Painted Skin (1993) : King Hu ♥♥♡
ซนต๋าโซ่น แหกดวงโปเย ผลงานทิ้งท้ายของปรมาจารย์ผู้กำกับ หู จินเฉวียน โดยรวมค่อนข้างน่าผิดหวังทีเดียว แม้จะคับคั่งด้วยนักแสดงคุณภาพ, Special Effect สุดอลังการ, แต่มีปัญหาที่วิธีดำเนินเรื่อง กระโดดไปมาเหมือนบรรดาจอมยุทธใช้วิชาตัวเบา ผู้ชมคงต้องเหาะเหินเดินอากาศถึงสามารถบรรลุเข้าใจหนังเรื่องนี้ได้
ถ้าคุณไม่ใช่แฟนเดนตายของโปเยโปโลเย หรือผู้กำกับ หู จินเฉวียน แนะนำให้หลีกเลี่ยงหนังเรื่องนี้ไปเลย หาฉบับอื่นมารับชมน่าจะยังดีเสียกว่า
– ครั้งแรกสุดของการดัดแปลง Painted Skin คือ Huapi (1965) กำกับโดย Bao Feng
– Painted Skin (1993) กำกับโดย King Hu
– Painted Skin (2008) กำกับโดย Gordon Chan
– ภาคต่อฉบับ 2008, Painted Skin: The Resurrection (2012) กำกับโดย Wu Ershan
Painted Skin ดัดแปลงจากเรื่องสั้น Huàpí รวมอยู่ในหนังสือเรื่องประหลาดจากห้องหนังสือ หรือโปเยโปโลเย ผลงานประพันธ์ของผู ซงหลิง (ค.ศ. 1640 – 1715) แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง (1644 – 1912), เรื่องราวของนักศึกษาหนุ่มถูกลวงล่อหลอกโดยปีศาจที่แปลงร่างเป็นหญิงสาวสวย ลักลอบเป็นชู้เมียเก็บโดยภรรยาหาได้ยินยอมพร้อมใจ แต่เมื่อเขาได้รับรู้ตัวตนแท้จริงของเธอ จึงติดต่อไหว้วานนักพรตเต๋า ให้ช่วยขับไล่ปราบมารเอาชนะอธรรม
ความตั้งใจของผู ซงหลิง เขียนไว้ในปัจฉิมลิขิต
“How foolish men are, to see nothing but beauty in what is clearly evil! And how benighted to dismiss as absurd what is clearly well-intended! It is folly such as this that obliges the lady Chen to steel herself to eat another man’s phlegm, when her husband has fallen prey to lust. Heaven’s Way has its inexorable justice, but some mortals remain foolish and never see the light!”
บัณฑิตผู้มากแม้นด้วยปัญญา แต่กลับหมกมุ่นมักมากอยู่ในกามร่านราคะ ขาดสติครุ่นคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ เมื่อพบเจอหญิงสาวสวยรวยเสน่ห์ เกิดความเคลิบเคลิ้มหลงใหลหัวปลักหัวปลำ มองข้ามมิสนใจภรรยาคนรักที่อยู่ข้างกายมาโดยตลอด มิสามารถมองเห็นจิตวิญญาณแท้จริงที่หลบซ่อนอยู่ภายในเนื้อหนัง จนกระทั่งเมื่อความจริงได้รับการเปิดเผยออก ทุกสิ่งอย่างก็มักสายเกินแก้ไข
ใจความของวรรณกรรมเรื่องนี้ มิได้คลุมแค่เรื่องความรัก ชายหนุ่ม-หญิงสาวเท่านั้น แต่ครอบจักรวาลถึงตัวตนมนุษย์ ภาพลักษณ์ภายนอกที่ถึงจะงดงามอ่อนช้อย แต่มิได้แปรว่าตัวตนภายในจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง เฉกเช่นเดียวกับหน้าตาขี้เหล่ซกมก ใช่ว่าจิตใจจะสกปรกเลวทรามต่ำช้า!
จุดที่ผู้กำกับ หู จินเฉวียน ปรับเปลี่ยนแปลงจากวรรณกรรมต้นฉบับ แทนที่จะให้บัณฑิตหนุ่มถูกปีศาจสาวเข่นฆ่าตาย (แสดงถึงกฎแห่งกรรมของบุคคลผู้เห็นผิดเป็นชอบ) กลับกลายเป็นถูกเข้าสิงครอบงำโดยราชาปีศาจ บุคคลผู้อยู่กึ่งกลางระหว่างหยิน-หยาง สวรรค์-นรก แล้วออกติดตามล่าเข่นฆ่านักพรต ทวงคืนหญิงสาวคนรัก (ปีศาจสาวที่กลับตัวกลับใจ)
ผมตีความได้ว่าคือความพยายามเข้าครอบงำกาย-ใจ ของสิ่งชั่วร้ายในผู้มีความบริสุทธิ์,
– Wang Hsi-Tzu คือชายหนุ่มผู้ไม่เอาอ่าวกับชีวิต สอบบัณฑิตไม่เคยติด วันๆเล่นรำทำเพลงเรื่อยเปื่อยไร้แก่นสาน แต่งงานแล้วมีภรรยาแต่ยังชมชอบพาหญิงสาวผู้ตกทุกข์ได้ยากให้ได้รับการช่วยเหลือ กระนั้นตัวเขาไม่ทันได้ล่วงเกินก็ได้รับรู้ความจริงบางอย่าง ถือว่าร่างกายมีความบริสุทธิ์อยู่แต่ราวกับได้ถูกตัณหาราคะครอบงำทางใจ
– ปรึกษานักพรตเต๋า ขับไล่นางปีศาจออกไปจากบ้านได้สำเร็จ แต่แล้วกลับถูกราชาปีศาจเข้าสิง (ถูกครอบงำทางกาย) มิสามารถควบคุมตนเองได้ นี่ต้องคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่นสถานเดียว
จากเรื่องราวแฝงแนวคิดเชิงปรัชญา ภายนอก-ภายใน ตัวตนแท้จริงของมนุษย์ แปรสภาพเป็นการต่อสู้ระหว่าง ธรรมะ vs. อธรรม ราชาปีศาจคือผู้พยายามเอาชนะกฎธรรมชาติ (กฎแห่งกรรม) แต่สุดท้ายก็นำพาให้ตนเองติดอยู่ตำแหน่งกึ่งกลางระหว่าง และหญิงสาวที่เคยขัดขืนต่อโชคชะตาฟ้า ยินยอมนำพาตนเองก้าวเดินสู่ขุมนรกเพื่อชดใช้หนี้กรรม
คับคั่งไปด้วยนักแสดงมากฝีมือ, เจิ้ง เส้าชิว, Adam Cheng (เกิดปี 1947) นักร้องนักแสดง สัญชาติฮ่องกง โด่งดังเป็นอมตะจากซีรีย์ฉายโทรทัศน์ เตียบ่อกี้ เรื่องดาบมังกรหยก (1978), ชอลิ้วเฮียง ฉบับซีรีย์ปี 1979 ฯ รับบท Wang Hsi-Tzu/Demon King ถือเป็นตัวละครที่มีสองใบหน้า บัณฑิตหนุ่มผู้ไม่ยี่หร่าอะไรต่อชีวิต หลงรักสาวงาม ใคร่ในความต้องการของตนเองเท่านั้น และราชาปีศาจ ผู้ต้องการครอบครองทุกสิ่ง แต่กลับไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรสักอย่าง
หวัง จู่เสียน, Joey Wong (เกิดปี 1967) นักแสดงชาวไต้หวัน ข้ามทะเลมาแจ้งเกิดกับภาพยนตร์ฮ่องกง เพิ่งโด่งดังเป็นดาวค้างฟ้ากับ A Chinese Ghost Story (1987), รับบท You Feng ปีศาจสาวที่ต้องสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าแท้จริง เพราะภายในเน่าเปื่อยเละเฟะหลังจากมีชีวิตมาหลายร้อยพันปี ด้วยความเบื่อหน่ายต่อชีวิตที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ต้องการมุ่งสู่ขุมนรกชดใช้กรรม หลบหนีออกจากมากลางทางจบเจอ Wang Hsi-Tzu ซาบซึ้งในน้ำใจจนพร้อมพลีกายมอบให้ แต่เมื่อความจริงได้รับการเปิดเผยจึงถูกขับไล่ไสส่ง เข้าพึ่งพิงนักพรตเต๋า ค้นหาวิธีกำจัดราชาปีศาจ เพื่อตนเองจะได้ไปสู่สุขคติ
หง จินเป่า, Sammo Hung (เกิดปี 1952) นักแสดง Stuntman ผู้กำกับ ออกแบบฉากแอ๊คชั่นอันลือลั่นทั่วปฐพี เคยร่วมงานกับผู้กำกับ หู จินเฉวียน ตั้งแต่ Come Drink with Me (1966) ความสัมพันธ์ทั้งคู่ถือเป็นศิษย์-อาจารย์ ก็ว่าได้, รับบท High Priest นักพรตร่างใหญ่อาศัยอยู่อย่างสันโดษ มีอาชีพเก็บพลัมและทำสมาธิ ทีแรกมิได้ใคร่อยากช่วยเหลือ You Feng แต่เมื่อครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้จึงต้องการทดลองหาคำตอบ เดินทางไปขอรับคำชี้แนะนำจากยมบาล จึงหาญกล้าต่อกรกับราชาปีศาจ เอาชนะได้ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ความโกรธเกลียดเคียดแค้น
อู๋ หม่า (1942 – 2013) นักแสดงสมทบรุ่นใหญ่ ขาประจำของหนังแนวต่อสู้กำลังภายใน, รับบทหนึ่งในนักพรตผู้ให้ความช่วยเหลือ Wang Hsi-Tzu กับ You Feng ตอนต้นเรื่องปรากฏตัวเป็นคนขายซุปหมาแล้วหายตัวไป เป็นคนเลือดร้อนวู่วาม หลายครั้งแทบคุมสติไม่อยู่เพราะความเคียดแค้นที่สูญเสียเพื่อน/รุ่นพี่ ถูกเข่นฆ่าโดยราชาปีศาจ โชคดีได้ High Priest แนะนำตักเตือนหลายครั้งจนน่าจะเริ่มมีสติหยุดยั้งคิดอยู่บ้าง
ชุน เลา (เกิดปี 1939) อีกหนึ่งนักแสดงสมทบยอดฝีมือ มีบทเด่นใน The Swordsman (1990), Tai-Chi Master (1993), The Grandmaster (2013), รับบทนักพรตเต๋ารุ่นพี่ ผู้แนะนำให้ Wang Hsi-Tzu รู้ตัวว่ามีบางสิ่งอย่างชั่วร้ายครอบงำสูบพลังวิญญาณของเขาไป เป็นคนกล้าหาญเสียสละ เสี่ยงชีพถึงตัวตายเพื่อคนอื่นจะได้เอาตัวรอดปลอดภัย
คงเพราะการมาถึงของ Encounters of the Spooky Kind (1980) ตามด้วย Mr. Vampire (1985) และ A Chinese Ghost Story (1987) วงการ Chinese New Horror (จริงๆเรียกว่า Hong Kong New Horror จะตรงกว่า) ได้พัฒนาก้าวไปไกลในแง่ความบันเทิงเริงรมณ์ แต่ในมุมมองของผู้กำกับ หู จินเฉวียน คงพบว่าหนังเหล่านี้ขาดสิ่งที่เป็นเนื้อในสนองปัญญาของผู้ชม [ผมเคยเขียนไว้ใน A Chinese Ghost Story เป็นหนังที่ไม่มีประเด็นอื่นเคลือบแฝงไว้ นอกจากความรักโรแมนติกระหว่างมนุษย์-ผี]
ใครที่เคยรับชมโคตรผลงานของผู้กำกับ หู จินเฉวียน อาทิ Come Drink with Me (1966), Dragon Inn (1967), A Touch of Zen (1971), Raining in the Mountain (1979) ฯ ย่อมทราบถึงความลุ่มลึกในการถ่ายทอดปรัชญา/พุทธศาสนา (เซ็น) แฝงข้อคิดคติสอนใจสู่ภาษาภาพยนตร์ได้อย่างล้ำยุคสมัย แค่เพียงวัยวุฒิประกอบโลกาภิวัฒน์ โลกได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไป แนวคิดดังกล่าวในทศวรรษ 80s – 90s กลายเป็นของเฉิ่มเชยล้าสมัย เส้นแบ่งดี-ชั่ว เลือนลางจนมิสามารถแบ่งแยกออกได้เด่นชัดอีกแล้ว
สร้าง Painted Skin (1993) คงตั้งใจนำเสนอความชั่วร้ายที่กำลังเข้าครอบงำจิตใจของผู้คนยุคสมัยนี้ มันไม่ได้มาแค่ภายนอก-ภายใน การแสดงออก-สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ เหมือนอดีตเก่าก่อนอีกต่อไป แต่ยังได้ครองเรือนร่างกายของมนุษย์ทั้งหมดสิ้น หลงครุ่นคิดว่าสิ่งอยู่ระหว่างดี-ชั่ว ถูก-ผิด หยิน-หยาง สวรรค์-นรก มีความยิ่งใหญ่เลอค่าเหนือกว่าสิ่งใด
กับคนที่ศึกษาพุทธศาสนาค่อนข้างลึก จะรับรู้ว่าทางสายกลางไม่ใช่แค่สิ่งอยู่ระหว่างดี-ชั่ว ถูก-ผิด แต่ยังเหมารวมถึงไม่ตรงกลาง หรือไม่ยึดติดในอรูปพรหม นี่ถือเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของผู้กำลังค้นหาทางหลุดพ้น เข้าใจผิดคิดว่าเมื่อตนเองไม่เกิด-ไม่ตาย อยู่กึ่งกลางระหว่างหยิน-หยาง นั่นคือการบรรลุหลุดพ้นถึงอรหัตผล แต่แท้จริงนั่นคือกิเลสอย่างหนึ่งเรียกว่า ‘ยึดติดอยู่กับความเป็นกลาง’ แค่ว่ากฎแห่งกรรมยังตามมาไม่ทันถึงตัวเท่านั้นเอง
ปัญหาของหนังที่ทำให้ดูค่อนข้างยาก จนหลายคนถึงขั้นส่ายหัว อาทิ
– ความซับซ้อนของเรื่องราวมากเกินไป อ้างอิงแนวคิดศาสนาที่หลายคนอาจไม่เคยรับรู้มากก่อน ซึ่งกว่าผมจะเขียนออกมาได้ประมาณนี้ ก็ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานพอสมควรทีเดียวเลยละ
– มุมมองการเล่าเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว ครึ่งแรกเป็นของ Wang Hsi-Tzu แต่เมื่อถูกราชาปีศาจเข้าครอบงำ ครึ่งหลังเลยเปลี่ยนไป You Feng ออกเดินทางสู่ขุมนรก
– หลายฉากเล่นลีลาแบบไม่จำเป็นสักเท่าไหร่ อาทิ แนะนำราชาปีศาจผู้เหี้ยมโหดด้วยการร้องรำทำเพลง!, เมื่อเข้าสิงมนุษย์ พาลูกน้องไปเที่ยวเล่นโรงน้ำชา แนะนำให้รู้จักการอ่านเขียน เพื่อ?, High Priest เล่นตัวเสียเหลือเกินกว่าจะยอมช่วย พาไปดงพลัม ครุ่นคิดได้หันกลับมา แล้วย้อนไปที่บ้านอีกรอบ, นักพรตม่วง (รับบทโดย หลิน เจิ้งอิง โด่งดังกับบทอาจารย์ปราบผีกัดอย่ากัดตอบ) โผล่มารับเชิญแค่นั้นเนี่ยนะ!, ต่อสู้กับจอมมาร จำต้องเดินวิ่งเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ ช่วงชิงความได้เปรียบหรืออย่างไง? (แบบนี้มันทีเล่นทีจริงมากๆ), ไม่ใช่ว่าภรรยาพระเอกถูกบีบคอสิ้นลมไปช่วงกลางเรื่องแล้วหรอกหรือ ทำไมช่วงท้ายกลับยังมีชีวิตคลอดลูกอีกคน … นั่นลูกใคร ปีศาจหรือเปล่า?
– ความสับสนอลม่าน Special Effect ที่มากเกินไปในช่วงท้าย เต็มไปด้วยฝุ่น-ควัน-ลมพัด จนมองเห็นอะไรๆไม่ค่อยเห็นชัด แถมตัดต่อร้อยเรียงอย่างรวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน
– ความคาดหวังของผู้ชม ที่คิดว่าหนังมีส่วนผสมไม่อย่างใดอย่างหนึ่งของ Encounters of the Spooky Kind (1980), Mr. Vampire (1985) หรือ A Chinese Ghost Story (1987) แต่กลับออกมาแฝงแนวคิดปรัชญาคล้าย A Touch of Zen (1971) หมดความใคร่สนใจลงโดยทันที
ถึงโดยส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบภาพยนตร์เรื่องนี้นัก แต่ก็มิได้ถึงขนาดรังเกียจต่อต้านรับไม่ได้ ลึกๆมองเป็นความท้าทายเสียด้วยซ้ำ เพราะผลงานของผู้กำกับ หู จินเฉวียน มักมีอะไรให้ครุ่นคิดติดตามอยู่เสมอ
จัดเรต 13+ กับความหมกมุ่นในกิเลสตัณหา และความชั่วร้ายไร้ที่ติของราชาปีศาจ
Leave a Reply