Not One Less

Not One Less (1999) Chinese : Zhang Yimou ♥♥♥♡

เพราะได้รับทุนสร้างจากรัฐบาลจีน ผู้กำกับจางอี้โหมวเลยยืนกรานว่าหนังไร้ซึ่งนัยยะทางการเมือง แต่เพียงเพื่อโบนัสไม่กี่สิบหยวน ครูสาววัยสิบสามกลับยินยอมทำทุกสิ่งอย่าง จนหลงลืมหน้าที่รับผิดชอบแท้จริงของตนเอง, คว้ารางวัล Golden Lion จากเทศกาลหนังเมือง Venice

I cannot accept that when it comes to Chinese films, the West seems for a long time to have had just the one ‘political’ reading: if it’s not ‘against the government’ then it’s ‘for the government’. The naïveté and lack of perspective of using so simple a concept to judge a film is obvious. With respect to the works of directors from America, France and Italy for example, I doubt you have the same point of view.

จางอี้โหมวเขียนบทความตีพิมพ์ลง Beijing Youth Daily ฉบับวันที่ 20 เมษายน 1999 (หลังไม่ได้ฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes)

ผมเห็นด้วยที่ว่าถ้าเราสนใจ Not One Less (1999) เพียงแค่นัยยะทางการเมือง จะทำให้มองข้ามเนื้อหาสาระส่วนอื่นๆ อาทิ ประเด็นการศึกษา, ปัญหาความยากจน, ชนบทห่างไกล, อิทธิพลของเงิน, จริยธรรมทางสังคม, อิทธิพลสื่อสมัยใหม่ ฯลฯ แต่ถ้าสังเกตการใช้คำพูดของผู้กำกับจางอี้โหมว ก็ไม่ได้ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีการเมืองเคลือบแอบแฝง!

ขณะที่ความน่าสนใจประเด็นอื่นๆของหนังค่อยๆเลือนลางไปตามกาลเวลา (เพราะโลกที่ปรับเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิต/สังคมชนบทค่อยๆพัฒนาไป ปัญหาต่างๆได้รับการแก้ไข) ผมกลับโคตรอึ่งทึ่งในวิธีการที่ผู้กำกับจางอี้โหมว (รับอิทธิพลจาก Abbas Kiarostami) ใช้เด็กๆที่มีความใสซื่อไร้เดียงสาเป็นตัวแทนประชาชน ขณะที่ครูเว่ยหมิ่นจือไม่ต่างผู้นำเผด็จการ (ของพรรคคอมมิวนิสต์) ที่ไม่ได้มีความรู้ ความสามารถ ปกครองดูแลเด็กๆด้วยวิธีการ … โดยเธอนั้นสนเพียงค่าจ้างและโบนัส พยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้นักเรียนยังอยู่ครบถ้วนในโรงเรียนแห่งนี้!

คน(ไทย)ส่วนใหญ่คงมองหนังในแง่ ‘ความเป็นครู’ ของเด็กหญิง ยกยอปอปั้นถึงความอุตสาหะ มุมานะ ทุ่มเทพยายามทำให้นักเรียนอยู่ครบถ้วนในโรงเรียนแห่งนี้ แต่ขอเถอะว่าอย่ามองแต่ผลลัพท์แล้วหลงลืมรากเหง้าปัญหา ทั้งๆที่เธอไม่ได้มีความรู้เหตุใดถึงอาสาทำงานเป็นครู? หมกมุ่นต้องค่าจ้าง&โบนัสไปเพื่ออะไร? ละทอดทิ้งภาระหน้าที่(ที่ควรดูแลเด็กๆ)เพียงเพื่อบุคคลเดียว นั่นใช่สิ่งถูกต้องหรือเปล่า? แล้วอะไรคือนิยามของความเป็นครู?

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพูดกล่าวถึงคือการ ‘ชวนเชื่อ’ และอิทธิพลของสื่อ (ภาพยนตร์) เพราะนี่เป็นโปรเจคออกทุนโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ตามติดผู้กำกับจางอี้โหมวตลอดการถ่ายทำ คอยเน้นย้ำอย่านำเสนอภาพความยากจนข้นแค้นเกินไป และตอนจบบังคับให้ขึ้นข้อความ … แต่นั่นน่าจะเป็นตัวเลขต่ำกว่าความจริงอยู่หลายเท่าตัว!

Each year, poverty forces one million children in China to leave school. Through the help of donations, about 15% of these children return to school.


ก่อนอื่นต้องเท้าความถึงยุคสมัยการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (1966-76) ท่านประธานเหมาเจ๋อตุงประกาศนโยบาย ‘ทุบทำลายอดีต เพื่อก่อร่างสร้างอนาคตใหม่’ นั่นรวมถึงระบอบการศึกษาที่ถูกมองว่าคร่ำครึล้าหลัง มหาวิทยาลัยถูกสั่งปิด ครูอาจารย์ ศาสตราจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิโดนส่งไปใช้แรงงานหนัก ทำไร่ ทำนา ทำสวน นั่นทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวกลายเป็น ‘สุญญากาศ’ ขาดความต่อเนื่องด้านการศึกษา แม้ภายหลังเติ้งเสี่ยวผิงจะปฏิรูปนโยบายการศึกษา ให้คนอายุเกินเกณฑ์สามารถกลับเข้าโรงเรียน … แต่มนุษย์เราเมื่อผ่านเลยช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ได้หรอกนะ

ค.ศ. 1986, รัฐบาลจีนได้ออกกฎหมายการศึกษาขั้นบังคับ 9 ปี (เทียบบ้านเราก็ ป.1 ถึง ม.3) แต่ความไม่พร้อมในหลายๆด้าน เงินทุน สื่อการสอน ครูอาจารย์ ยิ่งสถานที่ทุรกันดารห่างไกล พอเด็กๆอายุ 12-13 ปี เพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว ก็มักออกจากโรงเรียนไปทำงานหาเงินดีกว่า

ค.ศ. 1993, มีประกาศแผนปฏิรูปการศึกษา 7 ปี โดยเป้าหมายหลักคือท้องถิ่นทุรกันดารห่างไกล พยายามจัดหาทุน สื่อการสอน ครูอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อโน้มน้าวให้เด็กๆเลือกร่ำเรียนหนังสือจนสำเร็จการศึกษาขั้นบังคับ ก่อนออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพรอดด้วยตนเอง

แผนปฏิรูปการศึกษา 7 ปี (1993-2000) แม้ดูจับต้องเป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติยังคงประสบปัญหาอื่นๆมากมาย ผลลัพท์ไม่มีใครรับทราบอย่างชี้ชัดว่าเป็นเช่นไร แต่รัฐบาลจีนต้องการให้ใครสักคนสรรค์สร้างภาพยนตร์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นประชาชนว่าแผนการดังกล่าวสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

หลังจากทางการพิจารณาอย่างรอบคอบ ตัดสินใจเลือกผู้กำกับจางอี้โหมว เพราะประสบการณ์ถ่ายทำภาพยนตร์ยังสถานที่ทุรกันดารห่างไกล มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เคยคว้ารางวัลจากเทศกาลหนังมากมาย น่าจะการันตีคุณภาพผลงาน ‘ชวนเชื่อ’ ได้อย่างแน่นอน


จางอี้โหมว, Zhang Yimou (เกิดปี 1951) ตากล้อง/นักแสดง ผู้กำกับภาพยนตร์ เกิดที่ซีอาน, เมืองหลวงของมณฑลส่านซี บิดาเป็นนายทหารในกองทัพปฏิวัติแห่งชาติจีน (National Revolutionary Army) หรือพรรคก๊กมินตั๋ง ภายใต้การนำของนายพลเจียงไคเช็ก หลังความพ่ายแพ้สงครามกลางเมืองต่อพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อปี 1949 ทำให้ครอบครัวตกที่นั่งลำบาก มีเพียงลุงกับพี่ชายเลือกอพยพสู่ไต้หวัน ส่วนตัวเขาต้องเผชิญหน้าความขัดแย้งเห็นต่างทางการเมืองอย่างรุนแรง

ช่วงระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (1966-76) จางอี้โหมวต้องออกจากโรงเรียนมาเป็นกรรมกรแรงงานอยู่สามปี ตามด้วยโรงงานปั่นฝ้ายอีกเจ็ดปี เวลาว่างก็เขียนภาพวาด หาเงินซื้อกล้อง ค้นพบความหลงใหลด้านการถ่ายรูป จนกระทั่งสถาบัน Beijing Film Academy เปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่เมื่อปี 1978 แม้อายุเกินกว่าเกณฑ์ แต่ได้รับอนุญาติจากรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม เพราะชื่นชอบประทับใจผลงานถ่ายภาพ เลยอนุญาตให้เข้าศึกษาเป็นกรณีพิเศษ

เมื่อสำเร็จการศึกษาได้รับมอบหมายทำงานยัง Guangxi Film Studio ในฐานะตากล้อง One and Eight (1983), Yellow Earth (1984), เมื่อหมดสัญญาเดินทางกลับบ้านเกิดที่ซีอาน ได้รับการชักชวนจาก วูเทียนหมิง (Wu Tianming) เข้าร่วม Xi’an Film Studio ถ่ายภาพ/แสดงนำ Old Well (1987) และกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Red Sorghum (1988) คว้ารางวัล Golden Bear จากเทศกาลหนังเมือง Berlin

เมื่อได้รับการติดต่อจากรัฐบาล มีหรือจางอี้โหมวจะ(สามารถ)บอกปัดปฏิเสธ แต่ไม่มีรายละเอียดว่าเขาเป็นคนเลือกเรื่องราวที่จะดัดแปลงเองหรือเปล่า ต้นฉบับคือนวนิยาย A Sun in the Sky (天上有个太阳 อ่านว่า Tiān shàng yǒu ge tàiyáng) แต่งโดยซือเสียงเชิง ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1997

ซือเสียงเชิง, 施祥生 (เกิดปี 1942) นักเขียนชาวจีน เกิดที่ Chongming, Shanghai ช่วงระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ถูกส่งไปทำงานเกษตรกร ก่อนเปลี่ยนมาเป็นครูสอนหนังสือที่จังหวัดซินเจียงอุยกูร์ (ทางตะวันตกของประเทศจีน) นั่นคือจุดเริ่มต้นใช้เวลาว่างเขียนนวนิยาย มักนำจากประสบการณ์ตรง หรือเหตุการณ์เคยพบเห็นจากการใช้ชีวิตยังชนบทห่างไกลดังกล่าว

ผู้กำกับจางอี้โหมวทำการปิดประตู ‘closed-door discussion’ พัฒนาบทร่วมกับ Shi Xiangsheng ยาวนานถึง 4 เดือนเต็ม! ปรับเปลี่ยนรายละเอียดใหญ่ๆเพียงแค่จากตัวละครสูงวัยเพศชาย มาเป็นครูเด็กหญิงอายุ 13-14 ปี และปล่อยพล็อตหลวมๆ เพื่อให้อิสระต่อเด็กๆในการเป็นตัวของตนเองมากที่สุด

‘Not One Less’ is a film that is plain, traditional, commonplace and even very old-fashioned in content and form, which happens to be one of our goals: to make a real and powerful film in the commonplace. We filmmakers, under the demands of today’s film market, of course we want to make the films look good. Therefore, our other purpose is: besides being good-looking, films can also tell people what they can think and care about.

จางอี้โหมว กล่าวถึงภาพยนตร์ Not One Less (1999)

หมู่บ้านชนบทห่างไกล ณ มณฑลเหอเป่ย โรงเรียนเล็กๆแห่งหนึ่งมีนักเรียนอยู่ราว 30 คน ในความรับผิดชอบของคุณครูเกาครู ต้องการลากลับบ้านเกิดหนึ่งเดือน เพื่อไปเยี่ยมเยือนมารดาล้มป่วยหนัก ผู้ใหญ่บ้านจึงออกติดตามหาครูทดแทนเพื่อมาสอนเด็กๆชั่วคราว กระทั่งได้รับอาสาจากเว่ยหมิ่นจือ เด็กหญิงอายุ 13 ปี กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมต้น ไม่ได้มีความรู้อะไรมากไปกว่าอ่านออกเขียนได้ ตอบตกลงรับงานนี้เพราะต้องการค่าจ้าง 50 หยวน สำหรับแบ่งเบาภาระครอบครัว

หน้าที่ของเว่ยหมิ่นจือ มีเพียงลอกบทเรียนขึ้นกระดานให้เด็กๆคัดตาม และเธอจะได้รับค่าตอบแทนพิเศษอีก 10 หยวน ถ้านักเรียนยังอยู่ครบถ้วน ไม่มีใครหายไปสักคนเดียว! แต่เรื่องวุ่นๆก็เกิดขึ้นเมื่อเด็กชายจางหุยเค่อ จำต้องออกจากโรงเรียนเพื่อไปทำงานในเมืองใหญ่ ครูเว่ยออกติดตามค้นหา พานผ่านช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและคราบน้ำตา


นอกจากเว่ยหมิ่นจือ ที่ทำการค้นหานักแสดงกว่า 20,000+ คน! ตัวประกอบอื่นๆล้วนเป็นชาวบ้าน บุคคลธรรมดาๆทั่วไป (ผู้ใหญ่บ้านก็เป็นผู้ใหญ่บ้าน, ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ก็เป็นผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์จริงๆ ฯลฯ) มักถูกแอบถ่าย สร้างสถานการณ์ แสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว … นั่นทำให้หนังมีความสมจริง ดูเป็นธรรมชาติมากๆ

เว่ยหมิ่นจือ, 魏敏芝 (เกิดปี 1985, ที่จางเจียโข่ว มณฑลเหอเป่ย์) เด็กหญิงหน้าตาบ้านๆ ฐานะยากจน วันหนึ่งมีทีมงานภาพยนตร์เดินทางมาออดิชั่นที่โรงเรียน แมวมองตั้งคำถามกับเธอว่า ‘ถ้าเล่นเป็นครูสอนหนังสือจะได้หรือเปล่า?’ ตอบกลับด้วยความมั่นใจ ‘แน่นอน’ และเมื่อพามาทดสอบหน้ากล้องก็ไม่มีอาการเขินอาย พูดคุยเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติๆ

I am really lucky to be able to film with Uncle Zhang Yimou. The experience of filming ‘No One Less’ has changed the trajectory of my life. Only then can I have the opportunity to study at university and study abroad… If not In this movie, I might raise pigs at home, get married, have children, and be a housewife.

เว่ยหมิ่นจือ กล่าวถึงการพบเจอลุงจางอี้โหมว ได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาชีวิตโดยสิ้นเชิง

ชื่อเสียงและความสำเร็จทำให้เว่ยหมิ่นจือได้รับการอุปถัมภ์จนสามารถเรียนจบมัธยม มีความเพ้อฝันอยากเป็นนักแสดง แต่ไม่สามารถสอบเข้า Beijing Film Academy เพราะหน้าตาขี้เหร่เกินไป ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจเข้าเรียนการกำกับและตัดต่อ Xi’an International Studies University ก่อนได้รับทุนการศึกษาต่อยังสหรัฐอเมริกา Brigham Young University ปัจจุบันทำงานเบื้องหลัง กำกับสารคดี มักมีเนื้อหาเกี่ยวกับชนบทห่างไกล


ถ่ายภาพโดย โฮ่วหยง, Hou Yong (เกิดปี 1960) ตากล้อง/ผู้กำกับรุ่นห้า สำเร็จการศึกษาจาก Beijing Film Academy เมื่อปี 1982 เริ่มต้นร่วมงานผู้กำกับเทียนจวงจวง The Horse Thief (1986), The Blue Kite (1993), และผู้กำกับจางอี้โหมวเรื่อง Not One Less (1999), The Road Home (1999), Hero (2002) ฯลฯ

ผู้กำกับจางอี้โหมวตัดสินใจสรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยสไตล์ Neorealist เลือกใช้นักแสดงสมัครเล่นทั้งหมด (เด็กๆ, ชาวบ้าน, บุคคลทั่วไป) เดินทางไปยังสถานที่จริง โรงเรียนประถมชุ่ยกวน อำเภอชิเจิ้ง จังหวัดจางเจียโข่ว มณฑลเหอเป่ย์ ถ่ายทำด้วยฟีล์ม 16mm (แล้วมาขยาย ‘blow-up’ ขนาด 35mm เพื่อฉายโรงภาพยนตร์) ใช้การจัดแสงธรรมชาติ หลายครั้ง(ฉากในเมือง)จะมีการซ่อนกล้องแอบถ่าย แบบเดียวกับผลงานก่อนหน้า The Story of Qiu Ju (1992)

ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้โรงเรียน Shuiquan Primary School ได้รับการสนับสนุน เงินบริจาคมากมาย (จางอี้โหมวก็นำค่าจ้างของตนเองมอบให้โรงเรียนแห่งนี้) สามารถปรับปรุงจนมีคุณภาพถือว่าค่อนข้างดี ภาพที่นำมานี้ถ่ายเมื่อปี 2017: https://read01.com/6Gx8Bjk.html

ผมแอบสงสัยตั้งแต่ช็อตแรกของหนังว่า ทำไมผู้ใหญ่บ้านและครูเว่ยถึงเดินเท้ามายังหมู่บ้านชุ่ยกวน? จริงๆสามารถนั่งเกวียน ขึ้นรถลาก หลากหลายสรรพวิธี แต่คาดว่าระยะทางคงไม่ไกลมาก และต้องการแสดงให้เห็นถึงความยากจนของคนชนบท จะไปมาหาสู่ยังต้องเดินเท้าแบบนี้ ไม่มีรถ ไม่มีถนนหนทาง ไม่ต่างจากเจ้าม้าที่กำลังเดินสวน (สัญลักษณ์ของการเดินทาง)

ชอล์กคืออุปกรณ์สำหรับการสอนหนังสือ เขียนเนื้อหาบนกระดานดำ แต่สำหรับชนบทห่างไกลที่แทบไร้เงินทุน รายรับน้อยนิดเพียงพอแค่หาซื้อใช้ได้วันละแท่งเท่านั้น! มันจึงเป็นสิ่งของที่ครูเกาพยายามสร้างความสำคัญ ให้เด็กๆรับรู้จักคุณค่าของมัน ไม่ให้ใช้สิ้นเปลือง ไม่ให้เขียนเล่นจนหมด ครุ่นคิดถึงอนาคตวันข้างหน้า

สำหรับครูเว่ยทั้งๆได้รับการเน้นย้ำจากครูเกา แต่แค่เพียงวันแรกก็เหยียบย่ำชอล์กเหล่านี้จนแหลกละเอียด ไม่ตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญ แถมเมื่อได้รับฟังไดอารี่ของเด็กหญิง กลับยังโบ้ยป้ายความผิดให้เด็กชาย ฉันไม่ได้ทำผิดอะไร! (แต่เธอคือคนแรกที่เหยียบย่ำชอล์กเหล่านี้นะครับ)

เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อน ‘สันดาน’ ของพรรคคอมมิวนิสต์ ชื่นชอบออกนโยบายที่ทำการย่ำเหยียบ/ทำลายสิ่งทรงคุณค่ามากมาย (โดยเฉพาะช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม) แต่ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบ กล่าวคำขอโทษ บิดเบือนข้อเท็จจริง ปฏิเสธการสูญเสียหน้า เพราะหวาดกลัวว่าจะสร้างความไม่น่าเชื่อถือ(ต่อพรรคคอมมิวนิสต์)ให้เกิดขึ้นในสังคม! … จะว่าไปผู้นำประเทศสารขัณฑ์ก็เฉกเช่นเดียวกัน

คาบเรียนแรกของครูเว่ย เขียนอะไรก็ไม่รู้เต็มกระดานดำ สามารถสื่อถึงพรรคคอมมิวนิสต์สมัยนั้นที่เต็มไปด้วยหลักการของบรรดาปัญญาชน ขยันออกนโยบายโน่นนี่นั่นแต่กลับไม่เคยสนถึงสภาพเป็นจริง เหลียวหลังดูประชาชน แก้ปัญหาได้บ้างไม่ได้บ้าง คล้ายๆสำนวนไทย ‘เสือกระดาษ’ เก่งแต่ในตำรา ตัวอักษรเต็มกระดานดำ ครูเว่ยไม่สามารถให้คำแนะนำอะไรแก่นักเรียน แค่สั่งให้พวกเขาจดบันทึก ท่องจำ … แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?

เพราะไม่รู้จะทำอะไร แต่ไม่ต้องการให้ใครสูญหายตัวไปไหน ครูเว่ยจึงปิดประดู นั่งเฝ้าหน้าห้อง ไม่ต่างจากพัศดี/ผู้คุมเรือนจำ (นัยยะถึงความพยายามควบคุมครอบงำประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์ หรือมองว่าคือช่วงเวลาปิดประเทศก็ได้เช่นกัน) นั่นทำให้เด็กๆที่อยู่ภายในมีอาการรุกรี้รุกรน ซุกซน (สื่อถึงประชาชนภายใต้ระบอบเผด็จการ ย่อมมิอาจอดรนทนนิ่งเฉย ต้องการจะขัดขืนต่อต้าน) จนกระทั่งเด็กชายจางหุยเค่อกลั่นแกล้งเพื่อนร่วมห้อง (นี่สะท้อนความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้เลยนะ!) และครูเว่ยเข้าไปใช้กำลังหักห้ามปราม (นั่นคือวิธีการแก้ปัญหาของพรรคคอมมิวนิสต์ต่อการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน 1989)

หลายคนคงอาจไม่ทันสังเกตความต่อเนื่องของสองช็อตนี้ เด็กนักเรียนหญิงสวมเสื้อสีม่วง พยายามหักห้ามไม่ให้ครูเว่ยและจางหุยเค่อเหยียบย่ำชอล์กที่ตกอยู่บนพื้น แล้วตัดมายามค่ำคืนเธอกำลังจดบันทึกเหตุการณ์บังเกิดขึ้น (และวันต่อมาเธอถูกขโมยไดอารี่ ครูเว่ยสั่งให้จางหุยเค่ออ่านออกเสียต่อหน้าชั้น)

การถูกควบคุมขัง เป็นเรื่องปกติที่ต้องมีคนพยายามแหกคุก! จางหุยเค่อเมื่อแอบออกจากห้องเรียน พยายามวิ่งตีนผีหลบหนีครูเว่ย ไล่ล่ากันไปจนถึงห้องสุขา นี่เป็นการบอกใบ้เหตุการณ์ครึ่งหลังของหนัง เมื่อเด็กชายต้องออกเดินทางไปทำงานยังเมืองใหญ่ ครูเด็กหญิงจึงติดตามไปลากพาตัวกลับมา

แซว: เราสามารถมองในเชิงเปรียบเทียบว่า สุขา=เมืองใหญ่ (เพราะต่างคือเป้าหมายปลายทางของเด็กชายจางหุยเค่อ) แสดงว่าทัศนะของผู้กำกับจางอี้โหมว ไม่ได้ชื่นชอบสังคมเมืองสักเท่าไหร่!

บทเพลงที่ครูเว่ยขับร้องก็เคลือบแอบแฝงนัยยะบางอย่าง! เพลงแรกที่ร้อง-เต้นให้เด็กๆฟัง เธอกลับจดจำได้แค่สองท่อน!

Our country is like a garden
The beautiful flowers in the garden

ทั้งๆบทเพลงนี้ได้รับการฝึกซ้อมมาแล้วจากครูเกา แต่เธอกลับหลงลืม นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก นี่ชัดเจนว่าเป็นความจงใจของผู้กำกับจางอี้โหมว! เพราะท่อนที่เหลือเป็นการยกย่องสรรเสริญท่านประธานเหมาเจ๋อตุง ซึ่งไม่ใช่บุคคลที่เขาอยากให้ความเคารพสักเท่าไหร่

Our country is like a garden
The beautiful flowers in the garden
(ที่ถูกคือ The flower there are beautiful)

The lovely birds in our garden
will praise our country
Song to praise our leader Mao
make the sky blue again
and lead us to succes

ส่วนบทเพลงใหม่มีชื่อว่า The Red Sun ซึ่งคือสัญลักษณ์ความเจิดจรัสของประเทศจีน แต่คำร้องกลับได้ยินเพียงสองท่อน

Red sun, rainbow clouds
I help mother wash our clothes

นัยยะบทเพลงนี้คงประมาณว่า ต่อให้ยิ่งใหญ่ดั่งตะวันจันทรา เมฆสีรุ้ง แต่สุดท้ายก็ยังต้องช่วยแม่ซักผ้า ทำงานบ้าน ไม่สามารถหลีกหนีพ้นกิจวัตรประจำวันเล็กๆน้อยๆของมนุษย์

เราสามารถมองค่าแรง+โบนัส คือแรงจูงใจของพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อให้ประชาชนยินยอมกระทำตามนโยบายต่างๆของรัฐ ซึ่งความดื้อรั้นของครูเว่ย มีลักษณะของการ ‘ชวนเชื่อ’ ว่าครูที่ดีต้องไม่ละทอดทิ้งนักเรียนสักคนเดียว ปฏิบัติตามคำสั่งเบื้องอย่างเคร่งครัด พยายามวิ่งติดตามจนสุดความสามารถ

แต่จิตสำนึกของผู้ชมย่อมตระหนักว่า การที่เด็กหญิงได้รับการค้นพบโดยแมวมอง ย่อมถือเป็นโอกาสอันน่ายินดี ถึงอย่างนั้นกลับไม่ใช่สิ่งถูกต้องภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ ที่ทำการเสี้ยมสอน ปลูกฝัง สร้างค่านิยมต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด แม่นเป๊ะ! นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ชาวจีนค่อยๆสูญเสียสามัญสำนึกทางจริยธรรม ฉันแค่ทำตามระเบียบ ข้อคำสั่ง แล้วมันผิดอะไร?

อิฐ คืออุปกรณ์พื้นฐานสำหรับการก่อสร้างบ้าน ซึ่งสามารถใช้เป็นสัญลักษณ์ของการก่อร่างสร้างประเทศชาติ(จีน) เกิดขึ้นจากการร่วมมือลงแรงของเด็กๆ (ตัวแทนของประชาชน) ช่วยกันขนย้ายกองอิฐ (ร่วมมือร่วมใจ ทำงานอย่างสมัครสมาน เพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ) เพื่อนำค่าแรงมาเป็นค่าโดยสารสำหรับครูเว่ยออกเดินทางติดตามหาเด็กชายจางหุยเค่อ

แต่ผลลัพท์การทำงานของเด็กๆ นำความเสียหายเกินกว่าครึ่งเพราะพวกเขาไร้ซึ่งประสบการณ์ โยนทิ้งโยนขว้าง แล้วยังจะคาดหวังได้รับผลตอบแทนดีๆ … ผมนึกถึงช่วงการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า (1958-62) รัฐบาลสั่งให้ประชาชนบริจาคเหล็ก ทุกคนทำงานอย่างแข็งขัน หามรุ่งหามค่ำ แต่ผลลัพท์กลับได้เหล็กคุณภาพต่ำ ไม่สามารถนำไปใช้งานได้หลายสิบล้านตัน!

ผมค่อนข้างเชื่อว่าเด็กๆเหล่านี้ไม่เคยดื่มน้ำอัดลมมาก่อนอย่างแน่นอน! เพราะราคากระป๋องละ 3 หยวน เมื่อเทียบกับค่าแรง ค่าครองชีพ ถือว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย แพงเหลือเกิน ซื้อได้แค่สองกระป๋องแบ่งปันเด็กๆ 30 คน … นี่เป็นฉากที่สะท้อนความยากจน ความเหลื่อมล้ำในสังคม อิทธิพลของเงิน และการแพร่เข้ามาของชาติตะวันตก (โคลาโคล่า เป็นบริษัทของสหรัฐอเมริกา)

เพราะไม่สามารถหาเงินมากพอสำหรับค่าเดินทาง เด็กๆจึงครุ่นคิดแผนการให้ครูเว่ยแอบขึ้นรถโดยสาร นี่มันเหมือนการเสี้ยมสอนเด็กๆให้เป็นโจรยังไงชอบกล … สะท้อนจริยธรรมทางสังคมที่ตกต่ำลงมากๆ อันเป็นผลจากความยากจน การเพิกเฉยของรัฐ และอิทธิพลชาติตะวันตก (ที่ทำให้ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ)

แต่ยังไม่ทันได้ไปถึงไหน ครูเว่ยก็ถูกขับไล่ลงจากรถ เพราะพนักงานตรวจตั๋วไม่ยินยอมโอนอ่อนผ่อนปรน ฉันแค่ทำตามกฎระเบียบที่ถูกว่าจ้างมา มันผิดอะไรตรงไหน??

ผมลองเช็ค Google Map จากอำเภอชิเจิ้ง (Chicheng Country) มาจนถึงจังหวัดจางเจียโข่ว (Zhangjiakou) ระยะทางขั้นต่ำ 112+ กิโลเมตร ไม่มีทางจะเดินเท้าวันเดียวถึงอย่างแน่นอน! หลังจากพยายามโบกรถอยู่หลายคัน พอฟ้าเริ่มมืด ถึงได้รถแทร็กเตอร์ซึ่งคือสัญลักษณ์ของคนจน ชาวชนบท ยังพอมีน้ำใจหลงเหลือให้ความช่วยเหลือ (ผิดกับพวกรถหรูๆ คนมีเงิน ต่างปฏิเสธให้ความช่วยเหลือใดๆ)

เส้นทางอันเลี้ยวลดคดเคี้ยวข้ามผ่านภูเขา (เส้นทางเป็นเช่นนั้นจริงๆนะ) ยังสื่อถึงจิตใจมนุษย์ได้เช่นกัน เต็มไปด้วยความคิดคด สนเพียงทำในสิ่งสนองผลประโยชน์ส่วนตัว

คนหาย ก็เป็นอีกปัญหาสังคมที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงหนัก เพราะปริมาณประชากรเพิ่มสูงขึ้น (ค.ศ. 1999 ประเทศจีนมีประชากรเกินกว่า 1.25 พันล้านคนแล้วนะครับ!) การจะติดตามหาบุคคลสูญหายแทบเป็นไปไม่ได้ อาจพลัดหลงทาง ถูกลักพาตัว ประสบอุบัติเหตุ ฯลฯ โอกาสน้อยมากๆๆถึงหาพบเจอ เมืองไทยเราก็ไม่ต่างกันนะครับ ที่หัวลำโพงก็มีที่ติดป้ายประกาศคนหายอยู่ตรงทางเข้าสถานี แต่คนส่วนใหญ่เดินเข้า-ออก ไม่ค่อยสังเกตกันหรอกนะ

ใครเคยรับชม To Live (1994) น่าจะคุ้นเคยกับซาลาเปา/หมั่นโถว คือสัญลักษณ์ของชีวิต(และความตาย) สำหรับรับประทานอิ่มท้อง แต่ต้องระวังอย่าตระกะตระกรามมากเกินไป อาจทำให้ขึ้นอืด บวมพอง ท้องแตกตายก็ได้เช่นกัน!

ไม่ใช่แค่เด็กชายจางหุยเค่อที่ได้กินซาลาเปาฟรีนะครับ ช็อตถัดมายังใช้อาหารนี้เชื่อมสัมผัสครูเว่ยนำหมั่นโถวออกมารับประทาน (ร่วมกับพี่สาวของจางหุยเค่อ ที่ออกติดตามหาน้องชายด้วยกัน) เป็นฉากที่สะท้อนความยากจน คนเร่ร่อน เมื่อหิวโหยก็มีแนวโน้มจะลักขโมย ก่ออาชญากรรม (แต่หนังยังไม่ทำให้เด็กชายจางหุยเค่อไปถึงจุดๆนั้น)

ใครเคยรับชม The Story of Qiu Ju (1992) น่าจะมักคุ้นกับทิศทางดำเนินไปของ Not One Less (1999) โดยเฉพาะความดื้อรั้นของครูเว่ยแทบไม่แตกต่างจากชิวจู และค่อยๆสืบเสาะดำเนินเรื่องราวไปทีละลำดับขั้น ในที่นี้คือการค้นหาจางหุยเค่อเริ่มจากพบเจอพี่สาว –> ประกาศเสียงตามสาย –> เขียนประกาศคนหาย –> ออกรายการโทรทัศน์

หลายคนอาจเต็มไปด้วยอคติต่อเจ้าหน้าที่คนนี้ ตำหนิต่อว่าไร้ซึ่งจิตสำนึกมโนธรรม แต่ผมอยากให้ลองมองมุมกลับกันด้วยนะครับ เธอแค่ทำตามกฎระเบียบทุกสิ่งอย่าง ไม่มีบัตร ไม่มีเงิน ใครก็ไม่รู้จัก จะให้อนุญาตเข้าไปในสถานีได้อย่างไร? ถ้าเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นใครกันจะรับผิดชอบ?

เราไม่ควรตั้งคำถามถึงการกระทำของเธอนะครับ แต่ควรมองไปที่ความไร้จิตสำนึก เพราะอะไร? ทำไม? จุดเริ่มต้นจากแห่งหนไหน? คำตอบของผมคือ เธอได้รับการปลูกฝังเสี้ยมสั่งสอน อิทธิพลจากครอบครัว เพื่อนฝูง คนในสังคม/สถานีแห่งนี้ และสถาบันการปกครอง หรือคือพรรคคอมมิวนิสต์ที่ชอบบีบบังคับให้ประชาชนต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งขัด ใครกันจะกล้าหือรือ ขัดขืน จดจำฝังลึกลงในจิตวิญญาณ กลายเป็นสันชาติญาณ ‘สันดาน’ ติดตัว แทนที่จิตสำนึกมโนธรรม/จริยธรรม

เพราะไม่สามารถเข้าไปในสถานี ครูเว่ยเลยตัดสินใจยืนตรงนอกประตู (ราวกับกำแพงที่แบ่งแยกความเหลื่อมล้ำทางสังคม) เพื่อสอบถามคนเดินเข้า-ออก “คุณคือผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์หรือเปล่าค่ะ?”

สังเกตไม่ยากว่า Sequence นี้เป็นการแอบถ่าย ซุกซ่อนกล้องอยู่ตรงข้ามฝั่งถนน เพื่อบันทึกปฏิกิริยาแสดงออกจริงๆของพนักงานสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ (โดยไม่มีการเตี๊ยมล่วงหน้า) ซึ่งสิ่งสร้างความตกตะลึงให้ผมมากๆก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือเธอพาเข้าพบผู้อำนวยการสถานี! … เอาจริงๆมันต้องมีคนอาสาให้ความช่วยเหลืออยู่บ้างละนะ แต่หนังจำเป็นต้องตัดซีนนั้นออกไป เลือกใส่เฉพาะคนตอบปฏิเสธ ซึ่งมีปริมาณไม่น้อยเลยนะ!

สองภาพนี้สะท้อน ‘ประเทศจีน’ ได้น่าตกตะลึงมากๆ! เบื้องบนมีความระยิบระยับจากแสงไฟ (ปลอมๆ) ราวกับดาวดาราเจิดจรัสประดับท้องฟากฟ้า (สื่อถึงประเทศจีนที่พยายามสร้างภาพให้ดูดี ยิ่งใหญ่ สูงส่งเหนือใคร) แต่ภายใต้ผืนพสุธานั้นยังมีผู้คนอีกมากมายที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน ทนทุกข์ทรมาน อดอยากแร้นแค้น เหมือนครูเว่ยที่ต้องแอบรับประทานอาหารเหลือทิ้ง

แถมยังไร้สถานที่ซุกหัวนอน ค่ำคืนนี้ต้องอาศัยอยู่ข้างถนน ใบประกาศคนหายอุตส่าห์เขียนไว้ก็ปลิดปลิวล่องลอย ให้พนักงานปัดกวาดกลายเป็นเศษขยะ อนาคตช่างเลือนลาง วันพรุ่งนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรต่อไป

โทรทัศน์/ภาพยนตร์ คือสื่อแห่งการชวนเชื่อ สร้างภาพ (ภาพถ่ายพื้นหลังก็ยังดูปลอมๆ) ปลูกฝังทัศนคติ ค่านิยมให้คนในสังคม แถมยังสามารถจำกัดมุมมอง ควบคุมเรื่องราวนำเสนอ (ตามคำสั่งเบื้องบน) ตั้งแต่สหภาพโซเวียต นาซีเยอรมนี มาจนถึงสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่างใช้ประโยชน์จากสื่อเคลื่อนไหวเหล่านี้ในการเข้าถึงประชาชนวงกว้าง

การเชิญครูเว่ยมาออกรายการโทรทัศน์ สามารถมองเชิงสัญลักษณ์ถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ ในลักษณะสื่อซ้อนสื่อ ‘media within media’ คล้ายๆพวกหนังซ้อนหนัง ละครซ้อนละคร ฯลฯ สามารถสะท้อนถึงอิทธิพล(ของสื่อสารมวลชน)ต่อผู้ชม แทบไม่มีความแตกต่างกัน

แซว: ครูเว่ยร้องไห้จริงๆไม่ใช่น้ำตาเทียม แต่ก็ต้องใช้เวลาบีบเค้นคั้นอยู่สักพักใหญ่ๆ

ช็อตสุดท้ายของหนัง ถ่ายภาพบนกระดานดำ ชอล์กหลากหลายสีสันสะท้อนถึงโอกาสทางการศึกษา เมื่อเด็กรุ่นใหม่มีวิชาความรู้ เติบโตขึ้นหางานทำ เดินทางจากชนบทเข้าเมือง จักสามารถแก้ปัญหาทุกสรรพสิ่งอย่าง … จริงเหรอ?

ผมสนใจแค่ตัวอักษรแรกที่ครูเว่ยเขียนบนกระดาน พยายามให้อยู่ตำแหน่งสูงสุด 天, Tiān แปลว่า ท้องฟ้า, สรวงสวรรค์, ถ้าตามความหมายของภาพยนตร์ Hero (2002) ก็คือ ใต้หล้า ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าฟ้าดิน (แม้แต่พวกพรรคคอมมิวนิสต์ก็เถอะ!)

ตัดต่อโดย Zhai Ru (1963-2006) เจ้าของฉายา ‘Golden Scissors’ โด่งดังจากการร่วมงานผู้กำกับจางอี้โหมว อาทิ Not One Less (1999), The Road Home (1999), Hero (2002) ฯ

หนังดำเนินเรื่องโดยมีเว่ยหมิ่นจือคือศูนย์กลาง เริ่มจากเดินทางมาถึงหมู่บ้านชุ่ยกวน ทำการสอนควบคุมดูแลเด็กๆ ไม่ต้องการสูญเสียใครสักคน จนกระทั่งเด็กชายจางหุยเค่อจำต้องออกจากโรงเรียนเพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว เธอจึงออกติดตามหาเขาไปจนถึงเมืองจางเจียโข่ว

  • เริ่มต้นตระเตรียมการสอน
    • เว่ยหมิ่นจือเดินทางมาถึงหมู่บ้านชุ่ยกวน
    • ครูเกาให้คำแนะนำ อธิบายหน้าที่ของเธอ
  • บทเรียนแรก
    • ครูเว่ย ให้เด็กๆคัดลอกเนื้อหาบนกระดานดำ พยายามกักขังทุกคนอยู่ในห้อง เรียกร้องให้ปฏิบัติตามคำสั่งตน
    • นักเรียนคนหนึ่งมีความสามารถด้านกีฬา เข้าตาแมวมองต้องการนำพาเธอสู่เมืองใหญ่ แต่ครูเว่ยปฏิเสธเสียงขันแข็ง เพราะไม่ต้องการสูญเสียใครสักคนไป
  • บทเรียนสอง
    • เด็กชายจางหุยเค่อจำต้องออกจากโรงเรียนเพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว ครูเว่ยต้องการติดตามตัวกลับมา
    • ครุ่นคิดหาเงินค่าตั๋วโดยสารเพื่อเดินทางสู่เมืองจางเจียโข่ว ด้วยการให้เด็กๆทำงานแบกอิฐ
    • แต่ค่าตั๋วโดยสารเข้าเมืองราคาสูงกว่าที่คาดคิด เด็กๆจึงร่วมมืดส่งครูเว่ยแอบขึ้นรถ แต่สุดท้ายเธอถูกจับได้ เลยตัดสินใจก้าวเดินสู่เมืองจางเจียโข่ว
  • การผจญภัยในเมืองจางเจียโข่ว
    • หามาจนถึงสถานที่อยู่แต่กลับไม่พบเจอตัว เลยติดตามหายังสถานีรถไฟ ให้เจ้าหน้าที่ป่าวประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียง
    • ได้รับคำแนะนำมาถึงยังสถานีโทรทัศน์ แต่เพราะไม่มีเอกสารใดๆจึงถูกห้ามไม่ให้เข้าไป
    • วันถัดมาเธอก็ยังคงดื้อรั้น จนหัวหน้าสถานีเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ออกรายการโทรทัศน์ และพบเจอเด็กชายจางหุยเค่อได้สำเร็จ
  • เดินทางกลับอย่างวีรบุรุษ
    • เว่ยหมิ่นจือและจางหุยเค่อได้เดินทางกลับหมู่บ้านชุ่ยกวน พร้อมเงินบริจาค สื่อการสอน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสถานที่แห่งนี้

ลีลาการตัดต่อของ Zhai Ru ต้องชมเลยว่าไม่ธรรมดา! เพราะฟุตเทจจำนวนมหาศาลถูกนำมาปะติดปะต่อ ร้อยเรียงเข้ากันได้อย่างต่อเนื่องลื่นไหล โดยเฉพาะการผจญภัยในเมืองจางเจียโข่วตัดสลับไปมาระหว่างเว่ยหมิ่นจือและจางหุยเค่อ ในตอนแรกผมครุ่นคิดว่ามุมมองของเด็กชายดูไม่มีความจำเป็นสักเท่าไหร่ (น่าจะสร้างความลึกลับ ลุ้นระทึก จะเจอหรือไม่เจอ? การแทรกใส่เรื่องราวดังกล่าวบอกใบ้อยู่แล้วว่าต้องพบเจอ) แต่สำหรับตอนจบ Happy Ending วิธีดังกล่าวถือว่าเหมาะสมมากๆ (เพราะทำให้ผู้ชมเข้าใจเหตุผลที่จางหุยเค่อตัดสินใจกลับมาเรียนหนังสืออีกครั้ง!) แถมยังสามารถนำเสนอปัญหาสังคมเพิ่มเติมเข้าไปได้อีก อาทิ เด็กเร่ร่อน คนไร้บ้าน หัวขโมยตามท้องถนน ชนชั้นล่างในชุมชนเมือง ฯลฯ

อีกฉากที่มีการตัดต่อน่าประทับใจมากๆ คือขณะเว่ยหมิ่นจือยืนอยู่หน้ารั้วทางเข้าสถานีโทรทัศน์ สอบถามทุกผู้คนเดินเข้า-ออก ‘คุณคือผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์หรือเปล่าค่ะ?’ (ทั้ง Sequence เป็นการสร้างสถานการณ์ แอบถ่ายปฏิกิริยาของคนเดินเข้า-ออกในสถานีโทรทัศน์จริงๆ) ทำเช่นนั้นอยู่สักพักหนึ่งเสียงพูดก็ค่อยๆเงียบลง งานภาพเปลี่ยนมาใช้เทคนิค Cross-Cutting และบทเพลงมอบสัมผัสความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า อีกนานสักเท่าไหร่ฉันถึงพบเจอบุคคลกำลังติดตามหา


เพลงประกอบโดย Na Risong (เกิดปี 1968, ที่โฮฮอต เขตการปกครองมองโกเลียใน) เริ่มเรียนไวโอลินตั้งแต่อายุ 4 ขวบ, เปียโนตอน 11 ขวบ, พออายุ 13 ปี ได้เข้าศึกษายัง Central University for Nationalities ติดตามด้วย Central Conservatory of Music ค้นพบความหลงใหลในดนตรียุโรปและอเมริกัน (American Pop Music) ใช้ชื่อในวงการ Sanbao มีผลงานทั้งเพลงป็อป ประกอบภาพยนตร์ อาทิ Not One Less (1999), The Road Home (1999) ฯ

ทีแรกผมไม่แน่ใจว่าหนังมีเพลงประกอบหรือเปล่า เพราะโดยปกติ Neorealist มักใช้เสียงในฟีล์ม (Sound-On-Film) เพื่อสร้างความสมจริง ไม่จำเป็นต้องแต่งเติมเสริมบรรยากาศ หรืออารมณ์บีบเค้นคั้นมากนัก (แค่ภาพความทุกข์ยากลำบากของชีวิต มันก็รันทนเพียงพอแล้วละ) แต่ก็ไม่ผิดอะไรจะแทรกใส่เข้ามานะครับ

ซึ่งพอได้รับฟังจากอัลบัมเพลงประกอบเลยย้อนกลับไปดูในหนัง ก็พบว่าแทรกใส่เข้ามาได้อย่างแนบเนียน กลมกลืนพื้นหลังมากๆ มีส่วนผสมของทั้งดนตรีตะวันออก-ตะวันตก จะเริ่มได้ยินช่วงครึ่งหลังออกเดินทางสู่เมืองใหญ่ ดังขึ้นช่วงเวลาที่เว่ยหมิ่นจือตกอยู่ในสภาพเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้สิ้นหวัง ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป บทเพลงจักช่วยเสริมสร้างอารมณ์ผู้ชม รู้สึกสงสารเห็นใจ อยากให้ความช่วยเหลือ ชื่นชมในความทุ่มเทเสียสละ … จนหลงลืมเหตุผล ที่มาที่ไป เพราะอะไรถึงมาหลงทางยังเมืองใหญ่แห่งนี้

แซว: แม้ปกของคลิปนี้จะคือ The Road Home (1999) แต่นี่เป็นอัลบัมรวมผลงานของ Sanbao ที่ร่วมงานผู้กำกับจางอี้โหมว เลยมีบทเพลงจาก Not One Less (1999) อยู่ด้วย

ท่วงทำนองเดียวกับ Main Theme แต่เปลี่ยนจากเครื่องดนตรีตะวันตก มาใช้เครื่องดนตรีจีน (ซอเอ้อหู) ซึ่งสร้างสัมผัสคล้ายๆกันถึงความเหน็ดเหนื่อย ทนทุกข์ยากลำบาก ไม่รู้จะหาหนทางออกไหน ก็ได้แต่อดรนทน ต่อสู้อย่างดื้อรั้น ขึ้นอยู่กับโชคชะตากรรมจะสามารถค้นพบสิ่งที่ตัวละครค้นหาได้หรือไม่

เว่ยหมิ่นจือ แม้กำลังศึกษาชั้นมัธยมต้นแต่ต้องครุ่นคิดถึงการทำงาน หาหนทางแบ่งเบาภาระครอบครัว เลยอาสาสมัครเป็นครูทดแทนเด็กประถม เพราะครุ่นคิดว่าอย่างน้อยตนอ่านออกเขียนได้ บวกลบคูณหาร ขับร้องเพลงเป็น จักสามารถพานผ่านระยะเวลาสามสิบวัน ได้รับค่าจ้าง 50 หยวน

แต่การจะเป็นครูได้นั้น ไม่ใช่มีแค่มีความครุ่นคิดตั้งใจก็สามารถเป็นได้!

  1. อย่างแรกต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะสอน ไม่ใช่เปิดตำรา อ่านหนังสือ หรือเขียนให้จดบนกระดาน การทำเช่นนั้นไม่ต้องมีโรงเรียนก็ได้ละมั้ง!
  2. อย่างสองคือต้องเข้าใจผู้เรียน เพราะนักเรียนแต่ละช่วงวัย ประถม-มัธยม-อาชีวะ-มหาวิทยาลัย-หรือผู้ใหญ่ จะมีสติปัญญา ความสามารถในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป ครูผู้สอนต้องปรับเปลี่ยนวิธีการ ปริมาณเนื้อหา ความง่าย-ยาก ให้มีความเหมาะสมกับผู้เรียน
  3. และอย่างสุดท้ายจำเป็นต้องมี ‘จรรยาบรรณ’ ในความเป็นครู ส่วนนี้ขอละไว้ในฐานเข้าใจนะครับ

เอาแค่สามข้อเนี่ย เว่ยหมิ่นจือไม่สิ่งที่สามารถเรียกว่า ‘ครู’ ได้เลยสักนิด! แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามสร้างค่านิยม ‘ชวนเชื่อ’ ให้ผู้ชมบังเกิดความเข้าใจว่า การเสียสละอุทิศตนเพื่อลูกศิษย์ ต้องการให้เด็กๆทุกคนยังอยู่ในโรงเรียน แค่นั้นก็สมควรยกย่องเรียกว่า ‘ครูเว่ย’

นั่นเป็นสิ่งถูกต้องเหมาะสมควรหรือไหม? ผมจะพยักหน้าตอบว่าใช่ เพราะ ‘ความเป็นครู’ มันไม่จำเป็นต้องสอนวิชาความรู้ เข้าใจผู้เรียน หรือมีจรรยาบรรณทางวิชาชีพใดๆ เหล่านั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์พยายามสร้างนิยามความหมายในเชิงรูปธรรมขึ้นมา เอาจริงๆแค่เพียงใครคนหนึ่งให้คำแนะนำ แสดงความปรารถนาดีต่ออีกฝั่งฝ่าย ก็สามารถเรียกว่าครู/อาจารย์ได้แล้วละ! ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากมาย

ปัญหาก็คือผู้ชมเอาแต่ถกเถียงเรื่องความเป็นครู สรรเสริญเยินยอเว่ยหมิ่นจือ จนแทบไม่ใครพูดกล่าวถึงปัญหาสังคมอื่นๆที่หนังพยายามยัดเยียดใส่เข้ามา อาทิ ความเจริญที่เข้าไม่ถึงชนบท ทำให้ครอบครัวมักส่งลูกๆเข้าเมืองใหญ่ เริ่มทำงานหาเงินตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่ก็ใช่ว่าจะมีอาชีพเพียงพอรองรับ ก่อให้เกิดปัญหาเร่ร่อน ขอทาน เมื่อไม่มีกินก็ปล้น-ฆ่า ก่ออาชญากรรม ความเหลื่อมล้ำแบ่งแยกคนรวย-จน เจ้านาย-ลูกจ้าง อิทธิพลของสื่อโทรทัศน์ (และภาพยนตร์เรื่องนี้) สามารถล้างสมอง ชวนเชื่อ ปรับเปลี่ยนทัศนคติผู้ชม สร้างความเข้าใจถูกๆผิดๆ ขึ้นอยู่กับเบื้องบนจะสั่งการลงมา

ต้นเหตุของปัญหาที่ผมมองเห็นจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือพรรคคอมมิวนิสต์ที่ขยันออกนโยบาย หลักการ ต้องการกระทำบางสิ่งอย่างให้ได้ตามเป้าหมายโน่นนี่นั่น แต่ไม่เคยพิจารณาความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้ อย่างเรื่องการศึกษาที่หนังพยายามนำเสนอนี้ ยังมีชนบทห่างไกลอีกมากมายที่ขาดแคลน ไม่มีครู-อาจารย์ สื่อการสอน โรงเรียนบางแห่งไร้หลังคาคุ้มหัวด้วยซ้ำ แต่ออกกฎหมายการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี ปฏิรูปแล้วปฏิรูปอีก มันจะสำเร็จลุล่วงได้อย่างไร?

ความแปลกประหลาดของชนชาวจีนก็คือ เมื่อตระหนักว่ากระทำอะไรผิดพลาด หรือไม่สามารถตอบสนองเป้าหมายได้สำเร็จ ก็พยายามหาหนวิธีเพื่อไม่ให้ตนเองต้อง ‘เสียหน้า’ ด้วยการปกปิด บิดเบือน ลบเลือน (แบบช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม) สร้างภาพลวงหลอกตา ใช้ความดื้อรั้น ข้ออ้างหัวชนฝา … นี่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคือสันดานธาตุแท้ ‘ความเป็นจีน’ เสี้ยมสอนกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษเลยหรืออย่างไร?

ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เฉกเช่นกัน นำเสนอปัญหามากมายแล้วพยายามบิดเบือนด้วยการนำเว่ยหมิ่นจือมาออกรายการโทรทัศน์ บีบเค้นคั้นจนน้ำตาเล็ดไหลหลั่ง แล้วผู้ชมทางบ้านเกิดความรู้สึกสงสารเห็นใจ ยินยอมช่วยเหลือบริจาคเงินทอง สิ่งข้าวของโน่นนี่นั่น ในที่สุดโรงเรียนแห่งนี้ก็ได้รับการปรับปรุงพัฒนา … แล้วอีกหลายร้อยพันโรงเรียนแห่งอื่นเล่า???

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากพูดถึงก็คือ นโยบายเปิดประตูเมื่อปี 1986 (หลังปิดประเทศไปกว่า 40-50 ปี) โลกภายนอกได้ปรับเปลี่ยนแปลงไปไกลมากๆ ประเทศจีนที่ช้าล้าหลังกว่าใครย่อมเกิดอาการ ‘cultural shock’ รีบเร่งซึมซับรับวัฒนธรรมตะวันตก นำเข้าเทคโนโลยี สิ่งของเครื่องใช้ (โคคาโคล่าก็หนึ่งในนั้น) โดยไม่รู้ตัวถูกแนวคิดระบอบทุนนิยม ‘เงิน’ กลายมาเป็นปัจจัยสำหรับการดำรงชีวิต และกำแพงสำหรับแบ่งแยกชนชั้นทางสังคมที่ค่อยๆเด่นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ … ความเสมอภาคเท่าเทียมตามแนวคิดสังคมนิยม กำลังค่อยๆถูกปรับเปลี่ยน กลืนกิน ก่อนปัจจุบันพัฒนามาเป็น ‘ทุนนิยมแบบควบคุม’ (Authoritarian Capitalism)

‘เงิน’ กลายเป็นหนทางออกสำหรับทุกปัญหา ตั้งแต่การศึกษา ความยากจน ชนบทห่างไกล หรือในสังคมเมืองก็คนเร่ร่อน ขอทาน อาชญากร ฯลฯ นั่นคือเหตุผลที่ครูเว่ยต้องการให้นักเรียนทุกคนยังอยู่ครบถ้วน ‘not one less’ เพื่อนำเงินมาช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว แต่การสูญเสียเด็กชายแค่เพียงคนเดียว เป็นเหตุให้เธอยินยอมทำทุกสิ่งอย่างโดยไม่สนภาระหน้าที่ ถูก-ผิดกฎหมาย หรือแม้แต่จริยธรรมทางสังคม (เด็กอายุ 13 ปี โตพอจะเข้าใจว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำแล้วนะครับ)

ผู้กำกับจางอี้โหมวก็คงเฉกเช่นเดียวกัน ดูมีความเพลิดเพลินโปรเจคภายใต้ ‘เงิน’ สนับสนุนของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ยินยอมน้อมตามคำสั่ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังแอบสอดใส้ประเด็นการเมืองอย่างแนบเนียนสุดๆ ด้วยการใช้เด็กๆคือจุลภาคของประชาชน(ชาวจีน) ส่วนครูเว่ยก็คือชนชั้นผู้นำการปกครอง (หรือจะตีความถึงพรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังได้) ความสนใจของเธอมีเพียง ‘ควบคุม’ ให้ทุกคนคล้อยทำตามคำสั่ง ปิดขังประตูห้อง นั่งเฝ้าอยู่ภายนอก ไม่ยินยอมให้ใครออก สูญหายไปไหน ร่วมก่อร่างสร้างชาติ (ด้วยการขนอิฐ) จนบังเกิดความสมัครสมานสามัคคี (เด็กๆจากเคยเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เมื่อค้นพบจุดมุ่งหมายเดียวกันก็เลิกดื้อรัน ยินยอมให้ความช่วยเหลือครูเว่ยหาเงิน)

การใช้เด็กๆในเชิงสัญลักษณ์เช่นนี้ ต้องชมเลยว่ามาเหนือเมฆ! เพราะผู้ชมส่วนใหญ่จะเกิดความตะขิดตะขวง โล้เล้ลังเลใจ ผู้กำกับบ้าระห่ำขนาดนั้นเลยเหรอ? … ใครติดตามอ่านบทวิเคราะห์ของผมมาก็น่าจะรับรู้ว่า ผกก. จางอี้โหมวจงใจซุกซ่อนเร้นนัยยะทางการเมืองในทุกๆผลงานอยู่แล้วนะครับ

แม้ปัญหาต่างๆในหนังแทบจะไม่ได้รับการแก้ไขใดๆ แต่ความเชื่อของผู้กำกับจางอี้โหมวต่อฉากสุดท้ายของหนัง ‘ถ้าประชาชนได้รับโอกาสทางการศึกษา ปัญหาต่างจะค่อยๆได้รับการแก้ไข’ นี่เป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะใช่มากๆ แต่ให้ลองสังเกตยุคสมัยปัจจุบันนี้ดูนะครับ (ในประเทศของเราก็ได้) คนส่วนใหญ่เรียนสำเร็จการศึกษาขั้นบังคับ แต่ทำไมปัญหาเหล่านั้นกลับยังคงอยู่เหมือนเดิม แทบไม่มีอะไรแตกต่างจากอดีต?

แสดงว่ามันมีปัจจัยอื่นๆที่ระบบการศึกษาไม่สามารถแก้ปัญหา (แต่ไม่ใช่ว่าการศึกษาไม่ใช่สิ่งจำเป็นนะครับ คนมีวิชาความรู้ย่อมได้เปรียบในการเอาตัวรอดมากกว่าผู้อื่น) อาทิ สามัญสำนึกผู้คน ความเชื่อส่วนบุคคล จริยธรรมทางสังคม ฯลฯ ซึ่งผมครุ่นคิดว่าต้นตอของสรรพสิ่งอย่างคือการบริหารจัดการของรัฐ … ผู้นำดีย่อมนำพาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ผู้นำคอรัปชั่นก็ตามสภาพที่เห็นอยู่


ดั้งเดิมนั้นหนังได้รับการคาดหวังให้เข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes แต่เมื่อแมวมองหลายคนเดินทางมารับชม แสดงความคิดเห็น ‘pro-China’ อ้างว่าตอนจบมีลักษณะชวนเชื่อรัฐบาลจีนมากเกินไป นั่นสร้างความไม่พึงพอใจต่อผู้กำกับจางอี้โหมวอย่างรุนแรง เลยปฏิเสธนำหนังออกฉายเทศกาลดังกล่าว และเขียนแสดงความคิดเห็นตีพิมพ์ลง Beijing Youth Daily (ที่ผมอ้างอิงไว้ตอนต้นบทความ)

พอไม่ได้ฉายเมือง Cannes (ฝรั่งเศส) คณะกรรมการจัดงานเทศกาลหนังเมือง Venice (อิตาลี) ก็ฉวกฉวยรีบคว้าโอกาสทันที และสามารถเป็นผู้ชนะรางวัล Golden Lion โดยเรื่องที่ได้ที่สอง Grand Special Jury Prize นั้นคือ The Wind Will Carry Us (1999) ของผู้กำกับ Abbas Kiarostami (เอาชนะผลงานของผู้กำกับที่เป็นแรงบันดาลใจหนังเรื่องนี้!)

  • Golden Lion
  • Laterna Magica Prize
  • Sergio Trasatti Award
  • UNICEF Award

หนึ่งในจุดประสงค์ที่รัฐบาลจีนให้ทุนสร้างหนังเรื่องนี้ ก็เพื่อหาหนทางแก้ปัญหาลิขสิทธิ์ (Copyright) เพราะการแพร่ระบาดของแผ่นผีแผ่นเถื่อน ลักลอบแอบถ่าย ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีกฎหมายที่ใช้จัดการปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง Not One Less (1999) เห็นว่าคือภาพยนตร์เรื่องแรกๆของประเทศจีนที่ได้รับการปกป้อง อยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว

และเพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ รัฐบาลจีนจึงพยายามโปรโมท Not One Less (1999) พร้อมกึ่งๆบังคับให้เจ้าหน้าที่ ข้าราชการหน่วยงานต่างๆ เหมาดูหนังในโรงภาพยนตร์ ผลลัพท์สามารถทำเงินประมาณ ¥40 ล้านหยวน

ทีแรกผมนึกว่าหนังได้รับการบูรณะแล้ว House Samyan จึงนำเข้าฉายประเทศไทยช่วงปลายเดือนเมษายน 2022 แต่เหมือนจะไม่ใช่เลยแอบรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นโอกาสรับชมหนังเก่าๆในโรงภาพยนตร์ค่อนข้างยาก ใครพลาดไปก็แอบน่าเสียดายอยู่ (นี่บอกกับตนเองด้วยนะครับ)

ส่วนตัวชื่นชอบความบ้าระห่ำเหนือเมฆของผู้กำกับจางอี้โหมว ทั้งการยัดเยียดประเด็นโน่นนี่นั่น นัยยะเชิงสัญลักษณ์ของเด็กๆ และความเป็น Neorealist ที่จับต้องได้! แต่ก็ผิดหวังในลักษณะชวนเชื่อ สร้างภาพ ก่อให้เกิดค่านิยมผิดๆเพี้ยนๆ โดยเฉพาะตอนจบ Happy Ending ทำให้ผู้ชมสูญเสียความสนใจประเด็นอื่นๆไปหมดสิ้น

โดยปกติแล้วหนังแนว Neorealist ส่วนใหญ่มักเลือกจบแบบ Bad Ending เพื่อให้ผู้ชมตระหนักถึงปัญหา เกิดความกระตือรือล้นในการปรับปรุงพัฒนา แต่ตอนจบของ Not One Less (1999) มันไม่หลงเหลือ ‘not one less’ ความสนใจในประเด็นอื่นๆ เพียงก่อเกิดความยินดี พึงพอใจ เชื่อมั่นในการทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์

แนะนำคอหนัง Neorealist ที่สะท้อนปัญหาสังคม ความแตกต่างระหว่างชนบท vs. ชาวเมือง ประเทศจีนทศวรรษ 90s, ทำงานสังคมสงเคราะห์ หน่วยงานด้านการศึกษา โดยเฉพาะครูอาจารย์ อาสาสมัครชนบท ห้ามพลาดเด็ดขาด!

จัดเรตทั่วไป รับชมได้ทุกเพศวัย

คำโปรย | Not One Less คือภาพยนตร์ชวนเชื่อด้านการศึกษาที่พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างภาพรัฐบาลให้ดูดี จนผู้ชมพลัดหลงทาง
คุณภาพ | ชวนเชื่อจนหลงทาง
ส่วนตัว | แค่ชื่นชอบ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: