาวนานเป็นเวลา 12 วัน แล้วฝนก็ตกจริงๆอย่างน่าเหลือเชื่อ
นักแสดงนำ Dev Anand มีโอกาสรู้จักกับผู้สร้างหนังอเมริกัน Tad Danielewski และนักเขียนรางวัลโนเบล Pearl S. Buck เพราะพวกเขาเคยพยายามชักชวนให้มาเล่นหนัง hollywood ถึงตอนนั้น Anand จะบอกปฏิเสธไป แต่ก็มีความสนใจอยากร่วมงานกันสักครั้ง, ปี 1962 ที่เทศกาลหนังเมือง Berlin มีใครสักคนแนะนำนิยายเรื่อง The Guide ให้กับ Anand อ่านจบแล้วประทับใจมาก ติดต่อ Narayan เพื่อขอซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลง เดินทางไปอเมริกาพูดคุยกับ Danielewski กัล Buck ที่ก็เกิดความสนใจเช่นกัน
หนังเรื่องนี้มี 2 ฉบับนะครับ คือ
– ภาษาฮินดี (หนัง bollywood) โดยน้องของ Dev ชื่อ Vijay Anand เป็นทั้งผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์
– ภาษาอังกฤษ กำกับโดย Tad Danielewski บทภาพยนตร์โดย Pearl S. Buck ใช้นักแสดงชุดเดิม แค่เปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษ บางฉากตัดออก บางฉากเพิ่มเรื่องราวเข้าไป
ไม่รู้ฟีล์มหนังฉบับภาษาอังกฤษยังหลงเหลือถึงปัจจุบันหรือเปล่า ผมได้ดูคือฉบับภาษาฮินดีที่ได้รับการยกย่องกล่าวขวัญโดยนักวิจารณ์ ว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่สุดของอินเดีย คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย
สิ่งหนึ่งที่ผมไม่รู้คือ direction ของหนัง นั้นมาจาก Vijay Anand หรือ Tad Danielewski เพราะหนังถ่ายทำทั้งสองฉบับควบคู่กันไป แค่ว่าตอนถ่ายภาษาฮินดี Vijay จะเป็นคนกำกับนักแสดง และตอนพูดภาษาอังกฤษ Danielewski จะเป็นคนกำกับ, เอาว่านี่เป็นหนัง bollywood ขอให้เครดิตกับ Vijay ไปแล้วกันนะครับ
ในบรรดาครอบครัวนามสกุลดังของ Bollywood หนึ่งในตระกูลที่ประสบความสำเร็จระดับโลกคือ Anand Family เริ่มต้นโดย Dev Anand และพี่ชาย Chetan Anand ทั้งสองร่วมก่อตั้งสตูดิโอ Navketan Films เมื่อปี 1949 ที่ Mumbai โดยภาพยนตร์เรื่องแรก Neecha Nagar (1946) สามารถคว้ารางวัล Palme d’Or จากเทศกาลหนังเมือง Cannes [เพราะความสำเร็จจากหนังเรื่องนี้ คือเหตุผลที่ทำให้พี่น้อง Anand ตั้งสตูดิโอของตนเอง]
Vijay Anand (1934 – 2004) หรือ Goldie Anand นักแสดง ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวอินเดีย น้องสุดท้องของครอบครัว Anand ตามติดพี่ชายไปแทบทุกหนแห่ง ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้กลายเป็นผู้กำกับ มีผลงานแรกคือ Nau Do Gyarah (1957) สำหรับผลงานโด่งดัง อาทิ Guide (1965), Jewel Thief (1967), Johny Mera Naam (1970) ฯ นี่ทำให้ Vijay กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานผู้กำกับของ Bollywood
ตอนที่ Vijay อ่านนิยายเล่มนี้ เขามีความหวั่นวิตกรุนแรงต่อภาพลักษณ์ของอินเดียที่ชาวโลกจะได้เห็นถ้ามีการสร้างหนังเรื่องนี้ บอกปฏิเสธพี่ชายไปถึง 2 ครา แต่พอ Dev เข้ามาเกลี้ยกล่อม Vijay ก็ยอมเป็นผู้กำกับโดยดี
Raju (รับบทโดย Dev Annad) เป็นมัคคุเทศก์ที่เมืองสมมติ Malgudi ทางตอนใต้ของอินเดีย วันหนึ่งได้พบกับนักโบราณคดี Marco (รับบทโดย Kishore Sahu) ที่มาพร้อมกับภรรยา Rosie (รับบทโดย Waheeda Rehman) ทั้งสองไม่ได้มีความรักต่อกัน ขณะที่สามีได้ออกสำรวจถ้ำโบราณสถานแห่งใหม่โดยไม่สนใจภรรยา เธอก็ได้พบรักกับ Raju เรียนรู้จักโลกกว้าง ได้ทำในสิ่งที่ตนใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก
เริ่มต้นจากศูนย์ Raju คือผู้ชี้ชักนำ ปลุกปั้นให้ Rosie กลายเป็น Miss Nalini ประสบความสำเร็จจากการแสดงร้องเล่นเต้น โด่งดังระดับนานาชาติ แต่แล้วความเบื่อหน่ายในชื่อเสียงเงินทองก็ย่างกรายได้เข้ามา เธอปฏิบัติต่อเขาอย่างเหินห่างเหมือนคนหมดรัก นั่นทำให้ Raju เริ่มเข้าใจสัจธรรมความจริงของชีวิต, หลังจากโชคชะตาเล่นตลกทำให้เขาต้องติดคุก หมดโทษออกมาจึงออกเดินเท้าไปเรื่อยๆ ถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนักแสวงบุญ พระผู้มาโปรด และการกระทำสุดท้ายทำให้กลายเป็นบุคคลแห่งศรัทธา ผู้คนมากมายไหลหลั่ง ขอเพียงแค่ได้เห็นเท้าของชายคนนี้
Dharam Dev Pishorimal Anand (1923 – 2011) หรือ Dev Anand นักแสดง ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวอินเดีย เกิดที่ Gurdaspur รัฐ Punjab (ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน) เรียนจบปริญญาโท สาขาวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ที่ Government College, Lahore จากนั้นเดินทางมุ่งสูง Bombay เริ่มจากทำงานในสำนักงานตรวจสอบ, เปลี่ยนไปเป็นเสมียนทำบัญชี ต่อมาได้เป็นสมาชิกของ Indian People’s Theatre Association (IPTA) ได้เห็นการแสดงของ Ashok Kumar จากหนังเรื่อง Achhut Kanya(1936) และ Kismet (1943) เกิดความหลงใหลคลั่งไคล้ (Kumar กลายเป็นนักแสดงคนโปรดของ Dev) ตัดสินใจเข้าสู่วงการ รับบทเป็นตัวประกอบเรื่องแรก Hum Ek Hain (1946) ส่วนบทนำครั้งแรก Ziddi (1948) [เห็นว่าเป็น Kumar เป็นผู้ยื่นข้อเสนอให้เลย]
เกร็ด: หลังความสำเร็จของ Ziddi เป็นจุดเริ่มต้นให้ Dev ร่วมกับพี่ชาย ก่อตั้งสตูดิโอของตนเอง Navketan Films (เปลว่า ความเป็นครั้งแรก, newness)
ชื่อเสียงความสำเร็จของ Dev มักได้รับการเปรียบเทียบกับ Gregory Peck (รูปลักษณ์ก็มีความคล้ายกันอยู่นะ) แต่ตัว Dev ไม่ชอบเลยที่นักข่าวเปรียบเช่นนี้ ‘I don’t want to be known as India’s Gregory Peck, I am Dev Anand’
ปี 2002 รัฐบาลอินเดียได้มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ลำดับสูงสุด Dadasaheb Phalke เพื่อตอบแทนคุณาประโยชน์ที่ Dev Anand มีต่อวงการภาพยนตร์อินเดีย
หนังเรื่องนี้รับบทเป็น Raju มัคคุเทศก์หนุ่มหล่อ เรียนสูง รอบรู้ เฉลียวฉลาด แต่เพราะโชคชะตามักเล่นตลกให้ผกผัน แต่นั่นอาจคือวิถีที่ทำให้เขากลายเป็นผู้มองเห็นเข้าใจสัจธรรมของชีวิต
ผมไม่เคยรับชมหนังเรื่องอื่นของ Dev มาก่อน แต่รู้สึกว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีความหลากหลายสูงมาก สามารถเล่นรับบทอะไรก็ได้ สำหรับบท Raju ความหล่อเหลาเทียบไม่ได้กับความเฉลียวฉลาดแบบกวนๆ ทั้งยังสามารถ ครุ่นคิด-เข้าใจ-ยอมรับ ทุกสิ่งอย่างในชีวิตได้อย่างมีเหตุผลลึกล้ำ, ฉากที่ผมประทับใจมากๆ คือขณะ one-man shoe ตอนที่ Raju พูดแนะนำต่อว่า Rosie สอนให้คิดนอกกรอบบอกว่า “การฆ่าตัวตายเป็นการกระทำของคนโง่” ไม่มีใครในโลกที่สามารถบังคับข่มขู่เราได้ เพียงแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะยินยอมตกอยู่ภายใต้กรอบกำมือของผู้อื่น
Waheeda Rehman (เกิดปี 1938) นักแสดงหญิงสัญชาติอินเดีย ที่มีผลงานหนังภาษา Hindi, Tamil, Bengali และ Telugu จัดว่าเป็นนักแสดงยอดฝีมือ มีความสามารถหลากหลาย เคยคว้ารางวัล National Film Award สาขา Best Actress จากเรื่อง Reshma Aur Shera (1971) ผลงานอื่นที่ดังๆ อาทิ Pyaasa (1957), Kaagaz Ke Phool (1959), Sahib Bibi Aur Ghulam (1962), Neel Kamal (1968) ฯ ความงามของเธอได้รักการกล่าวขานว่า ‘most beautiful’ ในช่วงทศวรรษ 50s – 60s
รับบท Rosie/Miss Nalini หญิงสาววรรณะต่ำ มีแม่เป็นนักเต้น/โสเภณี ไร้พ่อทำให้ไร้นามสกุล ถูกแม่บังคับให้แต่งงานกับ Marco เพื่อจะใช้นามสกุลสามี กลายเป็นคนมีวงศ์ตระกูลมีหน้ามีตาในสังคมได้ แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นเหมือนงูในกรง ถูกคุมขังไม่ให้เลื้อยขยับเคลื่อนไหวไปไหน จนกระทั่งได้มาพบกับ Raju ที่ได้ไขกุญแจเปิดประตูออก ให้เธอสามารถแผ่สยายแสดงความงามของแม่เบี้ยให้โลกได้ยลโฉม
การแสดงของ Rehman น่าหลงใหลมากๆ แค่ความงามของเธอก็สามารถสยบทุกสิ่งอย่างให้อยู่แทบเท้า โดดเด่นสุดคงเป็นตอนเต้นระบำงูช่วงแรกๆ มีเท่าไหร่ใส่ลงไปเต็มที่ งดงามน่าประทับใจมากๆ และตอนที่ Nalini แสดงความเบื่อหน่ายต่อความสำเร็จ ความรัก ทุกสิ่งอย่าง สีหน้าท่าทางของเธออันลุ่มร้อนเร้ารน ทำให้จิตใจของผู้ชม (และ Raju) แตกสลายย่อยยับ … โอ้ละหนอหญิงงาม ไฉนมากความได้เพียงนี้!
Kishore Sahu (1915 – 1980) นักแสดง ผู้กำกับชาวอินเดีย รับบท Marco นักโบราณคดี (Archaeologist) และเป็นสามีของ Rosie, ความสนใจในวัตถุโบราณแสดงถึงตัวตนจิตใจที่ยึดติดกับวัตถุ เรือนร่าง ไร้ชีวิต สาเหตุที่แต่งงานมองได้คือความกระสันหื่นกระหาย (Lust) เขาต้องการเพียงเรือนร่างของหญิงสาว หาได้สนเปิดเปิดใจ รับรู้มองเห็นสิ่งที่เป็นจิตวิญญาณอยู่ภายใน
รูปลักษณ์ของ Sahu ถือว่ามีความตรงกับบุคลิกนิสัยของตัวละครเป็นอย่างมาก หัวเถิกล้านมักมีนัยยะถึงความเป็นผู้รู้มากประสบการณ์ แต่การรู้เยอะมักทำให้เป็นคนดื้อด้าน เกรี้ยวกราด คิดเห็นตนเองถูกต้องเป็นใหญ่ ไม่สนอะไรผู้อื่น, ผมชอบฉากเล่นซ่อนหาระหว่าง Marco กับ Rosie ในโบราณสถานเป็นอย่างมาก ตอนแรกที่ยังไม่รู้ว่าใคร ได้ยินเสียงกระดิ่งกริ้งๆก็คิดว่าเป็นสาวระบำ Marco แสดงความกระสันชูชันหื่นกระหาย แต่พอรู้ว่าเป็น Rosie อารมณ์หมดทุกอย่างหด จากนั้นก็เริ่มมีปากเสียงทะเลาะกัน นี่เป็นฉากนำเสนอความพ่ายแพ้ของตัวละครนี้ ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อควบคุมครอบงำทวงหนี้บุญคุณ แต่หญิงสาวรู้ตัวแล้วว่าความพยายามนี้มันก็แค่ลมปาก ไม่มีใครในโลกสามารถควบคุมคนอื่นได้จริงๆ (นี่เปรียบได้กับวินาทีหลุดพ้นของ Rosie เลยนะครับ)
ถ่ายภาพโดย Fali Mistry ตากล้องยอดฝีมือชาวอินเดีย มีผลงาน อาทิ Amrapali (1945), Fakira (1977) ฯ, ฉบับฉายอเมริกาถ่ายด้วย Eastmancolor ส่วนฉบับฮินดีใช้ Pathécolor แต่ผมไม่เคยดูฉบับฉายอเมริกันเลยบอกไม่ได้ว่ามีความแตกต่างกันแค่ไหน
ความโดดเด่นของงานภาพคือมุมกล้อง หลักๆมี 3 ระดับคือ มุมเงย, ระดับสายตา, มุมก้ม โดนทิศทางที่ใช้ขึ้นอยู่กับบริบทของฉากนั้นๆ ซึ่งจะสอดคล้องกับตำแหน่งของตัวละคร เช่นว่า ถ้าขณะนั้นตัวละครยืนตำแหน่งสูงกว่า (แสดงถึงการมีอิทธิพลอำนาจบารมีสูงกว่า) ภาพก็จะถ่ายมุมเงย แต่ถ้ายืนต่ำกว่า (ชนชั้นวรรณะต่ำ, อยู่ในสถานะต่ำกว่า) ก็จะถ่ายมุมก้ม
ช็อตนี้ด้านหลังมีลักษณะเหมือนกรอบรูป ภาพที่ Raju มองเห็นจากชีวิตแต่งงาน (อยู่ตำแหน่งสูงกว่าตน)
ฉากช่วงท้าย ภายในความคิดของ Raju, เริ่มต้นจากสองจิตแยกออกจากกัน ใช้เทคนิคการซ้อนภาพ จะเห็นใบหน้าของตัวละครเดียวกันซ้อนท้บกันอยู่ 2 ชั้น (แอบหลอน)
ฝั่งซ้ายสีน้ำเงิน (หดหู่ เยือกเย็น) คือจิตที่เต็มไปด้วยกิเลส ยึดติด กำลังทุกข์ทรมาน, ฝั่งขวาสีเหลืองส้ม คือจิตที่หลุดพ้น ปล่อยวาง เป็นสุขใบหน้าอิ่มเอิบ (ห่มผ้าคลุมเหมือนพระ)
หนังมีการหลบมุมกล้องหลายครั้งในฉาก(ที่เหมือน)ตัวละครจูบกัน มันก็ดูเป็นศิลปะดีนะครับ แต่ก็ลดความเร่าร้อนแรง passion ในความสัมพันธ์ของตัวละครไปพอสมควร, เห็นว่าในฉบับภาษาอังกฤษ จูบนี่จูบจริง แถมมี Sex Scene เล็กๆด้วย
นี่ไม่ใช่หนังเรื่องแรกของอินเดียที่มีฉากในความฝัน/จินตนาการ (หนังเรื่องแรกคือ Awara-1951) วิธีสังเกตคือ ความสมเหตุสมผลในฉากนั้นจะหายไป อยู่ดีๆก็มีบางสิ่งอย่างโผล่ขึ้นมา และการจัดแสงสีจะความเด่นชัดผิดปกติ
ตัดต่อโดย Vijay Anand กับ Babu Sheikh ส่วนใหญ่ของหนังจะเป็นการเล่าย้อนอดีต ช่วงแรกในมุมมองของ Raju เล่าสรุปโดยย่อ ต่อมาเป็น Rosie ที่จะเล่าโดยละเอียดตั้งแต่พบเจอกันจนแยกจาก และครึ่งชั่วโมงสุดท้ายคือเหตุการณ์ในปัจจุบันที่ Raju กลายเป็น Swami (= Holy Man, ผู้มาไถ่), มีอยู่ 2-3 ครั้งช่วงท้าย นับตั้งแต่ตอนที่ Raju เริ่มเข้าใจสัจธรรมของชีวิต จะมีการใส่ภาพในความคิดฝัน/จินตนาการของตนเข้ามา นี่มีลักษณะเหมือนการพูดคุยกับตนเอง (แยกจิตออกเป็นสองร่าง) เป็นการอธิบายความคิดในหัวของเขา เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจหนังมากขึ้น
การเปลี่ยนภาพ (Transition) ทุกครั้งในจังหวะที่ตัวละครมีการหวนระลึกนึกย้อนถึงอดีต จะใช้การเปลี่ยนภาพที่มีลักษณะเหมือนสายน้ำไหล (ผมเรียกว่า สายน้ำแห่งการเวลา) ระหว่างช็อตหลายครั้งใช้เทคนิค Cross Cutting ภาพเฟตออกจากช็อตหนึ่งไปเฟดเข้าอีกช็อตหนึ่ง นี่มีนัยยะถึงสองช็อตนั้นเป็นสิ่งๆเดียว มีความต่อเนื่องกัน, ซึ่งหนังยังใช้ประโยชน์จากการ Cross Cutting ด้วยการค้างภาพซ้อนหลายครั้งทีเดียว
มีการตัดต่อด้วยเทคนิค Montage อยู่หลายครั้ง อาทิ ตัดสลับระหว่างรูปปั้นกับ Rosie เป็นการบอกให้ผู้ชมรู้ว่าคือสิ่งเดียวกัน, ใบหน้าของ Raju กับ Rosie ขณะกำลังเต้น ฉันกำลังเฝ้ามองเธออยู่นะ, ใบหน้าของ Raju กับอาหาร บอกว่ากำลังหิวโหย ฯ
ฉบับภาษาฮินดี ความยาว 183 นาที
ฉบับภาษาอังกฤษ ความยาว 120 นาที (สงสัยตัดฉากร้องเล่นเต้นไปหมดเลยกระมัง)
เกร็ด: หนังฉบับภาษาอังกฤษ เห็นว่ามีการเพิ่มบทสนทนาที่นักข่าวสัมภาษณ์ Raju ให้นานขึ้น และมีอีกฉากใหม่ที่สถานทูตสหรัฐในกรุง Delhi
เพลงประกอบโดย S. D. Burman นักแต่งเพลงในตำนานของอินเดีย มีผลงานดังอย่าง Devdas (1955), Pyaasa (1957), Kaagaz Ke Phool (1959), Zindagi Zindagi (1972) ฯ เห็นว่าระหว่างทำเพลงให้หนังเรื่องนี้ Burman ล้มป่วยอย่างหนัก Dev Anand ตัดสินใจรอคอยให้นักแต่งเพลงคนโปรดหายดีเป็นปกติเสียก่อนถึงค่อยเริ่มงานต่อ ทำให้ Burman เกิดความตื่นตันใจมาก ทำเพลงประกอบอย่างเต็มความสามารถ
บทเพลงเต็มไปด้วยความคลาสสิกของดนตรีพื้นบ้านอินเดีย เรียบง่ายไพเราะสวยงาม, เพลงแรกที่เลือกมา Aaj Phir Jeene Ki Tamanna Hai (=Today I want to live again, วันนี้ฉันอยากมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง) แต่งโดย Shailendra ขับร้องโดย Lata Mangeshkar เป็นบทเพลงแนวให้กำลังใจกับผู้สิ้นหวัง, ในฉากนี้ หญิงสาวได้ทำในสิ่งที่ตนไม่เคยคิดทำมาก่อน ราวกับเด็กหญิงอายุ 16 ที่เป็นอิสระไร้สิ่งหน่วงเหนี่ยวกายใจ เพลิดเพลิน รื่นเริง สนุกสนาน เต็มที่กับชีวิต
สำหรับเพลงที่ผมชอบสุดคือ Gaata Rahe Mera Dil (=My heart keeps on singing, หัวใจฉันเร่าร้องเป็นบทเพลง) ขับร้องโดย Kishore Kumar กับ Lata Mangeshkar, ณ จุดสูงสุดในชีวิตของทั้ง Raju และ Nalini พวกเขาเกี้ยวพาพรอดรักกันบนเทือกเขาสูง ทิวทัศน์สวยงามตระการตา เธอคือเป้าหมายของฉัน และฉันคือเป้าหมายของเธอ ตะโกนกึกก้องให้ดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนปฐพี
คำร้อง: Gaata rahe mera dil, Tu hi meri manzil haaye
แปลว่า: My heart keeps on singing, That you’re my destination
นิตยสาร Planet Bollywood มีการสำรวจ จัดอันดับ 100 Greatest Bollywood Soundtracks หนังเรื่องนี้ติดอันดับ 11
มี Guide ทั้งหมด 3 ระดับ ที่เป็นเรื่องราวอยู่ในหนัง
1) อาชีพของ Raju เป็นมัคคุเทศก์ แนะนำสถานที่ให้นักท่องเที่ยวทั้งหลาย
2) Raju แนะนำ Rosie ให้หลุดพ้นออกจากกรงขังของ Marco สู่โลกที่เป็นอิสระเสรีทางความคิด (แต่เธอก็กลับหลงติดอยู่ในโลกนั้นเสียอีก)
3) Raju กลายเป็น Swami ผู้ชี้นำช่วยเหลือ ที่พึ่งทางศรัทธาของชาวโลก
สิ่งที่หนังต้องการแนะนำผู้ชม คือ ความไม่จีรังของชีวิต นำเสนอบุคคลที่
– ครั้งหนึ่งได้รับการยกย่องนับถือจากผู้คนมากมาย แต่ต่อมาเมื่อได้ทำในสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ จึงถูกต่อต้านรังเกียจ แม้แต่ครอบครัวก็ยังรับไม่ได้
– ครั้งหนึ่งเคยรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่อยู่จุดสูงสุด แต่การทำผิดพลาดครั้งเดียว วันถัดมาตกต่ำเรี่ยดินกลายเป็นคนไร้ค่า แฟนสาวคนรักก็ยังรับไม่ได้
– บุคคลที่เคยเป็นที่พึ่งแห่งศรัทธาของผู้คน แต่เมื่อถูกท้าทายเปรียบเทียบกับบุคคลที่ทรงภูมิความรู้กว่า ก็ถูกขับไล่ไสส่ง ผู้คนทั่วไปไม่ยอมรับ
มนุษย์เรามีเพียงสิ่งหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จีรังจริงแท้คือ ‘ความตาย’ ต่อให้พยายามวิ่งหนีแค่ไหนก็ไม่มีทางหลบพ้น … แต่การตายนั้นจะเพียงเงียบๆเรียบง่าย หรือสามารถสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้
สิ่งที่ Raju ได้ทำในช่วงท้าย มองได้เป็นการจับพลัดจับพลู (เชิงประชดเสียดสีเล็กๆ) ไม่มีใครในโลกรู้ตัวเองว่าจะกลายมาเป็น Swami/Holy Man แต่บริบทรอบข้าง ชาวบ้านที่ไม่รู้เอาความเชื่อศรัทธามาจากไหน ฝูงชนที่ไหลหลั่งพรูกันเข้ามา ล้วนเป็นสิ่งผลักดันให้ Raju เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง
ครั้งหนึ่ง Raju สารภาพความจริงเกี่ยวกับตนเอง แต่ผู้ฟังดันเกิดศรัทธายิ่งขึ้นไปอีก, พยายามแอบหนีแต่ถูกจับได้, อาหารวางยั่วไว้ตรงหน้า แต่ก็มิอาจกลืนกิน, กระทั่งภายในจิตใจยังแบ่งออกเป็น 2 ภาค ตั้งคำถามสนทนากับตัวเอง ทำไปเพื่ออะไร ได้อะไร มีประโยชน์ต่อตัวเองตรงไหน?
ศรัทธามักเริ่มต้นจากผู้อื่นก่อนเสมอ ในช่วงวันแรกๆ Raju หาได้มีความเชื่อมั่นในตนเองแม้แต่น้อย มันจะเป็นไปได้ยังไงกับการกระทำของเขาจะทำให้เกิดสิ่งราวกับปาฏิหารย์ แต่เมื่อเห็นฝูงชนไหลหลั่งเข้ามา จึงเริ่มเกิดความเชื่อศรัทธา ‘เชื่อในผู้อื่นที่เชื่อมั่นในตนเอง’ นี่ฟังดูเป็นการล้อเล่นคำ แต่มันคือจุดเริ่มต้นของศรัทธาในตัวเอง, เมื่อวันเวลาผ่านไป แม่มาพบเจอ แฟนเก่าทิ้งทุกอย่างเดินมาหา เพื่อนสนิทคนเคยรู้จักต่างกลับมา นี่ทำให้เขาเกิดศรัทธาในพระเจ้า เพราะมันราวกับปาฏิหารย์ที่เรื่องแบบนี้บังเอิญเกิดขึ้น, วันสุดท้ายในชีวิต สิ่งที่เขาค้นพบคือศรัทธาในตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่เมื่อได้อดทนตั้งมั่นทำความเพียรมาถึงขนาดนี้ อะไรๆก็คงเป็นไปได้ อะไรๆก็คงเกิดขึ้นได้
There’s no happiness, sorrow distressed or the World
Neither there’s man… nor the God
It’s only me… lts only me…only me!
ความเข้าใจของ Raju คือว่า โลกใบนี้ไม่มีสุขเศร้า ไม่มีมนุษย์หรือพระเจ้า ในทุกภพภูมิมีเพียง ‘ตัวเราเท่านั้นที่เป็นตัวเราเอง’ ไม่มีใครที่ไหนจะมาสุขแทนเรา ทุกข์แทนเรา เกิดตายใช้ชีวิตแทนเรา มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจทุกสิ่งอย่าง แม้แต่การหลุดพ้นยังต้องด้วยตัวเราเอง
นี่ก็เหมือน Rosie ช่วงท้ายขณะเริ่มออกเดิน เธอใส่แก้วแหวนเงินทอง สร้อยคอ กำไล เต็มตัวไปหมด แต่เส้นทางอันยาวไกล แดดที่ร้อนแรง ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า สิ่งของเครื่องประดับเหล่านี้ช่างไรค่า และหนักอึ้ง ค่อยๆถอดออกทีละชิ้นจนไม่เหลืออะไร หน้าตาที่แต่งมาอยากสวยเลิศกลายเป็นยายเซิ้งไม่เหลือสภาพ สุดท้ายมีแค่แรงใจเท่านั้นที่พาให้เธอมาถึง Raju
ถือเป็นเรื่องน่าทึ่งทีเดียว จากมัคคุเทศก์ธรรมดาๆคนหนึ่ง กลายเป็น Swami ผู้นำทางความเชื่อจิตวิญญาณของคน สามารถชี้แนะนำผู้อื่นให้เกิดความเข้าใจในชีวิต ปล่อยวางและหลุดพ้นจากกรอบความคิดของตนเอง
ศรัทธาความเชื่อของมนุษย์เป็นอะไรที่ ยากจะชี้ชักนำมากๆ บางทีมันก็เกิดขึ้นง่ายๆ บางครั้งต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่มีวันเกิด, หนังเรื่องนี้ถือว่าใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะแนะนำผู้ชมให้เกิดการเปรียบเทียบ เข้าใจในความหมายของ ‘การหลุดพ้น’ เริ่มต้นจากคนที่พยายามควบคุมเรา จนสุดท้ายคือจากกรอบความคิดและร่างกายของตัวเราเอง เป็นความพยายามอธิบายปรัชญาตะวันออก ด้วยภาษาของชาวตะวันตก ซึ่งผมถือว่าหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบเลยละ
แต่อย่างไรก็ดีสิ่งที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอคือ ทำอย่างไรให้หลุดพ้น? มันไม่ใช่แค่การเข้าใจคำว่า ปล่อยวาง หมายถึงอะไรนะครับ, ในทางพุทธศาสนา การจะหลุดพ้นบรรลุเป็นอรหันตผลได้นั้น มันมีความละเอียดมากมายที่ไม่ใช่แค่ความเข้าใจ แต่ยังต้องถือปฏิบัติได้ในทุกเสี้ยววินาทีลมหายเข้าออก, การจะปฏิบัติให้หลุดพ้นต้องทำให้จิตเกิดความเบื่อหน่าย … บลา บลา บลา … สมองกับจิตมันคนละอย่างกันนะครับ สิ่งที่เราคิดได้ในสมองไม่ได้แปลว่าจิตจะสามารถรับรู้ทำตามได้ การจะทำให้หลุดพ้นมันต้องใช้การฝึกปฏิบัติทางจิต ใช้เวลาสะสมบารมีเป็นร้อยพันหมื่นปี แสนชาตินับไม่ถ้วน จนกว่าจิตจะเริ่มเข้าใจความหมายของการปล่อยวาง เมื่อนั้นวิถีการหลุดพ้นถึงจะเริ่มเข้ามา
วันที่ฉายรอบปฐมทัศน์ แม้ผู้ชมจะเต็มโรงภาพยนตร์แต่พอหนังจบกลับไม่มีใครเดินมาจับมือ Vijay สักคน สร้างความเสียใจให้ผู้กำกับอย่างมาก, เห็นว่าเพราะผู้ชมส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าตอนจบต้องการสื่ออะไร นี่เป็นหนังที่ต้องใช้การครุ่นคิดวิเคราะห์ทำความเข้าใจพอสมควรเลยนะครับ
หนังไม่มีรายงานตัวเลขทุนสร้าง แต่ในอินเดียทำเงินไป ₹17.5 ล้าน ถือว่าระดับ Hit, เข้าชิง Filmfare Awards ทั้งหมด 8 สาขา ได้มา 4 รางวัล
– Best Film ได้รางวัล
– Best Director ได้รางวัล
– Best Actor (Dev Anand) ได้รางวัล
– Best Actress (Waheeda Rehman) ได้รางวัล
– Best Cinematographer, Color
– Best Music Director
– Best Female Playback Singer บทเพลง Aaj Phir Jeene Ki Tamana Hai
– Best Dialogue
นอกจากนี้หนังยังคว้ารางวัล National Film Awards สาขา Certificate of Merit for the Third Best Feature Film และได้เป็นตัวแทนของประเทศอินเดีย ส่งเข้าชิง Oscar: Best Foreign Language Film แต่ไม่ผ่านเข้ารอบใดๆ
นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมรับชมหนังเรื่องนี้ ตอนครั้งแรกเกิดความประทับใจอย่างยิ่ง ชื่นชอบแนวทางตอนจบที่ให้พระเอกสามารถหลุดพ้นปล่อยวางตัวเองจากทุกสิ่งอย่างได้, การรับชมครั้งนี้ สามารถมองเห็นความสวยงามของหนังในระดับลึกซึ้ง นั่นคือภาษาภาพยนตร์ ใจความแนวคิด การเปรียบเทียบนัยยะ และให้คำนิยามความหมายของการปล่อยว่างได้อย่างลึกล้ำ นี่ทำให้ผมขนลุกซู่ตอนเริ่มทำความเข้าใจหนัง คลั้งไคล้จนกลายเป็นหนังโปรดเรื่องใหม่ไปโดยทันที, ถึงนี่ไม่ใช่หนังของชาวพุทธ แต่มีความเป็นพุทธศาสนาสอดแทรกอยู่อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นชาวพุทธ ลองทำความเข้าใจแนวคิด แล้วนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน, ดูหนังเรื่องนี้คงไม่สามารถทำให้ใครหลุดพ้นจริงๆได้ แต่มันอาจสามารถทำให้คุณปล่อยวางภาระบางอย่างในชีวิตลงได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
จัดเรต 13+ กับพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของมนุษย์
Leave a Reply