Nayakan

Nayakan (1987) Indian : Mani Ratnam ♥♥♡

หนังเรื่องนี้คือ The Godfather ของอินเดีย… ในส่วนของเนื้อเรื่องนะครับไม่ใช่คุณภาพ, ได้แรงบันดาลใจมาจากเจ้าพ่อมาเฟียตัวจริง Varadarajan Mudaliar ขณะอาศัยอยู่ใน Bombay ช่วงทศวรรษ 60s – 80s, นี่เป็นผลงานที่ทำให้ Mani Ratnam โด่งดังไปทั่วอินเดีย และหนังติดอันดับ All-TIME 100 Movies ของนิตยสาร TIME

จากความสำเร็จของ The Godfather (1972) ได้สร้างแรงสั่นสะท้านทั่วพื้นพิภพ กระเพื่อมเบิกร่องหนังแนว Mafia, Gangster กึกก้องไปทั่วโลก, โดยกลุ่มประเทศที่น่าจะถือว่าได้รับอิทธิพลสูงสุดในทศวรรษถัดมาล้วนอยู่ในแถบเอชีย คือ จีน (โดยเฉพาะฮ่องกง), อินเดีย และไทย สังเกตจากช่วงปลายทศวรรษ 70s จนน่าถึง 90s เลย มีหนังแนวนี้ได้รับการสร้างขึ้นนับไม่ถ้วน

หนึ่งในบรรดา Godfather-like ภาพยนตร์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเดอะ ก็อดฟาเธอร์ ได้รับการยกย่องกล่าวขวัญมากที่สุด คือภาพยนตร์ภาษาทมิฬ (Tamil) ของผู้กำกับหน้าใหม่ขณะนั้น Mani Ratnam เรื่อง Nayakan ที่ถึงขนาดว่านิตยสาร TIME จัดอันดับให้ติด 1 ใน All-TIME 100 Movies

ผมรับชมหนังเรื่องนี้ด้วยความคาดหวังพอสมควร เพราะได้ยินการยกย่องเปรียบเทียบกับ The Godfather แต่แล้วก็ผิดหวังเต็มประตู เทียบได้ไม่ถึงครึ่งของตำนานด้วยซ้ำ!, กับผู้ชมสมัยนั้นผมคิดว่าก็มีความเป็นไปได้อยู่ ที่จะรู้สึกขนลุกขนพอง กับเรื่องราวแนวทาง direction ของผู้กำกับ ได้สร้างความแตกต่างในความคล้ายคลึงจนกลายเป็นเอกลักษณ์สุดท้ายได้รับชื่อตำนาน แต่เมื่อกาลเวลาหมุนเวียนผ่านไป รับชม Nayakan ในสมัยนี้ ต้องบอกว่าเวลาได้คร่าชีวิตของหนังเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว สาเหตุก็จากเรื่องราวแนวทาง direction ของหนังนี่แหละ ที่หมดสิ้นสมัยนิยม เรื่องราวตกยุค เทคนิคเฉิ่มเชย, ขณะที่ The Godfather มีความยิ่งใหญ่คงกระพันขึ้นๆไป Nayakan กลับจะตกต่ำลงเรื่อยๆจนแทบไม่หลงเหลือความสวยงามอะไรแล้ว

Gopala Ratnam Subramaniam หรือ Mani Ratnam (เกิดปี 1955) ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวอินเดีย Kollywood เกิดที่ Madurai, Tamil Nadu ได้รับการยกย่องในฐานะผู้’ปฏิวัติ’วงการภาพยนตร์ Kollywood (หนังของพี่แกก็มักเกี่ยวกับการปฏิวัติด้วยนะครับ)

ครอบครัวของ Ratnam เป็นดารานักแสดงผู้สร้างภาพยนตร์มาก่อน แต่ตัวเขาหามีความสนใจงานด้านนี้ไม่ เรียนจบทำงานสายบริหาร เป็นที่ปรึกษา (Consultant) แต่ก็ไม่พึ่งพอใจงานเท่าไหร่ ขณะนั้น Ravi Shankar เพื่อนสนิทของ Ratnam กำลังพัฒนาภาพยนตร์ภาษา Kannada จึงได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นคนเขียนบท และได้กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Pallavi Anu Pallavi (1983)

กว่าจะเริ่มเป็นที่รู้จัก ก็ผลงานลำดับที่ห้า Mouna Ragam (1986) ทำให้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วอินเดียใต้ ก่อนมีผลงานถัดมาที่ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักทั่วประเทศอินเดียคือ Nayagan (1987)

สำหรับผลงานอื่นที่หลายคนอาจรู้จักของ Ratnam มีชื่อเล่นว่า Political Trilogy ทั้งสามเรื่องไม่ใช่ภาคต่อกันนะครับ แค่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการเมือง/คณะปฏิวัติ ประกอบด้วย Roja (1992) [นี่เป็นผลงานที่ทั่วโลกได้รู้จักชื่อของ Ratnam], Bombay (1995), Dil Se.. (1998) [ภาพยนตร์ Bollywood ภาษา Hindi นำแสดงโดย Shah Rukh Khan]

ปี 1986 โปรดิวเซอร์ Muktha Srinivasan มาหาที่บ้านของ Ratnam นำเทปหนังเรื่อง Pagla Kahin Ka (1970) มาให้รับชมแล้วถามว่า ถ้าจะให้สร้างภาพยนตร์ที่คล้ายๆหนังเรื่องนี้ … Ratnam บอกปัดเพราะไม่ใช่แนวที่ชื่นชอบ Srinivasan เลยถามกลับอยากทำหนังประเภทไหน, คำตอบคือ อยากสร้างหนังแบบ Dirty Harry (1971) ผสมกับ Beverly Hills Cop (1984) คุยไปคุยมาพูดถึง Varadarajan Mudaliar หัวหน้ามาเฟียชื่อดังที่ผู้คนเรียกยกย่องราวกับ ‘พระเจ้า’

The two years I studied in Bombay (1975–77), he [Varadarajan Mudaliar] was at his peak. People in the Matunga belt thought he was God. I used to wonder how anyone could treat a fellow human as God. I never understood why they would do this. It fascinated me. It was such a dramatic story, this man going from Tamil Nadu to Bombay and ruling the city. I outlined this thought to Kamal Haasan and he said fine. That’s it. It was done. Decided.

– Mani Ratnam พูดถึงแรงบันดาลใจสร้าง Nayakan

คนที่แนะนำ Srinivasan ให้พบกับ Ratnam คือนักแสดงหนุ่ม Kamal Haasan ที่รับรู้การมีตัวตนของผู้กำกับคลื่นลูกใหม่คนนี้อย่างน่าสนใจ เพราะครั้งหนึ่ง Ratnam เคยติดต่อขอเขาให้มารับบทนำในภาพยนตร์ debut เรื่อง Pallavi Anupallavi (1983) แต่ขณะนั้นคิวไม่ว่าง ติดถ่ายหนังอีกเรื่องจึงปฏิเสธไป, ความน่าสนใจของ Ratnam คงทำให้ Haasan อยากหาโอกาสร่วมงานกันสักครั้ง แล้วก็เป็นจริงสมใจ

บทภาพยนตร์พัฒนาโดย Mani Ratnam และบทพูดโดย Balakumaran, นี่ผมสังเกตมาหลายเรื่องแล้ว หนังจากประเทศอินเดียมักจะมีแยกกันระหว่างคนเขียนบท กับคนเขียนบทพูด นี่อาจมีเหตุผล 2-3 สาเหตุ
1. แบ่งเบาภาระของคนเขียนบท เพราะหน้าที่ของคนเขียนบทพูดจะใช้เวลาขัดเกลาบทสนทนาให้ได้คมคาย ลื่นไหล สวยงามกว่า
2. เรื่องภาษา, เพราะอินเดียมีความหลากหลายเรื่องเชื้อชาติ วัฒนธรรม และภาษา การมีคนเขียนบทพูดจะทำให้หนังเรื่องเดียวกันมีได้หลายภาษา อาทิ Hindi, Tamil, Telugu, Bengali ฯ ผู้เขียนบทไม่จำเป็นต้องมีความรู้เชี่ยวชาญทุกภาษา แค่ให้คนเขียนบทพูดแปลให้เสร็จสรรพเลย

Varadarajan Mudaliar (1926 – 1988) หรือที่รู้จักในชื่อ Vardha Bhai คืออดีตหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่ทรงอิทธิพลสูงสุดใน Bombay (ปัจจุบันคือ Mumbai) ช่วงทศวรรษ 60s – 80s เคึยงคู่กับ Haji Mastan และ Karim Lala

เกิดที่ Thoothukudi, Madras Presidency เพราะได้ฆ่าตำรวจ จึงต้องย้ายมาอาศัยอยู่ Bombay เมื่อปี 1945 ทำงานเป็นคนขนของ/เฝ้าประตู ที่สถานีรถไฟ VT Station เริ่มต้นเป็นอาชญากรจากการขโมยของในคลังสินค้า เอามาแจกจ่ายให้ผู้คนในสลัม Dharavi slums ต่อมาได้ใช้เป็นฐานบัญชาการที่มั่น, จากนั้นเริ่มรับสมัครพรรคพวกสร้างเครือข่าย ทำการกรรโชกทรัพย์, โจรกรรม, ลักพาตัว, ฆ่าคน, ติดสินบนเจ้าพนักงาน, เปิดร้านขายเหล้าเถื่อน, การพนัน (รู้สึกจะไม่มีซ่องนะครับ) ฯ ขณะเดียวกันในด้านดี ชื่นชอบการทำบุญแจกทานที่ Ganesh Chaturthi, ซื้อรถพยาบาลรับส่งผู้ป่วนฉุกเฉิน, ให้ความช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ฯ ด้วยเหตุนี้ Mudaliar จะกลายเป็นเหมือน Godfather คือที่คนอินเดียเรียกว่า Bhai (แปลว่า พี่ชายหรือน้องชาย, ถ้า Bara Bhai=พี่ชาย, Chota Bhai=น้องชาย)

Mudaliar มีฐานที่มั่นอยู่บริเวณ Dharavi, Mahim, Matunga, Sion-Koliwada, Chunnabhatti ต่อมาขยายคลอบคลุมไปยัง Chembur, Ghatkopar อิทธิพลของ Mudaliar ยิ่งใหญ่จนกระทั่งการมาของ Y.C. Pawar ผู้ตรวจการที่มีความเข้มงวดถึงขนาดต้องหนีจาก Mumbai ไปลี้ภัยหลบซ่อนอยู่ที่ Tamil Nadu, ชีวิตจริง Mudaliar เสียชีวิตจากโรคหัวใจที่เมือง Chennai วันที่ 2 มกราคม 1988, Haji Mastan ได้พาร่างของเขากลับมาที่ Mumbai ตามคำขอก่อนเสียชีวิต มีผู้คนมาออกมาไว้อาลัย แสดงความเศร้าโศกเสียใจเต็มท้องถนนไปหมด

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำการดัดแปลงเล่าเรื่องชีวประวัติในลักษณะ loose base โดยหยาบๆ หลายเรื่องนำมาจากเหตุการณ์จริงจากคำบอกเล่าของ Mudaliar เห็นว่าผู้กำกับ Ratnam และนักแสดงนำ Haasan ได้เดินทางไปพบตัวจริงที่ Tamil Nadu ด้วยนะครับ และเจ้าตัวยังแนะนำว่าตอนจบของหนังเขาควรที่จะเสียชีวิต ผู้กำกับยอมทำตามคำขอ

เกร็ด: Nayakan ภาษาทมิฬ แปลว่า Hero นี่น่าจะคือมุมมองของผู้กำกับต่อ Mudaliar

ไม่รู้ Mudaliar มีโอกาสได้รับชมหนังเรื่องนี้ที่เป็นของตัวเองไหม แต่เขาเสียชีวิตหลังจากหนังฉายเป็นปี เชื่อว่าคงต้องได้ดูแหละ อยากรู้เหมือนกันว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

นำแสดงโดย Kamal Haasan คนนี้คือ Superstar ที่ในอินเดียว่ากันว่าอาจยิ่งใหญ่กว่า Amitabh Bachchan เสียอีก, เกิดที่ Ramanathapuram, Madras State ในครอบครัว Tamil เริ่มต้นการแสดงตั้งแต่ตอน 4 ขวบ ได้รางวัล Rashtrapathi Award (President’s Gold Medal) มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก Kannum Karalum (1962) หนังภาษา Malayalam, รับบทนำครั้งแรก Kanyakumari (1974) ที่ทำให้ได้รางวัล Filmfare Award South สาขา Best Actor ครั้งแรก

เกร็ด: รางวัลของนิตยสาร Filmfare จะแบ่งออกเป็น Filmfare Award มอบให้กับหนังจากทั่วประเทศ กับ Filmfare Award South สำหรับหนังอินเดียที่อยู่ภาคใต้ พูดภาษา Telugu, Tamil, Malayalam และ Kannada

ความยิ่งใหญ่ของ Haasan ประกอบด้วย
– ได้รางวัล National Film Awards: Best Actor จำนวน 3 ครั้งเป็นคนแรก (ก่อนที่ Amitabh Bachchan จะแซงครั้งที่ 4 ได้เมื่อปี 2015)
– ได้รางวัล Filmfare Awards South: Best Actor มากที่สุดถึง 19 ครั้ง จนปี 2000 ได้เขียนจดหมายถึงคณะกรรมการผู้จัด ขอว่าไม่รับรางวัลนี้อีกแล้ว แต่ก็ยังได้เข้าชิงอีกหลายครั้ง (แต่ก็ไม่มอบรางวัลแล้ว)
– มีหนังที่ Haasan นำแสดง แล้วได้เป็นตัวแทนประเทศอินเดียส่งชิงชัย Oscar: Best Foreign Film Language ถึง 7 เรื่อง (แต่ไม่เคยได้เข้าชิงสักครั้ง)

กับหนังเรื่องนี้รับบทเจ้าพ่อมาเฟีย Varadarajan Mudaliar ภาพลักษณ์ในช่วงแรกๆดูหนุ่มแน่นไม่ค่อยดูน่ากังขาเท่าไหร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป อายุของตัวละครที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนว่ารูปลักษณ์ Charisma ของ Haasan จะค่อยๆเผยออกมา ภาพลักษณ์ของเขาช่วงท้าย ดูเป็นโคตรพ่อมาเฟียตัวจริงเสียจริงเลยละ

ขณะที่ภายในจิตใจของ Mudaliar เป็นคนมีความสุภาพอ่อนโยน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีน้ำใจไมตรี ไม่ว่ากับใครก็ตาม เปรียบได้กับ ‘Robin Hood ของชาวอินเดีย’ แต่การกระทำหลายๆอย่างเกิดจากความเข้าใจที่ผิดตรรกะมาตั้งแต่เด็ก, ผมชอบฉากแรกของหนังมาก ที่ตำรวจจับกุมเด็กชายคนหนึ่งแล้วใช้แผน Good Cop, Bad Cop ให้เพื่อนตำรวจตบหน้าทำร้าย แล้วอีกคนพูดจาดีๆ ปล่อยตัวไป เด็กชายที่ยังไม่รู้ประสีประสาหลงผิดคิดดีใจว่าคงรอดตัว แต่ที่ไหนได้กลับถูกแอบตามไปติดๆ สิ่งที่เกิดขึ้นถัดมาทำให้ Mudaliar มองโลกในมุมที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

การแสดงของ Haasan ที่ออกมายอดเยี่ยมขนาดนี้ เพราะ Method Acting ที่ได้จากการศึกษา Marlon Brando ใน The Godfather ตรงๆเลยนี่แหละ กระทั้งฟันปลอมที่สวมเพื่อให้หน้ายื่นออกเหมือนหมาบูลด็อกมาก็ยังเลียนแบบเหมือนเปะๆ จริงอยู่ผลลัพท์ออกมายอดเยี่ยมสมจริง แต่ตัวตนของ’Haasan’อยู่ตรงไหน!

สำหรับบท Neela เด็กหญิงอายุ… เท่าไหร่เนี่ย จริงๆตัวละครนี้ไม่ต้องมีก็ได้ เพราะแทบไม่มีบทบาทอะไรเลยนอกจากเป็นภรรยาของ Mudaliar แต่ผู้กำกับยืนยันว่าต้องใส่เข้ามา เพื่อลดความรุนแรงของหนังลงไปบ้าง, ที่ตัดสินใจคัดเลือกนักแสดงหน้าใหม่ก็เพื่อไม่ให้โดดเด่นเกินหน้าเกินตา Haasan แย่งซีนเกินไป

รับบทโดย Saranya Ponvannan หรือ Sheela นักแสดงหญิงที่แจ้งเกิดรับบทนำครั้งแรกจากหนังเรื่องนี้ ด้วยการค้นพบของ Ratnam ผ่านการ Audition ต่อมากลายเป็นชื่อดังในหนัง Kollywood และ Tollywood พูดได้ทั้งทุกภาษาใต้ Tamil, Telugu, Malayalam, Kannada ล่าสุดคว้ารางวัล National Film Awards: Best Actress จากหนังเรื่อง Thenmerku Paruvakaatru (2011)

การแสดงของ Sheela ไม่ได้มีอะไรให้น่าพูดถึงมากนัก นอกจากความเยาว์ของสาวบริสุทธิ์ ที่ตราตะลึงทั้ง Mudaliar และผู้ชม

ถ่ายภาพโดย P. C. Sreeram ตากล้องชาวอินเดียที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘Guru of Cinematography’ มีผลงานร่วมกับ Ratnam หลายเรื่องทีเดียว อาทิ Mouna Ragam (1986), Agni Natchathiram (1988), Geetanjali (1989), O Kadhal Kanmani (2015) ฯ

ความโดดเด่นในงานภาพคือเทคนิคที่เรียกว่า frame-within-the-frame (กรอบซ้อนกรอบ) หลายๆช็อตจะเห็นเหมือนมีกรอบด้านข้าง/สี่เหลี่ยม ครอบภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นี่มีลักษณะคล้ายกรอบรูป มักพบเห็นในสถานการณ์ที่มีเรื่องราวเหตุการณ์บีบบังคับ หรือต้องการควบคุมมุมมอง/บางสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นขณะนั้น

เกร็ด: เทคนิคนี้ผมคิดว่าได้แรงบันดาลมาจากฉากสุดท้ายของ The Godfather (1972) แน่ๆ

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าทึ่งของหนังคือการจัดแสง หลายครั้งที่หนังถ่ายภาพย้อนแสง คือเราจะเห็นแสงไฟ/แสงอาทิตย์ ส่องเข้ากล้องตรงๆ นี่มักทำให้เรามองไม่เห็นใบหน้าตัวละครหรือรายละเอียดในภาพเลย น่าจะมีนัยยะถึงการทำสิ่งตรงกันข้าม ย้อนแย้งกับความถูกต้อง

เทคนิคอื่นที่นิยมใช้ อาทิ การซูมเข้าออก, ซูมออก-แพนกล้อง-ซูมเข้า ฯ นี่เป็นเทคนิคแฟชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในยุค 70s – 80s หนังไทยก็เห็นได้บ่อยกับของท่านมุ้ย สมัยนี้นี่เป็นเทคนิคไม่ค่อยได้รับความนิยมแล้ว เพราะกล้องถ่ายภาพไม่ได้มีขนาดใหญ่น้ำหนักมากเคลื่อนย้ายลำบากเหมือนเมื่อก่อน กับฉากลักษณะนี้นิยมใช้กล้อง Hand-Held ถ่ายแบบ Tracking มีลูกเล่นลีลามากกว่า หรือถ้าทุนสูงหน่อยใช้เครนยกกล้อง หรือโดรนจะดูอลังการกว่ามาก กับเทคนิคเก่าๆเหล่านี้จึงเริ่มถูกมองว่าเฉิ่มเฉย ล้าสมัย ตกยุคไปแล้ว (แต่ก็ยังมีความคลาสสิกอยู่นะครับ)

ปัญหาหนึ่งของหนังคือสีของภาพที่ดูซีดและเหมือนจะผิดเพี้ยน, มันอาจเพราะคุณภาพหนังที่ผมรับชม ก็สังเกตจากภาพที่ capture มานั่นแหละชัดที่สุดแล้ว เลยขอไม่วิพากย์ตรงนี้ดีกว่า ก็หวังว่าสักวันหนังจะได้รับการ remaster คุณภาพดีๆ ให้ผู้ชมรุ่นใหม่มีโอกาสรับชมความคลาสสิกของหนังนะครับ

ตัตต่อโดย B. Lenin กับ V. T. Vijayan, หนังใช้มุมมองของ Mudaliar เล่าทั้งเรื่องตั้งแต่เด็ก โตเป็นผู้ใหญ่ แต่งงานมีลูก ลูกโต จนกระทั่งตนเองเสียชีวิต ซึ่งวิธีการนำเสนอจะใช้การ Time Skip กระโดดข้ามเวลาไปเรื่อยๆไม่มีย้อนกลับ (ยกเว้นฉากสุดท้าย ที่เป็นการประมวลภาพชีวิตของ Mudaliar ทั้งหมด) ซึ่งหนังจะเลือกช่วงเวลาสำคัญ ที่มีจุดแปรเปลี่ยนผันในชีวิต อาทิ ตอนพ่อเสีย, ตอนกลายเป็นดอน, ตอนพบสาวครั้งแรก, ตอนแต่งงาน ฯ

เพลงประกอบโดย Ilaiyaraaja หนึ่งในนักแต่งเพลงชาวอินเดียที่ได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ที่สุด เน้นทำเพลงให้ภาพยนตร์ Kollywood เสียส่วนใหญ่ นับจากทศวรรษ 70s เห็นว่าชายคนนี้แต่งเพลงกว่า 6,000 เพลง ให้กับหนังกว่า 1,000 เรื่อง กับหนัง Nayakan เป็นเรื่องลำดับที่ 400 พอดีเปะเลย, สไตล์ของ Ilaiyaraaja ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิก ผสมผสานระหว่างดนตรีคลาสสิกฝั่งตะวันตก เข้ากับเครื่องดนตรีพื้นบ้านของอินเดีย ผลลัพท์ทำให้ผลงานเพลงมีความร่วมสมัย แปลกใหม่ และบางครั้งแปลกหู

กับ Soundtrack ของหนัง มี 2-3 ครั้งที่ผมเกิดความสงสัยมากว่ากำลังได้ยินอะไรอยู่ เช่น ตอนที่ Mudaliar สู้กับนายตำรวจคอรัปชั่น ขณะวิ่งไล่ล่าออกมาด้านนอก จะได้ยินเสียงอะไรสักอย่างรัวๆ (น่าจะเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านของอินเดีย) และเสียงอิเล็กโทนกดแบบเอามันไว้ก่อน บอกตามตรงว่าผมรู้สึกมัน ไร้รสนิยม (bad taste) สุดๆเลยนะ หาความไพเราะไม่ได้ ตื่นเต้นหรือก็ไม่ ออกไปในเชิง Avant-Garde แนวทดลองดนตรีรูปแบบใหม่เสียมากกว่า คือรู้สึกว่าผู้แต่งใช้เสียงเพื่อแทนอารมณ์ไม่ใช่ ‘ดนตรี’

กระนั้นทุกเพลงที่มีเสียงร้องของหนังเรื่องนี้ มีไพเราะมากๆ ที่โด่งดังสุดคงหนีไม่พ้น Thenpandi Cheemayile (แปลว่า In the southern realm of the Pandiyas) แต่งคำร้องโดย Pulamaipithan ภาษา Tamil ขับร้องมี 2 ฉบับคือ Ilaiyaraaja และ Kamal Haasan, ท่อนที่ร้องซ้ำๆ Yaar adithaaro แปลว่า Who could have hurt him? (ใครกันที่ทำร้ายเขา) เป็นท่อนที่สะท้อนความรู้สึกเจ็บปวดได้อย่างรวดร้าว, ผมนำฉบับที่ Ilaiyaraaja ขับร้องมาให้ฟังนะครับ

ชีวิตของ Varadarajan Mudaliar มีอะไรที่น่าสนใจ? ผมสังเกตหนังแนว Mafia Gangster หลายๆเรื่อง มักมีใจความสำคัญคือให้ผู้ชมค้นหาสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้น สาเหตุผลที่ทำไมคนผู้นั้นถึงกลายเป็นผู้นำองค์กรอาชญากรใต้ดิน มันต้องมีอะไรสักอย่างในชีวิตที่เกิดความผิดพลาด กลายเป็นปมฝังลึกในใจ อันทำให้ความคิด ตรรกะ ความเข้าใจถูกผิดเพี้ยนไปจากคนปกติทั่วไป มองเห็นโลกในมุมที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง

เพราะมนุษย์ทุกคนใช่ว่าจะเลวบัดซบไร้ความดีเอาเสียเลย ต่อให้โคตรเลวขนาดไหนก็จะต้องมีมุมเล็กๆ ในสายตาของบางคน เขาคือบุคคลที่พยายามต่อสู้ เอาชนะ ดิ้นรนต่อบางสิ่งบางอย่าง เช่น ความทุกข์ยากในการมีชีวิต, อดีตที่ยังคงตามมาหลอกหลอน, หรือความฝันอุดมการณ์ ต้องการครอบครองบางสิ่งอย่าง ฯ แค่การจะได้/เอาชนะ/ครอบครองสิ่งเหล่านั้น มันจำต้องแลกกับบางสิ่งอย่างที่จะมาได้จากเฉพาะเส้นทางสายนั้นเท่านั้น

การได้รับเรียนรู้ศึกษาเรื่องราวชีวิตของพวกเขา จะทำให้เรามองเห็นโลกในมุมที่แตกต่างออกไป ใช่ทุกอย่างในสังคมจะสวยงามเลิศหรูดั่งจินตนาการวาดฝันไว้ มีด้านสว่างก็ต้องมีด้านมืด พบเห็นรู้จักไว้เพื่อปกป้องกันตัวเอง ไม่จำเป็นก็อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องแวะ พาลหาเรื่องความวุ่นวายให้กับตนเอง เพราะมันมีความเป็นไปได้ที่ถ้าเผลอเกี่ยวข้องกับมันสักครั้งหนึ่งแล้ว ชีวิตนี้อาจไม่ได้กลับออกมาก็เป็นได้

ส่วนตัวเห็นใจ Mudaliar ไหม? ไม่เลยครับ ต่อให้เขามีจิตใจดีสักขนาดไหน แต่การกระทำที่เป็นอาชญากร นี่เป็นสิ่งที่ผมยึดมั่นในอุดมการณ์ว่า ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ความดีที่เขาทำมันไม่ได้ลบล้างความชั่วที่ก่อ บุคคลทั้งหลายที่ติดหนี้บุญคุณ Mudaliar พวกเขาไม่รู้จักคำว่า ‘คุณธรรม’ กันสักคน มืดบอดในความต้องการของตนเอง เพราะชายคนนี้เคยช่วยเหลือจุนเจือฉันไว้ แม้จะไม่มีอะไรตอบแทนบุญคุณได้ แต่ขอว่าชาตินี้จะไม่ทรยศต่อสิ่งที่เขาเสียสละให้

กับตัวละคร Ajit ที่ไม่สมประกอบ ผู้ปริดชีพ Mudaliar ผมเรียกว่าคือ ‘กรรมสนองตามวิถีธรรมชาติ’, เพราะมนุษย์อื่นในหนังที่มีสติครบถ้วน ต่างไม่มีใครสามารถทำอะไร Mudaliar ได้เลย ขนาดศาลยังมิอาจหาหลักฐานความผิดมารัดตัว นี่แปลว่ากฎของมนุษย์ไม่สามารถลงโทษอะไรชายผู้นี้ได้, แต่กับชายผู้สติไม่สมประกอบนี้ เอาจริงๆความคิดอ่านก็ไม่ได้ต่างจากคนปกติ เพียงแต่มีความตรงไปตรงมาไม่ประณีประณอม ‘กับคนที่เคยฆ่าพ่อของเรา จำเป็นต้องถูกฆ่าเพื่อสนองคืน’ ไม่มีใครสามารถตัดสินการกระทำของตัวละครนี้ว่าถูกหรือผิดประการใด ในตรรกะของ Ajit นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง แต่กับคนอื่นคงไม่ยอมรับแน่ มันเลยเหมือนว่าเป็น ‘ธรรมชาติของความชั่ว ที่ปลิดชีพ Mudaliar’

คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือเห็นด้วยในแนวคิดที่ผมบอกไปนะครับ แต่กับชาวพุทธจะมีคำสอนหนึ่งว่า ‘กรรมใดใครก่อ กรรมนั่นย่อมคืนสนอง’ ต่อให้มีจิตใจดี กระทำความผิดเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม สักวันในอนาคตไม่ว่ายังไงผู้นั้นย่อมต้องถูกผลของการกระทำคืนสนองตอบอย่างแน่นอน

ด้วยทุนสร้างเริ่มต้น ₹6 ล้าน แค่ค่าตัวของ Haasan คนเดียวสูงถึง ₹1.75 ล้าน แต่ไปๆมาๆหนังก็ใช้งบเกินไปถึง ₹10 million (= $830,000 ในปี 1987) ไม่มีรายงานตัวเลขรายรับของหนัง บางแหล่งขาวบอกว่าคุ้มทุนได้กำไร บางแหล่งบอกขาดทุนย่อยยับเพราะถูกกองเซนเซอร์เล่นงาน

หนังได้รางวัล National Film Awards 3 สาขา ประกอบด้วย
– Best Actor (Kamal Haasan)
– Best Cinematography
– Best Art Direction

และหนังยังได้เป็นตัวแทนประเทศอินเดีย ส่งเข้าชิงรางวัล Oscar: Best Foreign Language Film แต่ไม่ผ่านเข้ารอบใดๆ

ส่วนตัวไม่มีความชื่นชอบประทับใจหนังเรื่องนี้แม้แต่น้อย วินาทีที่ผมจับได้ว่าหนังเหมือน The Godfather มากๆคือ การตายของศัตรูของ Mudaliar ที่เห้ย! มันแทบจะเปะๆเลยนี่หว่า คนหนึ่งถูกยิงทะลุตา อีกคนถูกรัดคอในรถเท้ากระแทกกระจกหน้าแตก แถมครั้งหนึ่งมีการตัดสลับขณะเอาเถ้าอัฐิไปลอยอังคาร นัยยะมันเหมือนกับ Baptism Scene ไม่มีผิด, หลังจากนี้ผมก็ดูหนังด้วยความหงุดหงิดหัวเสีย เอ็งจะสร้างอะไรที่เป็นตัวของตัวเองไม่ได้หรือยังไง ต้องไป inspired มาแทบจะเปะๆนี้เพื่อ!

ผมเปรียบหนังเรื่องนี้เหมือน หนังไทยคลาสสิก แต่เห็นหลายคนเรียกว่า Cult film ไปแล้วนะครับ ก็คงเป็นลักษณะนั้นได้อยู่ เพราะหนังมีลีลาการเล่าเรื่องที่ถึงไม่ได้แปลกใหม่ แต่สร้างมิติที่แตกต่าง แค่ผมรู้สึกว่ามันไม่สนุกก็เท่านั้นเอง กับคนที่ชอบของแปลกก็ลองหามาดูนะครับ

แนะนำกับคอหนังอินเดีย ชื่นชอบแนว Mafia Gangster หรือคนที่อยากดูหนังที่ได้อิทธิพลมาจาก The Godfather ไม่ควรพลาดเลย, เช่นกันแฟนหนัง Kamal Haasan กับ Mani Ratnum ฟังภาษา Tamil หรือ Telugu ได้ หามารับชมดูนะครับ

จัดเรต R กับแนวคิด ความรุนแรง และความตาย

TAGLINE | “Nayakan ของ Mani Ratnam ได้ทำการโคลนนิ่ง The Godfather โดยมี Kamal Haasan ก็อปปี้ Marlon Brando เหมือนแทบจะเปะๆ แต่ก็มีความแตกต่างในความเป็นอินเดีย และปัจจุบันกลายเป็นกระแส Cult ไปแล้ว”
QUALITY | THUMB UP
MY SCORE | SO-SO

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: