Portal

Portal

หนึ่งในเกมที่ดีที่สุดในโลก ผมแนะนำทั้ง Portal 1 และ Portal 2 ให้กับคนที่ไม่ใช่นักเล่นเกมควรที่จะได้ลองเล่น ถือว่านี่เป็นเกมที่ “ห้ามตายก่อนได้เล่น” Portal ไม่ใช่แนวต่อสู้ แต่เป็นแนวแก้ปัญหา ที่มีเนื้อเรื่องซับซ้อน หักมุม และสวยงามอย่างคาดไม่ถึง คอมพิวเตอร์สมัยนี้คงเล่นได้สบายๆแล้ว คาดว่าอีกไม่นานอาจจะสามารถ port ลง smartphone ได้แน่

จากค่ายเกม Valve เจ้าของผลงาน Half-Life เกม Portal ภาคแรกวางจำหน่ายเมื่อ 9 ตุลาคม ปี 2007 โดยใช้พื้นหลังในโลกเดียวกับ Half Life (แต่เราจะไม่ได้ออกไปข้างนอกสถานที่นะครับ เพราะเกมดำเนินในสถานที่วิจัยใต้ดินห่างไกลจากโลกในเกม Half-Life มาก แค่ถือว่าอยู่ในจักรวาลเดียวกัน) โดยระยะเวลาดำเนินเรื่องจะของภาคแรกจะอยู่ระหว่าง Half Life ภาค 1 กับ 2

ทีมนักพัฒนาเกมนี้ เห็นว่าเป็นเด็กจบใหม่จาก DigiPen Institute of Technology ที่ตอนนั้นกำลังพัฒนาเกม Narbacular Drop เมื่อปี 2005 และได้ไปเข้าตา Gabe Newell เจ้าของบริษัท Valve ทำให้ทั้งทีมย้ายเข้ามาทำงานกับ Valve ซึ่ง concept ของเกม Narbacular Drop ได้พัฒนาต่อยอดกลายเป็นส่วนหนึ่งของเกม Portal รวมเวลา 2 ปีกับ 4 เดือน ใช้ทีมงานไม่ถึง 10 คน จึงสามารถสร้าง Portal ออกมาสำเร็จได้

ในส่วนบท Marc Laidlaw ที่เป็นคนเขียนบทจากเกม Half Life ได้เข้ามาช่วยขัดเกลาเนื้อเรื่อง ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโลก Half Life แต่เพราะตัวเกมมันสั้นมาก และไม่มีเรื่องราวอะไรให้เล่าได้ การเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ใหญ่กว่า น่าจะดึงดูดความสนใจของผู้เล่นได้มาก แถมยังสามารถเอา concept art ที่เหลือจาก Half-Life กลับมาใช้ได้ด้วย นี่เป็นเหตุให้เนื้อเรื่องเกม Portal ถูกผนวกเข้าร่วมอยู่ในโลกเดียวกับ Half-Life

รูปแบบการเล่น คือ First-Person ในเกมเราเล่นเป็นหุ่นตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทดสอบการแก้ปัญหาต่างๆ จุดขายของเกมคือวิธีการแก้ปริศนา puzzle โดยใช้เครื่อง teleport เคลื่อนย้ายตัวละครจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งในบริเวณที่ไม่สามารถเดินเข้าถึงได้ เกมแนวแก้ปริศนา ผมมองว่าเป็นเกมที่มีประโยชน์นะครับ เพราะมันทำให้ผู้เล่นได้ฝึกคิด วิเคราะห์ ต้องคอยสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สำหรับ Portal ภาคแรก ผมว่า puzzle ไม่ยากเท่าไหร่ อาจเพราะมีด่านไม่เยอะมากด้วย ใช้เวลาเล่น 2-3 ชั่วโมงก็จบ

แต่เกมคงน่าเบื่อมากถ้าเป็นการแก้ปริศนาไปเรื่อยๆ ใช่ครับเกมมีมากกว่านี้ มันจะมีเสียงๆหนึ่ง พากย์โดย Ellen McLain เป็นเสียงที่ถูกแต่งให้กลายเป็นเสียงคอมพิวเตอร์ เป็น AI (Artificial Intelligent) ที่จะพูดคุยกับเราตลอดเกม แรกๆก็ดูเป็นมิตร เพราะเธอให้คำแนะนำและให้กำลังใจเราในการแก้ปัญหาในด่านต่างๆ แต่เมื่อเล่นไปเรื่อยๆ จะเริ่มรู้สึกว่าเสียงนี้มันมีอารมณ์ มีความอิจฉาริษยา มีลับลมคมในบางอย่างแฝงอยู่ และเมื่อไปถึงด่านสุดท้าย ถ้าเราเลือกที่จะขัดขืดไม่ทำตามคำสั่ง เสียงพูดจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผมไม่รู้คนไทยเล่นเกมนี้แล้วจะหัวเราะไหม (แค่เห็นว่ามีซับไทยอยู่นะครับ) นี่เป็นเกมที่มีคำพูดกวนๆ เสียดสี ประชดประชันผู้เล่นอย่างมาก แรกๆอาจจะเครียดๆ แต่หลังๆมันเริ่มตลก เพราะเสียงพูดมันได้แต่เห่าแต่ทำอะไรเราไม่ได้สักอย่าง การต่อสู้ฉากสุดท้ายถือว่าเป็นแนวคิดที่เยี่ยมมากๆ ยังคง concept การแก้ปริศนา ใช้สิ่งที่เรามีเพื่อเอาชนะศัตรู ไม่ใช่ด้วยกำลังแต่ด้วยสมอง ผมลองผิดลองถูกอยู่สักพัก สังเกตดีๆก็จะเห็นวิธีการเอาชนะ ผมสามารถเล่นเกมภาคแรกนี้จบได้โดยไม่ใช่ tutorial สักครั้งนะครับ

ข้อเสียเดียวของเกมภาคนี้คือ “สั้น” ครับ เกมสั้นมาก ผมเล่น 2-3 ชั่วโมง ก็จบแล้ว ตอนสู้สุดท้าย ผมเอะใจนี่จะจบแล้วเหรอ ศัตรูนี้คือเสียงพูดที่คุยกับเรามาตลอดทั้งเรื่อง มันมีสถานะเป็น last boss มากๆ แต่เพิ่งเล่นมาแปปเดียวเองเจอกันแล้วเหรอ พอเอาชนะได้ปุ๊ปเกมก็จบเลย เห้ย! มันยังไม่เต็มอิ่ม จุใจเลย อยากเล่นอีก!

เพลง end credit แม้งแนวมากๆ ผมชอบมากๆด้วย เพลงชื่อ Still Alive แต่งโดย Jonathan Coulton ร้องโดย Ellen McLain เจ้าของเสียงคอมพิวเตอร์ (เสียงเดียวในเกมนะแหละ) ซึ่งก็มีการแต่งเสียงให้กลายเป็นเสียงคอมพิวเตอร์ที่เราคุ้นเคยด้วย เพลงนี้มันไม่ใช่แค่เพราะเท่านั้น แต่มัน “กวนตรีน” มากๆ คนที่เคยเล่น Half Life มาคงรู้จัก Black Mesa เพลงนี้มันมีพูดถึง Black Mesa ด้วย เอากับมันสิ

สำหรับเพลงประกอบในเกม แต่งโดย Kelly Bailey และ Mike Morasky ถือว่าโดดเด่นมากๆนะครับ ใช้เสียงหลายๆอย่างที่ผมไม่รู้จัก ผสมกับเสียง Electronic รู้สึกล้ำยุคแต่สร้างบรรยากาศหลอนๆ ผมชอบจังหวะตั้งแต่ฉากที่เราออกนอกด่าน เพลงประกอบจะเปลี่ยนเป็นจังหวะตื่นเต้นทันที ฉากต่อสู้สุดท้าย เพลงประกอบมันส์มากๆ ยังกะดูหนัง Action ในฉากกำลังวิ่งหลบกระสุน

ความสำเร็จของ Portal ภาคแรกถือว่าเกินความคาดหมายมากๆ คำวิจารณ์ก็ดีมากๆ meta critic ให้ 90/100 ประมาณการยอดขายรวม 4 ล้านชุด แน่นอนว่าเมื่อมันประสบความสำเร็จล้นหลามขนาดนั้น จะไม่ให้มีต่อได้ยังไง

Portal 2

Portal 2

จากทีมสร้างเล็กๆไม่ถึงสิบคน เติบโตขึ้นเป็น 30-40 คน ในภาคใหม่ ด้วยความตั้งใจที่จะให้เกมนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นในทุกๆด้าน โดยยังรักษาบรรยากาศจากภาคแรกเอาไว้ เริ่มสร้างภาคนี้ต่อทันทีนับจากภาคแรกวางจำหน่าย เกมเสร็จวางขายเมื่อ 19 เมษายน ปี 2011 ประมาณการณ์ปีแรก ขายได้ 4 ล้านชุด แม้ดูยอดขายจะไม่ได้มากไปกว่าภาคแรก แต่ผลตอบรับ คำวิจารณ์อยู่ในระดับที่สูงกว่ามากๆ จนมีคนเรียกเกมนี้ว่า เป็นหนึ่งใน greatest video games of all time

ในการสร้างภาคต่อ เกมจะต้องความซับซ้อนขึ้น มีอะไรสดใหม่ ไม่ใช่แค่โลกที่กว้างขึ้น หรือแค่เพิ่มปริมาณด่านก็จบแล้ว Erik Johnson ที่เป็น Project Manager ของเกมนี้เคยพูดไว้ว่า “Valve ไม่ได้ต้องการแค่สร้างเกมภาคสองให้เหนือกว่าภาคแรก แต่ต้องการให้ผู้เล่นรู้สึกว่าเมื่อเขาแก้ปัญหาในเกมได้สำเร็จ จะรู้สึกว่าตัวเองฉลาดขึ้นด้วย”

ทีมเขียนบทถือว่ายกชุดใหม่หมด ประกอบด้วย Jay Pinkerton, Erik Wolpaw และ Chet Faliszek (ผู้เขียนบท Left 4 Dead) โดย Pinkerton และ Wolpaw มีหน้าที่เขียนเรื่องราวเกิดขึ้นหลัง โดยภาคนี้จะใช้ช่วงเวลาหลังจาก Half-Life 2 ไปไกลมากๆ (ไม่มีการระบุว่ากี่ปี) และพาเราไปสำรวจจุดเริ่มต้น ประวัติ ที่มาของสถานที่ที่ตั้งอยู่ในเรื่อง สำหรับ Faliszek เขาเขียนบทสนทนาในเกมทั้งหมด ว่ากันว่าเกมนี้มีบทพูดถึง 13,000 ประโยค มีตัวละครใหม่ๆเพิ่มเข้ามาหลายตัว และได้นักพากย์ที่มาช่วยยกระดับความสมจริงของเกม อย่าง J. K. Simmons (พากย์บท Cave Johnson เป็น CEO ของ Aperture Science) Ellen McLain กลับมาพากย์เสียงเดิม และ Stephen Merchant เสียงหมอนี่ Greek ได้ใจจริงๆ รับบทพากย์เป็นเพื่อนรักเพื่อนแค้นของเรา

การตลาดของเกมนี้ถือว่าน่าสนใจมากๆ มีการประกาศสร้างเกมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2010 ในงาน Game Informer โดยตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2010 Valve ได้ทำการออก patch ตัวใหม่ให้เกม Portal ภาคแรกเป็น Achievement ชื่อ Transmission Received ที่ให้ผู้เล่นสามารถเปิด-ปิดวิทยุในเกมได้ เมื่อเอาเสียงที่ออกจากวิทยุมาเช็คดู พบว่ามันเป็น Morse Code ที่เชื่อมไปยังรูปภาพรูปหนึ่ง ในรูปมีเบอร์โทรศัพท์ โทรไปจะได้รหัส ASCII-code เหมือนเกมตามหาของ ผมไม่รู้ไปจบยังไงนะ ตอนนั้นผู้คนส่วนใหญ่คิดไปว่า ณ จุดสุดท้ายจะเป็นการประกาศสร้าง Half-Life 2:Episode 3 แต่มาเฉลยเป็น Portal 2

กำหนดการวางขายแรก นับจากวันที่ประกาศสร้างคือช่วงปลายปี 2010 แต่พอสิงหาคม 2010 ได้ประกาศเลื่อนเป็นกุมภาพันธ์ 2011 ให้เหตุผลว่าทำไม่ทัน เนื่องจากมีด่านในเกมเยอะขึ้น ใช้ระยะเวลาพากย์เสียงนานขึ้น ซึ่งพอถึงพฤศจิกายน 2010 ก็ประกาศเลื่อนอีกครั้งเป็นเมษายน 2011 เมื่อ18 กุมภาพันธ์ 2011  Gabe Newell ออกมาประกาศว่าพัฒนา Portal 2 เสร็จแล้ว เหลือแค่การตรวจสอบครั้งสุดท้ายและผลิตแผ่น นี่เป็นเกมแรกของ Valve ที่วางขายบน STREAM พร้อมกับแผ่นเกมตามร้านค้าต่างๆ (จัดจำหน่ายแผ่นโดย Electronic Arts-EA)

เมื่อเกมใหญ่ขึ้น รายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็มีมากขึ้น เราจะไม่สนใจมันเลยก็ได้ (ตอนผมเล่นก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่) แต่มาตามหาเกร็ดของเกมอ่านทีหลัง ก็ได้เข้าใจอะไรๆมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องราวที่เป็นที่มาของสถานีวิจัยในเกม จุดเริ่มต้น ใครที่เป็นผู้สร้างสถานีวิจัยนี้ เกิดขึ้นตอนไหน และเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ผมถือว่านี่เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่น่าทึ่งมากๆ เล่นเกมเดียวกันแท้ๆ แต่ถ้าคุณไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ก็จะไม่เห็นความสวยงามที่แท้จริงของเกม

เชื่อว่าคงมีหลายคนเป็นแบบผม ตอนที่เจ้าคอมพิวเตอร์(ที่พยายามจะฆ่าเราตอนภาคแรก) กลายมาเป็นมันฝรั่ง ผมละอยากทิ้งมันไว้ตรงนั้นไม่เอาไปด้วยหรอก แต่เกมบังคับให้เราต้องพามันไปจนจบ จากศัตรูกลายมาเป็นเพื่อน ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้เลยนะ ถ้าเจ้ามันฝรั่งนี่กลับเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์เมื่อไหร่ มันต้องเอาคืนเราแน่ แต่ตอนจบกลับไม่ใช่แหะ ความสัมพันธ์ของเรากับมันฝรั่งนี้จับต้องได้ คงเพราะเรากับมันได้ผ่านจุดต่ำสุดของชีวิตมาด้วยกัน เจ้ามันเลยยอมรับในตัวเรา แทนที่จะสร้างเวรสร้างกรรมกันต่อไป มันเลือกที่จะปล่อยให้เราเป็นอิสระ ผมคิดไม่ถึงจริงๆว่ามันจะทำแบบนี้ ถือว่าเซอร์ไพรส์มากๆ

เพลงจบชื่อ Want You Gone แต่งโดย Jonathan Coulton ร้องโดย Ellen McLain (คู่เดิมจากภาคแรก) เพลงนี้เนื้อหาแสบพอๆกับภาคแรกเลย แถมเข้ากับเหตุผลที่เกิดขึ้นในตอนจบด้วย

ในด้านคำวิจารณ์ Portal 2 ถือว่าเป็นที่ชื่นชอบอย่างมาก ได้คะแนนจาก meta critic สูงถึง 95/100 ได้เข้าชิง BAFTA video game award ชนะรางวัล Best Game, Best Story และ Best Design รวมถึงได้รับยกย่องให้เป็น Game of the Year ของปี 2011

ถือว่า Portal 2 เป็นเกมภาคต่อที่ทำได้ดีเกินความคาดหมายมากๆ ข้อเสียในภาคแรกได้ถูกแก้ไขจนหมดสิ้น ระยะเวลาการเล่นจนจบเพิ่มขึ้นเป็น 10-20 ชั่วโมง ถือว่ากำลังดี จุใจ ไม่น้อยไปเหมือนภาคแรก บรรยากาศเดิมๆจากภาคแรกคือ ความรู้สึกหลอนๆ และมุกเสียดสีที่กวนโอ้ยและเจ็บแสบ ทำได้ดีกว่าเดิมอีก ปริศนาที่ยากขึ้น อาจมีต้องใช้ตัวช่วยบ้างแต่ก็ไม่ถึงยากเกินไป สำหรับเนื้อเรื่องที่เพิ่มเข้ามา จุดเชื่อมโยงกับ Half-Life มีน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเล่นยิ่งสนุก มีอะไรให้ค้นหาเยอะแยะ มีอะไรลับๆซ่อนไว้มากมาย ตัวละครใหม่ถือว่าสร้างสีสันให้เกมไม่น้อย อาจจะดูเหมือนคาแรคเตอร์เดิมแต่มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัด ขณะที่ตัวละครเก่า เราจะได้เห็นอีกมุมมองหนึ่งที่ที่ไม่น่าเชื่อว่า อยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ยังกวนโอ้ยได้ขนาดนี้อีก การต่อสู้กับ last boss สนุกขึ้นเล็กน้อย และมีบางอย่างที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น ไม่เชิง plot-twist นะครับ ผมว่า plot-twist อยู่กลางเรื่อง ตอนจบน่าจะเรียกว่า big surprise มากกว่า ตอนจบมันบ้ามากๆ คิดได้ยังไงก็ไม่รู้ที่เลือกจบแบบนี้

สิ่งที่ทำให้ผมต้องพูดว่า Portal เป็นเกมที่ “ต้องเล่นให้ได้ก่อนตาย” อยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่นกับตัวละครในเกม ในภาคแรกความสัมพันธ์ของเรากับ AI เปรียบเสมือน พระเอกกับผู้ร้าย แต่ในภาคสอง เราจะได้รู้จักกับอีกตัวละครหนึ่งที่ใครๆคงคิดว่าหมอนี่ต้องเป็นมิตรแน่ๆ แต่กลางเรื่องกลับเป็น plot-twist ตัวร้ายภาคแรกกลายมาเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรม แล้วตัวละครที่คิดว่าจะเป็นมิตรกลายมาเป็นศัตรู พล็อตนี้ถือว่าธรรมดาทั่วๆไปในหนัง แต่ในเกม ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่นกับตัวละครจะลึกซึ้งกว่ามาก เพราะเราต้องได้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปด้วยกัน เป็นเพื่อนคุยเวลาเหงา ทำให้เรารู้สึกเหมือนมีตัวละครนั้นเป็นเพื่อน ต้องยกนิ้วให้กับนักพากย์ด้วย ที่สุดยอดมากๆ ณ จังหวะที่เขาหักหลังเรา ความรู้สึกเจ็บปวดมันจี๊ดไปถึงข้างในเลย ราวกับจากสวรรค์ตกลงสู่นรก (ในเกมก็จากชั้นบนสุดตกลงไปชั้นต่ำสุด) ผมถือว่า นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เกมนี้โดดเด่นมากๆ ไม่ใช่แค่แก้ปัญหา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับตัวละครต่างๆ มันยอดเยี่ยมสุดๆเลย เป็นก้าวแรกๆที่สำคัญระหว่างมนุษย์กับ AI ราวกับว่า พวกเขามีตัวตนอยู่จริงๆ เป็น AI ที่จับต้องได้ ความรู้สึกนี้ “ต้องลอง” ให้ได้นะครับ

เล่นเกมนี้จบ ผมไม่คิดว่าคุณจะฉลาดขึ้นนะครับ แต่เชื่อว่าคุณจะคิดว่าตัวเองฉลาดขึ้น อาจจะมีแนวทางการแก้ปัญหาในชีวิตที่ดีขึ้น ในระหว่างเล่นเกมนี้ผมแนะนำให้ลองทำหลายๆอย่างในฉากเดียวกัน ไม่ใช่แค่ไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่ให้ลองเดินถอยกลับมาด้วย เวลาตอนที่เสียง AI พูดว่าไม่ให้ไป ขอละ อย่าไปไกลกว่านี้เลย ให้เราลองหยุดอยู่นิ่งๆ หรือเดินย้อนกลับ เราจะได้ยิน AI พูดขอบคุณเราที่ยอมทำตาม แต่เมื่อเราหยุดถอยหลังแล้วเดินต่อ มันจะด่าเรา ลองแกล้งเดินถอยกลับมาอีกครั้ง มันจะพูดขอโทษที่เมื่อกี้ด่าเรา ผมลองดูแล้วมันฮามากๆ คนเขียนบทนี่สุดยอดเลย

ได้ยินว่า J.J. Abrams มีความสนใจจะสร้าง Half-Life กับ Portal เป็นหนัง ข่าวนี่ตั้งแต่ 2013 แต่ยังไม่มีวี่แววเท่าไหร่ อย่าเพิ่งไปหวังนะครับ มาเล่นเกมก่อนดีกว่า

ผมแนะนำเกมนี้กับทุกคนนะครับ ถือว่าเกมไม่มีความรุนแรง ใช้สมองแก้ปัญหา คนที่ชอบแนว puzzle ต้องห้ามพลาดเลย เกมแนวเดียวกันที่ผมเคยเล่นก็ The Talos Principle บ้านใครยังมี PS3 เกมนี้ก็รองรับทั้งสองภาคเลยนะครับ ส่วน PS4 ไม่แน่ใจเท่าไหร่ (ไม่น่าจะรองรับ) ได้ยินว่าภาค 2 มีระบบ co-op ด้วย เล่นกับเพื่อนคงสนุกไปอีกแบบ

คำโปรย : “Portal 1 & 2 นี่คือเกมที่คุณต้องเล่นให้ได้ก่อนตาย แล้วคุณจะหลงรักกับ AI (หรือเปล่า)”
คุณภาพ : RARE-GENDARY
ความชอบ : FAVORI

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: