
In Cold Blood (1967)
: Richard Brooks ♥♥♥♥
ชายสองคนร่วมกันก่อคดีฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น เข่นฆ่าล้างครอบครัวที่พวกเขาไม่เคยรับรู้จัก เพียงเพื่อปล้นเงิน 43 เหรียญ และวิทยุหนึ่งเครื่อง ทำไมกัน?
คดีฆาตกรรมบังเกิดขึ้นมันอาจฟังดูไม่มีเหตุผล (Senseless Murder) แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่นำเสนอเหตุการณ์โศกนาฎกรรม หรือตำรวจไล่ล่าจับกุมตัวฆาตกรมาลงโทษทัณฑ์ ยังพยายามอธิบายเบื้องหลัง ที่มาที่ไป แรงจูงใจฆาตกร อันเกิดจากอิทธิพลแวดล้อม สภาพสังคม โดยเฉพาะครอบครัวที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา … เรียกได้ว่าเป็นการนำเสนอมุมมืดของสหรัฐอเมริกา
ระหว่างรับชมผมไม่ได้รู้สึกว่าคดีฆาตกรรมมีอะไรน่าสนใจสักเท่าไหร่ แต่หลังจากหาอ่านบทความวิจารณ์หลายๆสำนัก ก็เริ่มตระหนักว่า In Cold Blood (1967) ถือเป็นหมุดไมล์ภาพยนตร์แนว ‘realism’ ของ Hollywood แทบจะทุกช็อตฉากถ่ายทำยังสถานที่จริง (รวมถึงบ้านครอบครัว Clutter ที่ถูกฆ่าล้างตระกูล) จงใจคัดเลือกนักแสดงหน้าเหมือนฆาตกร (ดั้งเดิมสตูดิโออยากได้ Paul Newman ประกอบ Steve McQueen แต่ผกก. Brooks ยืนกรานว่าจะเลือกนักแสดงที่ไม่ค่อยมีคนรับรู้จัก) ใช้เพียงแสงธรรมชาติ หรือจากแหล่งกำเนิดแสงเท่าที่มี (ซีเควนซ์ในบ้านครอบครัว Clutter ใช้เพียงไฟฉายที่ฆาตกรถือเท่านั้น)
ส่วนไฮไลท์ต้องยกให้ต้นฉบับนวนิยายของ Truman Capote เห็นว่ามีการดำเนินเรื่องตัดสลับไปมาระหว่างมุมมองฆาตกร vs. ครอบครัว Clutter/การสืบสวนของตำรวจ, ซึ่งผกก. Brooks ก็ยินยอมตัดต่อตามโครงสร้างดังกล่าว แถมยังพยายามทำออกมาให้มีความต่อเนื่อง ลื่นไหล สร้างสัมผัสบทกวีได้อย่างงดงาม
เกร็ด: In Cold Blood (1967) ได้รับการจัดอันดับ #8 ชาร์ท AFI’s 10 Top 10 – Courtroom Drama ทั้งๆมีฉากพิจารณาคดีความแค่ไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น!
ก่อนอื่นขอกล่าวถึง Truman Garcia Capote ชื่อเกิด Truman Streckfus Persons (1924-84) นักเขียนสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New Orleans, Louisiana ครอบครัวหย่าร้างตั้งแต่อายุสองขวบ เลยถูกส่งไปอาศัยอยู่กับญาติฝั่งมารดาที่ Monroeville, Alabama สนิทสนมกับเพื่อนข้างบ้าน Harper Lee (ผู้เขียนนวนิยาย To Kill a Mockingbird (1960)), ตั้งแต่เด็กชื่นชอบการอ่าน-เขียน เคยส่งเรื่องสั้นเข้าประกวดได้รับรางวัล O. Henry Award, ตีพิมพ์เรื่องสั้นลงนิตยสารชื่อดังมากมาย นวนิยายเล่มแรก Other Voices, Other Rooms (1948), ผลงานเด่นๆ อาทิ Breakfast at Tiffany’s (1958), In Cold Blood (1966) ฯ
สำหรับ In Cold Blood ชื่อเต็มๆคือ In Cold Blood: A True Account of a Multiple Murder and Its Consequences ผู้แต่ง Capote ให้คำนิยามว่าเป็น ‘non-fiction novel’ เพราะได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริง! ฆาตกรเข่นฆ่าสมาชิกครอบครัว Clutter ณ Holcomb, Kansas เมื่อปี ค.ศ. 1959
หลังได้ยินข่าวคดีฆาตกรรมดังกล่าว Capote ชักชวนเพื่อนสนิท Harper Lee ร่วมออกเดินทางสู่ Kansas ติดต่อขอสัมภาษณ์ชาวบ้าน ตำรวจ นักสืบ ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย และยังพบเห็นการจับกุมสองฆาตกร Richard Hickock & Perry Smith (น่าจะรวมถึงตอนประหารชีวิตห้าปีถัดมาด้วยกระมัง!) ทำการค้นคว้าได้รายละเอียดหลายพันกว่าหน้ากระดาษ! ใช้เวลานานถึงหกปีกว่าจะรวบรวม เรียบเรียง แล้วเสร็จสิ้นวางจำหน่าย ค.ศ. 1966 กลายเป็นหนังสือขายดี (Best-Selling) ทุบสถิติยอดขายแนวอาชญากรรม (Crime) ว่ากันว่าเป็นรองเพียงแค่ Helter Skelter (1974) [คดีฆาตกรรมของ Charles Manson]
สำหรับหนังสือเล่มนี้ Capote อ้างว่าได้ครุ่นคิดสร้างรูปแบบการเขียนขึ้นมาใหม่! ให้คำอธิบายคือส่วนผสมของการทำข่าว (Journalism) คลุกเคล้าเข้ากับเรื่องราวปรุงแต่งสร้างขึ้น (Fiction) เพื่อนำพาผู้อ่านขุดลึกเข้าไปใน(จิตวิทยา)ตัวละคร ซึ่งสื่อภาพยนตร์มีคำเรียกเทคนิคนี้ว่า ‘intercutting’ เล่าเรื่องสลับไปมาระหว่างมุมมองฆาตกร vs. ครอบครัว Clutter/การสืบสวนของตำรวจ
ก่อนนวนิยายจะได้รับการตีพิมพ์ Capote ส่งต้นฉบับสำหรับดัดแปลงภาพยนตร์ให้บรรดาผู้กำกับ/โปรดิวเซอร์หลายคน ในตอนแรก Otto Preminger (Anatomy of Murder (1959)) แสดงความสนอกสนใจ แต่สุดท้ายยินยอมขายให้ Robert Brooks (ค่าลิขสิทธิ์ประมาณ $400,000 เหรียญ) เพราะเป็นบุคคลเดียวยินยอมพร้อมนำแนวคิด โครงสร้างนวนิยาย มาทดลองปรับใช้กับสื่อภาพยนตร์
[Robert Brooks] was the only director who agreed with—and was willing to risk—my own concept of how the book should be transferred to film.
Truman Capote
Richard Brooks ชื่อเกิด Reuben Sax (1912-92) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Philadelphia, Pennsylvania ในครอบครัวผู้อพยพชาว Russian เชื้อสาย Jewish, โตขึ้นเข้าศึกษาคณะวารสารศาสตร์ (Journalism) Temple University ร่ำเรียนได้สองปีตัดสินใจลาออกมา ทำงานเขียนข่าวกีฬา Philadelphia Record ตามด้วยเป็นพนักงาน Atlantic City Press-Union, พอย้ายสู่ New York ได้เข้าร่วม World-Telegram และจัดรายการวิทยุ WNEW
Brooks เริ่มต้นเขียนบทละคอนเมื่อปี ค.ศ. 1938 แล้วได้มีโอกาสกำกับ ณ Mill Pond Theater, Long Island แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่จึงมุ่งสู่ Hollywood ได้รับว่าจ้างจากสถานีโทรทัศน์ NBC กระทั่งได้แต่งงานใหม่กับนักแสดง Jeanne Kelly จึงมีโอกาสเขียนบทหนัง ก่อนอาสาสมัครทหารเข้าร่วม Marine Corps film ทำให้ได้ร่ำเรียนพื้นฐานการสร้างภาพยนตร์, ตีพิมพ์นวนิยายเล่มแรก The Brick Foxhole (1945) ได้รับการดัดแปลงภาพยนตร์ Crossfire (1947) เลยมีโอกาสเขียนบท Brute Force (1947), Key Largo (1948), เซ็นสัญญาสตูดิโอ M-G-M กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Crisis (1950), ผลงานเด่นๆ อาทิ Blackboard Jungle (1955), Cat on a Hot Tin Roof (1958), Elmer Gantry (1960), In Cold Blood (1967), Looking for Mr. Goodbar (1977) ฯ
บทหนัง In Cold Blood ดัดแปลงโดยผกก. Brooks ด้วยความพยายามคงโครงสร้างตามต้นฉบับหนังสือของ Capote แต่ก็มีเพิ่มเติม-ตัดทิ้งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ อาทิ
- ตัดทิ้งบุตรสาวผู้รอดชีวิตสองคนของครอบครัว Clutter เพราะพวกเธอไม่ได้อยู่บ้านระหว่างเกิดเหตุฆาตกรรม และในชีวิตจริงแสดงเจตจำนงค์ไม่ต้องการมีส่วนร่วมใดๆกับหนัง (ใจจริงคงไม่อยากให้สร้างด้วยกระมัง แต่คงได้เงินค่าปิดปากเยอะอยู่)
- เพิ่มเติมตัวละครนักข่าวติดตามคดี (ไม่มีในฉบับนวนิยาย) เพื่อเป็นตัวตายตัวแทน Capote และผกก. Brooks
- จริงๆแล้ว Capote เคยครุ่นคิดจะสร้างตัวละครนี้เพื่อเทียบแทนถึงตัวตนเอง แต่ตัดสินใจนำออกเพราะ “It’s didn’t make sense!”
- ก่อนประหารชีวิต Smith ขอผู้คุมเข้าห้องน้ำอีกครั้งสุดท้าย เพื่อไม่ให้ตนเองต้องเสียเกียรติ (indignity) ขายขี้หน้าถ้ามิอาจควบคุมตนเอง
- เห็นว่าผกก. Brooks ไม่เห็นด้วยกับโทษประหารชีวิต จริงๆอยากจะตัดทิ้งทั้งซีเควนซ์ แต่เพราะมันเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงพยายามทำออกมาให้ดูมีมนุษยธรรมมากที่สุด
I think the crime without motive is really what this is about. The crime itself was senseless, the boys’ lives before that were senseless, and the end is senseless because it solves nothing.
Richard Brooks
เรื่องราวของสองอดีตนักโทษ Perry Smith (รับบทโดย Robert Blake) และ Dick Hickock (รับบทโดย Scott Wilson) นัดพบเจอกันยังสถานีขนส่ง Kansas ร่วมกันปล้นบ้านครอบครัว Clutter เชื่อว่ามีตู้เซฟเก็บเงินสดซุกซ่อนอยู่ ขับรถเดินทางกว่า 800 ไมล์ มาถึงยัง Holcomb, Finney County ค่ำคืนบุกเข้าไปเข่นฆ่าล้างสามี-ภรรยา บุตรชาย-สาว แต่กลับได้เงินมาแค่ 43 เหรียญ และวิทยุหนึ่งเครื่อง
แม้การฆาตกรรมทำอย่างรอบคอบ แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะสาวถึงอดีตนักโทษทั้งสอง แต่ตำรวจ Kansas Bureau of Investigation (KBI) ก็ได้พบเจอหลักฐานมัดตัว ไล่ล่าจับกุม จนสามารถเค้นคำสารภาพจากทั้งสอง ผ่านการไต่สวนคดีความจากสามศาล แต่สุดท้ายก็ไม่รอดพ้นโทษประหารชีวิตแขวนคอ
Robert Blake ชื่อเกิด Michael James Gubitosi (1933-2023) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Nutley, New Jersey ในตอนแรกบิดาทำงานโรงงานผลิตกระป๋อง ก่อนเปลี่ยนมาเป็นนักแสดงร่วมกับลูกๆทั้งสาม ‘The Three Little Hillbillies’ พอเริ่มมีชื่อเสียงก็ออกเดินทางสู่ Hollywood ผลักดันให้พวกเขากลายเป็นตัวประกอบภาพยนตร์ โด่งดังจากภาพยนตร์ซีรีย์ขนาดสั้น Our Gang (1922-44) ส่วนตนเองเอาเงินลูกๆมาดื่มสุรามึนเมา ใช้ความรุนแรง ทุบตีทำร้ายร่างกาย (รวมถึง Sexually Abused) พออายุ 14 เลยตัดสินใจหนีออกจากบ้าน (บิดาฆ่าตัวตายเมื่อปี ค.ศ. 1956) แต่ก็ยังรับงานตัวประกอบภาพยนตร์อย่าง The Treasure of the Sierra Madre (1948) [เล่นเป็นเด็กชายชาวเม็กซิกันขายล็อตเตอรี่ถูกรางวัลให้กับ Humphrey Bogart), โตขึ้นหลังกลับจากเกณฑ์ทหาร หางานไม่ค่อยได้เลยมีอาการซึมเศร้า เสพโคเคน เฮโรอีน กลายเป็นพ่อค้ายา เก็บหอมรอมริดจนสามารถเข้าเรียนคอร์สการแสดง จนได้เป็นตัวประกอบซีรีย์มากมาย รับบทนำครั้งแรก The Purple Gang (1960), โด่งดังพลุแตกกับ In Cold Blood (1967),
รับบท Perry Smith อดีตนักโทษข้อหาลักขโมย ได้รับภาคทัณฑ์เพราะทำตัวดีในเรือนจำ มาถึงยังสถานีขนส่งตามนัดหมายของ Dick Hickock ที่ได้ชักชวนร่วมแผนการปล้นบ้านเศรษฐี โดยให้เขาผู้เคยมีประสบการณ์ฆ่าคน จัดการปิดปากสมาชิกครอบครัว Clutter ไม่ให้หลงเหลือประจักษ์พยาน!
Smith เป็นชายหนุ่มที่ดูสงบ เยือกเย็น แต่บ่อยครั้งมักเหม่อล่องลอย เพ้อฝันกลางวัน หวนระลึกถึงมารดาที่เป็นนักแสดงคล้องม้า (Rodeo) เจ็บแค้นบิดาขี้เมา เคยทุบตี กระทำร้ายมารดา กลายเป็นภาพติดตาฝังใจ เกิดอคติต่อพวกชอบใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง(และเด็ก) บางครั้งพบเห็นภาพหลอกหลอนของบิดา ทำให้ไม่สามารถควบคุมตนเอง แยกแยะไม่ออกระหว่างชีวิตจริง-จินตนาการเพ้อฝัน
ผมรู้สึกว่า Blake นำเอาประสบการณ์ของตนเองถ่ายทอดลงในบทบาทนี้อย่างมากๆ ช่างมีความละม้ายคล้ายคลึง เหมือนเกินคาดคิดถึง! ด้วยเหตุนี้เลยสามารถแสดงออกได้อย่างเป็นธรรมชาติ อัดอั้นด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด แม้ตัวละครอธิบายเหตุผลการกระทำไม่ได้ แต่ผู้ชมย่อมค้นพบข้อสรุป ความน่าจะเป็นไปได้ว่าทำไมหมอนี่ถึงกลายเป็นอาชญากร/ฆาตกรเหี้ยมโหดร้าย
ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ Blake ได้รับการติดต่องานมากขึ้น แต่หลังจากแสดงภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย Lost Highway (1997) ชีวิตก็ตกต่ำดำดิ่งสู่ก้นเบื้อง เพราะทำการฆาตกรรมแฟนสาว Bonny Lee Bakley (ผู้เลื่องชื่อในความเป็น ‘gold digger’ แต่งงานมาแล้วถึง 9 ครั้ง!) แต่คณะลูกขุนกลับตัดสินไม่ผิด เชื่อว่าทำไปเพื่ออิสรภาพจากการแต่งงานลวงหลอก! ถึงอย่างนั้นบุตรของ Bakley ฟ้องกลับให้เขารับผิดชอบค่าเสียหาย $30 ล้าน ไม่มีเงินจ่ายเลยยื่นขอล้มละลาย … พอเถอะขี้เกียจอ่านต่อแล้ว
เกร็ด: นวนิยาย Once Upon a Time in Hollywood: A Novel (2021) ของ Quentin Tarantio มีการขึ้นข้อความอุทิศให้ Robert Blake และตัวละคร Cliff Booth (รับบทโดย Brad Pitt) เคยถูกกล่าวหาว่าฆาตกรรมภรรยา ก็ได้แรงบันดาลใจจากบั้นปลายชีวิตของ Blake ผู้นี้นี่แหละ!
Scott Wilson ชื่อเกิด William Delano Wilson (1942-2018) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Atlanta, Georgia วัยเด็กเคยได้รับทุนกีฬาบาสเกตบอล เข้าศึกษาต่อคณะสถาปัตยกรรม Georgia’s Southern Tech University แต่แทนที่จะไปร่ำเรียนหนังสือ กลับโบกรถออกเดินทางสู่ Hollywood เพื่อเติมเต็มความเพ้อฝันนักแสดง ทำงาน เก็บเงินร่ำเรียน สะสมประสบการณ์จากโปรดักชั่นละครเวทีอยู่ห้าปี! กระทั่งได้รับเลือกบทบาทสมทบ In the Heat of the Night (1967) เข้าตาผกก. Richard Brooks แจ้งเกิดทันทีกับ In Cold Blood (1967), น่าเสียดายที่ผลงานส่วนใหญ่เป็นแค่ตัวประกอบ อาทิ The Ninth Configuration (1980), A Year of the Quiet Sun (1984), The Exorcist III (1990), ซีรีย์ The Walking Dead (2011–2014; 2018) ฯ
รับบท Dick Hickock รับรู้เกี่ยวกับตู้เซฟครอบครัว Clutter จากเพื่อนร่วมห้องขัง มีความมุ่งมั่นต้องการปล้นเงินมาใช้ชีวิตสุขสบาย ดูแลบิดาล้มป่วยมะเร็ง เขียนจดหมายถึง Perry Smith ชักชวนมาร่วมงาน ขับรถออกเดินทาง 800 ไมล์ แทบจะคลุ้มบ้าคลั่งเมื่อรับรู้ว่าโดนหลอก บ้านหลังนี้ไม่ได้ตู้เซฟซุกซ่อนอยู่
ท่าทางของ Hickock แตกต่างตรงกันข้ามกับ Smith ดูลุกรี้ร้อนรน กระวนกระวาย พูดน้ำไหลไฟดับ สำหรับปกปิดด้านอ่อนแอ ขี้ขลาดเขลา รวมถึงปมด้อยเรื่องเพศหลังถูกภรรยาทอดทิ้ง (เลยสอบถามโสเภณีที่เม็กซิโก ลีลาของฉันดีพอไหม) ต้องการพิสูจน์ตนเอง พยายามสร้างภาพให้ดูดี โหยหาความรัก และการยินยอมรับจากผู้อื่น
การแสดงของ Wilson มีท่าทางประหม่า พะว้าพะวัง พูดน้ำเสียงสั่นๆ พยายามปกปิด สร้างภาพ ทำตัวเองให้ดูเข้มแข็งแกร่ง … ผมเชื่อว่าทั้งหมดคือการแสดง แต่หลายคนกลับมองว่าเขายังอ่อนด้อยประสบการณ์ เพราะเพิ่งเป็นผลงานเรื่องที่สอง ถึงอย่างนั้นยังต้องชมในความเป็นธรรมชาติ เหมาะสมเข้ากับบทบาทอย่างมากๆ
แม้ว่า Wilson จะมีผลงานติดตามมามากมาย แต่กลับแทบไม่เคยได้รับบทนำ ส่วนใหญ่แค่ตัวประกอบธรรมดาๆทั่วไป ไม่รู้เพราะบทบาทนี้ทำการแสดงได้อย่างสมจริง หรือผู้ชมยังคงจดจำภาพ(บทบาท)ฆาตกร … แต่สามารถอยู่ยืนในวงการภาพยนตร์ ย่อมถือว่าประสบความสำเร็จแล้วละ!
แซว: Truman Capote ครั้งหนึ่งเดินทางมาเยี่ยมเยียนกองถ่ายภาพยนตร์ พบเห็นสองนักแสดง Robert Blake & Scott Wilson เกิดอาการตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าผกก. Brooks จะคัดเลือกนักแสดงที่มีใบหน้าละม้ายคล้าย Perry Smith & Dick Hickock เหมือนยังกะแกะ! … ภาพตรงกลางคือสองนักแสดง ส่วนผู้ร้ายซ้ายขวาคือภาพ Mug Shot สองฆาตกรตัวจริงๆ (ตอนหนังเข้าฉายถูกประหารแขวนคอเรียบร้อยแล้ว!)



ถ่ายภาพโดย Conrad Lafcadio Hall (1926-2003) ตากล้องสัญชาติ French Polynesian เกิดที่ Papeete, Tahiti (ขณะนั้นอยู่ภายใต้อาณานิคม French Polynesia) บิดาคือ James Norman Hall ผู้แต่งนวนิยาย Mutiny on the Bounty (1932), โตขึ้นเข้าศึกษาคณะวรสารศาสตร์ University of Southern California แต่เกรดไม่ค่อยดีเคยย้ายไปเรียนภาพยนตร์ USC’s School of Cinema-Television (ปัจจุบันคือ USC School of Cinematic Arts) ได้เป็นลูกศิษย์ของ Slavko Vorkapić, หลังเรียนจบร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นก่อตั้งสตูดิโอ Canyon Films สรรค์สร้างโฆษณา สารคดี หนังสั้น ทำให้ Hall กลายเป็นผู้ช่วยตากล้อง ถ่ายทำซีรีย์ ภาพยนตร์เรื่องแรก Wild Seed (1964), ผลงานเด่นๆ อาทิ Morituri (1965), The Professionals (1966), In Cold Blood (1967), Cool Hand Luke (1967), คว้าสามรางวัล Oscar: Best Cinematography ประกอบด้วย Butch Cassidy and the Sundance Kid (1969), American Beauty (1999) และ Road to Perdition (2002)
ผกก. Brooks ทำการต่อรองสตูดิโอใช้ฟีล์มขาว-ดำ (ล้างฟีล์มในห้องแลป Technicolor) ด้วยอัตราส่วน Anamorphic Widescreen (2.40:1) นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยพบเห็นในภาพยนตร์ Hollywood แถมเวลาถ่ายทำเต็มไปด้วยภาพระยะใกล้ (Medium & Close-Up Shot) … โดยปกติแล้ว Anamorphic Widescreen มักนิยมใช้กับภาพยนตร์ระดับมหากาพย์ ทิวทัศน์กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แต่เมื่อต้องมาถ่ายภาพระยะใกล้ ใบหน้าตัวละคร เวลารับในโรงภาพยนตร์มันจะสร้างความอึดอัด กระอักกระอ่วน แถมใบหน้าฆาตกรไม่ได้มีความน่าอภิรมณ์เชยชมสักเท่าไหร่!
นอกจากนี้ยังพยายามใช้แสงจากธรรมชาติ หรือเท่าที่มีอยู่ในฉากนั้นๆ (หลอดไฟ, แสงจากไฟฉาย ฯ) นั่นทำให้ซีเควนซ์ตอนกลางคืน ปกคลุมด้วยความมืดมิดเสียส่วนใหญ่ มอบไม่ค่อยเห็นรายละเอียดอะไร ได้บรรยากาศหนังนัวร์ (จัดเป็น Neo-Noir) สะท้อนจิตใจอันดำมืดของฆาตกร
แต่สิ่งสร้างความหลอกหลอน หนาบเหน็บ สั่นสะท้านทรวงในที่สุด คือสถานที่ถ่ายทำแทบทั้งหมดของหนัง ล้วนเดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุจริง! โดยเฉพาะบ้านของครอบครัว Clutter ที่ River Valley Farm ณ Holcomb, Kansas ได้รับอนุญาตจากเจ้าของใหม่ ใช้ได้ทั้งภายนอกและภายในบ้าน ค่าตอบแทนคงไม่น้อยเลยละ! … การเลือกใช้สถานที่จริง ยังทำให้หนังเลือนลางระหว่างโลกความจริง (Reality) vs. เรื่องราวสร้างขึ้น (Fictional)
ทุกครั้งที่ Perry Smin เหม่อล่องลอย เพ้อฝันกลางวัน ครุ่นคิดถึงอดีต ความทรงจำวันวานที่แสนหวาน กล้องจะค่อยๆซูมเข้าไปยังใบหน้า หรือวัตถุบางอย่าง (ที่ชวนให้นึกถึงความหลัง) จากนั้นทำการ Cross-Cutting ให้พบเห็นภาพซ้อนปัจจุบัน-อดีต (หรือความเพ้อฝัน)
ตรงกันข้ามกับเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาฝันกลางวัน จะเริ่มจากการ Cross-Cutting หวนกลับหาภาพปัจจุบัน แต่จากนั้นบางครั้งเป็นการซูมออก, Whip Pan ฯ เทคนิคที่ทำให้ผู้ชม/ตัวละครรู้สึกเหมือนตื่นจากความเพ้อฝัน


การอ้างอิงถึงภาพยนตร์ The Treasure of the Sierra Madre (1948) มันยังมีความ ‘Ironic’ สำหรับ Robert Blake เพราะเคยแสดงเป็นเด็กขายล็อตเตอรี่ให้ Humphrey Bogart มาตอนนี้ก็ตามสภาพพบเห็น ตัวละครpy’โหยหาความทรงจำวัยเด็ก เลือนลางระหว่างความจริง vs. จินตนาการเพ้อฝัน

ระหว่างที่ Perry & Dick หลบหนีมาอยู่ยัง Mexico ใช้ชีวิตราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่ไม่ทันไรเงินหมด จำต้องหวนกลับสู่โลกความเป็นจริง! ค่ำคืนนั้น Dick พาโสเภณีชื่อ Nina มาร่วมหลับนอน แต่ Perry กลับอยู่ในสภาพเหงื่อซก ซีดเผือก ครึ่งใบหน้าอาบฉาบด้วยความมืดมิด หวนระลึกถึงเหตุการณ์ที่มารดาคบชู้นอกใจ แล้วถูกบิดาจับได้ ใช้ความรุนแรง พบเห็นต่อหน้า ติดตาฝังใจ
นี่เป็นซีเควนซ์ที่มีความน่าอึ่งทึ่งอยู่ไม่น้อย เพราะใช้การตัดต่อสลับไปมาระหว่างอดีต vs. ปัจจุบัน, ภาพความทรงจำ vs.เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะนั้น, มารดาของ Perry vs. โสเภณี Nina, เพื่อให้ผู้ชมตระหนักถึงการกระทำของบิดา กลายเป็นภาพติดตาฝังใจ สร้างอิทธิพล ส่งผลกระทบให้กับบุตรชายมาจนถึงปัจจุบัน


มันไม่ใช่ว่าปลาหมอตายเพราะปาก (Dick ดันพูด ‘Death Flag’ ให้กับตนเองว่า “I feel real lucky tonight”. ก็เลยถูกตำรวจเรียกตรวจโดยพลัน!) แต่เป็นความหลงระเริง เพิกเฉย ครุ่นคิดว่าเดินทางมาไกลขนาดนี้คงไม่ถูกเรียกตรวจ แต่ปรากฎว่ามันคือความซวยแบบ Anti-Climax ผมยังเกาหัวเล็กๆ พลาดกันโง่ๆง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอ?

ซีเควนซ์ในห้องสอบเค้นความจริง จะพบเห็นความแตกต่างตรงกันข้ามของคู่หู Perry & Dick ได้อย่างชัดเจน
- Perry ให้การอย่างสงบเงียบ พูดน้อย เจียมตัว แค่นั่งบิดตัวไปมา กล้องสลับสับเปลี่ยนทิศทาง
- ตรงกันข้ามกับ Dick ลุกขึ้นเดินไปเดินมารอบห้อง พูดพร่ำอะไรไม่รู้ไม่ยอมหยุดหย่อน แสดงอาการร้อนรน กระวนกระวาย จนในที่สุดเมื่อถูกตำรวจเปิดเผยหลักฐาน ก็ยินยอมรับสารภาพผิด โยนขี้ใส่ Perry โดยพลัน!


นี่เป็นการเปลี่ยนภาพ (Film Transition) ที่น่าประทับใจมากๆครั้งหนึ่ง, Perry ตัดสินใจสารภาพเหตุการณ์ทั้งหมดระหว่างอยู่ในรถตำรวจกำลังเดินทางไปเรือนจำ ‘Cross-Cutting’ มายังตำแหน่งที่หนังค้างๆคาๆไว้ตอนต้นเรื่อง Perry และ Dick ขับรถมาถึงบ้านครอบครัว Clutter … สังเกตว่าใช้มุมกล้องเดิม แถม Perry ยังนั่งตำแหน่งเดิม ทำให้การ ‘Intercutting’ ออกมาแนบเนียน ลื่นไหลมากๆ


วินาทีที่ Perry ตัดสินใจลงมือฆาตกรรมครอบครัว Clutter หนังจงใจตัดสลับไปมา ซูมเข้าออกระหว่างใบหน้าสองบิดา (บิดาครอบครัว Clutter และบิดาของ Perry) ทำให้เขาเกิดความสับสน มึนงง ไม่สามารถแยกแยะระหว่างสองบุคคล เหตุการณ์เบื้องหน้า vs. ความทรงจำอันเลวร้าย … วิธีการเล่าเรื่องเช่นนี้ชัดเจนมากๆว่า ผู้สร้างต้องการแสดงให้เห็นถึง ‘irresistible impulse’ แรงกดดันมิอาจต่อต้านขัดขืน การกระทำที่ตัวละครไม่สามารถควบคุมตนเอง


แม้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต Dick ยังคงพยายามสร้างภาพ ทำตัวเองให้ดูเข้มแข็งแกร่ง ทั้งๆที่ผู้ชมสามารถสังเกตได้ว่าน้ำเสียงสั่นเคลือ ร่างกายสั่นเทา ทุกอากัปกิริยาเต็มไปด้วยอาการขลาดหวาดกลัว คำกล่าวสุดท้าย(พูดเหมือนแสร้งว่า)รู้สึกยินดีที่ตนเองกำลังจะจากโลกนี้ สู่ดินแดนหลังความตายที่น่าจะดีกว่าปัจจุบัน

การขอผู้คุมเข้าห้องน้ำครั้งสุดท้าย เพราะไม่อยากเยี่ยวราดระหว่างถูกประหาร เอาจริงๆผู้คุมจะไม่อนุญาตก็ได้ ใกล้ตายอยู่แล้วยังเรียกร้องโน่นนี่นั่น แต่ซีนเล็กๆที่ผกก. Brooks เพิ่มเข้ามานี้ ผมมองว่าต้องการแสดงความมีมนุษยธรรม เพราะไม่สามารถตัดทิ้งฉากประหาร แต่เราก็ควรให้เกียรติชีวิต เพื่อนร่วมโลก สุดท้ายแล้วไม่มีใครอยากตาย แม้แต่ฆาตกรเลือดเย็นก็ตามที!
สองช็อตที่ผมเลือกมานี้ระหว่างการสารภาพบาปครั้งสุดท้ายของ Perry ภายนอกฝนตกหนัก แสงสาดส่องเข้ามาอาบฉาบใบหน้าราวกับคราบน้ำตาของจิตใจ หวนระลึกถึงตอนที่เคยถูกบิดาขับไล่ออกจากบ้าน วินาทีที่บาทหลวงสอบถาม “I’m glad you don’t hate your father anymore.” ความมืดปกคลุมครึ่งหนึ่งบนใบหน้า “But I do.” ความโกรธเกลียดเคียดแค้นครั้งนั้นยังคงจดจำฝังใจ ศัตรูที่ไม่มีวันให้อภัย


ก่อนขึ้นแท่นประหาร ท่าทางของ Perry ดูสงบเสงี่ยม เตรียมตนเองได้ดีกว่า Dick คำกล่าวสุดท้ายต้องการร้องขอให้อภัย แต่ไม่รู้ว่าจากผู้จากใด และระหว่างขึ้นไปบนแท่นประหาร มองซ้ายมองขวา พบเห็นเพชรฆาตคนหนึ่งหน้าตาเหมือนบิดา “In the presence of mine enemies.” ใช่หรือไม่? หรือแค่ภาพหลอนลวงตา?


ตัดต่อโดย Peter Zinner (1919-2007) สัญชาติ Austria เกิดที่ Vienna ในครอบครัวเชื้อสาย Jews วัยเด็กมีความสนใจด้านดนตรี เข้าศึกษายัง Max Reinhardt Seminar แต่การมาถึงของสงครามโลกครั้งที่สอง จำต้องอพยพสู่ Philippines ก่อนลงหลักปักฐานยัง Los Angeles เริ่มทำงานขับแท็กซี่ รับเล่นเปียโนระหว่างฉายหนังเงียบ ต่อมาได้เป็นเด็กฝึกงาน 20th Century Fox แล้วย้ายมาเป็นผู้ช่วยตัดต่อ Sound-Effect สตูดิโอ Universal ได้รับเครดิต Music Editor ภาพยนตร์ For the First Time (1959), The Naked Kiss (1964), ก่อนตัดสินใจเลือกแค่งานตัดต่อ อาทิ The Professionals (1967), In Cold Blood (1967), The Godfather (1972), The Godfather Part II (1974), A Star Is Born (1976), The Deer Hunter (1978), An Officer and a Gentleman (1982) ฯ
การดำเนินเรื่องของหนังอ้างอิงจากต้นฉบับนวนิยาย มีลักษณะคู่ขนานระหว่างสองฆาตกร (Perry Smith & Dick Hickock) ในช่วงแรกสลับไปมากับสมาชิกครอบครัว Clutter แต่หลังเหตุการณ์ฆาตกรรม ก็เปลี่ยนมาเป็นตำรวจ KBI (Kansas Bureau of Investigation) ทำการสืบสวนสอบสวน ไล่ล่าติดตามจนสามารถจับกุมตัว สอบเค้นความจริง รับสารภาพผิด ขึ้นศาลพิจารณาคดี และตัดสินโทษประหารแขวนคอ
นอกจากนี้ในส่วนของ Perry Smith หลายต่อหลายครั้ง เหม่อล่องลอย เพ้อฝันกลางวัน (กลางคืนก็มีนะ) และตอนสารภาพเหตุการณ์ฆาตกรรม จะมีการแทรกภาพย้อนอดีต (Flashback) ความทรงจำสมัยยังเป็นเด็ก เพื่อให้ผู้ชมสามารถขบครุ่นคิด บังเกิดความเข้าใจสาเหตุผลการกระทำในปัจจุบัน
แซว: ตอนต้นเรื่องที่จู่ๆตัดทิ้ง กระโดดข้ามซีเควนซ์ฆาตกรรม แวบแรกผมนึกถึง Hays Code แม้ง !@#$% แต่พอระลึกว่าหนังสร้างปี ค.ศ. 1967 ก็เริ่มเอะใจเล็กๆ จนกระทั่งช่วงท้ายใช้การเล่าย้อนขณะยินยอมรับสารภาพผิด นั่นเป็นลีลาล่อหลอกผู้ชมที่น่าประทับใจทีเดียว!
- ก่อนเหตุการณ์ฆาตกรรม
- Perry Smith พบเจอกับ Dick Hickock ออกเดินทางไปปล้นบ้านครอบครัว Clutter
- ตัดสลับคู่ขนานกับวิถีชีวิตของครอบครัว Clutter ในวันเกิดเหตุ
- ช่วงเวลาหลบหนีเอาตัวรอด
- ตำรวจพยายามค้นหาเบาะแสคดีฆาตกรรม จนได้ตัวผู้ต้องสงสัย
- Perry & Dick เดินทางข้ามพรมแดนสู่ Mexico พอเงินหมดสองฆาตกรก็จำใจเดินทางกลับเข้าประเทศ ก่อนถูกจับเพราะรถปล้นมา
- สองฆาตกรถูกจับกุม
- สองฆาตกรถูกแยกห้องสอบเค้นความจริง ก่อนที่ Dick จะหลุดปากยินยอมรับสารภาพผิด
- Perry เล่าย้อนอดีตเหตุการณ์บังเกิดขึ้นค่ำคืนนั้น
- การพิจารณาคดีความบนชั้นศาล
- ประหารชีวิตแขวนคอฆาตกรทั้งสอง
ด้วยความที่หนังเต็มไปด้วยการเล่าเรื่องคู่ขนาน จึงมักสรรหาจุดเชื่อมโยง(ด้วยภาพและเสียง)ระหว่างการ ‘film transition’ ที่ทำให้เรื่องราวทั้งสองฟากฝั่งมีความต่อเนื่อง ลื่นไหล เรียกได้ว่าสัมผัสของบทกวี อาทิ
- กล้องถ่ายรถโดยสาร (Perry เดินทางไปยังสถานีขนส่ง) กำลังเคลื่อนผ่านหน้ากล้อง = ขบวนรถไฟเคลื่อนผ่านสถานี Holcomp บ้านของครอบครัว Clutter อยู่ไม่ห่างไกล
- บุตรสาวคนเล็กกำลังรับโทรศัพท์ = Perry กำลังโทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่ทัณฑ์บน
- บิดากำลังโกนหนวดในห้องน้ำ = Perry ชำระล้างเท้าในห้องน้ำสถานีขนส่ง
- แม่บ้านบอกกับตำรวจว่าวิทยุสูญหายไปจากห้อง = Perry เปิดรับฟังข่าวจากวิทยุที่ลักขโมยมานั้น
- Perry โยนอะไรสักอย่างทิ้งลงสะพาน = ตำรวจกำลังงมหาอาวุธปืนจากแม่น้ำ
- Perry ในรถตำรวจกำลังเล่าเหตุการณ์ค่ำคืนฆาตกรรม = มุมกล้องเดียวกันแต่เปลี่ยนเป็นรถของ Perry & Dick ขับมาถึงบ้านของครอบครัว Clutter
ยกตัวอย่างแค่พอหอมปากหอมพอนะครับ ความต่อเนื่องเหล่านี้สร้างผลลัพท์ที่แตกต่างจากนวนิยาย เพราะผู้ชมจะรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งอย่างเชื่อมโยงระหว่างสองฟากฝั่ง
In the book, the effect of cutting back and forth between the killers and the Clutters is to make us see the two as inhabiting entirely separate universes. In the film, on the other hand, though the extremes of these lives are not entirely continuous, we feel that the characters all belong to the same world.
นักวิจารณ์ Chris Fujiwara ในบทความที่ Criterion
ผู้แต่งนวนิยาย Capote พยายามล็อบบี้อยากได้นักแต่งเพลง Leonard Bernstein (On The Waterfront, West Side Story) ไม่เข้าใจว่าทำไมผกก. Brooks ถึงต้องการ Quincy Jones มาทำเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ไม่มีนักแสดงผิวสีสักคน?
Truman Capote: “Richard, I don’t understand why you’ve got a Negro doing the music for a film with no people of color in it.”
Richard Brooks: “Fuck you, he’s doing the music”
เกร็ด: แม้ภายหลัง Capote จะกล่าวขอโทษกับ Jones แต่มันก็สายเกินที่จะให้อภัย ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นคนประเภทไหน
After I get an Oscar nomination and he sees the film, he calls up: ‘Oh, Quincy, I’m so sorry’ and on and dun dun dun dun… That pisses me off, too.
Quincy Jones กล่าวถึง Truman Capote
เพลงประกอบโดย Quincy Delight Jones Jr. (เกิดปี 1933) นักแต่งเพลง American Jazz เกิดที่ Chicago, Illinois เมื่อตอนอายุ 14 พบเห็น Ray Charles (ขณะนั้นอายุ 16 ปี) เล่นดนตรีในไนท์คลับ Black Elks Club เกิดความชื่นชอบหลงใหล ตัดสินใจเอาจริงจังด้านนี้ ได้รับทุนการศึกษาต่อ Berklee College of Music แต่ไม่นานก็ลาออกเพื่อเข้าร่วมทัวร์คอนเสิร์ตกับ Lionel Hampton, และยังเดินทางท่องยุโรปกับ Harold Arlen, จากนั้นมีโอกาสร่วมงานศิลปินชื่อดังมากมาย จนกระทั่งผู้กำกับ Sidney Lumet ชักชวนมาทำเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องแรก The Pawnbroker (1964), ผลงานเด่นๆ อาทิ Walk, Don’t Run (1966), The Deadly Affair (1967), In Cold Blood (1967), In the Heat of the Night (1967), The Italian Job (1969), The Getaway (1972), The Color Purple (1985) ฯ
มันไม่ได้เกี่ยวกันว่านักแต่งเพลงผิวสี จะไม่สามารถทำเพลงประกอบภาพยนตร์ที่มีแค่คนขาว แต่คือเรื่องราวของคนนอกคอก สังคมไม่ให้การยินยอมรับฆาตกร … นั่นไม่ต่างอะไรจากคนดำในสหรัฐอเมริกา ทศวรรษนั้นยังโดนดูถูกเหยียดหยาม เต็มไปด้วยความเก็บกด อัดอั้นอารมณ์เกรี้ยวกราด
Main Theme เริ่มต้นด้วยความอลังการของ Big Band/Jazz Orchestra สร้างบรรยากาศหลอนๆ สัมผัสอันตราย ความตายคืบคลานเข้ามา เสียงติก-ติก-ติก ต็อก-ต็อก-ต็อก เหมือนนาฬิกากำลังนับถอยหลัง ออกเดินทาง มาถึงยังเป้าหมาย เสียงแซ็กโซโฟนปลุกเร้าความรู้สึกภายใน จากนั้นบุกเข้าไป ลงไม้ลงมือ ปฏิบัติตามแผน แล้วทุกสิ่งอย่างก็จบสิ้นลง
Clutter Family Theme มีท่วงทำนองเคลิบเคลิ้ม ล่องลอย ฟังแล้วรู้สึกเบาสบาย ผ่อนคลาย ราวกับอยู่ในดินแดนแห่งความเพ้อฝัน สรวงสวรรค์ อุดมคติอเมริกัน มันช่างขัดย้อนแย้งกับบทเพลงอื่นๆของหนังโดยสิ้นเชิง!
ทั้งๆที่ Perry Smith คือหนึ่งในฆาตกรเลือดเย็น แต่บทเพลง Perry’s Theme กลับมีท่วงทำนองเศร้าๆ เหงาๆ เริ่มจากเสียง Spanish Guitar รำพันความเจ็บปวดจากการสูญเสียมารดา โหยหาความรัก ต้องการใครสักคนเคียงข้างกาย กล่อมเข้านอนหลับฝันดี … บทเพลงนี้แสดงให้เห็นว่าฆาตกรไม่ได้มีแต่ความโฉดชั่วร้าย เลวทรามต่ำช้าเสมอไป ทุกสิ่งอย่างล้วนมีเหตุผล อิทธิพล แรงจูงใจ
เสียงออร์แกนในบทเพลง Murder Scene สร้างความหลอกหลอน ขนลุกขนพอง หนาวเหน็บ เย็นยะเยือก สั่นสะท้านทรวงใน แถมเวลาบรรเลงแต่ละครั้งมักกดเสียงลากยาวววว ราวกับลมหายใจใกล้ขาดห้วง เฮือกสุดท้าย ก่อนสิ้นใจตาย ช่างมีความสอดคล้องเข้ากับวินาทีที่ Perry จู่ๆเหมือนควบคุมตนเองไม่ได้ กระทำการฆาตกรรมยกครอบครัว (ทั้งๆก่อนหน้านี้เพิ่งช่วยเหลือเด็กหญิงรอดพ้นจากการถูกคู่หูข่มขืน)
เช่นเดียวกับบทเพลง The Corner ก็ยังได้ยินเสียงออร์แกนเช่นเดียวกัน แต่ความตายครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ ฆาตกรไม่สามารถควบคุมตนเอง มันคือความถูก-ผิด ตัดสินกันด้วยเหตุ-ผล กฎหมายบ้านเมือง โทษประหารชีวิตแขวนคอ เพื่อไม่ให้คนชั่วร้ายลอยนวลในสังคม … ตบท้ายด้วยเสียงรัวกลอง ก้าวเดินสู่ความตาย
In Cold Blood (1967) นำเสนอเรื่องราวฆาตกรเลือดเย็น (Senseless Murder) ทำการเข่นฆ่าล้างครอบครัวที่พวกเขาไม่เคยพบเจอ รับรู้จัก หรือมีความบาดหมายใดๆ เพียงเพราะต้องการปล้นเงินจากตู้เซฟ (ที่ไม่มีอยู่จริง) และจัดการปิดปากประจักษ์พยานให้รอดพ้นความผิด
จริงอยู่ว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมนี้เกิดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีใครสามารถคาดคิดถึง แต่ทุกสิ่งอย่างล้วนมีเหตุผล แรงจูงใจ ที่มาที่ไป ไม่ใช่แค่สองฆาตกรต้องการปล้นเงิน ทั้งนวนิยายและภาพยนตร์ต่างพยายามแสดงให้ถึงอิทธิพลแวดล้อม สภาพสังคม โดยเฉพาะครอบครัวที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา
- Perry Smith น่าจะมีปม Opedix Complex รักแม่ รังเกียจพ่อที่ชอบใช้ความรุนแรง (กับมารดาและตนเอง) ทำให้เวลานึกถึงอีกฝ่ายเมื่อไหร่ จะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ ต้องกระทำบางสิ่งอย่างเพื่อเอาคืน โต้ตอบกลับ
- Dick Hickock เพราะครอบครัวติดหนี้สิน หนำน้ำถูกภรรยาหย่าร้าง จึงเกิดปมด้อยทางเพศ ต้องการพิสูจน์ตนเอง ปล้นเงินเพื่อนำมาดูแลครอบครัว
การกระทำของ Perry & Dick ไม่มีข้อแก้ตัว ไร้หนทางแก้ต่าง แต่ผกก. Brooks เคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินโทษประหาร อยากจะหลีกเลี่ยงไม่นำเสนอฉากแขวนคอเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าคุณสามารถทำความเข้าใจเบื้องหลัง ที่มาที่ไป แรงจูงใจของทั้งสอง จะพบว่าพวกเขาก็คือจำเลยสังคม เหยื่อของอุดมคติอเมริกันชน อยากได้อยากมี โหยหาความร่ำรวย ชีวิตสุขสบาย ไม่สามารถควบคุมความต้องการของตนเอง ‘irresistible impulse’
ผมไม่ค่อยแน่ใจตัวตนของผู้แต่ง Capote ทั้งๆสามารถเขียนหนังสือที่ตีแผ่เบื้องหลัง อิทธิพล เข้าใจธาตุแท้ฆาตกร แต่เพราะเคยแสดงความคิดเห็นรังเกียจเหยียดยาม (Racist) ไม่เห็นด้วยต่อการให้ Quincy Jones ทำเพลงประกอบภาพยนตร์ … คงไม่ผิดอะไรจะเรียกหมอนี่ว่า ‘White Trash’
เหตุผลที่ Capote สามารถเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของฆาตกร เพราะบิดาคนที่สอง (หลังมารดาแต่งงานใหม่) José García Capote เคยถูกจับข้อหาฉ้อฉล ติดคุกติดตาราง จน(เขาและมารดา)ต้องหลับนอนในสวนสาธารณะ พบเห็นความฟ่อนเฟะ เน่าเละเทะของวิถีอเมริกันชน ตลอดทั้งชีวิตเลยจมอยู่กับความเกรี้ยวกราด โหยหาบิดา รังเกียจมารดา ดื่มเหล้า เสพยา รักร่วมเพศ เสียชีวิตจากภาวะตับวายเฉียบพลัน (Liver Disease) เนื่องจากย่อยสลายสารเสพติดไม่ทัน (Drug Intoxication) … ฆาตกรทั้งสองต่างคือตัวตายตัวแทน Truman Capote เลยก็ว่าได้!
ด้วยความที่ยุคสมัยนั้นยังไม่มีการจัดเรตติ้ง (Hays Code กำลังล่มสลาย) แต่ก็มีขึ้นข้อความ “For Mature Audiences” ห้ามไม่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 17 นอกเสียจากอยู่ในการดูแลของผู้ปกครอง, ด้วยทุนสร้าง $3.5 ล้านเหรียญ สามารถทำเงินในสหรัฐอเมริกาได้กว่า $13 ล้านเหรียญ ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม!
ช่วงปลายปีได้เข้าชิง Ocar และ Golden Globe หลายสาขา แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมถึงถูก SNUB สาขาตัดต่อที่ถือเป็นไฮไลท์ของหนัง!
- Academy Award
- Best Director
- Best Adapted Screenplay
- Best Cinematography
- Best Original Score
- Golden Globe Award
- Best Motion Picture – Drama
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ ‘digital restoration’ คุณภาพ 4K โดย Criterion Collection แต่ฉบับ DVD/Blu-Ray จัดจำหน่ายเมื่อปี ค.ศ. 2015 ยังมีคุณภาพแค่ 2K อยู่นะครับ (แต่เชื่อว่าคงเตรียมออก 4K UHD ในอีกไม่ช้านาน)
ระหว่างรับชมผมไม่ได้ประทับใจอะไรมากนัก รู้สึกก็แค่หนังฆาตกรรมทั่วๆไป ถ่ายภาพนัวร์ๆ ตัดต่อเนียนๆ เพลงประกอบแจ๊สๆ แต่พอติดตามอ่านบทความวิจารณ์ต่างประเทศ เลยตระหนักถึงแนวคิด อิทธิพล เข้าใจเหตุผลที่มาที่ไป เลยบังเกิดความชื่นชอบหลงใหลขึ้นมาพอสมควร
แนะนำอย่างยิ่งสำหรับตำรวจ ทนายความ จิตแพทย์ นักอาชญากรวิทยา ทำงานเกี่ยวกับคดีฆาตกรรม และระบบยุติธรรม ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะเปิดโลกทัศน์ ความเข้าใจอาชญากร มันไม่มีอะไรบนโลกที่ไร้เหตุผล ไม่มีที่มาที่ไป แค่เราจะสามารถขบครุ่นคิด ค้นพบข้อสรุปนั้นได้หรือเปล่า
จัดเรต 18+ กับความเลือดเย็น ฆาตกรรมไร้เหตุผล
Leave a Reply