Race 2016

Race (2016) hollywood : Stephen Hopkins ♥♥♡

(mini Review) หนังชีวประวัติและการแข่งขันของ Jesse Owens นักกรีฑาประเภทลู่ ผิวสี ทีมชาติอเมริกา เจ้าของ 4 เหรียญทองจาก 1936 Berlin Olympic Games, ผมชอบหนังเรื่องนี้ตรงการใส่ Leni Riefenstahl เข้ามาในหนัง ใครอยากรู้ว่า Olympia (1938) ถ่ายทำยังไง ลองมองหาเธอในหนังเรื่องนี้, คุณภาพโดยรวมถือว่าพอใช้ ดูเพลินๆก็พอสนุกได้

ใครที่เคยดู Olympia (1938) ของ Leni Riefenstahl มาแล้ว น่าจะจดจำ Jesse Owens ได้เป็นอย่างดี นักกีฬาที่โดดเด่นที่สุดในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนั้น, สำหรับ Race สามารถมองได้ว่าเป็นมุมตรงข้ามของ Olympia คือนักกีฬามองไปกล้อง เราจะเห็น Riefenstahl (รับบทโดย Carice van Houten หรือ The Red Women ในซีรีย์ Games of Throne) และผู้ช่วยอีกสองคนควบคุมกล้องอยู่ไกลๆ ซ่อนตัวอยู่ในหลายๆฉาก, ตอนผมดูหนังเรื่องนี้ การมองหาว่าเธอแอบซ่อนอยู่ตรงไหน เป็นช่วงที่ผมชอบสุดของหนังแล้วนะครับ กับคนที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ลองหาบทความหนังเรื่อง Olympia มาอ่านดูนะครับ

ชื่อของ Jesse Owens ถือว่าเป็นตำนาน Idol ของนักวิ่งแข่งทั่วโลก มีหนังหลายเรื่องที่เอ่ยถึงชื่อชายคนนี้ (มักเป็นหนังเกี่ยวกับการวิ่งแข่ง) อาทิ Prefontaine (1997), Bhaag Milkha Bhaag (2013) ฯ 4 รายการที่เขาได้เหรียญทอง ประกอบด้วย 100m, 200m, กระโดดไกล และ 4x100m, จริงๆแล้ว Owens ได้สิทธิ์แข่งในโอลิมปิกแค่ 3 รายการ ไม่รวม 4×100 เขาไม่เคยวิ่งผลัดมาก่อน แต่ถูกร้องขอให้ลงแทน เพราะนักวิ่งอีก 2 คนในประเภทนี้ของอเมริกาเป็นชาว Jews ซึ่งพวกเขาถูกกดดันจากเบื้องบนไม่ให้ลงแข่ง (ถ้า Jews ลงแข่งแล้วชนะเจ้าภาพ อาจไม่รอดกลับประเทศ), สำหรับกระโดดไกล คู่แข่งของ Owens คือ Carl “Luz” Long แชมป์ของ Germany ซึ่งได้รับการคาดหวังว่าจะต้องทำเหรียญทองให้เจ้าภาพ แต่ Long กระโดดฟาล์วครั้งสุดท้าย ทำให้ Owens ได้เหรียญทองทันที ก่อนกระโดดสร้างสถิติโลกใหม่, ทั้ง Long และ Owens กลายเป็นเพื่อนสนิทกันหลังแข่ง นั่นสร้างความไม่พอใจให้กับ Nazi อย่างมาก เขาจึงถูกส่งไปรบแนวหน้าตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 และถูกยิงเสียชีวิต

กำกับโดย Stephen Hopkins ที่เคยมีผลงานดังๆอย่าง Traffic (2004) ดัดแปลงบทโดย Joe Shrapnel และ Anna Waterhouse, ถ่ายภาพโดย Peter Levy ตัดต่อโดย John Smith เพลงประกอบโดย Rachel Portman (ผู้หญิงคนแรกที่เคยได้ Oscar สาขา Best Musical or Comedy Score จากหนังเรื่อง Emma-1996) ทีมงานหนังเรื่องนี้ เป็นการรวมตัวของคนทำหนังระดับกลางๆ ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรมากเท่าไหร่, นำแสดงโดย Stephan James รับบท Jesse Owens ที่เคยรับบท John Lewis ในหนังเรื่อง Selma (2014) เดิมทีบทนี้ตกเป็นของ John Boyega แต่เขาเลือกไปเล่น Star Wars 7 แทน, Jason Sudeikis รับบทเป็นโค้ช Larry Snyder ที่ปลุกปั้นให้ Owens กลายเป็นนักวิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทศวรรษนั้น, Jeremy Irons รับบท Marty Glickman หนึ่งในคณะกรรมการโอลิมปิกที่โหวตให้เข้าร่วมการแข่งขันที่ Berlin ขณะนั้นอเมริกามีกระแสว่าจะ boycott การแข่งขัน เพราะความเหยียดชนชาติของ Nazi เขาถูกส่งไปตรวจสอบสถานการณ์ และเสนอเงื่อนไขที่จะเข้าร่วมแข่งขันของอเมริกา

หนังนำเสนอ 2 ประเด็นเรื่องการเหยียด ควบคู่กันไป 1) การเหยียดชนชาติของ Nazi 2) คนผิวขาวเหยียดคนผิวสีในอเมริกา ผมว่ามันตลกที่ อเมริกาสร้างกระแส boycott การแข่งขันเพราะการเหยียดชนชาติ แต่ในประเทศตนเองกลับยังไม่สามารถแก้ปัญหา การเหยียดคนผิวสีได้เลย, Jesse Owens ก็ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะประเด็นเรื่องสีผิว เขาถูกการเมืองพยายามเข้ามาแทรกแซงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขัน หนังอธิบายได้งงๆ สรุปแล้ว Owens ตัดสินใจไปแข่งโอลิมปิกเพราะอะไรกัน? เห็นว่าทีแรกเขาจะไม่ไป ถูกโค้ชตื้อให้ไปคัดตัว ชนะแล้วก็อยู่ดีๆก็ตัดสินใจไปเฉยเลย ไม่บอกว่าเขาตัดสินใจไปเพราะอะไร

ปัญหาของหนังเรื่องนี้มีหลายอย่างมากๆ อย่างแรกคือนักแสดงบางคนไม่เหมาะกับบท โดยเฉพาะโค้ชรับบทโดย Jason Sudeikis ไม่รู้พี่แกไปโกรธเคืองอะไรใคร เหมือนคนอารมณ์เสีย 24 ชั่วโมง ไม่รู้ว่า Larry Snyder ตัวจริงเป็นแบบนั้นหรือเปล่า แต่ผมไม่คิดว่าเขา Overacting เหมือน Sudeikis แน่ๆ, ปัญหาต่อมาคือ การตัดต่อ และการลำดับเรื่องราว ผมว่าบทหนังมีเรื่องราวที่น่าสนใจมาก แต่การนำเสนอออกมาไม่รู้สึกอะไรเลย หนังขาดความตื่นเต้น ไม่มีการลุ้นระทึก ผ่านเข้ามาแล้วผ่านออกไป แบบเห็นๆกันอยู่ (too obvious), สุดท้ายคือ การกำกับ หนังเรื่องนี้ถ่ายภาพได้สวยนะครับ แต่การจัดองค์ประกอบภาพ ตำแหน่งนักแสดง ความต่อเนื่องของแต่ละฉาก มันเหมือนผู้กำกับไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ไม่มีการคิดให้รอบคอบว่าจะถ่ายทำแต่ละฉากออกมายังไงให้มีความเป็นศิลปะหรือความหมาย แค่ถ่ายให้ผลออกมาตรงกับเรื่องราวในบทหนังเท่านั้น

มีนักวิจารณ์หลายคนพูดถึงผู้กำกับ Stephen Hopkins ว่าเป็นคนที่ผ่านยุคทองของตนเองมาแล้ว ปัจจุบันเริ่มโรยราและหาความสนใจอะไรไม่ได้, ทำหนังเรื่องนี้เหมือนคนอ่อนล้า หมดแรง ขาดพลังงาน เขาทำตัวเองให้กลายเป็นผู้กำกับเกรด B และ Race ก็ถือเป็นหนังเกรด B ระดับกลางๆ ที่พอดูสนุกได้ แต่ไม่มีคุณค่าทางศิลปะใดๆ

ถ้าคุณชอบหนังเกี่ยวกับ Olympic และอยากรู้เบื้องหลังการทำงานของ Leni Riefenstahl ทนดูหนังเรื่องนี้ไปนะครับ น่าจะเห็นอะไรเซอร์ไพรส์แน่ๆ, แนะนำกับนักกีฬาทั้งหลาย ที่อยากรู้จักกับตำนาน Jesse Owens, และคนอยากเข้าใจเรื่องราว ช่วงการจะ boycott การแข่ง Olympic ของอเมริกา (ที่ถือว่าเป็นครั้งที่พลาดที่สุดที่ไม่ได้ Boycott)

จัดเรต PG กับความเหยียด

TAGLINE | “Race เป็นหนังชีวประวัติ Jesse Owens ที่ทำได้น่าผิดหวัง เว้นแค่ตอนขณะ Leni Riefenstahl ถ่าย Olympia (1938) เท่านั้น”
QUALITY | UNDERESTIMATE
MY SCORE | LIKE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: