Damnation

Damnation (1988) Hungarian : Béla Tarr ♥♥♥♥

เมื่อไหร่ที่มีใครเห่าหอนแข่งกับสุนัข นั่นคือการละทอดทิ้งความเป็นคน (humanity) ถือเป็นจุดตกต่ำสุดแห่งมวลมนุษยชาติ โลกยุคสมัยนี้-นั้น ยุโรปตะวันออก สภาพของประเทศฮังการี ราวกับถูกสาปแช่งให้ตกนรกทั้งเป็น ภายหลังวันสิ้นโลกาวินาศ

ลองจินตนาการดูนะครับว่า ถ้าเรามีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่างวันสิ้นโลก โลกาวินาศ (หรือนึกถึงเรือ Titanik ที่กำลังอัปปาง แล้วไม่หลงเหลือหนทางรอดชีวิต) คงไม่มีใครอยากกระตือรือล้น เพราะต่อให้ดิ้นรนก็ไม่เป็นประโยชน์อันใด เพียงนั่งทอดถอนลมหายใจ เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยทิ้งขว้างวันเวลา เต็มไปด้วยความหมดสิ้นหวัง เพศสัมพันธ์ยังรู้สึกน่าเบื่อหน่าย ไม่รู้เมื่อไหร่จะตกตายให้จบๆสิ้นเสียที

นั่นคือความรู้สึกของผู้กำกับ Béla Tarr ต่อสภาพประเทศฮังการียุคสมัยนั้น แม้จะเป็นช่วงปีท้ายๆภายใต้การปกครองรัฐบาลคอมมิวนิสต์ แต่มันก็แทบหมดสูญสิ้น ไม่หลงเหลืออะไรสักสิ่งอย่าง!

I have a hope, if you watch this film and you understand something about our life, about what is happening in middle Europe, how we are living there, in a kind of edge of the world.

Béla Tarr

ถ้าคุณสามารถทำความเข้าใจความรู้สึกดังกล่าว ก็น่าจะพออดรนทนต่อบรรยากาศ/วิธีนำเสนอของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เต็มไปด้วยลายเซ็นต์ ‘สไตล์ Tarr’ กล้องค่อยๆเคลื่อนเลื่อนอย่างเชื่องช้า ไม่ก็แช่ภาพค้างไว้นานๆ Long Take ระยะ Long Shot ตัวละครมักเหม่อล่องลอย (การถ่ายภาพก็เช่นกัน เคลื่อนเลื่อนไปไหนก็ไม่รู้) น้อยครั้งจะเอ่ยปากพูดคุยสนทนา (ถ้าเป็นเรื่องสำคัญๆจักใช้ระยะ Close-Up จับจ้องใบหน้า) แล้วทุกสิ่งอย่างมักเวียนวน 360 องศา เพื่อสื่อว่า ณ จุดสูงสุดต้องหวนกลับสู่สามัญ

Damnation (1988) คือภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผู้กำกับ Tarr พัฒนาลายเซ็นต์ ‘สไตล์ Tarr’ จนมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ (บางคนอาจนับตั้งแต่ Almanac of Fall (1984) ที่ก็เต็มไปด้วย ‘สไตล์ Tarr’ เพียงแค่ถ่ายทำภายในอพาร์ทเม้นท์ เลยไม่ได้พบเห็นทิวทัศน์ธรรมชาติภายนอก) ขอเตือนไว้ก่อนว่าไม่ใช่ทุกคนจักสามารถอดรนทน ผมเองก็เต็มไปด้วยข้อคำถามระหว่างรับชม ทำไมต้องปล่อยเวลาให้เนิ่นนาน? ตัวละครเดินผ่านไปแล้วยังแช่ภาพทิ้งไว้ทำไม? เคลื่อนเลื่อนกล้องแบบนี้ต้องการสื่ออะไร? แต่ปริศนาทั้งหมดถูกไขข้อกระจ่างจากคำกล่าวของตัวละครหนึ่งในหนัง … ราวกับคำพูดออกจากปากผู้กำกับ Tarr ตรงๆเลยละ!

I like the rain. I like to watch the water run down the window. It always calms me down. I don’t think about anything. I just watch the rain. I’m not attached to anything anymore.

นักร้องไร้นาม

Béla Tarr (เกิดปี 1955) ผู้กำกับภาพยนตร์สัญชาติ Hungarian เกิดที่ Pécs แล้วมาเติบโตยัง Budapest, บิดาเป็นนักออกแบบฉากพื้นหลัง มารดาทำงานนักบอกบท (Prompter) ในโรงละครเดียวกัน ทำให้ตั้งแต่เด็กมีโอกาสวิ่งเล่น รับรู้จักโปรดักชั่นละครเวที ตอนอายุ 10 ขวบ ได้รับเลือกแสดงภาพยนตร์โทรทัศน์ ก่อนค้นพบว่าตนเองไม่มีความชื่นชอบ(ด้านการแสดง)สักเท่าไหร่ ตั้งใจอยากเป็นนักปรัชญา แต่เมื่ออายุ 16 หลังจากสรรค์สร้างสารคดีสั้น 8mm ไปเข้าตาสตูดิโอ Béla Balázs Studios ถูกรัฐบาลคอมมิวนิสต์ฮังการี สั่งห้ามเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย เพื่อบีบบังคับให้เขาเลือกสายอาชีพผู้กำกับ (ตอนนั้นก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร เพราะภาพยนตร์คือสิ่งที่ตนเองชื่นชอบหลงใหลอยู่แล้ว)

ผลงานช่วงแรกๆของผู้กำกับ Tarr ยึดถือตามแบบอย่าง ‘Budapest School’ ประกอบด้วย Family Nest (1979), The Outsider (1981), The Prefab People (1982) มีลักษณะ Social Realism แฝงการวิพากย์วิจารณ์การเมือง นำเสนอสภาพความจริงของประเทศฮังการียุคสมัยนั้น นักวิจารณ์ทำการเปรียบเทียบ John Cassavetes แต่เจ้าตัวบอกไม่รับรู้จักใครคนนี้ด้วยซ้ำ

ความสิ้นหวังต่อสถานการณ์ทางการเมือง ภายใต้รัฐบาลคอมมิวนิสต์ Hungarian People’s Republic ทำให้ผู้กำกับ Tarr ตัดสินใจละทอดทิ้งแนวทาง ‘social realism’ หันมาสรรค์สร้างผลงานที่เป็นการสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมา เพื่อนำเสนอความท้อแท้สิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยาก ไม่ต่างไปจากวันสิ้นโลกาวินาศ เริ่มตั้งแต่ Almanac of Fall (1984), แล้วพัฒนาสไตล์ลายเซ็นต์ Damnation (1988), กลายเป็นผลงานมาสเตอร์พีซ Sátántangó (1994), Werckmeister Harmonies (2000), The Man from London (2007) และ The Turin Horse (2011)

เมื่อปี 1985, ผู้กำกับ Tarr มีโอกาสรับรู้จัก László Krasznahorkai (เกิดปี 1954) นักเขียนนวนิยายชาว Hungarian เจ้าของผลงานขายดี Sátántangó (1985) ทีแรกตั้งใจจะดัดแปลงเรื่องนี้แต่ถูกโปรดิวเซอร์ทัดทานไว้ก่อน (เพราะสถานการณ์การเมืองในประเทศขณะนั้นมีความตึงเครียดอย่างรุนแรง) ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันถูกคอ มองโลก/ฮังการีด้วยแง่มุมคล้ายๆกัน เลยร่วมพัฒนาบท Damnation (1988) ไปจนถึงผลงานเรื่องสุดท้าย

แซว: นวนิยาย Sátántangó (1985) เลื่องลือชาในการใช้คำบรรยายที่เยิ่นยาววว กว่าจะพบเจอจุด full stop (.) บางทีผ่านไปหลายสิบหน้ากระดาษ จบบทก็ยังไม่จบสิ้น (จนมีนักวิจารณ์วรรณกรรมเขียนแซวว่า “The world goes on, so the sentence”) … ไม่แปลกใจเลยที่ผู้กำกับ Tarr จะเข้ากันได้ดีกับ Krasznahorkai

We wanted to make Sátántangó in 1985 but at that time the Communist Party in Budapest stopped a lot of things. It just wasn’t possible.

Béla Tarr

ลายเซ็นต์ ‘สไตล์ Tarr’ มักแช่ค้างภาพไว้นานๆ Long Take ระยะ Long Shot (แต่เวลาตัวละครสนทนาอย่างออกรสจะใช้ระยะภาพ Close-Up) มีการขยับเคลื่อนไหวอย่างเชื่องชักช้า ค่อยๆเปิดเผยรายละเอียดที่ถูกปกปิดซ่อนเร้นไว้ สลับสับเปลี่ยนมุมมอง บางครั้งก็หมุนเวียนวงกลม 360 องศา ซึ่งพอเหตุการณ์ในซีนนั้นๆจบลงจะปล่อยทิ้งภาพสักระยะ (สร้างความรู้สึกเหมือนจะมีอะไรต่อ แต่ก็ไม่เคยเห็นมีอะไร)

โดยเนื้อหาสาระมักเกี่ยวกับการสูญเสีย ท้อแท้สิ้นหวัง ต้องการออกไปจากสถานที่แห่งนี้ (หรือคือประเทศฮังการี) แต่กลับมีบางสิ่งอย่างฉุดเหนี่ยวรั้ง สร้างบรรยากาศสังคมเสื่อมโทรม ราวกับวันสิ้นโลกาวินาศ ชีวิตไม่หลงเหลืออะไรต่อจากนี้ (ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด ทุกสิ่งอย่างจักเวียนมาบรรจบเหมือนไม่มีเคยสิ่งใดๆบังเกิดขึ้น)

I despise stories, as they mislead people into believing that something has happened. In fact, nothing really happens as we flee from one condition to another … All that remains is time. This is probably the only thing that’s still genuine — time itself; the years, days, hours, minutes and seconds.

Béla Tarr

ณ ชุมชนเหมืองแร่แห่งหนึ่ง นำเสนอเรื่องราวของชายวัยกลางคน Karrer (รับบทโดย Miklós B. Székely) ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อย ไร้จุดหมาย ท่องเที่ยวไปตามผับบาร์ห้าแห่งในหนึ่งค่ำคืน เพราะตกหลุมรักนักร้องสาว (รับบทโดย Vali Kerekes) ยินยอมพร้อมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อครองคู่อยู่ร่วม แต่เธอกลับแต่งงานอาศัยอยู่กินกับชายอื่น Sebestyén (รับบทโดย György Cserhalmi) แถมมีบุตรร่วมกันถึงสองคน

วันหนึ่ง Karrer ได้รับข้อเสนอจากเจ้าของบาร์ Willarsky (รับบทโดย Gyula Pauer) ชักชวนให้ลักลอบขนสิ่งของผิดกฎหมาย แม้เขาตอบปัดปฏิเสธแต่ก็ครุ่นคิดแผนการ โน้มน้าวชักชวน Sebestyén ให้ตอบรับงานดังกล่าว เพื่อว่าตนเองจะได้ใช้เวลาที่เขาไม่อยู่ แอบสานสัมพันธ์ชู้สาวกับเธอ

แต่ก็เพียงไม่กี่วันที่ Karrer มีโอกาสร่วมรักหลับนอนกับหญิงสาว เพราะเมื่อสามีเธอเดินทางกลับมา ทุกสิ่งอย่างก็หวนกลับเป็นเหมือนดังเดิม นั่นสร้างความท้อแท้สิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยาก แถมถูกทรยศหักหลังจากพวกพ้อง เลยโต้ตอบกลับ แล้วเห่าแข่งกับสุนัขข้างถนน สูญเสียสภาพความเป็นคน ไม่ต่างจากเศษขยะเกลื่อนกลาดข้างถนน


Miklós B. Székely (เกิดปี 1948) นักแสดงสัญชาติ Hungarian เกิดที่ Budapest มีผลงานทั้งละครเวทีและภาพยนตร์ ได้รับการจดจำจากการเป็นหนึ่งในขาประจำผู้กำกับ Béla Tarr ตั้งแต่ Almanac of Fall (1984), Damnation (1987), Sátántangó (1994) ฯลฯ

รับบท Karrer ชายวัยกลางคนผู้มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยหน่าย ดำเนินชีวิตอย่างไร้เป้าหมาย ความต้องการขณะนี้สนเพียงครอบครองรักนักร้องสาวประจำบาร์ Titanik ถึงขนาดครุ่นคิดแผนการให้สามีของเธอ Sebestyén รับงานลักลอบขนส่งสิ่งของผิดกฎหมาย แต่ช่วงเวลาที่ร่วมรักหลับนอนกับหญิงสาวนั้นช่างจืดชืด เฉื่อยชา เหมือนไม่ได้มีอารมณ์ร่วมใดๆ แถมยังถูกทรยศหักหลัง สุดท้ายเลยรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง หมดสูญสิ้นความเป็นมนุษย์สืบไป

จากเคยเป็นแมงดา/นักวางแผนใน Almanac of Fall (1984) มาเรื่องนี้ก็ได้รับบทบาทคล้ายๆเดิม ยังคงชอบสอดแนมแอบถ้ำมอง (Stalker) นั่นเพราะรูปลักษณ์ของ Székely เป็นคนมีความลึกลับลมคมใน ใบหน้านิ่งๆ เหมือนมีบางสิ่งอย่างซุกซ่อนเร้น แต่สังเกตจากปฏิกิริยาสีหน้าก็พอรับรู้สึกว่ามีความเบื่อหน่ายต่อชีวิต โหยหาบางสิ่งอย่าง ต้องการใครสักคน/หญิงสาวคนรักสำหรับพึ่งพักพิง

โดยปกติผลงานของศิลปินภาพยนตร์ ‘autuer’ ตัวละครหลักมักคืออวตารของผู้กำกับ แต่ดูไปดูมารู้สึกไม่น่าจะใช่ (เพราะมีตัวละครอื่นที่เหมือนพูดออกมาจากปากผู้กำกับ Tarr เสียมากกว่า!) ผมครุ่นคิดว่า Karrer น่าจะเป็นตัวแทนของประชาชนชาวฮังกาเรียน ภายใต้การปกครองรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ได้รับการปฏิบัติราวกับสรรพสัตว์ แทบจะสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ ชีวิตดำเนินไปอย่างล่องลอยไร้จุดมุ่งหมาย


Valéria Kerekes (เกิดปี 1953) เกิดที่ Vojlovica, Yugoslavia (ปัจจุบันคือ Serbia) สำเร็จการศึกษาจาก Színház- és Filmművészeti Egyetem (SZFE) แล้วไปแจ้งเกิดโด่งดังจากวงการละครเวที มีผลงานภาพยนตร์เพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น Damnation (1988)

ในเครดิตขึ้นว่านักร้องสาว (ไม่ระบุชื่อ) เป็นคนมีความทะเยอทะยาน ต้องการชื่อเสียง เงินทอง พร้อมตะเกียกตะกายสู่ความสำเร็จ แม้แต่งงานมีบุตรถึงสองคนก็ยังแอบคบชู้ ร่วมรักหลับนอนกับ Karrer ขอแค่มีโอกาสเมื่อไหร่ก็พร้อมละทอดทิ้งทุกสิ่งอย่าง (รวมถึงชายคนรัก) เพื่อเติมเต็มตัณหาราคะ สนองความเพ้อใฝ่ฝัน สักวันฉันจะะออกไปจากสถานที่โกโรโกโสแห่งนี้

That woman is… a leech. She’s a bottomless swamp … who sucks you in and swallows you up. That’s the sad end of it all, son.

ผู้หญิงห้องรับฝากของ

ถึงสารขัณฑ์จะเลวร้ายสักเพียงใด ผมก็ไม่ถึงขั้นด่าทอชาติบ้านเกิดตนเองเหมือนผู้กำกับ Tarr ผ่านคำพูดประโยคนี้ ไม่ใช่แค่อธิบายธาตุแท้ตัวตนของนักร้องสาว แต่เพราะเธอสามารถเทียบแทนดินแดนมาตุภูมิ ประเทศฮังการีภายใต้การปกครองรัฐบาลคอมมิวนิสต์ (คนละความหมายกับตัวละคร Karrer ที่คือตัวแทน’ประชาชน’ชาวฮังกาเรียน) … สภาพเหมือนหนองน้ำไร้ก้นเบื้อง คอยดึงดูดซึมจนไม่หลงเหลืออะไรสักสิ่งอย่าง หรือแม้แต่ความเป็นมนุษย์

การแสดงของ Kerekes มีความเบื่อหน่ายแบบสิ้นโลก ตาลอยๆ ชอบทำคอเอียงๆ (คงขี้เกียจตั้งให้ตรง) ไร้ความกระตือรือล้น อารมณ์ร่วมต่อสิ่งใด (โดยเฉพาะเพศสัมพันธ์) เพียงต้องการให้วันเวลาผ่านไป คาดหวังจะพบเจอใครสามารถเติมเต็มความเพ้อใฝ่ฝัน … แต่บุคคลนั้นไม่ใช่ Karrer อย่างแน่นอน จึงแค่ตอบสนองตัณหา เสร็จกามกิจก็ขับไล่ผลักไส ไร้เยื่อใยความสัมพันธ์ใดๆทั้งนั้น!


Hédi Temessy ชื่อจริง Hedvig Temesi (1925 – 2001) นักแสดงสัญชาติ Hungarian เกิดที่ Budapest มารดาเป็นชาวเยอรมัน ส่วนบิดาเป็นชาวฝรั่งเศส (เธอเลยสื่อสารได้ทั้งสองภาษา), ตอนแรกตั้งใจจะเป็นครู แต่หลังสำเร็จการศึกษาเข้าเรียนต่อด้านการแสดงยัง Színház- és Filmművészeti Egyetem (SZFE) จากนั้นกลายเป็นสมาชิก Youth Theater ตามด้วย Petőfi Theater พร้อมๆรับงานภาพยนตร์เรื่องแรก Strange Marriage (1951), ผลงานเด่นๆ อาทิ A pénzcsináló (1964), A Strange Role (1976), The Vulture (1982), The Revolt of Job (1983), Almanac of Fall (1984), Damnation (1988), Film… (2000) ฯลฯ

ในเครดิตขึ้นว่ารับบทผู้หญิงห้องรับฝากของ (Cloakroom woman) แต่ตัวตนของเธอราวกับอวตารพระเป็นเจ้า เมื่อพบเจอมักพูดให้สาระข้อคิดบางอย่างแก่ Karrer เกี่ยวกับสันดานธาตุแท้นักร้องสาว คำพิพากษาวันสิ้นโลก (เหมือนต้องการหยุดยับยั้งไม่ให้เขากระทำสิ่งผิดต่อหลักศีลธรรม) และนัยยะของการเต้นรำ ปลดปล่อยจิตวิญญาณสู่เสรีภาพ

ทีแรกผมไม่ได้เอะใจหรอกนะว่าตัวละครนี้มีความพิเศษเหนือธรรมชาติอะไร (จะมองว่าเป็นหญิงสาวสูงวัยพานผ่านโลกมามาก) จนกระทั่งสังเกตเห็นการก้าวเดินออกมาจากหมอกควัน (ใน Sátántangó (1994) จะมีฉากที่เมื่อหมอกควันพัดผ่านไป ราวกับพบเห็นสรวงสวรรค์ของพระเป็นเจ้า) แถมขณะนั้นเธอยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการพิพากษาวันสิ้นโลก และจบลงประโยคด้วย “Then they shall know… that I am the Lord”. มันช่างน่าสงสัยทีเดียว

เอาจริงๆผมก็อดไม่ได้จะนึกถึง Almanac of Fall (1984) เพราะตัวละครของ Temessy มักพูดคุยสนทนา รับฟังคำปรึกษาจากตัวละครของ Székely มาเรื่องนี้ราวกับอีกชาติภพใหม่ เหมือนเธอยังคงความรู้สึกดีๆ จึงพยายามโน้มน้าว เกลี้ยกล่อมเกลา อยากให้เขาเลือกดำเนินชีวิตในทิศทางถูกต้องเหมาะสม … จะว่าไปถ้า Karrer ยินยอมทำตามคำแนะนำทั้งหมด ตอนจบคงไม่สูญเสียความเป็นมนุษย์ เห่าแข่งกับสุนัขหรอกนะ


ถ่ายภาพโดย Gábor Medvigy (เกิดปี 1957) สัญชาติ Hungarian สำเร็จการศึกษาด้านการถ่ายภาพจาก Színház- és Filmművészeti Egyetem (SZFE) แจ้งเกิดทันทีเมื่อร่วมงานผู้กำกับ Béla Tarr ถึงสามเรื่อง Damnation (1988), Sátántangó (1994) และ Werckmeister Harmonies (2000)

การเปรียบเทียบที่ทำให้ผมเข้าใจลายเซ็นต์ ‘สไตล์ Tarr’ คือความพยายามทำให้การดำเนินเรื่องละม้ายคล้ายนวนิยาย! ลองนึกถึงเวลาอ่านหนังสือ ก่อนนำเข้า-สิ้นสุดเนื้อเรื่องราวหลักๆ มักเต็มไปด้วยถ้อยคำพรรณา บรรยายรายละเอียดหลายย่อหน้า แต่ภาพยนตร์สามารถใช้ภาพๆเดียวอธิบายทุกสิ่งอย่าง วิธีการของผู้กำกับ Tarr จึงเริ่มต้นด้วยช็อตเกริ่นนำ (คล้ายๆแนวคิด Establishing Shot) จากนั้นค่อยๆเคลื่อนเลื่อนเข้าหาเหตุการณ์อย่างเชื่องชักช้า หรือตัวละครย่างก้าวเดินเข้าสู่ฉากอย่างใจเย็น ซึ่งเมื่อรายละเอียดในซีนนั้นจบสิ้นลงก็หยุดนิ่งแช่ภาพค้างไว้ หรือดำเนินต่อไปยังสิ่งสุดท้ายที่ต้องการให้พบเห็น (สามารถครุ่นคิดตีความในเชิงสัญลักษณ์) แล้วค่อยตัดสู่ซีเคว้นซ์ถัดไป

ถ้าทำความเข้าใจด้วยเหตุด้วยผล การขยับเคลื่อนเลื่อนกล้องอย่างช้าๆ หรือแช่ภาพค้างไว้นานๆ ก็เพื่อสร้างบรรยากาศให้ผู้ชมสัมผัสถึงวิถีชีวิตดำเนินไปอย่างเรื่อยเปื่อย น่าเบื่อหน่าย เหมือนจะไร้จุดหมาย (แต่นั่นคือความตั้งใจของผู้กำกับ!) สามารถเทียบแทนมุมมองสายตาที่มักเหม่อล่อยลอย แล้วค่อยๆเปิดเผยรายละเอียดออกทีละน้อยๆ บางครั้งค่อยไปเฉลยเอาภายหลังเมื่อนำเสนออีกมุมมองที่มีทิศทางกลับตารปัตรตรงกันข้าม

เกร็ด: หนังมีความยาวเฉลี่ยต่อช็อต Average Shot Length (ASL) 116.7 วินาที มากกว่าเกือบๆสองเท่าของ Alamanac of Fall (1985) ที่เพียง 57.2 วินาที แต่ก็น้อยกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับสามผลงานสุดท้ายที่ล้วนยาวเกินกว่า 210+ วินาที

ผมพยายามมองหาว่าหนังถ่ายทำยังสถานที่แห่งหนไหน ก็ไม่พบเจอรายละเอียดใดๆ แต่มีนักวิจารณ์สมัยนั้นแสดความคิดเห็นว่า นี่ไม่ใช่แค่สภาพของฮังการี แต่สามารถเหมารวมกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก (Eastern Bloc) ที่ปกครองระบอบคอมมิวนิสต์/พันธมิตรสหภาพโซเวียต ล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศอันสิ้นหวัง ราวกับวันสิ้นโลกแบบนี้แหละ!

In all our movies, the location has a face. It looks like an actor… In the beginning, we were just talking about social conflicts, and then we were opening, opening, opening. Now we had to show the landscape and the time…

When we did location scouting [for Damnation] we kept seeing the cable cars. It was awful weather, we were very poor and just trying to do something, but one thing was sure—the cable cars kept going. The most important part of these movies is mostly the location—you have to go and find the visual elements, something which is real.

Béla Tarr

กระเช้าขนส่งบรรทุกอะไรก็ไม่รู้ (ก้อนแร่, ถ่านหิน ฯ) กำลังขับเคลื่อนดำเนินไป เวียนวนซ้ำไปซ้ำมา เหมือนดั่งชีวิตที่ไม่สามารถหยุดอยู่นิ่ง แต่เมื่อกล้องค่อยๆขยับเลื่อนถอยหลัง มาจนศีรษะของ Karrer บดบังหน้าต่างฝั่งกระเช้าขนส่ง หลงเหลือเพียงด้านเนินเขา(น่าจะคือสถานที่ขุดเหมืองแร่) สามารถสื่อถึงความไร้ชีวิตของตัวละคร ใกล้ถึงจุดสิ้นสุด อีกไม่นานจักสูญสิ้นความเป็นมนุษย์

บ่อยครั้งที่หนังจะเริ่มต้น-สิ้นสุด ด้วยภาพผนังกำแพงที่มีลวดลาย (Texture) แทนเปลือกภายนอกของมนุษย์ สังคม ประเทศฮังการี (และโลกใบนี้) ซึ่งพอกล้องเคลื่อนเลื่อนมาพบเห็น Karrer กำลังโกนหนวดเครา แต่ปลายมีดโกนกลับพยายามบดบัง บิดเบือน (แสร้งว่ามองไม่เห็นปัญหา) และถ้าใครช่างสังเกตจะพบว่ามีดอันนี้ไม่ได้มีความแหลมคมเลยสักนิด! พยายามถูกๆถากๆ แต่ก็ไม่มีอะไรบังเกิดขึ้น … แล้วจะโกนทำพรือ!

การโกนหนวดก็เพื่อจะสะท้อนปัญหา’ภายนอก’ในสังคม ประเทศฮังการี เป็นสิ่งที่หมดสิ้นหวัง ไร้หนทางออก ทำอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ทุกสิ่งอย่างล้วนเวียนวนกลับสู่จุดเริ่มต้น (คือไม่สามารถแก้ปัญหา ไม่อาจปรับเปลี่ยนแปลงอะไร ตราบใดที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์ยังคงปกครองประเทศ) แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป … ใครเคยรับชม Almanac of Fall (1984) ก็น่าจะเข้าใจนัยยะดังกล่าวได้เป็นอย่างดี

มาถึงจุดนี้ผู้ชมน่าจะพอตระหนักได้แล้วว่า ภาพแรกของแต่ละซีเควนซ์มักมีลักษณะเป็นการเกริ่นนำก่อนเข้าเคลื่อนเลื่อนสู่เนื้อหาหลักๆ ลักษณะคล้าย Establishing Shot เพื่อสร้างบรรยากาศ แนะนำสถานที่ หรืออาจแฝงนัยยะอะไรบางอย่าง ช็อตนี้คือแก้วน้ำวางซ้อนเรียงราย เริ่มต้นย่อมสงสัยว่าจะสื่อถึงอะไร แต่พอได้ยินเสียงตัวละครพูดว่า

You visit five lousy bars a day.

นั่นคือความหมายของแก้วน้ำที่วางเรียงราย แทนบาร์ห้าแห่งที่ตัวละครเข้าใช้บริการในหนึ่งวัน! จากนั้นกล้องเคลื่อนเลื่อนมาทางซ้าย (ในยุโรปจะถือว่าคือทิศทางย้อนศร สวนทางกับวิถีชีวิตโดยปกติ) พบเห็นไอน้ำโพยพุ่งออกมาบดบัง Karrer สามารถสื่อถึงความลุ่มร้อนทรวงใน จิตใจโหยหาใครสักคน/หญิงสาวที่สามารถเป็นที่พักพิงกายใจ

ระหว่างที่ Willarsky ยื่นข้อเสนองานพิเศษกับ Karrer จะมีการตัดมาภาพมุมกว้างที่สามารถพบเห็นคนเล่นหีบเพลง (Accordion) และโต๊ะสนุกเกอร์/บิลเลียต อย่างหลังน่าจะเป็นการเปรียบเทียบถึงลักษณะของงาน เพราะต้องแทงลูกขาวให้ถูกลูกสีลงหลุม หรือคือเจ้าของบาร์ต้องการผู้ช่วยลักลอบขนส่งสิ่งของผิดกฎหมาย

แม้ว่า Karrer จะตอบปัดปฏิเสธไม่รับงานดังกล่าว แต่เขาก็บังเกิดความครุ่นคิด แผนการบางอย่าง ซึ่งกล้องจะค่อยๆเคลื่อนเลื่อนอย่างช้าๆ เพื่อถ่ายให้ติดประตูทางออกด้านหลังอย่างแนบเนียน (สัญลักษณ์ทางออกของงานดังกล่าว)

ลายเซ็นต์ ‘สไตล์ Tarr’ ประกอบด้วยภาพขาว-ดำ บรรยากาศทะมึนๆ บ่อยครั้งฝนตกพรำ พื้นเปียกแฉะ เต็มไปด้วยโคลนเลน หมอกควัน และสรรพสัตว์ไม่ต่างจากมวลมนุษย์ (สำหรับ Damnation (1988) จะเน้นกับฝูงสุนัข = มนุษย์)

ผมมีความอึ้งทึ่งต่อฝูงสุนัขในหนังมากๆ ชอบเข้ามาด้อมๆมองๆ วิ่งผ่านหน้ากล้อง เหมือนทีมงานโปรยเศษอาหารทิ้งไว้ เพื่อให้พวกมันสามารถดำเนินเดินตามทิศทางที่ต้องการ … มันทำได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ!

titanki bar แค่ชื่อผมก็รู้สึกว่าสิ้นหวังแล้วนะ (แทบทุกคนน่าจะระลึกถึงภาพยนตร์ Titanic (1997)) แน่นอนว่าต้องการล้อถึงเรือ RMS Titanic ที่อัปปางลงเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1912 ถือเป็นเหตุการณ์โศกนาฎกรรมทางน้ำครั้งใหญ่ที่สุดแห่งมวลมนุษย์ชาติ! สามารถสื่อถึงใครก็ตามเข้ามาในบาร์แห่งนี้/ประเทศฮังการี จักทำให้ชีวิตราวกับจมลงสู่ก้นเบื้องมหาสมุทร ไม่สามารถตะเกียกตะกายหวนกลับขึ้นมา

ซีเควนซ์ภายใน Titanik Bar ถือว่ามีความน่ามหัศจรรย์มากๆ เพราะเป็นการถ่ายทำแบบ Long Take เดียว! ค่อยๆเคลื่อนเลื่อนเก็บบรรยากาศโดยรอบ ซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด (จัดแสง Low Key) และเมื่อดำเนินมาถึง Karrer กล้องจะหมุนไปด้านหลังแล้วพบเห็นนักร้องสาว (ที่ชื่นชอบ) ดูราวกับเธอคือบุคคลผู้อยู่เบื้องหลัง (สำหรับทำลายความมืดมิดที่อยู่ภายในจิตใจ)

การถ่ายทำ Long Take ของซีเควนซ์นี้ก็เพื่อสร้างความรู้สึกล่องลอย(อย่างต่อเนื่อง)ไปกับบทเพลง Kész az egész ซึ่งสร้างบรรยากาศหดหู่ ท้อแท้สิ้นหวัง ตัวประกอบส่วนใหญ่ยืนนั่งอยู่นิ่งๆ แทบจะไม่ขยับเคลื่อนไหวติง (แอบระลึกถึงผลงานของผู้กำกับ Rainer Werner Fassbinder อยู่เล็กๆ) เหมือนกำลังจมอยู่ใต้ก้นเบื้องมหาสมุทร Titanik สมชื่อบาร์จริงๆ

เห็นหญิงสาวเปลือยหน้าอก แสดงว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะคือห้องแต่งตัวหลังเวที ที่ซึ่ง Karrer พยายามโน้มน้าว Sebestyén ให้ตอบรับงานลักลอบขนส่งสิ่งของผิดกฎหมาย (นัยยะเหมือนว่า Karrer พยายามแต่งตัว/กำหนดแผนการชีวิตให้อีกฝ่าย)

และสังเกตว่านักร้องสาวยืนอยู่ระหว่าง Karrer กับ Sebestyén ไม่ใช่ว่าเธอคือคนกลาง (ที่หมายถึงบุคคลติดต่อประสานงาน) แต่สะท้อนความสัมพันธ์รักสามเส้า (Love Triangle) ได้หมดถ้าสดชื่น!

ระหว่างที่ Sebestyén ไปพูดคุยงานกับเจ้าของบาร์ Willarsky ทำให้ Karrer มีโอกาสพูดคุยรับฟังคำสนทนาของหญิงสาวที่เขาตกหลุมรัก แต่ไม่รู้ทำไมสิ่งที่ผมได้ยินราวกับคำพูดออกมาจากปากผู้กำกับ Tarr

I like the rain. I like to watch the water run down the window. It always calms me down. I don’t think about anything. I just watch the rain. I’m not attached to anything anymore. I don’t depend on anyone.

ตั้งแต่ Almanac of Fall (1984) ต่อด้วย Damnation (1988) รวมถึง Sátántangó (1994) ล้วนเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นของตัวละคร/ผู้กำกับ Tarr แสดงความต้องการออกไปจากสถานที่แห่งนี้/ประเทศฮังการี เพื่อชื่อเสียง ความสำเร็จ ผลงานได้รับการยินยอมรับในระดับนานาชาติ

I’m going to leave. Because nothing is stable here. I can’t trust anyone. I know that I’m alone. I know it well. But I can’t give up… and I won’t give up. Big city audiences will applaud me. I’ll be a winner. I don’t let other people drag me down. One must return to beauty. Rediscover life again. The joy of great things. The taste of victory and success.

แต่เหมือนมีบางสิ่งอย่างฉุดเหนี่ยวรั้งเอาไว้ ทำให้ยังไม่สามารถดิ้นหลบหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้

And that’s where you’ve failed. Because you’ve given up. You’ve killed the love and decency in yourself. Things will end badly for you. Because one cannot live without love … and decency.

ผู้กำกับ Tarr ถือว่ามีความนิยมรูปแบบ (Formalism) ที่ให้ความสำคัญกับรูปแบบการนำเสนอ (Form) ที่สอดคล้องแนวคิดผู้สร้าง มากกว่าเนื้อหาสาระ (Content) สังเกตว่าการดำเนินเรื่องจะมีลำดับ เป็นขั้นเป็นตอน เริ่มต้น-สิ้นสุดเวียนวน 360 องศา หลายๆฉากก็มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์ทางภาษาภาพยนตร์ อย่างสองช็อตนี้ที่อยู่คนละเวลา แต่มีทิศทางกลับตารปัตร แอบจับจ้อง(ถ้ำ)มองคนละฟากฝั่ง Karrer รอคอยเวลาที่ Sebestyén ขับรถจากไป เพื่อแอบขึ้นอพาร์ทเมนท์นักร้องสาว

ผมอยากให้สังเกตการดำเนินเข้ามาของผู้หญิงห้องรับฝากของ (Cloakroom woman) ก้าวจากบริเวณที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอกควันหนาทึบ (และมาพร้อมกับฝูงสุนัข/บริพารรับใช้) คือมันมีความผิดปกติ เหนือธรรมชาติยิ่งนัก! แถมพอเธอมาถึงก็ใช้ร่มพยายามบดบัง Karrer ไม่ให้พบเห็นความเป็นไปเบื้องหลัง เอ่ยถ้อยคำจากคัมภีร์ไบเบิ้ล (Old Testament) ถึงการพิพากษาวันสิ้นโลก เหมือนต้องการย้ำเตือนสติไม่ให้เขาหลงระเริงไปกับโอกาสในครั้งนี้ … แต่ทั้งตัวละครและมุมกล้องที่ค่อยๆเคลื่อนไปด้านหลัง ล้วนแสดงถึงความไม่สนใจอยากรับฟังสักเท่าไหร่

ในห้องของนักร้องสาวก็มีหน้าต่างที่สามารถมองเห็นกระเช้าขนส่ง แต่ทิศทางนั้นอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับตอนต้นเรื่อง/ห้องของ Karrer ที่พบเห็นเหมือง ครานี้คือโรงงานถลุงแร่ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายปลายทางของการขนส่ง (สามารถแทนถึงความปรารถนาสูงสุดของ Karrer ในการร่วมรักหลับนอนกับนักร้องสาว)

ถึงอย่างนั้นตัวละครกลับทำได้เพียงมองลอดผ่านช่องบานเกล็ด (มีการปรับโฟกัสเมื่อกล้องเคลื่อนถอยออกมา) เมื่อพบเห็นตัวละครภาพด้านนอกจึงเบลอๆ มีสภาพไม่ต่างจากกรงขัง สามารถสื่อถึงเป้าหมาย/ความเพ้อฝัน ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด ทำให้สูญเสียอิสรภาพแห่งชีวิต … นั่นทำให้หลังจาก Karrer เดินกลับอพาร์ทเม้นท์ของตนเอง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง นี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถาม การครอบครองนักร้องสาวใช่ความต้องการสูงสุดของตนเองหรือไม?

น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถหารายละเอียดการแข่งขันฟุตบอลนัดนี้ แต่พอคาดเดาได้ว่าอาจเป็นคู่ชิงชนะเลิศ 1986 FIFA World Cup ระหว่าง Argentina vs. West Germany เพราะคือจุดกำเนิดฉายาหัตถ์พระเจ้า (Hand of God) ประตูแห่งชัยชนะของ Diego Maradona … ซึ่งล้อกับประเด็นของหนังได้ระดับหนึ่ง (หัตถ์)พระจำทำให้เกิดความหมดสิ้นหวังต่อผู้พ่ายแพ้

เสียงเด็กร้องไห้ ดังขึ้นอย่างหนวกหูระหว่าง Karrer ทะเลาะขึ้นเสียง/ถูกนักร้องสาวขับไล่หลังได้รับความพึงพอใจทางเพศ ไม่ต้องการให้เขามาเกาะแก่งตนเอง(เหมือนแมงดา)ไปมากกว่านี้ … นั่นเพราะ Karrer ไม่ได้มีการมีงาน มีเงินมีทอง พึงพาอะไรก็ไม่ได้สักสิ่งอย่าง เพียงถ้อยคำหวานที่พรอดจากปาก ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยายามบอกปัดปฏิเสธ แค่นี้ฉันก็แทบเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ต้องเลี้ยงดูแลบุตรสาวและทารกน้อย แค่น้ำนมยังไม่มีให้ (เลยต้องว่าจ้างแม่นม)

Karrer พยายามติดตามตื้อ ขอคืนดีกับนักร้องสาว ถึงขนาดมาเฝ้ารอคอยยังสถานที่ทำงาน เมื่อพวกเขาเดินลาลับขอบถนนไป กล้องเคลื่อนเลื่อนต่อมายังบริเวณรั้วลวดหนาม (สื่อถึงสภาพจิตใจของ Karrer ที่ถูกควบคุมขัง/จมปลักอยู่ในความรักต่อนักร้องสาว ยังไม่สามารถดิ้นหลบหนีออกมา)

นี่เป็นฉาก (unstimulated) Sex Scene มีความน่าเบื่อหน่ายที่สุดในโลกแล้วกระมัง! ทั้งสองโอบกอดท่วงท่าลิงอุ้มแตง (การหันหน้าเข้าหากัน แสดงถึงความเสมอภาคเท่าเทียม) แต่พวกเขากลับขยับนิด โยกหน่อย ราวกับไร้อารมณ์ร่วมใดๆ ขนาดว่ากล้องยังค่อยๆเคลื่อนเลื่อนเหมือนอาการเบือนหน้าหนี แล้วดำเนินหมุนไปรอบๆห้อง (แอบชวนให้นึกถึง Elephant (2003) ที่ Gus Van Sant บอกได้แรงบันดาลใจจากผลงานผู้กำกับ Tarr) ก่อนสิ้นสุดลงตรงเรือนเปียโนที่ปกคลุมด้วยความมืดมิด (นี่น่าจะหมุนประมาณ 180 องศา คือฝั่งตรงกันข้ามกับตอนเริ่มต้น)

กล้องค่อยๆเคลื่อนจากกำแพงที่มีสายน้ำค่อยๆไหลลงมา พานผ่านผู้คนยืนแน่นิ่ง สีหน้านิ่วคิ้วขมวด เฝ้ารอคอยฝนหยุดตก (หนึ่งในนั้นคือการ Cameo ของผู้กำกับ Béla Tarr) ดำเนินต่อมายังกำแพงสภาพปรักหักพัก หน้าต่างกรงเหล็กขวางกั้น ก่อนสิ้นสุด ณ กำแพงที่มีสายน้ำค่อยๆไหลลงมาอีกครั้ง (เหมือนหวนกลับสู่จุดเริ่มต้น)

พื้นผิว (Texture) ของผนังกำแพง สามารถแทนด้วยสภาพ’ภายนอก’ของฮังการี ที่ดำเนินมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงแรกๆก็ดูแข็งแรงมั่นคงดี เพียงไม่นานกลับเริ่มพบเห็นสภาพปรักหักพัก ก่อนถูกควบคุมขัง (ภายใต้การปกครองของรัฐบางคอมมิวนิสต์) ประชาชนทำได้แค่ยืนสงบ นิ่งเงียบงัน ไม่สามารถกระทำอะไร แต่ท้ายที่สุดเชื่อหวังว่าทุกสิ่งอย่างจักหวนกลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง!

แทนที่หนังจะนำเข้าบาร์โดยตรงๆ กลับเริ่มถ่ายจากภายนอก ยามค่ำคืนฝนพรำ ใครคนหนึ่งกำลังโยกเต้น Dancin’ in the Rain (ล้อกับภาพยนตร์ Singin’ in the Rain (1952)) จากนั้นค่อยๆเคลื่อนเข้ามาในบาร์ที่มีผู้คาคาคับคลั่ง และน่าจะวงดนตรีใต้ดิน Balaton (ของนักแต่งเพลง Mihály Víg)

แซว: เมื่อตอนต้นเรื่องมีการเกริ่นว่า Karrer แวะเวียน 5 บาร์ในหนึ่งค่ำคืน แต่หนังนำเสนอแค่ 3 แห่งเท่านั้นนะครับ Titanki Bar, บาร์ของ Willarsky, และบาร์แห่งนี้

ระหว่างดื่มเลี้ยงเฉลิมฉลองหลังเสร็จงาน Karrer และ Willarsky เข้ามาพูดคุยกันในห้องน้ำ กล้องถ่ายมุมเงยพบเห็นภาพสะท้อนบนเพดาน (สื่อถึงการกำลังจะพูดบอกสิ่งอัดอั้นภายใน) ก่อนค่อยๆเคลื่อนลงมาเห็นทั้งสองกำลังยืนปัสสาวะ (จากสูงสุดกลับสู่สามัญ) พร้อมเล่าให้ฟังถึงสิ่งของ(ผิดกฎหมาย)ที่ได้รับ มีบางส่วนสูญหายไป นี่ก็ชัดเจนว่า Sebestyén แอบยักยอกไว้ส่วนหนึ่ง จึงครุ่นคิดแผนโต้ตอบกลับ (ด้วยการหาโอกาสร่วมรักหลับนอนกับนักร้องสาว)

ระหว่างที่ Willarsky เกี้ยวพาราสีนักร้องสาว แล้วพาเธอขึ้นรถ โน้มศีรษะให้กระทำการ ‘blowjob’ คนคุ้นเคยผู้หญิงห้องรับฝากของ ก็ปรากฎตัวเข้ามานั่งขวางทาง Karrer พร่ำสอนเกี่ยวกับนัยยะของการกินดื่มเริงระบำ คือความหลงระเริงของมนุษย์ที่ครุ่นคิดว่าการพิพากษาในวันสิ้นโลกไม่มีอยู่จริง!

ถึงอย่างนั้นผู้หญิงห้องรับฝากของ พยายามโน้มน้าวให้เขาออกไปพบเห็นภาพบาดตาบาดใจ เผื่อจักได้หยุดยับยั้งเหตุการณ์ชั่วร้ายติดตามมา แต่เขากลับไม่ยินยอมลุกไปไหน จิตใจมีความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า คงรับรู้อยู่แล้วว่าตนเองถูกทรยศหักหลัง ค่ำคืนนี้จึงไม่หลงเหลือความกระตืนรือล้นอีกต่อไป

Sátántangó มาจากคำว่า Satan (ซาตาน) และ Tango (ท่าเต้นแทงโก้) แปลตรงตัวก็คือการเริงระบำของปีศาจ! ตามความเชื่อทางคริสตศาสนามองว่าพฤติกรรมกินดื่มเต้นรำ คือการถูกลวงล่อหลอกโดยปีศาจ/ซาตาน ให้เกิดความหลงระเริง จนปล่อยปละละเลยศรัทธาต่อพระเป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้เมื่อถึงวันสิ้นโลกาวินาศ บุคคลเหล่านี้จักถูกพิพากษาตัดสิน สาปแช่งให้ต้องอาศัยอยู่ในขุมนรกชั่วกัปชั่วกัลปาวสาน

ถ้าเราไม่พาดพิงอิงศาสนา การเต้นเริงระบำคือสัญลักษณ์ของการปลดปล่อย ราวกับจิตวิญญาณล่องลอยไปตามเสียงเพลง นี่ทำให้ผมหวนระลึกถึงภาพยนตร์หลายเรื่องทีเดียวตั้งแต่ The Rules of the Game (1939), 8½ (1963), The Damned (1969), Fanny and Alexander (1982) ฯลฯ (จริงๆก็อยากจะรวม The Leopard (1963) แต่คุ้นๆว่าเรื่องนี้ไม่มีการเต้นระบำที่เป็นวงกลม) และด้วยลักษณะเวียนวงกลม นั่นคือวังวน วัฎจักรชีวิต … หรือคือใจความของหนังที่เริ่มต้น-สิ้นสุด เมื่อบรรจบกันราวกับไม่เคยมีอะไรบังเกิดขึ้น

ภายหลังการกินดื่มเริงระบำ นี่คือบาร์ยามเช้าที่เต็มไปด้วยเศษขยะ ขวดแก้วน้ำ โต๊ะเก้าอี้กระจัดกระจายเรียงราย ไม่มีใครเก็บกวาดทำความสะอาด สามารถเปรียบเทียบถึงประเทศฮังการี ภายหลังรัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้เฉลิมฉลองความคอรัปชั่น กอบโกยกินอย่างอิ่มหนำสำเริงราญ นี่คือสภาพหลงเหลือให้กับประชาชน ไม่แตกต่างจากวันสิ้นโลกาวินาศ

และแม้ยามเช้าหลังจากทุกคนหวนกลับบ้าน ยังมีใครคนหนึ่งยังคงโยกเต้นเริงระบำ น่าจะคนเดียวกันตอนนำเข้าบาร์แห่งนี้ แต่เปลี่ยนจากเคลื่อนกล้องแนวนอน(เข้าสู่บาร์) เป็นเลื่อนแนวดิ่งจากรองเท้าขึ้นสู่ใบหน้า เพื่อเป็นการเวียนวนหวนกลับสู่จุดเริ่มต้น มนุษย์ไม่ทางหยุดเต้นจนกว่าจะหมดสิ้นลมหายใจ

หลายฉากก่อนหน้านี้สร้างความฉงนสงสัยให้ผู้ชมว่า Karrer มาหยุดยืนทำไม? สถานที่แห่งนี้คืออะไร? ก่อนมาเปิดเผยช่วงท้ายว่าคือสถานีตำรวจ และเขามาเพื่อแจ้งความเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งสิ่งของผิดกฎหมาย

  • ในตอนแรก Karrer ต้องการแจ้งจับ Sebestyén เพื่อตนเองจะได้ครองคู่อยู่กับหญิงสาวคนรัก (ในช่วงเวลาที่อีกฝ่ายถูกควบคุมขังคุก)
  • แต่รอบหลังค่อนข้างชัดเจนว่าต้องการแจ้งจับเจ้าของบาร์ Willarsky ที่แอบสานสัมพันธ์กับนักร้องสาว ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยี่หร่าอะไรใครอีกแล้ว

การเคลื่อนเลื่อนกล้องของซีเควนซ์นี้ค่อนข้างสลับซับซ้อน เต็มไปด้วยลูกเล่น ค่อยๆเปิดเผยรายละเอียดออกทีละเล็ก ซึ่งสามารถสะท้อนถึงสภาวะทางอารมณ์/ความครุ่นคิดของ Karrer ที่เต็มไปด้วยความโล้เล้ลังเล ไม่ค่อยแน่ใจในตนเองว่าอยากกระทำสิ่งนี้/คิดคดทรยศหักหลังพรรคพวกพ้อง

ท่านพุทธทาสภิกขุเคยกล่าวสอนไว้ว่า “หมาเห่า อย่าเห่าตอบ เพราะจะทำให้มีหมาเพิ่มอีกหนึ่งตัว” นั่นคือสิ่งบังเกิดขึ้นกับฉากนี้ เมื่อจู่ๆ Karrer เห่าแข่งกับสุนัข พร้อมคลานหมุนรอบ 360 องศา (ดีที่มันไม่กัด!) นี่คือการแสดงออกของบุคคลที่ตัดสินใจละทอดทิ้งความเป็นมนุษย์ (humanity) ไม่หลงเหลือความเชื่อมั่นศรัทธาต่อผู้คน สังคม ประเทศ(ฮังการี) และพระเป็นเจ้า สนเพียงกระทำสิ่งตอบสนองสันชาติญาณ ใครดีมาดีตอบ ร้ายมาร้ายตอบ เห่ามาเห่าตอบ ชีวิตดำเนินไปท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง

Damnation

ตัดต่อโดย Ágnes Hranitzky (เกิดปี 1945) ภรรยาของผู้กำกับ Béla Tarr ซึ่งไม่ใช่แค่ทำงานตัดต่อ หลายๆครั้งยังดูแลบทหนัง ออกแบบงานสร้าง (Production Design) ช่วยกำกับกองสอง เหมือนจะรับรู้จักกันมาตั้งแต่ The Outsider (1981) จนผลงานสุดท้าย

หนังดำเนินไปด้วยการติดตามเรื่องราวของตัวละคร Karrer วันๆใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อย ไร้จุดหมาย แล้วจู่ๆได้รับการชักชวนจากเจ้าของบาร์ Willarsky ให้ออกเดินทางไปต่างเมือง ลักลอบขนส่งสิ่งของผิดกฎหมาย แต่เขากลับครุ่นคิดวางแผนส่งต่อให้ Sebestyén ที่แอบตกหลุมรัก เพื่อใช้ระยะเวลา(ที่สามีไม่อยู่)อาศัยครองรักร่วมกัน

  • ชีวิตเรื่อยเปื่อยของ Karrer
    • นั่งเหม่อมองกระเช้ากำลังเคลื่อนเลื่อนไปกลับ
    • แอบถ้ำมอง แสดงความต้องการครองรักนักร้องสาว
    • แวะบาร์ห้าแห่งในค่ำคืนเดียว
  • แผนการอันชั่วร้ายของ Karrer
    • โน้มน้าว Sebestyén ให้รับงานขนส่งสิ่งของผิดกฎหมาย
    • เมื่อสามีของเธอจากไป Karrer ก็ได้ร่วมรักหลับนอน เต็มเต็มความต้องการของตนเอง
    • หลังเสร็จกามกิจในวันแรก เธอก็ยื้อยักเล่นตัว แต่เขาก็ติดตามตื้อจนได้ครองรักค่ำคืนที่สอง
  • ความเป็นจริงอันโหดร้าย
    • Karrer เริ่มตระหนักว่าตนเองไม่อาจรับผิดชอบต่อชีวิตของนักร้องสาว
    • งานเลี้ยงฉลองเมื่อ Sebestyén เดินทางกลับมา เล่น-เต้น มึนเมา
    • นักร้องสาวแอบไปร่วมรักหลับนอนกับนายจ้าง
  • สิ้นสุดความเป็นมนุษย์ของ Karren
    • นำเรื่องราวทั้งหมดไปแจ้งความตำรวจ
    • จากนั้นก้าวออกเดินไปไหนไม่รู้ละ

เรื่องราวของหนังไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอะไร แต่สาเหตุที่ดูยากโคตรๆเพราะลายเซ็นต์ ‘สไตล์ Tarr’ เต็มไปด้วยลูกเล่นลีลา ค่อยๆดำเนินไปอย่างเชื่องชักช้า ทำให้ผู้ชมวอกแวก ง่วงหงาวหาวนอน สูญเสียสมาธิโดยง่าย แต่ถ้าสามารถอดรนทนดูให้จบรอบแรก ทำความเข้าใจวิธีการนำเสนอ เมื่อมีโอกาสรับชมรอบสองจักพบเห็นความพอดิบดีของระยะเวลาอย่างน่าเหลือเชื่อ!


เพลงประกอบโดย Mihály Víg (เกิดปี 1957) นักแต่งเพลงสัญชาติ Hungarian เกิดที่ Budapest ในครอบครัวนักดนตรี ถือว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น พอโตขึ้นร่วมก่อตั้งวงใต้ดิน Trabant (1980–1986) ตามด้วย Balaton (1979-ปัจจุบัน) กลายเป็นขาประจำผู้กำกับ Béla Tarr ร่วมงานกันตั้งแต่ Almanac of Fall (1984) จนถึงผลงานเรื่องสุดท้าย

งานเพลงของ Víg มีท่วงทำนองเรียบง่าย ไม่ค่อยสลับซับซ้อน ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น กลิ่นอายสไตล์เพลงใต้ดิน (น่าจะเรียกว่า Minimalist ได้เลยกระมัง) มีความเบาๆ วาบหวิว รู้สึกหลอกหลอน สร้างความเหน็ดเหนื่อย เนื่อยๆ บรรยากาศวันสิ้นโลกาวินาศ

สำหรับ Damnation (1988) ส่วนใหญ่จะเป็น ‘diegetic music’ ได้ยินจากวงดนตรีขับร้อง-บรรเลงในผับบาร์ เห็นว่าทุกบทเพลงแต่งเสร็จก่อนเริ่มโปรดักชั่น แล้วผู้กำกับ Tarr ค่อยนำไปเปิดสร้างบรรยากาศระหว่างการถ่ายทำ … นี่แสดงว่างานเพลงของ Víg แต่งขึ้นจากคอนเซ็ป/คำอธิบายแนวคิด ไม่ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งพบเห็นในภาพยนตร์

เริ่มต้นที่บทเพลงไฮไลท์ของหนัง Kész az egész แปลภาษาอังกฤษ It’s all done! หรือ Over and Done คือบทเพลงรำพันความท้อแท้หมดสิ้นหวังของนักร้องสาว Valéria Kerekes ด้วยท่วงท่าและน้ำเสียงเหมือนคนไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้วทั้งนั้น

ทั้งซีเคว้นซ์นี้คือโคตร Long Take กล้องค่อยๆเคลื่อนเลื่อนอย่างเชื่องช้า เก็บบรรยากาศรอบๆผับ Titanik พอมาถึงนักร้องสาวก็จักร่นระยะจนถึงโคลสอัพใบหน้า และท่อนจบดำเนินต่อไปหานักแซ็กโซโฟน (ผมเห็นไม่ค่อยชัดนัก แต่คาดว่าอาจคือ Mihály Víg) ราวกับกำลังพ่นลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกมา

นี่คือบทเพลงที่ถือเป็นจิตวิญญาณของภาพยนตร์เรื่องนี้ รำพันถึงความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้สิ้นหวัง ไม่หลงเหลืออาลัยตายอยากทั้งนั้น หรือคือสภาพของฮังการี ยุโรปตะวันออก ทุกสิ่งอย่างได้จบสูญสิ้นไป … เป็นบทเพลงในคอลเลคชั่นวันสิ้นโลกของผู้กำกับ Tarr ร่วมกับ Que sera, sera ได้อย่างดีเลยละ!

Eső แปลว่า Rain หยาดฝนร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ด้วยจังหวะแทงโก้ (Tango) เต็มไปด้วยความสนุกสนานครึกครื้นเครง ชวนให้ลุกขึ้นมาโยกเต้นเริงระบำ แต่กล้องถ่ายภาพเคลื่อนเลื่อนผ่านผนังกำแพง ผู้คนยืนเรียงราย สงบแน่นิ่ง คาดว่าคงติดฝน ไม่สามารถกลับบ้าน เลยแสดงสีหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างเซ็งๆ

ความขัดแย้งระหว่างภาพและบทเพลง สะท้อนความรู้สึกนึกคิดขณะนั้นของ Karren ต้องการครอบครองรักนักร้องสาว อยู่ไม่ได้ถ้าขาดเธอ แต่ถ้าต้องรับผิดชอบบุตรสาว ภาระหนี้สิน ทำมาหากิน แค่คิดก็เหน็ดเหนื่อยหน่ายเต็มทน มันเลยเกิดเป็นความหมดสิ้นหวังของชีวิต

ตอนรับฟังบทเพลงนี้ครั้งแรก Lassú tánc แปลว่า Slow dance ก็แค่ท่วงทำนองผ่านๆหูไปเท่านั้น แต่ถ้าคุณเคยเอาตัวรอดพานผ่าน Sátántangó (1994) มันจะเกิดความรู้สึกชิปหายวายป่วนท้องไส้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว … ไม่ใช่บทเพลงเดียวกันนะครับ แต่เสียงแอคคอร์เดียนจักสร้างความหลอกหลอน สั่นสะท้านทรวงใน

นั่นเพราะบทเพลงและการเต้นระบำ มันปลุกความรู้สึกหายนะขึ้นมา! เพราะหนังทั้งสองเรื่อง (Damnation และ Sátántangó) ต่างเต็มไปด้วยบรรยากาศวันสิ้นโลกาวินาศ มันจะมีความสนุกสนาน ครึกครื้นเครงได้อย่างไร? ย่อมต้องแฝงลับลมคมใน หายนะกำลังใกล้เข้ามา

นี่เป็นอีกบทเพลงที่บรรเลงต่อจาก Lassú tánc ชื่อว่า Körtánc (แปลว่า Round Dance) สามารถสื่อถึงชีวิตที่เวียนวงกลม ดำเนินเดินไปไม่รู้จบสิ้นสูญ เริ่มต้น-สิ้นสุดหวนกลับมาบรรจบกันอีกครั้ง

ไม่รู้ทำไมการจับมือเต้นเป็นวงกลม ทำให้ผมนึกถึงบทเพลงแห่งการร่ำลา Auld Lang Syne แถมท่วงทำนอง Körtánc ก็มอบความรู้สึกเคว้งคว้าง ล่อยลอย ราวกับกำลังดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด ซึ่งเรายังสามารถมองฉากนี้คือช่วงเวลาที่ Karren ยังคงความเป็นมนุษย์ เพราะหลังจากค่ำคืนนี้พานผ่านไป เขาจักกลายสภาพสู่ … เดรัจฉาน

Damnation คือการสาปแช่ง คำสถบ ด่าทอ, ในทางคริสต์ศาสนา คือผลของการตัดสินในวันสิ้นโลก (Judgement Day) ว่าบุคคลผู้นั้นจักสามารถมีชีวิตนิรันดร์บนสรวงสวรรค์ หรือถูกพระเจ้าสาปแช่ง (damned human) ส่งลงสู่ขุมนรกโลกันต์ตราบชั่วกัลปาวสาน

แต่ไม่รู้ทำไมผมเห็นชื่อหนัง Damnation (1988) น่าจะมาจากคำว่า Damn + Nation แปลตรงๆว่าชาติชั่ว! ซึ่งสามารถสื่อถึงประเทศฮังการีที่ผู้กำกับ Tarr นำเสนอผ่านมุมมองส่วนบุคคล พบเห็นสภาพสังคมอันเสื่อมโทรมทราม แห้งแล้งทุรกันดาร ห่างไกลความเจริญ ผู้คนดำเนินชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อย เฉื่อยชา ไร้อนาคตเป้าหมาย ไม่ต่างจากขุมนรก ดินแดนแห่งความตาย หลังการตัดสินวันสิ้นโลกาวินาศ … ล้วนเพราะการปกครองของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่เต็มไปด้วยความคอรัปชั่น!

ผู้กำกับ Tarr เคยให้สัมภาษณ์บอกว่าตนเองเป็นอเทวนิยม (atheist) ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง! แต่แปลกที่หลายๆผลงานมักนำเสนอเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ให้ความรู้สึกเหมือนใครบางคน(พระเป็นเจ้า)พยายามชี้แนะนำแนวทางถูกต้องเหมาะสม เอ่ยพร่ำคำสอนจากคัมภีร์ไบเบิล อย่างใน Damnation (1988) ก็มีกล่าวถึงการพิพากษาตัดสินในวันสิ้นโลก

When terror comes, they shall seek peace, but there shall be none.
They shall seek in vain a vision from the prophet, they will receive no teaching from the priests, and no counsel from the elders.
The hands of the people of the land shall tremble.
I shall deal with them according to their conduct… and by their own standards I shall judge them.
Then they shall know… that I am the Lord.

Ezekiel 7

แต่สังเกตว่าสิ่งที่อวตารพระเป็นเจ้าพยายามพร่ำสอนสั่ง ตัวละคร Karren กลับหูทวนลม ฉันไม่สน ไม่เคยน้อมนำทำตามสักสิ่งอย่าง! นั่นคือลักษณะของการปฏิเสธต่อต้าน ผู้กำกับ Tarr เหมือนพยายามตั้งข้อคำถามว่า ชาวฮังกาเรียนทำผิดอะไร? ทำไมถึงราวกับได้รับการตัดสินพิพากษา (ในวันสิ้นโลกาวินาศ) ถูกสาปแช่งให้ตกนรกทั้งเป็น ต้องอดรนทนทุกข์ทรมานในดินแดนเสื่อมโทรมทราม(ฮังการี)แห่งนี้?

กลายเป็นว่า Damnation (1988) ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ที่ผู้กำกับ Tarr ต้องการสาปแช่งด่าทอรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ที่ทำให้ฮังการีเสื่อมโทรมทราม ตกต่ำลงขนาดนี้ แต่ยังอันธพาลไปถึงพระเป็นเจ้า (Anti-Christ) ทำไมถึงพิพากษาชาวเราให้ตกนรกทั้งเป็น!

อาการท้อแท้สิ้นหวังในการอาศัยอยู่ดินแดนแห่งนี้ ทำให้ผู้กำกับ Tarr เล็งเห็นว่ามันใกล้ถึงจุดที่พวกเราจะหมดสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ (humanity) วิวัฒนาการถดถอยหลังกลับสู่วิถีของสัตว์เดรัจฉาน (animality) สังเกตจากพฤติกรรมเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ กระทำสิ่งต่างๆโดยไม่สนถูก-ผิด ดี-ชั่ว คุณธรรม-มโนธรรม เพียงเพื่อตอบสนองสันชาตญาณพื้นฐาน (กิน-ขี้-ปี้-นอน) ปฏิเสธความรับผิดชอบใดๆ คิดคดทรยศหักหลังพวกพ้อง หลบหนีตีจากสังคม ดำเนินชีวิตอย่างไร้จุดมุ่งหมาย แค่ธำรงชีพรอดไปวันๆ

เกร็ด: หลังเสร็จสิ้น Damnation (1988) ผู้กำกับ Béla Tarr และภรรยา Ágnes Hranitzky ตัดสินใจอพยพออกจาก Hungary มาปักหลักอาศัยอยู่ West German แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดการล่มสลายของสหภาพโซเวียต พวกเขาเลยตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน

สิ่งสุดท้ายที่ผู้กำกับ Tarr นำเสนอไม่ใช่ภาพมนุษย์เห่าแข่งกับสุนัข แต่คือกองเนินดิน เศษขยะทับถม สามารถสื่อถึงชีวิตที่ไร้ค่า หมดสูญสิ้นราคา หรือจะมองว่าสูงสุดกลับคืนสู่สามัญ เพราะทุกชีวิตเมื่อตกตาย ย่อมกลายเป็นเถ้าถ่านทุลีดิน หวนกลับสู่อ้อมอกมาตุภูมิ

เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Berlin แต่เหมือนจะเป็นโปรแกรมนอกรอบพิเศษ (ไม่มีรายละเอียดในสายการประกวด) จากนั้นตระเวรไปตามเทศกาลหนัง Toronto, Göteborg ฯลฯ ด้วยเสียงตอบรับดีเยี่ยม เลยมีโอกาสเข้าชิง European Film Award: Best Young Film สำหรับผลงานผู้กำกับหน้าใหม่ในยุโรป แต่พ่ายให้ Women on the Verge of a Nervous Breakdown (1988) ของ Pedro Almodóvar

ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะโดย Hungarian National Film Institute – Film Archive แล้วเสร็จสิ้นเมื่อปี 2020 คุณภาพ 4K ผ่านการอนุมัติโดยผู้กำกับ Béla Tarr สามารถหารับชมได้ทาง Criterion Channel แต่ยังไม่ได้ออก Blu-ray คาดว่าคงกำลังรอคิวอยู่กระมัง

นี่เป็นภาพยนตร์ ‘สไตล์ Tarr’ แท้ๆเรื่องแรกที่ผมมีโอกาสรับชม (ไม่นับรวม Almanac of Fall (1984) เพราะถือว่ายังไม่ใช่ ‘สไตล์ Tarr’ อย่างแท้จริง) ทีแรกก็มีความหวาดหวั่นอยู่เล็กๆ กลัวจะฟุบหลับกลางทาง แต่ปรากฎว่าเกิดความชื่นชอบประทับใจ อาจเพราะ Almanac of Fall (1984) ทำให้สังเกตเห็นตัวตน รับรู้ความสนใจของผู้กำกับ Tarr โดยเฉพาะมุมมองต่อมาตุภูมิฮังการี ที่หลงเหลือเพียงความท้อแท้สิ้นหวัง

ถึงผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าฮังการี มีสภาพเสื่อมโทรมทรามขนาดนี้? แต่เมื่อเทียบกับโลกยุคสมัยปัจจุบันที่ถูกควบคุมครอบงำด้วยแนวคิดระบอบทุนนิยม มันอาจแตกต่างตรงลักษณะกายภาพ ตึกรามบ้านช่องสูงใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มองภายนอกคือความเจริญก้าวหน้า(ทางวัตถุ) แต่ถ้าจับจ้องลึกลงไปภายในจิตใจ จักพบเห็นความคอรัปชั่นของมนุษย์ที่ไม่แตกต่างกันเลยสักนิด!

‘สไตล์ Tarr’ มันอาจดูยากในครั้งแรกๆ เพราะต้องใช้สมาธิ ความอดรนทนอย่างสูง (ที่คนเจน ‘tick tock’ อาจไม่ค่อยมีสักเท่าไหร่) แต่ถ้าคุณสามารถพานผ่านไปได้สัก 1-2 เรื่อง ก็น่าจะสังเกตเห็นอะไรๆหลายๆอย่าง เริ่มเกิดเข้าใจแนวคิด หลักการ เพราะเหตุใดทำไมผู้กำกับถึงสรรค์สร้างภาพยนตร์ลักษณะนี้ออกมา

แนะนำคอหนังดราม่า โรแมนติก บรรยากาศวันสิ้นโลก, ช่างภาพ ศิลปิน นักออกแบบสร้างฉาก หลงใหลในดินแดน dystopian สถานที่ที่แลดูเสื่อมโทรมทราม, นักปรัชญา นักเขียนนวนิยาย เพลิดเพลินไปกับลายเซ็นต์ ‘สไตล์ Tarr’ ที่มีสัญญะให้ขบครุ่นคิดมากมาย

จัดเรต 15+ กับบรรยากาศท้อแท้สิ้นหวัง การคบชู้นอกใจ เพศสัมพันธ์ที่น่าเบื่อหน่าย

คำโปรย | Damnation คือสภาพประเทศฮังการี และสภาวะทางจิตใจของ Béla Tarr ไม่ต่างจากนรกบนดิน สถานที่แห่งนี้หลงเหลือเพียงความสิ้นหวัง
คุณภาพ | ดิ
ส่วนตัว | ชื่นชอบมากๆๆ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: