Poetry

Poetry (2010) Korean : Lee Chang-dong ♥♥♥♥

ยุคสมัยแห่งการแต่งกลอนกำลังหมดไป เหมือนหญิงสูงวัยที่กำลังเป็น Alzheimer ถึงผู้คนจะเริ่มลืมเลือน แต่ความสวยงามของบทกลอนจะยังคงอยู่นิรันดร์, หนังรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Screenplay Award) จากเทศกาลหนังเมือง Cannes ของผู้กำกับ Lee Chang-dong นำแสดงโดย Yoon Jeong-hee หนึ่งในนักแสดงหญิงที่โด่งดังที่สุดของเกาหลีใต้ที่ retire ไปแล้ว และกลับมาเล่นหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ

สมัยนี้หายากเข้าทุกที กับกวีที่มีชื่อเสียง ในร้านหนังสือ จะว่ากว่า 90% ที่เป็นหนังสือร้อยแก้ว แทบเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะหาหนังสือร้อยกรอง, คงเพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้ค่านิยมของคนเปลี่ยน ถึงคนจะรู้หนังสือมากขึ้น แต่ไม่กี่คนที่จะสามารถซึมซับความสวยงามของวรรณกรรม และยิ่งยากไปอีกที่จะสามารถประพันธ์บทร้อยกรองให้สวยงามเหมือนดั่งบรมครูในอดีต

ผมไม่รู้เคยมีหนังไทยที่เกี่ยวกับชีวประวัติสุนทรภู่ไหม ถ้ามีก็อาจไม่ได้มีคุณภาพนัก (เพราะผมไม่รู้จัก) แต่เคยได้ยินชื่อหนังที่ดัดแปลงมาจากผลงานของท่าน อาทิ พระอภัยมณี, สุดสาคร, ขุนช้างขุนแผน ฯ ละครโทรทัศน์ก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่น่าเสียดาย น้อยนักที่จะมีการขับเสภา ให้ชื่นชมในความงดงามของบทกวี, วรรณกรรมร้อยกรองของไทย ว่าไปถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ในวงการ เป็นผลงานจากศิลปินแห่งชาติ หรือจากหนังสือเรียน ก็แทบไม่มีใครรู้จักหรือให้ความสนใจแล้วนะครับ สังคมกลุ่มนี้เหลืออยู่เล็กมากๆ ผมก็คนหนึ่งที่ไม่ได้รู้จักนักกวีเมืองไทยมากมาย แต่ใจก็ไม่อยากให้มันสูญหายไปจากโลก

ดูหนังเรื่องนี้คุณต้องทำใจเสียหน่อย ว่าอาจจะไม่ได้เห็นความสวยงามของบทกวีที่ถูกขับออกมาเสียเท่าไหร่ เว้นแต่คุณฟังภาษาเกาหลีระดับสูงรู้เรื่อง เชื่อว่าคำศัพท์น่าจะค่อนข้างยาก เหมือนร้อยกรองของเมืองไทย ที่มักใช้คำที่บางทีเราอาจไม่รู้ความหมาย เพื่อสัมผัสที่ลงตัว คล้องจอง, ผมอ่าน Subtitle ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีการแปลอย่างตรงไปตรงมา ความสวยงามอาจไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็พอเข้าใจสิ่งที่ตัวละครต้องการสื่อออกมา

ผู้กำกับ Lee Chang-dong ผมเคยวิจารณ์หนังของเขาไปแล้วเรื่องหนึ่งเรื่อง Peppermint Candy (1999) ถือว่าเป็นผู้กำกับที่มีแนวคิด กล้าคิด กล้าทำ กล้าลองอะไรใหม่ๆ ไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ

แนวคิดแรกของหนัง มาจากข่าวดังในเกาหลีใต้ ว่าด้วยเรื่องของเด็กหญิงในชนบทต่างจังหวัด ถูกกลุ่มเด็กชายข่มขืนแล้วกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย, นี่เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับ Lee Chang-dong แต่เขาไม่อยากที่จะสร้างหนังโดยให้ทั้งเรื่องวนเวียนอยู่กับเรื่องราวแบบนี้, ครั้งหนึ่งผู้กำกับเดินทางไปญี่ปุ่น เข้าพักในโรงแรมและเห็นรายการโทรทัศน์หนึ่ง ถ่ายภาพธรรมชาติ สายน้ำที่สงบสันติ, ฝูงนกที่บินบนฟากฟ้า, ชาวประมงหาปลาในทะเล และเพลงประกอบ new-age นุ่มๆผ่อนคลายฟังสบาย’ (a peaceful river, birds flying, fishermen on the sea – with soft new-age music in the background) ภาพนี้กลายเป็นความรู้สึกที่ Lee Chang-dong อยากใส่เข้าไปในหนังเรื่องต่อไป และทันใดนั้นภาพหญิงสาวฆ่าตัวตายแวบเข้ามาในหัว บทกวีและหญิงสูงวัย นี่แหละองค์ประกอบของหนังเรื่องถัดไป

บทหนังเรื่องนี้ต้องบอกว่ามีความยอดเยี่ยมมากๆ เพราะทำการผสมผสานทั้งแนวคิด วิธีการเล่าเรื่องและเรื่องราวหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน มันอาจดูน่าเบื่อช่วง 20 นาทีแรก แต่เมื่อความจริงบางอย่างได้ถูกเปิดเผย เราจะเริ่มตระหนักทันที ว่าหนังมีการดำเนินเรื่องที่แยบคายและพล็อตมีความซับซ้อน บางสิ่งบางอย่างถูกซ่อนใส่มาตั้งแต่ฉากแรกของหนัง

การจะแต่งกลอนให้ได้สักบทไม่ใช่เรื่องง่าย หนังเริ่มต้นด้วยการเข้าห้องเรียน ได้รับการสอนบรรยาย แนะนำจากครูผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการแต่งกลอน ความตั้งใจของคอร์สนี้คือ เรียนจบแล้วอย่างน้อยคุณควรจะเขียนกลอนสักบท, แรงบันดาลใจในการเขียนเป็นสิ่งสำคัญ จริงๆแล้วเราสามารถเขียนอะไรออกมาก็ได้ แต่ยากที่สุด ‘อะไรคือสิ่งที่เราอยากเขียน’, มีบทกลอนมากมายที่จะได้ยินในหนังเรื่องนี้ หลากหลายรูปแบบด้วย อาทิ เขียนเพื่อชื่นชมความสวยงาม, ความประทับใจในชีวิต, เขียนล้อเลียน ส่อเสียด, กลอนลามก ฯ เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะพบว่า บทกลอนมักจะสะท้อนความต้องการ สิ่งที่อยู่ในใจของผู้แต่ง ซึ่งเราสามารถมองได้กับเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหนัง ย่อมกลายเป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาผ่านกลอนบทสุดท้ายในตอนจบ

Lee Chang-dong สร้างบทตัวละครนำของหนัง เพื่อสำหรับ Yoon Jeong-hee โดยเฉพาะ เธอเป็นนักแสดงชื่อดังของเกาหลีใต้ในยุค 60s-70s ก่อน retire กับหนังเรื่องสุดท้าย Manmubang (1994) เมื่อ 16 ปีก่อน, หลังจากได้อ่านบท เธอก็แสดงความพึงพอใจอย่างมาก และตบปากรักคำหวนคืนวงการกลับมาเล่นหนังอีกครั้ง (และน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย) ‘ฉันต้องการมาโดยตลอดที่จะเล่นหนังในลักษณะที่ต่างออกไปจากมุมมองปกติ ผู้กำกับได้ให้โอกาสฉันอย่างเต็มที่’, แม้ Lee Chang-dong จะมีความหวั่นวิตกในประสบการณ์การแสดงของ Yoon Jeong-hee ที่อาจดูล้าหลังไปบ้าง แต่ทัศนคติของเธอต่อภาพยนตร์สมัยใหม่ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ ทุกฉากเธอมีความยินดีที่จะพูดคุยกับผู้กำกับ ทำการทดลอง ค้นหารูปแบบวิธีการที่จะสามารถพัฒนาตัวละครให้ออกมาดีที่สุด นี่เป็นสิ่งที่หายากแม้แต่กับนักแสดงหน้าใหม่ๆของเกาหลี

ถ่ายภาพโดย Kim Hyun-seok, ไม่รู้เป็นเพราะคุณภาพหนังที่โหลดมาค่อนข้างต่ำหรือเปล่า แต่รู้สึกภาพหนังมีสีซีดมากๆ ราวกับไม่มีการปรับปรุงสี (Colorization) ของหนังหลังการถ่ายทำเลย หรือว่านี่เป็นสิ่งที่ผู้กำกับ Lee Chang-dong เห็นจากรายการโทรทัศน์ของญี่ปุ่น ถ่ายภาพมายังไง ก็นำเสนอแบบนั้น ไม่ให้อะไรมาเจือปนความเป็น ‘ธรรมชาติ’ ของหนังแม้แต่น้อย

ตัดต่อโดย Kim Hyeon นี่อาจเป็นหนังที่น่าเบื่อ ถ้าคุณพิจารณาว่า มีผู้หญิงสูงวัยเป็นคนดำเนินเรื่อง, ภาพถ่ายเน้นธรรมชาติ ซึมซับความ Slow-Life, ชื่อหนัง Poetry สงสัยอ่านบทกลอนกันทั้งเรื่อง ฯ ถ้าคุณสามารถมองผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้ ก็จะสามารถซึมซับกับความสวยงามหนัง ที่การตัดต่อมีสัมผัสคล้ายๆกับบทกลอน ฉากแรกล้อกับฉากจบ, สิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ที่ลูกสาวฆ่าตัวตาย ย้อนกลับมาเกิดกับย่าที่ลูกชายถูกจับ ฯ

สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจสงสัย หนังสร้างให้แม่เป็นโรค Alzheimer แต่เหมือนเธอก็ยังปกติดีอยู่ อาจมีหลงๆลืมๆนิดหน่อย แต่ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อหนังเลย, ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจนะครับ และข้องใจมากว่าจะใส่ประเด็นนี้มาทำไม ซึ่งพอได้คิดวิเคราะห์ดูก็พบว่า การป่วยโรคนี้ไม่ได้มีความตั้งใจให้มีเรื่องราวต่อหนังมากนัก แต่เพื่อเปรียบเทียบกับการแต่งกลอนที่มีสถานะใกล้ถูกลืม เหมือนหญิงสูงวัยที่เริ่มความจำเสื่อม ถ้าหนังให้เธอเป็น Alzheimer ระยะสุดท้ายจำอะไรไม่ได้เลย ก็เท่ากับไม่มีใครในโลกที่แต่งกลอนได้อีกแล้ว ซึ่งไม่สมเหตุสมผลแน่นอน การเปรียบเทียบแบบนี้มองเป็นเชิงสัญลักษณ์นะครับ ไม่จำเป็นต้องมีผลกระทบต่อเรื่องราวใดๆ

ประเด็นสังคมที่หนังสอดแทรกเข้ามา มีอะไรให้คิดเยอะเลยนะครับ ผมมองเห็นความคอรัปชั่นที่ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้น แต่ยังลามถึงผู้ใหญ่ พ่อผู้ปกครองของเด็ก 5 คน ที่มีฐานะและอาจจะชื่อเสียง พูดคุยตกลงกันเพื่อต่อรองกับคู่กรณีด้วยการจ่ายเงินสินไหม ชดใช้ความผิดที่ลูกของตนกระทำ ไม่ให้ต้องขึ้นศาลเพราะกลัวเด็กจะเสียอนาคต, นี่เป็นอะไรที่ร้ายแรงมากนะครับ พ่อแม่ช่วยลูกปกปิดความผิด ปัดความรับผิดชอบ หนีปัญหา โดยคิดว่าเงินทองจะแก้ไขได้ทุกอย่าง, เด็กเวรพวกนี้หมดอนาคตตั้งแต่แรกที่พวกมันคิดแล้วทำนะครับ ผมไม่โทษผู้ใหญ่ในเรื่องที่ว่า เขายอมทำทุกอย่างเพราะความรักลูก แต่นี่เป็นการกระทำของคนที่ไม่คำนึงถึงผู้อื่นเลย พ่อแม่ที่เป็นแบบนี้ ผมถือว่าเลวร้ายยิ่งกว่าลูกอีกนะครับ

กับเด็กคนอื่นๆเราอาจไม่เห็นว่าพ่อแม่เลี้ยงดูยังไง แต่กับครอบครัวที่เราเห็น ตัวละคร Yoon Jeong-hee เธอเป็นย่าของหลาน พ่อแม่จริงๆไปไหนไม่รู้ ทิ้งลูกไว้ให้ย่าเลี้ยง ซึ่งย่าไม่ใช่แม่ เธอแก่เกินที่จะปรับตัวเข้ากับยุคสมัยของที่เปลี่ยนไป อายุของเธอกับหลานก็ห่างกันจนไม่สามารถสนทนากันรู้เรื่อง นี่เลยทำให้เธอต้องเลี้ยงแบบปล่อยปละละเลย, การกระทำของเด็กสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงดูของครอบครัวในยุคสมัยนี้ พ่อแม่เหินห่างจากลูก ไม่มีเวลามาให้ความสนใจ เด็กที่โตขึ้นด้วยตัวเอง ยังไม่มีความสามารถในการคิดตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง พวกเขาจึงอาจทำในสิ่งที่ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี, ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนยอมรับหรอกนะครับ ว่าความผิดของลูก เกิดจากการเลี้ยงดูของตัวเอง, ตอนจบผมแอบสะใจ ที่ตำรวจตามจับเด็กเวรทั้ง 6 นี้สำเร็จ, เป็นคุณจะเห็นใจใครมากกว่ากัน แม่ที่มีลูกสาวฆ่าตัวตาย กับพ่อที่ไม่ต้องการเสียหน้ากับลูกชายที่กระทำผิด

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ เป็นภาพสะท้อนที่เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ นี่อาจต้องอาศัยกระจกใบใหญ่เสียหน่อยเพื่อมองหาความสัมพันธ์ ผมก็ไม่ได้เห็นทั้งหมด แต่ก็รู้สึกว่าน่าจะใช่ โดยเฉพาะการ blackmail ของย่ากับชายแก่ เทียบได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเด็กๆ พวกเขาคง blackmail เธอ จากการกระทำของพวกเขา, แน่นอน หนังย่อมไม่สามารถมีฉากข่มขืนเด็กอายุต่ำกว่า 18 แต่มันไม่มีเพดานห้าม สิ่งที่เราจึงเห็นจึงคือ… นี่คือมุมเล็กๆในกระจกที่ผมเห็นสะท้อนกันอยู่นะครับ กับคนที่ชอบคิด ชอบสังเกต ลองมองหาจุดพวกนี้ดูเองนะครับ มีเยอะมากแทบจะทุกอย่างเลย

ตอนจบถือว่าเปิดกว้างมากๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆตัวละครต่างๆก็หายตัวไป เหลือแค่ดอกไม้ที่วางไว้หน้าห้องเรียน แม่ตัวจริงของเด็กชายโผล่มาแปปหนึ่งเข้าไปในบ้านที่ไม่มีใครอยู่ จากนั้นก็ตัดไปถ่ายธรรมชาติ วิถีชีวิต เด็กชายกำลังวิ่งแข่งกับรถประจำทาง และกลับสู่จุดเริ่มต้น, เรื่องราวหนึ่งจบลง แต่โลกยังคงหมุนต่อไป คนที่ยังมีชีวิตก็ต้องต่อสู้แข่งขันกันต่อไป ดั่งสายน้ำที่ไหลไม่มีวันหยุด

มีกลอนเจ๋งๆ หลายบทเลยนะครับ ส่วนใหญ่จะไม่เชิงเป็นคำกลอนแต่เป็นบทพูด คำสนทนาที่มีความสวยงาม คล้องจอง ผมเลือกที่ชอบมา 5 ประโยค
– “Apples are better for eating than looking at.”
– “When I saw the apricots on the ground, I thought they were full of yearning, Throwing themselves to the ground… be crushed and trampled on, they prepare for their next life.”
–  “You must like flowers cause you’re pretty.”
– ” It’s a poem that hits you strong… like when you take a cold shower.”
– “They say you should drink or fall in love to write poetry.”

หนังน่าจะดูยากสำหรับหลายๆคน ถึงจะฉายปี 2010 ภาพสีสวยสันสดใส แต่การดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า และไม่มีเพลงประกอบ หลายคนคงทนดูไม่ได้แน่ ก็ไม่ต้องฝืนนะครับ นี่เป็นหนัง ‘บรรยากาศ’ ต้องใช้ใจสัมผัสถึงจะเห็นความสวยงาม ใช้ตามองย่อมไม่เห็นอะไร

แนะนำหนังกับคนชอบแต่งกลอน นักกวี นักปรัชญา, ใครชอบวิถีธรรมชาติ Slow-Life หนังดราม่าสะท้อนชีวิต กินใจ เสียดสีสังคม, ใครแฟนหนังเกาหลียุคก่อนๆ ผมว่า Yoon Jeong-hee ยังสาวสวยอยู่เลยนะครับ แม้เธอจะอายุเกือบ 70 แล้ว

จัดเรต 13+ มี sex scene ที่ผมพูดไม่ออกอยู่ฉากนึงครับ คุณจะดูฉากนี้ไหวไหม เมื่อถึงตอนนั้นลองถามตัวเองดู

TAGLINE | “Poetry ถึงผู้คนจะเริ่มลืมเลือน แต่ความสวยงามของบทกลอนจะยังคงอยู่นิรันดร์”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | LIKE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: