Ida (2013)
: Paweł Pawlikowski ♥♥♥♥♡
แม่ชีฝึกหัด Ida ก่อนจะปฏิญาณตนเป็นแม่ชีตลอดชีวิต ถูกขอให้ไปเยี่ยมน้า ญาติคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ รับรู้ความจริงเกี่ยวกับตนเองว่ามีเชื้อสายยิว ออกเดินทางค้นหาพ่อ-แม่ ที่ถูกเข่นฆ่าตายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เมื่อพบเจอแล้วเธอจะยังสามารถเลือกเส้นทางแห่งความสุขสงบนี้ได้หรือไม่, หนังมีภาพขาว-ดำ สวยงามระดับ Masterpiece คว้า Oscar: Best Foreign Language Film และ “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
ประมาณ 70+ กว่านาทีของหนัง ที่การถ่ายภาพตั้งกล้องแช่ทิ้งไว้เฉยๆ สะท้อนถึงความสงบหยุดนิ่งในอารมณ์ความรู้สึก แต่อีกประมาณ 4-5 นาทีสุดท้าย มีการเคลื่อนไหว Tracking Shot ติดตามตัวละครไปเรื่อยๆ นั่นคือวินาทีที่เหมือนว่าชีวิตได้ดำเนินเดินหน้าต่อ ไปไหนก็ไม่รู้นะเปิดอิสระให้ผู้ชมได้ครุ่นคิดตีความเข้าใจเอง
แค่ประมาณ 2-3 ช็อตแรกของหนังก็ทำให้ผมอึ้งทึ่งอ้าปากค้างแล้ว รู้สึกโคตรเสียดายที่ไม่มีโอกาสรับชมในโรงภาพยนตร์ จุดเด่นคือการเลือกตำแหน่งจัดวงองค์ประกอบของภาพ ก็ครุ่นคิดตามไม่ค่อยทันหรอกว่าทำไมถึงต้องถ่ายแบบนั้น แต่แค่รู้สึกว่าสวยงามตราตรึง เกิดสัมผัสทางอารมณ์บางอย่างขึ้น ก็น่าจะเหลือเฟือเพียงพอให้รับรู้ได้ว่านี่คือผลงาน Masterpiece
ว่าไปครั้งสุดท้ายที่หนังขาว-ดำ คว้า Oscar: Best Cinematography คือ Schindler’s List (1993) ซึ่งก็มีหลายเรื่องหลังถัดจากนั้นที่ได้เข้าชิง อาทิ Good Night, and Good Luck (2005), The White Ribbon (2009), Nebraska (2013), The Artist (2011) สำหรับ Ida ถือเป็นครั้งล่าสุดที่สร้างความประหลาดใจให้ใครหลายๆคน เชื่อว่าคณะกรรมการ Academy คงมิได้มีโอกาสเห็นความสวยงามของหนังเท่าไหร่แน่ เพราะต่างหลับหูหลับตาเทใจเทคะแนนให้ Emmanuel Lubezki กับโคตร Long Take จากเรื่อง Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance) (2015) มีความยากท้าทายในการถ่ายทำกว่ามาก
Paweł Aleksander Pawlikowski (เกิดปี 1957) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์สัญชาติ Polish-British เกิดที่ Warsaw, Poland ทวดมีเชื้อสายยิว เสียชีวิตที่ Auschwitz, ตอนอายุ 14 อพยพติดตามแม่สู่ Berlin ตามด้วย London เพราะทนไม่ได้กับรัฐบาลคอมมิวนิสต์ มีความเชื่อศรัทธาในศาสนาคริสต์คาทอลิกอย่างเคร่งครัด โตขึ้นเข้าเรียน Creative Arts Fellow ที่ Oxford Brookes University กลายเป็นนักเขียน สร้างสารคดี From Moscow to Pietushki with Benny Yerofeyev (1990), Dostoevsky’s Travels (1991), Serbian Epics (1992) ฯ ขณะที่ Feature Film เรื่องแรกคือ Last Resort (2000), My Summer of Love (2004), The Woman in the Fifth (2011)
เกร็ด: Pawlikowski พูดได้ทั้งหมด 6 ภาษา Polish, English, German, Russian, French, Italian
แม้จะมีผลงานภาพยนตร์มาแล้วหลายเรื่อง แต่ Ida ถือเป็นหนัง Polish เรื่องแรกของ Pawlikowski ด้วยความตั้งใจหวนระลึก รื้อฟื้นความทรงจำสมัยวัยเด็กของตนเอง
“[Ida] is an attempt to recover the Poland of my childhood, among many things”.
พัฒนาบทภาพยนตร์ร่วมกับ Rebecca Lenkiewicz นักเขียนบทละครเวทีสัญชาติอังกฤษ (ที่คาดว่าคงทั้งสองคงกำลังจีบกันอยู่ เพราะภรรยาของ Pawlikowski ด่วนเสียชีวิตจากไปหลายปีก่อนหน้า) ขอทุนสร้างจาก Polish Film Institute ได้มา €2 ล้านยูโร (คงคล้ายๆกับทุนสนับสนุนสร้างภาพยนตร์ จากกระทรวงวัฒนธรรมบ้านเรา)
แรงบันดาลใจตัวละคร Wanda Gruz รับอิทธิพลจาก Helena Wolińska-Brus (1919 – 2008) หนึ่งในอัยการของพรรคคอมมิวนิสต์โปแลนด์ ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยสั่งประหารผู้นำกลุ่มต่อต้านรัฐบาลมาหลายชีวิต แต่ภายหลังต้องอพยพลี้ภัยออกนอกประเทศ (เพราะระบอบคอมมิวนิสต์โปแลนด์ล่มสลาย) ซึ่งผู้กำกับ Pawlikowski มีโอกาสพบเจอตัวจริงที่ประเทศอังกฤษในช่วงทศวรรษ 80s ณ และยังพยายามคิดหาแรงบันดาลใจสร้างภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับเธอมานานมากทีเดียว
“I couldn’t square the warm, ironic woman I knew with the ruthless fanatic and Stalinist hangman. This paradox has haunted me for years. I even tried to write a film about her, but couldnʼt get my head around or into someone so contradictory”.
พื้นหลังช่วงทศวรรษ 60s ณ สาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์ (ขณะยังปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์), เรื่องราวของ Anna/Ida Lebenstein (รับบทโดย Agata Trzebuchowska) แม่ชีฝึกหัด อาศัยอยู่ในคอนแวนซ์ตั้งแต่ยังเป็นทารกน้อย ถูกขอให้เดินทางไปเยี่ยมน้า Wanda Gruz (รับบทโดย Agata Kulesza) ญาติคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ เพื่อรับรู้ประวัติเรื่องราวพื้นหลังของตนเอง พวกเธอตัดสินใจออกตามหาร่างของพ่อ-แม่ ที่ก็ไม่รู้ถูกฝังไว้แห่งหนไหน ระหว่างทางพบเจอโน่นนี่นั่นมากมาย รวมถึงหนุ่มนักแซกโซโฟน Lis (รับบทโดย Dawid Ogrodnik) ที่มีความหลงใหลชื่นชอบในตัว Ida เป็นพิเศษ
แซว: เพราะผมเพิ่งดู Shoah (1985) จึงรู้สึกหลายๆสถานที่ในหนังเรื่องนี้มีความ Nostalgia เป็นภาพคุ้นเคยอย่างยิ่ง
Agata Kulesza (เกิดปี 1971) นักแสดงสัญชาติ Polish เกิดที่ Szczecin ตั้งแต่เด็กมีความสนใจร้องเพลงกับบัลเล่ต์ แต่พอขึ้นมัธยมเปลี่ยนมาเป็นนักแสดง เข้าเรียน Aleksander Zelwerowicz State Theatre Academy มีผลงานละครเวที ซีรีย์โทรทัศน์ โด่งดังกับภาพยนตร์ Kilka prostych słów (2007), Róża (2011), Ida (2013) ฯ
รับบท Wanda Gruz เพราะเคยเป็นถึงอัยการรัฐ ได้ฉายา ‘Red Wanda’ เป็นคนดื่มหนัก สูบบุหรี่จัด แถมยังร่านรัก ดูแล้วคงไม่เคยแต่งงาน ทั้งหมดนี้เพราะความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเคียดแค้น ที่พี่สาวตนเอง (แม่ของ Ida) ถูกชาว Poles ที่ให้การช่วยเหลือหลบซ่อนจากนาซี อยู่ดีๆเกิดความขลาดเขลา เข่นฆ่าเธอเสียชีวิตอย่างเลือดเย็น พยายามหลีกเลี่ยงไม่หวนกลับไป รอจน Ida เติบใหญ่บรรลุนิติภาวะ เลยร่วมกันออกเดินทางเพื่อเอาชนะ Trauma จากอดีตนี้
ถือเป็นการแสดงอันเข้มข้น ทรงพลังตราตรึง ปั้นหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่เคยเห็นรอยยิ้ม สะท้อนความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแค้นคลั่งที่อัดแน่นอยู่ภายใน ใช้อบายมุขและบุรุษในการระบาย แต่สุดท้ายก็ปั่นป่วนจนมิอาจอดรนทนทานต่อไปได้
Pawlikowski พบเจอความยากลำบากในการหานักแสดงบท Anna/Ida อย่างยิ่ง สัมภาษณ์นักแสดงกว่า 400 คน จนครั้งหนึ่งเพื่อของเขา Malgorzata Szumowska ได้พบเจอ Agata Trzebuchowska (เกิดปี 1992) หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม นั่งอ่านหนังสืออยู่ในร้านกาแฟหนึ่ง ทั้งๆไม่เคยมีประสบการณ์หรือความสนใจด้านการแสดง ถูกชักชวนให้มาพบเจอผู้กำกับ ซึ่งเธอยินยอมตกลงเพราะเป็นแฟนภาพยนตร์เรื่อง My Summer of Love (2004)
Anna/Ida Lebenstein แม่ชีน้อย เติบโตขึ้นในคอนแวนซ์ตั้งแต่เด็ก เป็นคนเงียบๆ พูดน้อย ชอบความสงบ ต้องการอุทิศตนเองให้กับความเชื่อศาสนา แต่เมื่อพบเห็นสิ่งต่างๆผ่านการกระทำของน้า Wanda Gruz เกิดความปั่นป่วนพลุกพร่านในใจเล็กๆ สุดท้ายแล้วจะตัดสินใจอย่างไร ปฏิญาณตนเป็นแม่ชี หรือตกหลุมครองรักกับชายหนุ่ม Lis
ก็ไม่ได้ต้องใช้ฝีมือการแสดงอะไรมากมายสำหรับ Trzebuchowska แค่ทำหน้านิ่งๆ เข้มขรึม หลบซ่อนตัวตนอยู่ในคราบ/ชุดแม่ชี ไม่เคยเห็นยิ้มแย้มเช่นกัน แต่เหมือนว่าภายในคงมีความปั่นป่วนพลุกพร่านอยู่ภายในไม่น้อยทีเดียว
ถ่ายภาพมี 2 เครดิต เริ่มจาก Ryszard Lenczewski ที่เคยร่วมงานกับ Pawlikowski ตั้งแต่ Last Resort (2000) แต่ระหว่างทางเหมือนว่า Lenczewski ล้มป่วยหนักทำให้ต้องถอนตัวออกไป (บ้างว่าเกิดความขัดแย้งกับผู้กำกับ) กลายมาเป็น Łukasz Żal จากผู้ช่วยตากล้อง ขึ้นมาสานงานต่อ
เป็นความตั้งใจของ Pawlikowski ที่จะถ่ายหนังด้วยภาพขาว-ดำ ขนาด 4:3 โดยเฉพาะ ด้วยเหตุผลของการหวนระลึกยุคสมัยนั้น ทศวรรษ 60s และเพื่อให้ผู้ชมเกิดความลังเลไม่แน่ใน กับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น
“We chose black and white and the 1.33 frame because it was evocative of Polish films of that era, the early 1960s. We designed the unusual compositions to make the audience feel uncertain, to watch in a different way.”
บริเวณที่ว่าง ‘Space’ (ที่ไม่ใช่ตัวละครหรือมีการเคลื่อนไหว) หลายครั้งกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของช็อตนั้นๆ ทุกครั้งจะชวนให้ตั้งคำถามว่าทำไม คำตอบบางครั้งก็อาจง่ายๆอย่างช็อตนี้ คือความว่างเปล่าของท้องฟ้า/ชีวิต อธิษฐานกับสิ่งที่อาจไม่มีตัวตน?
สังเกตช็อตนี้ แทบทุกอย่างราวกับเป็นการตั้งฉาก, ต้นไม้ขึ้นตั้งฉากกับพื้นดิน/พื้นหลังลิบๆ/รถ, แม่ชีน้อยนั่งคุกเข่าตั้งฉาก ฯ
อีกช็อตแห่งความว่างเปล่า ต้นไม้ยังคงตั้งฉากกับพื้นดิน และส่วนใหญ่ของภาพคือท้องฟ้าขาวโพลน, นี่เป็นช็อตที่สร้างความตะลึงงันให้ผมมากๆ นาทีที่ชายชาว Poles พาสองสาวเดินทางไปขุดหาศพ/โครงกระดูก คืองานภาพมันสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกนั้นออกมาเลยนะ
สมมติว่าคุณได้รับแจ้งว่าคนในครอบครัว พ่อ-แม่ ญาติมิตร หรือลูกหลาน ได้รับอุบัติเหตุเสียชีวิต และกำลังต้องเดินทางเข้าห้องเย็นเพื่อยืนยันว่าเป็นคนรู้จักของเรา ลองจินตนาการอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตนเองดูนะครับ หลายคนอาจจะวุ่นวายสับสน แต่บางคนสมองจะว่างเปล่า ครุ่นคิดอะไรไปต่อไม่ถูก … นี่เป็นสิ่งที่ถูกสะท้อนออกมาในช็อตแห่งความว่างเปล่าภาพนี้แหละ
อยู่ในรถคันเดียวกันแท้ๆ แต่หนังเลือกถ่ายภาพฝั่งใครฝันมัน เป็นการสะท้อนมุมมอง ทัศนคติที่แตกต่างตรงกันข้ามสุดขั้วของทั้งสอง คือถ้าไม่ใช่ขณะอยู่ในความสนใจเดียวกัน ก็สังเกตได้เลยว่าพวกเธอก็มักไม่อยู่ร่วมช็อตกัน
ความวุ่นวายคับข้องใจของแม่ชีน้อย สงสัยเพราะ Agata Trzebuchowska ไม่สามารถแสดงออกทางสีหน้าอารมณ์ได้ เลยใช้การกระทำเดินวนไปวนมา จัดเป็น Expression ที่สะท้อนความว้าวุ่นวายทางกาย ก่อนตัดสินใจยุติด้วยการเงยหน้าขึ้นมองขอโทษพระเจ้า (ช็อตนี้น่าจะตรงลานกว้าง ที่วางรูปปั้นพระคริสต์ต้นเรื่อง)
ช็อตนี้เราจะเห็นแค่ท่อนบนและใบหน้าของแม่ชีน้อยเท่านั้น เว้นพื้นที่ว่างไว้เยอะมาก ใช้เป็นบริเวณสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกอันมืดหม่นของเธอออกมา
Crime Scene มีหน้าต่างอยู่กึ่งกลางภาพพอดีเปะ มองเห็นต้นไม้ที่ไร้ใบด้านนอก ราวกับโลกอีกใบหนึ่ง, น้าสาวเดินเข้าจากประตู ลับหายตาไปด้านขวาชั่วครู่ เดินกลับมาวางบุหรี่จากนั้นก็ … ออกเดินทางสู่โลกใหม่
หลังจากน้าสาวตายจากไปแล้ว Ida เดินเข้ามาในห้องจากประตูกึ่งกลาง มีสองประตูทางเลือกซ้าย-ขวาให้เลือกเดิน
– จะกลายเป็นแม่ชีตลอดชีวิต
– กลับคือสู่โลกมนุษย์
Sequence ที่ผมชื่นชอบสุด คือการทดลองเพื่อค้นหาคำตอบของแม่ชีน้อยทุกสิ่งอย่างที่น้าสาวเคยทำ สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ร่วมรักกับผู้ชาย แล้ววินาทีหนึ่งกับคำถาม อะไรต่อไป พบเจอแต่ความว่างเปล่าไม่มี
งานภาพช่วงนี้จะใช้การปรับโฟกัส พื้นหลังมักจะเบลอ แต่เห็นใบหน้าตัวละครใสชัดเจน สะท้อนถึงนี่เป็นช่วงเวลาแห่งความเห็นแก่ตัว ทุกสิ่งอย่างอยู่ในความสนใจเกี่ยวกับตนเองเท่านั้นที่เด่นชัด
และสังเกตว่าภาพนี้สะท้อนจากกระจก (ไม่ใช่ตัวของตนเอง) ถ่ายติดขอบลักษณะโค้งมน ดูเหมือน’โลก’กลมๆของเธอ
แถมบางครั้งเห็นภาพไม่เต็ม แค่เพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่ง จงใจใช้บางสิ่งอย่างบดบัง จะมองว่ามันไม่สลักสำคัญ น่าอับอาย หรือราวกับด้านมืดที่ไม่ต้องใช้ตามอง แค่ความคิดก็สามารถจินตนาการเห็นได้ว่าคืออะไร
ผมชอบพื้นฉากนี้มากเลยนะ เรียงกระเบื้องขาว-ดำ สะท้อนงานภาพสีขาว-ดำ ตัวละคร Ida/Wanda แทบทุกสิ่งอย่างของหนังมีสองสิ่งตรงกันข้ามเสมอ, ทางเข้าทรงครึ่งวงกลมนี้ ก็ยังมองได้เป็นใน ‘โลก’ ของเธอนะครับ ที่มันแค่ครึ่งเดียวเพราะอีกครึ่งได้จากไปแล้ว
ช็อตจบของหนัง Ida ออกเดินทางไปไหน ใช่กลับคอนแวนซ์เพื่อปฏิญาณกลายเป็นแม่ชีตลอดชีวิตหรือเปล่า? นี่คือลักษณะปลายเปิดเล็กๆ ที่ปล่อยให้ผู้ชมครุ่นคิดตีความได้อิสระตามใจ แต่ผมมีคำตอบที่ค่อนข้างชัดเจน ขอเริ่มจากข้อสังเกตก่อนแล้วกัน อาทิ
– ตลอดทั้งเรื่องการถ่ายภาพจะตั้งกล้องแช่ทิ้งไว้เฉยๆ แต่ช็อตนี้จะเคลื่อนนำหน้าตัวละคร ราวกับว่าแม่ชีน้อยได้ค้นพบเจอบางสิ่งอย่าง ที่ทำให้ชีวิตสามารถก้าวเดินต่อไปได้แล้ว
– มันจะมีรถสวนไปคันหนึ่ง นั่นแปลว่าเธอกำลังเดินย้อนศร (เพราะทางมันแคบ เหมือนมีแค่เลนเดียว) คิดตัดสินใจกระทำบางสิ่งอย่างที่แตกต่างตรงกันข้ามกับผู้อื่น
– ภาพถ่าย(น่าจะ)ย้อนแสง เหตุผลเดียวกับรถสวนไปคือการย้อนศรบางสิ่งอย่าง
– พื้นหลังเบลอๆ ภาพจะโฟกัสชัดเฉพาะใบหน้าของแม่ชีน้อยเท่านั้น คืออย่างอื่นไม่ใช่สิ่งน่าสนใจสำหรับเธอแล้ว
ในความเข้าใจส่วนตัว ใช่ครับเธอเดินกลับคอนแวนซ์เพื่อบวช/ปฏิญาณตนเป็นแม่ชีตลอดชีวิต เหตุผลก็คือการได้เรียนรู้จักเข้าใจวิถีของโลก นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอพบเจอแล้วเกิดความพึงพอใจสักเท่าไหร่
– ที่ชีวิตหยุดนิ่งมาตลอดก่อนหน้านี้ เพราะราวกับว่ามีบางสิ่งอย่างเหนี่ยวรั้งเธอไว้ เมื่อโซ่พันธนาการได้หลุดออก ทำให้สามารถออกเดินไปตามทางฝันของตนเองได้สักที
– รถสวนไปกับภาพย้อนแสง มันคือสิ่งตรงกันข้ามกับที่คนปกติกระทำกัน ก็แน่ละกลายเป็นแม่ชีใช่ว่าคือสิ่งที่คนทั่วๆไปทำได้ที่ไหน
– ภาพเบลอๆสะท้อนถึง ณ ตอนนี้ เธอไม่จำเป็นต้องฟังคำแนะนำจากใครอื่นแล้ว ถึงเวลาที่ฉันจะตัดสินใจทำทุกอย่างตามความต้องการตนเองได้สักที
ตัดต่อโดย Jarosław Kamiński ยอดฝีมือสัญชาติ Polish
หนังใช้มุมมองของ Ida และน้าสาว Wanda สลับกันไปมาอย่างเท่าเทียม เว้นเพียงเริ่มต้นและตอนจบจะมีเพียงแม่ชีน้อยเท่านั้น (เริ่มต้นยังไม่รู้ว่าน้าสาวมีตัวตน ตอนจบคือเมื่อน้าสาวจากไปแล้ว)
ทั้งๆที่การตัดต่อเหมือนจะไม่มีความหวือหวาอะไร แต่การลำดับเรื่องราวต้องถือว่ามีความสมบูรณ์แบบมากๆ ทำให้ผู้ชมเห็นภาพเปรียบเทียบ ระหว่าง Ida และ Wanda มีความแตกต่างขั้วตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
สำหรับเพลงประกอบ ถึงขึ้นเครดิตของ Kristian Eidnes Andersen แต่เป็นแค่ผู้เรียบเรียงเปียโนบทเพลง Bach: Ich ruf zu dir Herr Jesu Christ, BWV 177 (1732) ณ ตอนจบของหนังเท่านั้น (เพลงนี้จริงๆเป็น Orchestra นะครับ),
แซว: ใครรู้จักชื่อเพลงนี้และความหมาย Ich ruf zu dir Herr Jesu Christ (แปลว่า I call to you Lord Jesus Christ) ก็น่าจะได้ข้อสรุปตอนจบของหนังทันทีแบบไม่ต้องครุ่นคิดมากเลยนะ
อีกเพลงหนึ่งที่จะแถมให้ คือขณะที่น้าสาวเปิดฟังก่อนกระโดดลงหน้าต่าง คือ Mozart: Symphony No.41 in C major, K.551 (1788) มีชื่อเล่นว่า Jupiter Symphony อารมณ์เพลงสั้นๆย่อๆ คือชวนให้ล่องลอยไปดาวพฤหัส
Ida คือเรื่องราวของการออกเดินทางสำรวจความทรงจำจากอดีต เพื่อครุ่นคิดค้นหาข้อสรุป ฉันจะทำอะไรกับอนาคตต่อไปดี ซึ่งผลลัพท์ที่ตัวละครครุ่นคิดได้ ราวกับว่าเธอละทิ้งทุกสิ่งอย่าง(ภาระทางโลก)ไว้เบื้องหลัง เพื่อมุ่งสู่วิถีแห่งทางสายสงบ ปล่อยวาง ละกิเลส
มองอีกมุมหนึ่ง Ida คือเรื่องราว Coming-of-Age ของแม่ชีฝึกหัด ก่อนที่เธอจะปฏิญาณตนอุทิศให้กับศาสนาตลอดชีวิต จำเป็นอย่างยิ่งต้องเรียนรู้จัก มีความเข้าใจวิถีของโลกมนุษย์ ซึ่งหลังจากได้สัมผัสพบเห็นอะไรๆหลายอย่าง ก็ทำให้เธอได้ข้อสรุปตัดสินใจ มุ่งสู่วิถีของการเป็นแม่ชีตลอดชีวิตได้อย่างไม่มีอะไรติดขัดค้างคาใจ
สิ่งต่างๆที่ Ida ได้ค้นพบเจอระหว่างการเดินทางครั้งนี้ อาทิ น้าสาวที่มีพฤติกรรมสุดโต่ง, ชาว Poles ทรยศหักหลังชาวยิว พ่อ/แม่ ของตนเอง, ความรักกับชายหนุ่ม ฯ ล้วนคือสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจสุดท้ายของเธอ นั่นนะหรือวิถีของโลกมนุษย์ มันช่างเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายอลม่าน ทดสอบลิ้มลองแล้วหาได้ถูกจริตรสชาติความต้องการของตนเองแม้แต่น้อย ความสงบเข้าหาพระเจ้าต่างหาก ที่ทำให้จิตใจอิ่มเอิบพองโต พบเจอความสุขจริงแท้นิรันดร์
ต้องถือว่า Ida เป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างแปลกประหลาดทีเดียวในผลลัพท์ตอนจบ เพราะปกติแล้วชาวยุโรป/อเมริกัน มักลงเอยเรื่องราวของการค้นหาเป้าหมายชีวิต ด้วยการกลับสู่วิถีความเป็นมนุษย์แบบปกติ แต่หนังกลับเลือกให้ตัวละครเหมือนจะสามารถปลดปล่อยวางจากทุกสิ่ง หันหน้าเข้าหาศาสนาและพระเจ้า ก็ไม่รู้ว่าแนวคิดนี้เกิดจากผู้กำกับเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัด หรือระหว่างพัฒนาเรื่องราวได้ผลลัพท์เป็นบทสรุปนี้มีความสมเหตุสมผลกว่า
ซึ่งการจบแบบนี้ทำให้ผมเกิดความหลงใหลคลั่งไคล้หนังมากๆเลยนะ ถึงมันจะไม่ใช่วิถีหลุดพ้นของศาสนาพุทธ แต่ก็มีความคล้ายคลึงอยู่กันเล็กๆ เพราะถ้าใครสักคนสามารถเรียนรู้จักทำความเข้าใจวัฏจักรของโลก และสุดท้ายเลือกเดินทางสายสงบ ปล่อยวาง ละกิเลส นี่เป็นสิ่งน่ายกย่องนับถือ ไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตามทีเถอะ
ด้วยทุนสร้างประมาณ $2.4 ล้านเหรียญ ทำเงินได้ทั่วโลก $11.1 ล้านเหรียญ เข้าชิง Oscar 2 สาขา คว้ามา 1 รางวัล
– Best Foreign Language Film ** คว้ารางวัล
– Best Cinematography
พลาด Golden Globe: Best Foreign Language Film ให้เรื่อง Leviathan (2014) ตัวแทนจากประเทศรัสเซีย
ขณะที่ BAFTA Award เข้าชิง 2 สาขาคว้ามา 1 รางวัล เท่า Oscar เปะๆ
– Best Film Not in the English Language ** คว้ารางวัล
– Best Cinematography
ก่อนหน้านี้มีภาพยนตร์สัญชาติ Poland ถึง 9 เรื่องที่ได้เข้าชิง Oscar: Best Foreign Language Film ประกอบด้วย Knife in the Water (1963), Pharaoh (1966), The Deluge (1974), The Promised Land (1975), Nights and Days (1976), The Maids of Wilko (1979), Man of Iron (1981), Katyń (2007), In Darkness (2011) แต่ก็ไม่เคยคว้ารางวัล จนกระทั่ง Ida ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติเลยนะ
ส่วนตัวชื่นชอบหลงใหลคลั่งไคล้ภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะความงามของงานภาพที่เสริมสร้างบรรยากาศเรื่องราว อารมณ์ความรู้สึกได้อย่างทรงพลัง การแสดงของ Agata Kulesza แรงถึงใจ และสิ่งตราตรึงสุดคือการตัดสินใจของนางเอกตอนจบ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าหนังจากยุโรปจะสามารถหาข้อสรุปลักษณะนี้ได้เลยนะ
“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” คุณค่ามากยิ่งของหนังอยู่ฉากสุดท้าย อะไรคือเหตุผลของ Ida ที่ทำให้เธอเลือกออกเดินทางสู่… ครุ่นคิดหาคำตอบได้ก็อาจค้นพบเจออนาคต มีเป้าหมายปลายทางชีวิตที่สวยงามสดใส
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตากล้องภาพขาว-ดำ การันตีความฟิน, ชื่นชอบสนใจประวัติศาสตร์ Holocaust ของประเทศ Poland และสิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นกับรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์, แม่ชี บาทหลวง นักบวช พระ ได้ทุกศาสนาเลยนะ ครุ่นคิดทำความเข้าใจเหตุผลตอนจบ
จัดเรต 18+ กับบรรยากาศอันตึงเครียด หลอกหลอน และการกระทำอันก้าวร้าวรุนแรงของตัวละคร
Leave a Reply