Humanity and Paper Balloons

Humanity and Paper Balloons (1937) Japanese : Sadao Yamanaka ♥♥♥♥

ผลงานสวอนซองของผู้กำกับ Sadao Yamanaka นำเสนอความเปราะบางชีวิต มุมมืดจักรวรรดิญี่ปุ่น พยากรณ์หายนะกำลังจะบังเกิดขึ้น หรือก็คือการมาถึงของ Second Sino-Japanese War (1937-45) และ World War II (1939-45)

ทั้งๆพื้นหลังของ Jidaigeki คือยุคสมัย Edo Period (1603-1868) และไม่ได้มีการกล่าวถึงสงครามอะไรใดๆ แต่เนื้อเรื่องราวของ Humanity and Paper Balloons (1937) พาดพึงพฤติกรรมคอรัปชั่นขุนนาง/ซามูไรระดับสูง (สามารถเปรียบเทียบได้ตรงๆถึงรัฐบาลญี่ปุ่นสมัยนั้น) ใช้อำนาจบาดใหญ่ กดขี่ข่มเหงประชาชน จนหมดสิ้นหวังทุกสิ่งอย่างในชีวิต หลงเหลือเพียงหนทางออกหนึ่งเดียวเท่านั้น

ช่วงปี ค.ศ. 1937 ความขัดแย้งระหว่างจักรวรรดิญี่ปุ่น (Empire of Japan) และสาธารณรัฐจีน (Republic of China) กำลังทวีความรุนแรง ใกล้ถึงจุดแตกหัก โดยปกติแล้วผู้สร้างภาพยนตร์มักได้รับการละเว้นเกณฑ์ทหาร แต่ผลงาน Humanity and Paper Balloons (1937) [จริงๆอาจเหมารวมอีกหลายๆเรื่องก่อนหน้า ที่นำเสนอด้านมืดของญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน] พาดพิงพฤติกรรมคอรัปชั่นขุนนางระดับสูง (สื่อตรงๆถึงหน่วยงานของรัฐ) และตอนจบ Double/Triple Suicide นี่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรนำเสนอยามศึกสงคราม

อาจจะด้วยเหตุผลนี้ ทางการญี่ปุ่นจึงเรียกเกณฑ์ทหารของผกก. Yamanaka (ว่ากันว่าใบแดงเรียกเกณฑ์ทหารมาถึงวันเดียวกับที่หนังเรื่องนี้ออกฉายรอบปฐมทัศน์) และเพียงปีกว่าๆถัดมา เสียชีวิตระหว่างพักรักษาตัวในโรงพยาบาลทหาร สิริอายุเพียง 28 ปีเท่านั้น!

การจากไปก่อนวัยอันควรของผกก. Yamanaka ทำให้ผลงานหลายสิบเรื่อง ถูกปล่อยปละ ทอดทิ้งขว้าง บางส่วนสูญเสียหายระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หลงเหลือมาถึงปัจจุบันเพียงแค่ 3 เรื่องเต็มๆ The Million Ryo Pot (1935), Priest of Darkness (1936) และ Humanity and Paper Balloons (1937) เวลารับชมแนะนำให้ไล่เรียงจากปีที่สร้าง จะพบเห็นวิวัฒนาการ สไตล์ลายเซ็นต์ และความสิ้นหวังของผกก. Yamanaka ตามลำดับ!


Sadao Yamanaka, 貞雄山中 (1909-1938) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Kyoto, ตั้งแต่เด็กชอบโดดโรงเรียนไปรับชมภาพยนตร์ โตขึ้นเข้าศึกษา Kyoto Daiichi Commercial High School (ปัจจุบันคือ Saikyō Junior & Senior High School) สนิทสนมกับเพื่อนนักเขียน Shigeji Fujii, พออายุ 20 สมัครเข้าทำงาน Makino Productions เริ่มต้นจากเขียนบท ก่อนได้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Yotsuya kaidan: kôhen (1927) แต่เลื่องชื่อในฐานะ “Bad-Assistant Director” เพราะทำงานเชื่องช้า ขาดความกระตือรือล้น แถมชอบยืนหลังกล้อง ไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ได้รับมอบหมาย

ความเลื่องชื่อลือชาของ Yamanaka ทำให้ไม่ใครใน Makino Productions อยากร่วมงานด้วย เลยจำใจต้องอพยพย้ายสู่ Arashi Kanjuro Productions เพราะขาดคนทำงาน เลยได้รับโอกาสกำกับหนังเงียบทุนต่ำแนว Jidaigeki (時代劇, คำเรียกแนวหนังย้อนยุคของญี่ปุ่น ที่มักมีพื้นหลัง Edo Period ค.ศ. 1603-1868) โด่งดังจากสไตล์การทำงานที่เรียบง่าย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ผิดแผกตรงกันข้าใจากตอนเรียนรู้งานผู้ช่วยผู้กำกับโดยสิ้นเชิง! และการมาถึงของหนังพูด (Talkie) ตัดสินใจลงหลักปักฐานยัง Kyoto ตอบตกลงเข้าร่วมสตูดิโอ Nikkatsu

ความล้มเหลวของ Priest of Darkness (1936), Uminari kaidô (1936) และ Mori no Ishimatsu (1937) ทำให้ผกก. Yamanaka เกิดความท้อแท้ เหนื่อยหน่าย รับรู้สึกว่าแนวทางภาพยนตร์ของตนเองอาจไม่ใช่ทิศทางถูกต้องเหมาะสม จึงตัดสินใจลาออกจากสตูดิโอ Nikkatsu ออกเดินทางสู่ Tokyo ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ได้ทำสิ่งต่างๆที่เคยเพ้อใฝ่ฝัน

ก่อนตัดสินใจเข้าร่วมสตูดิโอ P.C.L. Film Studio (ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น Toho Studio) มอบหมายงานให้เพื่อนนักเขียน Shintarō Mimura ดัดแปลงบทละคอน Kabuki เรื่อง 梅雨小袖昔八丈 อ่านว่า Tsuyu Kosode Mukashi Hachijo แปลตรงตัว Rainy Season Kimono, Old-Fashioned Hachijo [หรืออีกชื่อ 髪結新三 อ่านว่า Kamiyui Shinza แปลว่า The New Hairdresser Shinza] ต้นฉบับประพันธ์โดย Kawatake Mokuami (1816-93) ทำการแสดงครั้งแรก ณ Nakamuraza Theater, Tokyo เมื่อปี ค.ศ. 1853

เกร็ด: ชื่อบทละคอน Rainy Season Kimono, Old-Fashioned Hachijo หมายถึงชุดกิโมโนที่เหมาะสำหรับสวมใส่ในฤดูฝน ทำมาจากผ้าผลิตจาก Hachijojima (Hachijo Island) เกาะทางตอนใต้ญี่ปุ่น เลื่องชื่อมากๆกับการผลิตผ้า 本場黄八丈 อ่านว่า Honba Kihachijo แปลว่า Hachijojima Silk Fabric

Mokuami ได้แรงบันดาลใจการแสดงดังกล่าวจากเหตุการณ์เคยเกิดขึ้นจริง 白子屋事件 แปลว่า Shirakoya Incident เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1726 หญิงสาวชื่อ Shirakoya Okuma (1703-27) ร่วมกับสาวรับใช้ วางแผนฆาตกรรมสามี Matashirō แต่ถูกจับได้ ตัดสินโทษประหารชีวิตวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1727 ศพถูกแห่ประจานรอบเมือง ศีรษะแขวนอยู่หน้าประตูทางเข้า Asakusa ภายหลังถึงนำมาลงฝังศพยัง Jōshō-in Temple

เหตุการณ์อื้อฉาวดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่โตในญี่ปุ่นยุคสมัยนั้น ได้รับการจดบันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่ม ก่อนหน้านี้ยังถูกดัดแปลงเป็นละคอนหุ่นเชิด 恋娘昔八丈 (1775) อ่านว่า Koi-musume Mukashi Hachijo แปลว่า Girl in Love Old Eight Inch [Bard ให้คำแปล Love-struck Daughter, Old-Fashioned Hachijo, ChatGPT ให้คำแปล Beloved Maiden of Old Hachijō]

โดยปกติแล้วผกก. Yamanaka จะพยายามครุ่นคิดหาวิธีสร้างความสดใหม่ให้กับตัวละคร แต่สำหรับ 人情紙風船 อ่านว่า Ninjō kami fūsen แปลว่า Humanity and Paper Balloons ใช้การปรับเปลี่ยนมุมมองนำเสนอ แทนที่จะเล่าเรื่องผ่าน(มุมมอง)ฆาตกร กลายมาเป็นสามี โรนินตกงาน (คู่ขนานกับช่างตัดผม อาศัยอยู่ห้องพักข้างๆ) ให้อิทธิพลจากสภาพแวดล้อมรอบข้าง คือแรงกระตุ้น ผลักดันให้ภรรยากระทำการ ‘Double Suicide’


เรื่องราวของโรนินหนุ่ม Matajuro Unno (รับบทโดย Chôjûrô Kawarasaki) ตั้งแต่บิดาเสียชีวิต ยังไม่สามารถมองหางานใหม่ พร่ำบอกกับภรรยา พยายามติดต่อนายเก่าบิดา Mouri Sanzaemon แต่อีกฝ่ายกลับจงใจหลบลี้หนีหน้า ไม่ต้องการคบค้าสมาคม, ทางฝั่งช่างตัดผมเพื่อนข้างห้อง Shinza (รับบทโดย Kan’emon Nakamura) ก็ถูกก่อกวน กระทำร้ายโดยมาเฟีย/เจ้าของร้านรับจำนำ Shirokoya เพราะแอบเปิดบ่อนการพนันโดยไม่จ่ายค่าสินไหมใต้โต๊ะ

ค่ำคืนหนึ่งระหว่างฝนตกหนัก Shinza บังเอิญพบเจอ Okoma บุตรสาวของ Shirokoya ที่ได้รับการหมั้นหมายแต่งงานกับขุนนางระดับสูง เลยทำการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ ฝากเธอไว้กับ Matajuro ผลลัพท์ทำให้ Mouri Sanzaemon (ที่เป็นพ่อสื่อ) ยินยอมจ่ายเงินมหาศาล … แต่เงินก้อนนั้นกลับนำพาหายนะให้บังเกิดกับพวกเขาทั้งสอง


Chôjûrô Kawarasaki (1903-81) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น สมาชิกคณะ Kabuki ชื่อว่า Zenshin-za Group เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัด Nikkatsu ผลงานเด่นๆ อาทิ Priest of Darkness (1936), Humanity and Paper Balloons (1937), The 47 Ronin (1941), Miyamoto Musashi (1944) ฯ

รับบท Unno Matajuro โรนินหนุ่มหน้าใส จิตใจซื่อบริสุทธิ์ ยึดถือมั่นในเกียรติ ศักดิ์ศรี วิถีทางซามูไร แต่นั่นทำให้เขาไม่ทันเล่ห์เหลี่ยม กลโกง พฤติกรรมฉ้อฉล เลยถูกล่อหลอกลวง ได้รับบาดเจ็บทั้งร้ายร่างกาย-จิตใจ ไม่รู้จะพูดบอกอะไรกับภรรยา พยายามสรรหาข้ออ้าง คำอธิบาย จนเธอเริ่มรู้สึกผิดสังเกต และเหตุการณ์บางอย่างทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นศรัทธา กัดกลืน ทำลายตัวตนเองอย่างช้าๆ

Kawarasaki สลับบทบาทกับ Kan’emon Nakamura ครานี้รับบทซามูไร/โรนินหนุ่ม จากเคยมาดนักเลง หัวใจแกร่ง หลงเหลือเพียงอุดมการณ์อันเข้มแข็ง แต่ขาดเรี่ยวแรง พละกำลังกาย-ใจ ปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปอย่างไร้เป้าหมาย ถ้อยคำพูดก็ยังเอื่อยเฉื่อย ขาดความกระตือรือล้น จนภรรยามิอาจอดรนทนรับสภาพตกต่ำ ตายไปเสียยังจะดีกว่า

ผมมองตัวละครนี้คือตัวตายตัวแทนผกก. Yamanaka ผู้มีความเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า ผิดหวังต่อชีวิต ไม่ได้รับยินยอมรับจากเบื้องบน รวมถึงผู้ชมที่ไม่เห็นคุณค่าผลงานของตน แม้ยังพยายามมองหาโอกาสก้าวหน้า แต่โดยไม่รู้ตัวกลับเป็นพยากรณ์โชคชะตาตนเอง ว่าสุดท้ายจักถูกทรยศหักหลัง สูญสิ้นชีวิตและจิตวิญญาณ


Kan’emon Nakamura (1901-82) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น สมาชิกคณะ Kabuki ชื่อว่า Zenshin-za Group เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัด Nikkatsu ผลงานเด่นๆ อาทิ Priest of Darkness (1936), Humanity and Paper Balloons (1937), The 47 Ronin (1941), Samurai Banners (1969), Inn of Evil (1971) ฯ

รับบทช่างทำผม Shinza แต่เนื่องจากฝนฟ้าไม่เต็มใจ หาลูกค้าไม่ค่อยจะได้ เลยแอบเปิดบ่อนการพนัน พยายามหลบเลี่ยงไม่จ่ายค่าสินไหม เลยถูกละลาน รังควาญ กระทำร้ายร่างกาย สบโอกาสเลยลักพาตัว Okoma มาร้องเรียกค่าไถ่ วางมาดสุขุม เยือกเย็น เล่นกับไฟ แต่ก็รับรู้โชคชะตาตนเอง สุดท้ายแล้วคงไม่สามารถหนีเอาตัวรอดจากเจ้าพ่อมาเฟีย

Nakamura สลับบทบาทกับ Chôjûrô Kawarasaki คราวนี้รับบทเจ้าของบ่อนการพนัน แต่เพราะเป็นเพียงบุคคลชนชั้นล่าง จึงต้องก้มหัวศิโรราบให้เจ้าพ่อมาเฟีย เต็มไปด้วยความเก็บกด อดกลั้น เจ็บปวดทั้งร่างกาย-จิตใจ นั่นจึงทำให้เขากระทำบางสิ่งอย่างเพื่อโต้ตอบ เอาคืน ไม่ถึงขั้นล้างแค้น แค่ตอบสนองความพึงพอใจ กระหยิ่มยิ้มด้วยชัยชนะ แม้แค่เพียงชั่วข้ามคืน ก็คงคุ้มค่าแล้ว…กระมัง

ตัวละครนี้ถือเป็นตัวแทนสามัญชน บุคคลธรรมดาๆทั่วไป ที่ไร้เส้นสาย พวกพ้อง ทำให้โดนกดขี่ข่มเหง ไม่ใช่แค่จากพวกมาเฟีย/นักเลงท้องถิ่น ยังหน่วยงานภาครัฐไม่เคยสนใจใยดี สนเพียงกระทำสิ่งตอบสนองผลประโยชน์ส่วนตน ประชาชนตกเป็นเบี้ยล่าง ขี้ข้าทาส ไม่สามารถลืมตาอ้าปาก


ถ่ายภาพโดย Akira Mimura, 三村 明 (1901-85) ตากล้องสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Etajima, Hiroshima บิดาเป็นทหารเรือยศพลตรี ส่งบุตรชายไปร่ำเรียนสหรัฐอเมริกา ในช่วงนั้นกระแสต่อต้านชาวญี่ปุ่นกำลังรุนแรง จึงมีความฝันอยากเป็นตากล้องเพื่อถ่ายภาพความเป็นจริงให้ใครต่อใครพบเห็น เข้าศึกษาด้านการถ่ายภาพที่ New York Institute of Photography เคยเป็นผู้ช่วยตากล้อง Greg Toland, George Burns ฯ เดินทางกลับญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 1934 เข้าร่วมสตูดิโอ P.C.L. Film Studio (ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น Toho Studio) มีผลงานภาพยนตร์ อาทิ Humanity and Paper Balloons (1937), Composition Class (1938), Sanshiro Sugata (1943), Desertion at Dawn (1950), Kieta Chutai (1955) ฯ ฯ

งานภาพของหนังเน้นความเรียบง่าย (Minimalist) อาจไม่ได้สไตลิสต์เหมือน Yasujirō Ozu แต่มีหลายสิ่งละม้ายคล้ายคลึงกัน อาทิ กล้องมักไม่ค่อยขยับเคลื่อนไหว ตั้งอยู่ระดับต่ำกว่าสายตา (เกือบๆจะ Tatami Shot) และส่วนใหญ่ถ่ายจากระยะไกล (Long Shot) เพื่อให้เห็นเต็มตัวนักแสดงกระทำสิ่งต่างๆ นานๆครั้งถึงพบเห็นระยะกลางใกล้ (Medium Shot)

หลายคนอาจรับรู้สึกว่าลีลาการนำเสนอของผกก. Yamanaka ดูเฉิ่มเชย ล้าหลัง ขาดสีสันทางภาพยนตร์! แต่ผมกลับมองว่าเป็นการให้อิสรภาพผู้ชมในการสังเกต จับจ้องมอง พบเห็นท่าทางแสดงออก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ดูเป็นธรรมชาติ และนักแสดงต้องมีความเข้าขา ถึงสามารถรับ-ส่ง สนทนา โต้ตอบมุกไปมา


เอาจริงๆผมว่าเรื่องราวของ Humanity and Paper Balloons (1937) มีความมืดหม่นยิ่งกว่า Priest of Darkness (1936) แต่แทนที่จะถ่ายทำตอนกลางคืน ใช้ความมืดเข้าปกคลุม เปลี่ยนมาใช้สภาพอากาศที่ผันแปรเปลี่ยน เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก ท้องฟ้ามืดครึ้ม สำหรับเทียบแทนสภาวะทางอารมณ์ตัวละคร

อย่างช็อตแรกของหนังถ่ายทำตอนกลางคืน ฝนตกหนักมาหลายวัน (เป็นการบอกใบ้ว่ามีบางสิ่งอย่างเลวร้ายเกิดขึ้น) พอรุ่งเช้าฟ้าสว่าง พื้นถนนยังเปียกแฉะ พบเห็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกำลังเดินเข้ามาตรวจสอบความผิดปกติ เพราะเมื่อคืนมีซามูไรคิดสั้นแขวนคอตายในสลัม

นี่น่าจะคือ お通夜 อ่านว่า Tsuya แปลว่า Wake Ceremony เป็นการรวมตัวของญาติพี่น้อง ผองเพื่อน คนรู้จัก เพื่อทำการเคารพศพผู้เสียชีวิต เอาจริงๆมันไม่จำต้องมีการร้องรำทำเพลง แต่คงคล้ายแบบไทยที่บางครั้งอาจมีกิจกรรมรื่นเริง มหรสพ เพื่อให้คลายความทุกข์โศก วิญญาณไปผุดไปเกิดด้วยความร่าเริงเบิกบาน

เกร็ด: มีสำนวนญี่ปุ่น 起死回生 หรือ きしかいせい อ่านว่า Kishikaisei แปลว่า Wake from death and return to life ฟังดูหลอกหลอน น่าสะพรึง แต่ไม่จำเป็นต้องคนตายฟื้นคืพชีพ หมายถึงการล้มแล้วลุก เอาตัวรอดจากสถานการณ์สิ้นหวัง (Resuscitation)

ชายตาบอด ตาบอดจริงหรือไม่? นั่นคงเป็นสิ่งที่ไม่มีใครให้คำตอบได้ แต่พี่แกกลับสามารถรับรู้ว่าใคร(แอบ)ทำอะไร หมอนี่ลักขโมยไปป์สูบบุหรี่ นั่นแสดงว่าตัวละครนี้อาจแฝงนัยยะถึงการรับรู้ทุกสิ่งอย่าง แต่เลือกที่จะปิดหูปิดตา แสร้งว่ามองไม่เห็นพฤติกรรมคอรัปชั่นผู้อื่น สนเพียงกระทำสิ่งตอบสนองผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น … นี่คงสะท้อนบรรยากาศการเมืองญี่ปุ่นยุคสมัยนั้นได้ชัดเจนเลยละ!

Okoma กับ Chushichi ค่อนข้างชัดเจนว่าฝ่ายหญิงพยายามชวนคุย เกี้ยวพาราสี สอบถามความเห็นโน่นนี่นั่น แต่ฝ่ายชายกลับยื้อๆยักๆ ทำตัวเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา ไม่กล้าเอื้อมเด็ดดอกฟ้า ขนาดว่ากล้องตัดไปภาพตุ๊กตาเกอิชา (แต่งตัวเหมือน Okoma) มันช่างน่าอับอายขายขี้หน้า ราวกับสนทนากับสิ่งของไร้จิตวิญญาณ

แต่ผมว่าการแทรกภาพตุ๊กตาเกอิชา ต้องการสื่อถึง Okoma ว่ามีสภาพไม่ต่างจากหุ่นเชิกชัก เพียงตุ๊กตาประดับชั้นวาง (A Doll House) ขณะนั้นถูกหมั้นหมายให้แต่งงานกับชายไม่รู้จัก ไม่ได้ตกหลุมรัก ไร้สิทธิ์เสียงจะต่อต้านทาน … นี่ไม่ใช่แค่สะท้อนสังคมชายเป็นใหญ่ ปิตาธิปไตย (Patriarchy) แต่ยังเหมารวมถึงการใช้อำนาจรัฐ ประชาชนไร้ซึ่งสิทธิ์เสียง เพียงเบี้ยล่าง หมากกระดานสำหรับการสงคราม

เมื่อตอนที่ Unno Matajuro ถูกขับไล่ ผลักไสออกจากบ้านพักของ Mouri Sanzaemon ไม่ได้รับอนุญาตให้พบเจอ ระหว่างการเปลี่ยนภาพ (film transition) จงใจทำให้เกิดความล่าช้า เยิ่นยาวนานกว่าปกติ เพื่อให้ผู้ชมสังเกตเห็นภาพซ้อน สะท้อนถึงสภาพจิตใจตัวละคร ตกอยู่ในความหดหู่ สิ้นหวัง ราวกับโดนกักขัง ไร้หนทางออก

ยามค่ำคืนฝนตกหนัก Okoma กับ Chushichi ไม่ได้พกร่มติดมาด้วย สังเกตจากคำพูด ภาษากาย ฝ่ายหญิงไม่อยากให้เขาเร่งรีบหาร่ม เดินทางกลับบ้าน อยากใช้เวลาอยู่ร่วมกันสองต่อสองให้นานที่สุด แต่ฝ่ายชายกลับไม่รู้ไม่สน ไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอ แถมยังปล่อยทอดทิ้งอยู่ตัวคนเดียว

การมาถึงของ Shinza ทีแรกก็ไม่ได้คิดอะไรไกล ยินดีจะแบ่งปันร่มพากลับบ้าน แต่พอเธอบอกปัดปฏิเสธ นั่นทำให้เขาเกิดความครุ่นคิดบางอย่าง หนังไม่ได้นำเสนอว่าหมอนี่ทำอะไรยังไง เพียงก้าวเหยียบลูกบอลปอมปอม แล้วให้อิสระผู้ชมจินตนาการเตลิดเปิดเปิงไปไกล

แม้ว่า Okoma จะแสดงสีหน้าไม่พึงพอใจ ก้มหน้าก้มตาร่ำร้องไห้ (หยดน้ำฝนที่หยดลงมา สร้างบรรยากาศตึงเครียด กดดัน เหมือนเสียงติก-ติกนาฬิกา) แต่ลึกๆผมรู้สึกว่าเธอแอบยินดีเสียด้วยซ้ำที่ถูกลักพากตัว คาดหวังว่าโจรจะพาหนีไปให้ไกล จักได้ไม่ต้องแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก … แต่สุดท้ายแล้วชีวิตก็ไม่เป็นดั่งความฝัน

ระหว่างที่ Shinza ต่อรองกับพวกมาเฟีย สังเกตว่าเขามีการเล่นกับมีด โยนไปโยนมา (คล้ายๆสำนวนเล่นกับไฟ ลองดีเสี่ยงกับสิ่งที่รู้ว่าจะเป็นอันตราย) รับรู้ว่าตนเองถือไพ่เหนือกว่า จึงมีความสงบ เยือกเย็น ไม่หวาดหวั่นกลัวเกรงอันตราย ขอเพียงได้กระทำสิ่งตอบสนองความพึงพอใจครั้งสุดท้าย … น่าจะรับรู้ตัวอยู่แล้วว่าหลังเหตุการณ์นี้ ชีวิตตนคงจบสิ้นลงอย่างแน่นอน

จะว่าไปไม่ใช่แค่ลูกบอลปอมปอม แต่ยังมีอีกหลายครั้งที่ผกก. Yamanaka จงใจไม่นำเสนอภาพเหตุการณ์อันเลวร้าย แค่เพียงนำเสนอการกระทำ หรือบางสิ่งในเชิงสัญลักษณ์ แล้วให้อิสรภาพผู้ชมในการครุ่นคิดจินตนาการ … ใครเคยรับชมผลงานของผกก. Yasujirō Ozu ก็น่าจะมักคุ้นลีลา ชั้นเชิงในการดำเนินเรื่องลักษณะนี้ บอกว่าจะออกไปรับประอาหารนอกบ้าน ซีนถัดมาปรากฎว่าทุกคนกลับถึงบ้าน พร่ำเพ้อถึงมื้ออาหารที่เพิ่งรับประทาน (แล้วฉากรับประทานอาหารหายไปไหน??)

  • ซีนแรกของหนัง มีกล่าวว่าซามูไรผูกคอตาย แต่ก็ไม่พบเห็นภาพว่าบังเกิดอะไรขึ้น
  • ช่วงท้าย Shinza ต่อสู้กับเจ้าพ่อมาเฟียกลางสะพาน ไม่รู้โชคชะตากรรม แต่ก็คาดเดาไม่ยาก
  • ภรรยาของ Unno ฆ่าตัวตายคู่กับสามี (Double Suicide) ไม่ถ่ายให้เห็นเหมือนกันว่าทำอะไรยังไง แค่เพียงปิดโคมไฟ (เงามืดด้านหลัง ช่างดูหลอกหลอน น่าหวาดสะพรึงยิ่งนัก)

ตัดต่อ … ไม่มีเครดิต

เรื่องราวของหนังไม่ได้จำเพาะเจาะจงนำเสนอผ่านมุมมองตัวละครใด แต่มีจุดศูนย์กลางคือโรนิน Unno Matajuro และช่างทำผม Shinza ทั้งสองอาศัยอยู่ห้องพักติดกันในชุมชมสลัมแห่งหนึ่ง แม้แตกต่างคนละชนชั้น แต่ทั้งสองกลับถูกกดขี่ข่มเหง โดนกระทำร้ายร่างกายโดยลูกน้องมาเฟีย/เจ้าของร้านรับจำนำ Shirokoya

  • อารัมบท, การฆ่าตัวตายที่น่าอัปยศของซามูไร
    • แนะนำชุมชนสลัมแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบการฆ่าตัวตายของซามูไรด้วยการแขวนคอ
    • สมาชิกในสลัมแนะนำเจ้าของห้องเช่า ให้จัดงานเลี้ยงปลุกคนตาย มีการดื่มด่ำ ร้องรำทำเพลง
  • วันวุ่นวายของโรนิน Unno Matajuro และช่างทำผม Shinza
    • ยามเช้ายังคงไม่สร่างเมา ลูกน้องเจ้าพ่อมาเฟียมาดักรอช่างทำผม Shinza แอบเข้ามาหลบในห้องพักของโรนิน Unno
    • โรนิน Unno ออกไปเฝ้ารอคอยพบเจอซามูไร Mouri Sanzaemon เฝ้ารอคอยหน้าร้านรับจำนำ
    • Mouri แสดงความไม่พึงพอใจเลยขอให้เจ้าของร้านรับจำนำ Shirokoya ช่วยจัดการสั่งสอนโรนิน Unno แล้วทำให้ Shinza โดนลูกหลงไปเต็มๆ
    • โรนิน Unno กลับมาบ้าน พยายามปกปิดรอยแผล สรรหาข้ออ้างกับภรรยา
    • Shinza ถูกควบคุมตัวเข้าพบมาเฟีย/เจ้าของร้านรับจำนำ Shirokoya ได้รับการสั่งสอนให้รู้จักที่สูงที่ต่ำ
    • แต่ค่ำคืนนั้น Shinza ก็ยังแอบเปิดบ่อนการพนัน ก่อนถูกลูกน้องของ Shirokoya จับได้ไล่ทัน
  • ชีวิตดำเนินไปอย่างไร้ความหวัง
    • โรนิน Unno ยังคงพยายามขอโอกาสจากซามูไร Mouri แต่กลับถูกปฏิเสธขันแข็ง
    • Shinza ต้องการนำอุปกรณ์ตัดผมไปจำนำ ทำให้ได้พบเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง Okoma กับ Chushichi แต่แล้วเจ้าของร้านกลับมา เลยถูกรุมโทรมได้รับบาดเจ็บ
    • ยามค่ำคืน Okoma ติดฝนอยู่กับ Chushichi บังเอิญพบเจอโดย Shinza จึงครุ่นคิดแผนการบางอย่าง
    • โรนิน Unno ยังพยายามขอโอกาสจากซามูไร Mouri ท่ามกลางฝนพรำ คราวนี้ถูกขับไล่ พูดจากผลักไสส่ง
  • การลักพาตัว Okama
    • ยามเช้า พวกมาเฟียพยายามมาต่อรองกับ Shinza แต่เจ้าตัวกล้าหือรือ ไม่ยินยอมจำนน
    • จนยามบ่ายหัวหน้าห้องเช่า เดินทางไปต่อรองยังโรงรับจำนำ ได้เงินมาจำนวนมาก
    • ค่ำคืนจัดงานเลี้ยง ทุกคนต่างดื่มด่ำเมามาย
    • Shinza เผชิญหน้ากับหัวหน้ามาเฟีย
    • ภรรยาของโรนิน Unno กลับมาพบเห็นสภาพสามี มิอาจอดรนทนได้อีกต่อไป

ผมรู้สึกว่าผกก. Yamanaka ได้ปรับปรุงบทเรียนจาก Priest of Darkness (1936) ตระหนักว่าปัญหาคือตัวละครมากไป สลับสับเปลี่ยนมุมมองจนทำให้เรื่องราวสลับซับซ้อนเกินความจำเป็น ซึ่งสำหรับ Humanity and Paper Balloons (1937) ทำให้หลงเหลือเพียงแค่โรนินและช่างทำผม ปริมาณไม่มาก กำลังดี และผู้ชมสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง


เพลงประกอบโดย Tadashi Ota, 太田 忠 (1901-) นักเปียโน คีตกวีสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo ตั้งแต่แปดขวบฝึกฝนเล่นออร์แกน ตามด้วยเปียโนและการแต่งเพลงตอนอายุ 15 ปี หลังสำเร็จการศึกษา ทำงานแต่งเพลงสำหรับเด็ก ก่อนเข้าร่วมวงออร์เคสตรา The New Symphony Orchestra ในฐานะนักเปียโนคอนเสิร์ต, ตั้งแต่ปี 1937 ทำงานเป็น Music Director ให้กับสตูดิโอ P.C.L. Film Studio (ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น Toho Studio) จึงมีโอกาสทำเพลงประกอบภาพยนตร์ อาทิ Humanity and Paper Balloons (1937), Composition Class (1938) ฯ

ค่อนข้างเสียดายที่หนังทำการบูรณะเสียงไม่ดีสักเท่าไหร่ ผมเลยรู้สึกว่าบทเพลงของ Ota ไม่ค่อยมีความน่าจดจำมากนัก เพียงสร้างสัมผัสอันตราย เหมือนมีบางสิ่งชั่วร้าย ความตายกำลังคืบคลานเข้ามา … เหตุผลหนึ่งอาจเพราะผกก. Yamanaka ได้ทำการลดบทบาทเพลงประกอบ เพื่อใช้ความเงียบงัน และบางครั้ง Sound Effect เสียงฝนพรำ สำหรับสร้างบรรยากาศตึงเครียด กดดัน ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง

แต่ก็มีซีเควนซ์ที่น่าจดจำมากๆ บทเพลงระหว่างพิธีปลุกคนตาย บรรดาชายขี้เมาทั้งหลายต่างลุกขึ้นมาร้องร่ำทำเพลง บรรเลงเครื่องดนตรีพื้นบ้านญี่ปุ่น ถือเป็นการบันทึกภาพประเพณีท้องถิ่น ที่พบเห็นได้ยากยิ่งในปัจจุบัน!

แซว: พบเห็นชายขี้เมาร้องรำทำเพลง ชวนให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ The Lower Depths (1957) ของผกก. Akira Kurosawa ที่ก็เต็มไปด้วยคนยากคนจนลุกขึ้นมาขับร้องอะแคปเปล่า

แม้ว่าบิดาของ Unno Matajuro จะเป็นซามูไรที่มีชื่อเสียง ได้รับนับหน้าถือตา แต่หลังจากเสียชีวิตทำให้ครอบครัวต้องตกอับ อดมื้อกินมื้อ บุตรชายไม่สามารถหาทำงาน ทั้งยังถูกขับไล่ ผลักไส คนรู้จักตีตนห่างไกล ว่าจ้างมาเฟียมารุมกระทำร้าย เจ็บปวดทั้งร่างกาย-จิตวิญญาณ

ไม่แตกต่างจากช่างตัดผม Shinza เป็นแค่บุคคลธรรมดาๆ หาเช้ากินค่ำ ครุ่นคิดเปิดกิจการบ่อนการพนัน แต่กลับถูกพวกมาเฟียเรียกร้องค่าสินไหม ใช้กำลังรุนแรง กดขี่ข่มเหง บีบบังคับโน่นนี่นั่น ชีวิตไร้ซึ่งอิสรภาพ ถูกกระทำร้าย เจ็บปวดทั้งร่างกาย-จิตวิญญาณ

สิ่งที่ทั้ง Unno และ Shinza ประสบพบเจอในชีวิต สามารถสะท้อนถึงสภาวะทางอารมณ์ สภาพพจิตใจผกก. Yamanaka เริ่มตั้งแต่การสูญเสียมารดาสุดที่รัก (เปรียบเทียบความตายซามูไรต้นเรื่อง หรือจะบิดาของ Unno ที่จากไปก่อนหน้า) ตามด้วยความล้มเหลวภาพยนตร์ 2-3 เรื่องถัดๆมา (ไม่สามารถโน้มน้าว Mouri Sanzaemon จนสูญเสียโอกาสทำงาน) รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า หมดสิ้นเรี่ยวแรงกายใจ ไม่หลงเหลือใครเป็นที่พึ่งพังพิก … ผิดกับ Priest of Darkness (1936) ที่แม้ปกคลุมด้วยความมืดมิด แต่ตอนจบเด็กชายออกวิ่งสู่แสงสว่าง, Humanity and Paper Balloons (1937) ตอนจบกลับไม่หลงเหลืออะไรสักสิ่งอย่าง!

และที่สุดคือเรื่องราวของหนัง สะท้อนถึงสภาพสังคม วิถีชีวิตชาวญี่ปุ่นในช่วงก่อนสงคราม (Pre-War) รัฐบาลที่มุ่งมั่นจะขยับขยายดินแดน โดยไม่สนความเดือดร้อน แร้งแค้นของประชาชน แถมยังกดขี่ข่มเหง ควบคุมครอบงำ บีบบังคับโน่นนี่นั่น สั่งเกณฑ์ทหารเพื่อเกียรติ ศักดิ์ศรี ความยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ นั่นทำให้ประชาชน คนธรรมดาสามัญ ไม่สามารถลืมตาอ้าปาก ตกอยู่ในความหดหู่ ท้อแท้สิ้นหวัง ราวกับโดนกักขัง ไร้หนทางออก หลงเหลือเพียงเส้นทางหนึ่งเดียวเท่านั้น!

มันไม่ใช่ว่าผกก. Yamanaka ทำการสรรค์สร้างภาพยนตร์อัตชีวประวัติ แต่ใครจะไปคาดคิดถึงว่าแทบทุกสิ่งอย่างในหนังเรื่องนี้ได้วิวัฒนาการ กลายเป็นอัตชีวประวัติ นั่นหมายถึงการพยากรณ์อนาคต จุดจบของตนเอง และการล่มสลายของจักรวรรดิญี่ปุ่น


紙風船 อ่านว่า Kamifūsen แปลว่า Paper Balloons, ลูกโป่งกระดาษ โดยทั่วไปคือของเล่นเด็ก สำหรับโยนไปโยนมา แก่งแย่งแข่งขัน บางครั้งเป็นของฝาก ของที่ระลึก ประดับตกแต่งสถานที่ หรืออาจทำเป็นโคมกระดาษลอยฟ้า (ยี่เป็ง) สัญลักษณ์แทนความคาดหวัง เพ้อฝัน โหยหาชีวิตที่ดีกว่าปัจจุบัน

ขณะเดียวกันลูกโป่งกระดาษยังมีความเปราะบาง โยนเล่นไม่นานก็ฉีกขาด แม้สามารถลอยน้ำได้สักพัก แต่อีกไม่นานก็จมลงสู่ก้นเบื้องล่าง สูญสิ้นความหวัง แสงสว่าง ชีวิตและจิตวิญญาณ

ช่วงระหว่างที่หนังกำลังถ่ายทำ เกิดเหตุการณ์ขัดแย้งระหว่าง National Revolutionary Army vs. Imperial Japanese Army ขึ้นที่ Marco Polo Bridge incident ณ Beijing ระหว่าง 7-9 กรกฎาคม ค.ศ. 1937 นั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นสงคราม Second Sino-Japanese War (1937-45)

วันที่หนังออกฉาย 25 สิงหาคม ค.ศ. 1937 มีซองจดหมายสีแดงส่งหาผกก. Yamanaka (ก็เหมือนใบแดงบ้านเรา คือสัญลักษณ์การถูกเกณฑ์ทหาร) รับมามือไม้สั่น ถึงขนาดไม่สามารถจุดซิการ์ได้หลังจากนั้น, ต่อมาบรรดาผองเพื่อนร่วมกันจัดเลี้ยงอำลา ณ Heian Shrine อำนวยอวยพรขอให้โชคดี, วันที่ 31 สิงหาคม จึงได้เข้าร่วม 9th Infantry Regiment of the 16th Division ณ Fushimi

เกร็ด: Yasujirō Ozu ก็เป็นอีกคนที่ถูกเกณฑ์ทหาร ได้รับใบแดงทีหลังแต่ขึ้นเรือสู่ประเทศจีนก่อน เห็นว่ามีโอกาสพบเจอผกก. Yamanaka ที่ Nanjing แล้วยังอำนวยอวยพร “The next time we meet, we will meet in Tokyo.” แต่ครั้งนั้นกลับคือครั้งสุดท้ายพบเจอกัน

ผมไม่ค่อยอยากเขียนเส้นทางสู่ความตายของผกก. Yamanaka อ่านแล้วรู้สึกสะเทือนใจ ใครอยากรับรู้แบบเต็มๆแนะนำ Wikipedia ภาษาญี่ปุ่น แล้วพึ่งพา Google Translate (หรือพวก AI อย่าง ChatGPT, Bard ฯ) แปลภาษาเอาเองนะครับ

การเสียชีวิตของผกก. Yamanaka ไม่ได้เกิดจากถูกยิงหรือได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่คือสภาพแวดล้อมสนามรบ ไม่มีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภค-บริโภค จำต้องดื่มจากโคลนเลน ทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย ถูกส่งมาโรงพยาบาลสนามก็ไม่มีความพร้อมอะไร ทานอาหารไม่ได้ สุดท้ายอาการทรุดหนัก เสียชีวิตวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1938 สิริอายุเพียง 28 ปี!


เมื่อตอนหนังออกฉาย ได้เสียงตอบรับดีล้นหลามจากนักวิจารณ์ ติดอันดับ #7 ภาพยนตร์แห่งปีของนิตยสาร Kinema Junpo แถมยังติดเรื่อยๆมาในแทบทุกชาร์ทจัดอันดับภาพยนตร์สัญชาติญี่ปุ่นยอดเยี่ยมตลอดกาล

  • Kinema Junpo: Top 100 Japanese Films of the 20th Century (1995) อันดับ #4
  • Kinema Junpo: Top 100 best Japanese movies ever made (1999) อันดับ #18
  • Kinema Junpo: Top 200 best Japanese movies ever made (2009) อันดับ #23
  • Busan: Asian Cinema 100 Ranking (2015) อันดับ #67

ภาพยนตร์ที่หลงเหลือทั้งสามเรื่องของผกก. Yamanaka ได้รับการบูรณะ 4K ในโอกาสครบรอบ 110 ปี สตูดิโอ Nikkatsu เมื่อ ค.ศ. 2020 ใครอยากหาซื้อ Blu-Ray ต้องสั่งจากญี่ปุ่น (เหมือนจะไม่มีซับไตเติ้ล) หรือ DVD ของค่าย Eureka! รวบรวมอยู่ใน Masters of Cinema … แต่หาดูออนไลน์ง่ายสุด เพราะหนังไม่ติดลิขสิทธิ์ใดๆ (ระยะเวลาลิขสิทธิ์ในญี่ปุ่นแค่ 50 ปีเท่านั้น!)

เมื่อตอนรับชม The Million Ryo Pot (1935) ผมแอบคาดหวังว่าผลงานของผกก. Yamanaka จะออกมาในสไตล์ตลกร้าย (Dark Comedy) มีความเย้ายียวน รัญจวนใจ เอาจริงๆทุกเรื่องก็มีความขบขันของมันอยู่ แต่ผลงานหลังๆยากจะหัวเราะออกมา เพราะโลกที่เขาสร้างขึ้นมันช่างดำมืด สิ้นหวัง จุดจบตัวละครเลยสามารถพยากรณ์หายนะจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆกับความพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง

นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Humanity and Paper Balloons (1937) โดดเด่นเหนือกว่าผลงานอื่นใดของผกก. Yamanaka นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นที่ได้จากประสบการณ์ทำงาน อาทิ เชื่อมโยงเรื่องราวเข้ากับสภาพอากาศ ใช้วัตถุแฝงนัยยะบางอย่าง ดำเนินเรื่องคู่ขนานในเชิงเปรียบเทียบ ทั้งยังผสมผสานประเพณี ความเชื่อ (เรื่องคนตาย) ฯลฯ ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงมีความทรงคุณค่ายิ่งๆขึ้นไป

จัดเรต 13+ กับโลกใต้ดิน ลักพาตัว และอัตวินิบาต

คำโปรย | Humanity and Paper Balloons ผลงานสุดท้ายของผู้กำกับ Sadao Yamanaka นำเสนอความเปราะบางของชีวิต พยากรณ์หายนะกำลังบังเกิดขึ้นกับจักรวรรดิญี่ปุ่น
คุณภาพ |
ส่วนตัว | ปวดร้าวทรวงใน

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: