RAGING BULL

Raging Bull (1980) hollywood : Martin Scorsese ♠♠♠♠♠

หนึ่งในภาพยนตร์ Masterpiece ของ Martin Scorsese กับความหลงใหล ครอบงำ (Obsession) ต้องทำให้ได้ของ Robert De Niro กลายมาเป็นชีวประวัติของ Jake LaMotta นักมวยอาชีพ แชมป์โลกมิดเดิ้ลเวท เจ้าของฉายาไอ้กระทิงดุ ชอบเอาหัวพุ่งขวิด ทั้งบนเวทีและในชีวิตจริง

ผมเคยรับชมหนังเรื่องนี้เมื่อครั้นนานมาแล้ว จำได้รางๆว่าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ มาดูครั้งนี้ก็ยังคงส่ายหัวอีกเช่นกัน คือถ้าคุณไม่ได้มีชีวิตบัดซบๆแบบ Jack LaMotta หรือ Martin Scorsese หรือ Robert De Niro คงไม่มีทางที่จะชื่นชอบ หลงใหล ครอบงำ (Obsession) หนังเรื่องนี้ได้เป็นแน่

Martin Scorsese เป็นผู้กำกับที่ชื่นชอบทำหนังเกี่ยวกับ ‘คน’ ประเภทที่มีปมปัญหาอะไรสักอย่าง ไม่ว่ากับครอบครัว กับพ่อแม่ หรือกับตัวเอง ลองสังเกตจาก
– Taxi Driver (1976) คงไม่มีใครบอกว่า Travis Bickle มันสติดีนะครับ
– Gangs of New York (2002) William ‘Bill the Butcher’ Cutting แค่ชื่อก็อันตรายแล้ว
– The Aviator (2004) พระเอก Howard Hughes ช่วงท้ายย้ำคิดย้ำทำ จนกลายเป็นบ้า
– The Wolf of Wall Street (2013) ฉลาดแกมโกง Jordan Belfort รวยแล้วก็ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง
ฯลฯ

ผมเคยไปอ่านเจอบทสัมภาษณ์ของ Marty ที่บอกว่า ความสนใจของเขาคือ Character Driven ให้ตัวละครเป็นผู้นำพาทิศทางของหนัง, คิดว่าอิทธิพลนี้มาจาก ปัญหาของตัวเขาเอง มองง่ายๆอย่างชีวิตคู่ Marty แต่งงานทั้งหมด 5 ครั้ง (แทบจะทศวรรษละคน) ไฉนเป็นเช่นนั้นละ? แสดงว่าเขาต้องมีปัญหา เรื่องการยอมรับ และเข้ากับผู้อื่น (โดยเฉพาะผู้หญิง) ตัวละครที่มีความผิดแปลกจากสังคม จึงถือเป็นพวกเดียวกับเขา ทำความเข้าใจกันได้ง่าย

แต่สิ่งที่ทำให้ Raging Bull กลายเป็นอมตะ เพราะไม่ใช่แค่เฉพาะความเป็นศิลปินของ Martin Scorsese เท่านั้น แต่ยังรวมถึง Robert De Niro ที่ประสบชะตากรรมไม่ต่างกัน

คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีแรกของโปรเจคนี้คือ Robert De Niro ได้มีโอกาสอ่านหนังสืออัตชีวประวัติ Raging Bull: My Story ขณะกำลังถ่ายทำ The Godfather Part II (1974) ที่อิตาลี, แม้ว่าสไตล์การเขียนจะไม่น่าพึงพอใจ แต่เขาสนใจ Jake LaMotta จึงตัดสินใจนำหนังสือเล่มนี้ไปให้ Martin Scorsese ถึงกองถ่าย Alice Doesn’t Live Here Anymore (1974) แต่เขาบอกปัดไม่สนใจ ไม่เข้าใจว่า Raging Bull เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร และไม่เคยคิดทำหนังเกี่ยวกับกีฬา โดยเฉพาะมวย เพราะมันเป็นกีฬาที่น่าเบื่อสิ้นดี

“A boxer? I don’t like boxing…Even as a kid, I always thought that boxing was boring… It was something I couldn’t, wouldn’t grasp.”

ในยุค 70s  Martin Scorsese ได้ฉายาว่า ‘movie brats’ ร่วมกับ Brian De Palma, Francis Ford Coppola, George Lucas และ Steven Spielberg คือมีหนังทั้งที่ทั้งประสบความสำเร็จอย่าง Taxi Driver (1976) และล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกับ New York, New York (1977) ชีวิตปรับตัวกับชื่อเสียงขึ้นๆลงๆไม่ทัน ทำให้ครั้งหนึ่ง Marty หันไปพึ่งพาโคเคนอย่างหนัก (จนเลิกกับภรรยาคนที่ 2) เสพเกินขนาดจนเกือบตาย ขณะนอนในโรงพยาบาลเริ่มตระหนักคิดได้ เข้าใจความหมายของ Raging Bull ซึ่งเรื่องราวของ Jack LaMotta ถือได้ว่าช่วยชีวิตเขาไว้เลย เริ่มมองเห็นความสำคัญของกีฬามวย ‘ว่าเป็นเหมือนภูมิคุ้มกันอะไรทุกสิ่งอย่างในชีวิต’ เปรียบเทียบ ‘การสร้างหนัง ก็เหมือนการต่อสู้บนเวทีตลอดเวลา’

ฟังดูไม่น่าเชื่อ กับหนังมวยเรื่องนี้ ที่ได้รับการยกย่องสูงสุด (ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับมวยที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก) แต่ผู้กำกับกลับไม่ชื่นชอบกีฬาชนิดนี้เลยแม้แต่น้อย, Marty ให้สัมภาษณ์ใน เบื้องหลังของแผ่น DVD หนัง Raging Bull บอกว่าจนถึงปัจจุบัน เขาก็ไม่เคยชื่นชอบกีฬาชนิดนี้เลย แม้ตอนเตรียมงานจะต้องศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจ เข้าชมการชกมวยเพื่อซึมซับบรรยากาศการต่อสู้ที่ Madison Square Garden แต่พอเห็นเลือดไหลสดๆจากฟองน้ำหยดลงถัง เขาคิดถามตัวเอง ‘นี่หรือคือสิ่งที่เรียกว่า กีฬา!’ (And they call this sport.)

ผมขอชี้แจงรสนิยมตัวเองที่ตรงนี้เลยแล้วกัน (เพราะคิดว่านี่น่าจะเป็นหนังเกี่ยวกับมวย เรื่องที่มีคนอ่านมากที่สุด) โดยส่วนตัวผมไม่ชอบกีฬามวยนี้เลยนะครับ ออกไปทางต่อต้านรุนแรง เพราะนี่เป็นกีฬาที่แฝงความรุนแรง อันตรายไร้สาระที่สุด, ผมมองว่า มวย เป็นกีฬาของคนทั้ง Maso และ Sado ผู้ชื่นชอบความเจ็บปวดของตนเอง และสุขใจเมื่อเห็นผู้อื่นทนทุกข์ทรมาน, กับนักมวย มันแทบเป็นไปไม่ได้ เมื่ออยู่บนเวที จะแสดงท่าทีอ่อนน้อม ถ่อมตน น้ำใจไมตรี มีแต่ต้องส่งจิตอาฆาต เคียดแค้น ต้องการเอาชนะ ฆ่าให้ตาย, ส่วนผู้ชม เมื่อเห็นสองคนสู้กัน ด้วยหยาดเหงื่อเลือดเนื้อแรงกาย กระตุ้นให้อะดรีนาลีนหลั่ง ความตื่นเต้นบ้าคลั่งทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา, ผมเปรียบทั้งนักมวยและผู้ชมที่ชื่นชอบกีฬาชนิดนี้ เหมือนกับสัตว์ป่าเดรัจฉานที่มีแต่สัญชาติญาณการใช้ชีวิต ไร้ซึ่งสติปัญญาของสัตว์ประเสริฐที่ชอบความสุขสันติ

ถ้าคุณชื่นชอบกีฬามวย หรือชอบดูหนังประเภทนี้ อ่านบทความจากบล็อคนี้ ขอให้ทำใจสักนิด เพราะคงจะเห็นอคติอย่างชัดเจน แต่ผมจะพยายามไม่นำความคิดของตนเอง บดบังการวิเคราะห์เนื้อหา ใจความสำคัญ ประเมินคุณค่า และคุณภาพของหนังนะครับ

Giacobbe ‘Jake’ LaMotta (เกิด 1921 – ยังมีชีวิตอยู่) เจ้าของฉายา ‘The Bronx Bull’ และ ‘The Raging Bull’, เกิดที่ The Bronx, New York ชีวิตวัยเด็กถูกพ่อบังคับให้ต่อสู้กับคนอื่น แลกกับความบันเทิง เศษเงินเล็กๆน้อยๆ พออายุ 19 ได้กลายเป็นนักมวยอาชีพ รุ่นมิดเดิ้ลเวท ชกที่ Madison Square Garden ครั้งแรกเมื่อ 2 ตุลาคม 1942 คู่ต่อสู้คือ Sugar Ray Robinson ที่แม้จะสามารถต่อย Robinson ลงนับกับพื้นได้ แต่สุดท้ายแพ้คะแนนครบสิบยก

สำหรับนัดชิงแชมป์โลก LaMotta สู้กับ Marcel Cerdan วันที่ 16 มิถุนายน 1949 ที่ Detroit, ในยกแรก LaMotta ได้เปรียบ (สามารถน็อค Cerdan ลงพื้นนับ 8) แต่ยกสอง Cerdan กลับเป็นฝ่ายได้เปรียบ และยกสามเสมอกัน นี่แสดงว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น มารู้ตอนหลังว่า Cerdan แขนหลุดตอนยกแรก เป็นผลจากการถูกน็อคล้ม ซึ่งก่อนเริ่มต้นยก 10 สุดท้าย เขายกธงขาวยอมแพ้

จริงๆมีการจัด rematch ของทั้งคู่ด้วยนะครับ แต่ Cerdan หมดบารมีถึงคราวเคราะห์ เพราะขณะขึ้นเครื่องเดินทางมาชก เครื่องบินตกเหมาลำที่ Azores

LaMotta สู้กับ Sugar Ray Robinson ทั้งหมด 6 ครั้ง ช่วงทศวรรษนั้นถือว่าเป็นศัตรูคู่ต่อสู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดแห่งยุค แม้ LaMotta จะชนะแค่ครั้งเดียว แต่ก็สามารถทำให้ Robinson ล้มลงนับครั้งไม่ถ้วน (LaMotta ไม่เคยล้มนับเลยสักครั้งที่สู้กับ Robinson), สำหรับครั้งสุดท้ายคือตอนเสียเข็มขัดแชมป์โลกให้ Robinson ชกกันวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1951 วันวาเลนไทน์ ในยกที่ 13 LaMotta ถูก Robinson จัดหนักเข้าหลายหมัดจนไม่สามารถยกมือขึ้นป้องได้ แต่ LaMotta ปฏิเสธที่จะล้มลง เกิดเป็นเหตุการณ์เลือดสาดที่สุดในประวัติศาสตร์การชกมวย ได้รับเรียกว่า Saint Valentine’s Day Massacre ผู้ตัดสินต้องยุติการแข่งขันในยกนั้น ให้ LaMotta แพ้คาเชือก โดยไม่ล้มลงหรือถูกนับ

สไตล์การชกของ LaMotta มักจะโน้มตัวไปข้างหน้า เดินเขาหาวอนต่อยตี เหมือนวัวกระทิง (เลยได้ฉายา Raging Bull) ชอบปล่อยหมัด (ขวิด) เข้าลำตัว แต่เพราะการเลือกเข้าปะทะทำให้คู่ต่อสู้สวนหมัดกลับมากมาย แต่จะมีน้ำหนักไม่มาก เพราะไม่ได้ระยะที่เหมาะสม (อยู่ประชิดตัวเกินไป ทำให้ต่อยสวนได้ไม่เต็มแรง), LaMotta ได้รับการจดจำว่าเป็นผู้มี ‘คาง’ แข็งแกร่งที่สุดในวงการมวย (คือโดนต่อยกี่ทีก็ไม่เคยล้มลง) ตอนสู้กับ Robinson ยก 13 ผู้ประกาศถึงขนาดพากย์ว่า ‘No man can take that kind of punishment!’ แต่ LaMotta กลับไม่ล้มลง (ก็หมอนี่แหละครับ ที่ทนการลงโทษที่โหดเหี้ยมที่สุดนี้ได้)

ถึงเขาจะเคยขี้โอ่ว่า ไม่มีใครหน้าไหนน็อคเขาล้มได้ (No son-of-a-bitch ever knocked me off my feet) แต่ตอนขึ้นมาชกรุ่นไลท์เฮวี่เวท หลังจากเสียแชมป์โลกมิดเดิ้ลเวท เดือนธันวาคม 1952 ถูก Danny Nardico ต่อยร่วงนับแปดในยกที่ 7 แล้วไม่สามารถกลับออกมาชกในยกถัดไปได้ พ่ายน็อคเอ้าท์เป็นครั้งแรก (ตอนนั้นจะถือว่าอายุเริ่มมาก ใกล้หมดไฟแล้ว)

หลังจากเลิกชกมวย LaMotta กลายเป็นเจ้าของ ผู้จัดการบาร์ และกลายเป็นนักแสดงตลก (Stand-Up Comedy) ในปี 1958 ถูกจับข้อหาแนะนำอนุญาติให้เด็กอายุต่ำกว่า 21 เข้าผับ, ปี 1960 ถูกศาลเรียกสอบปากคำ เพื่อหากลุ่มคนที่อิทธิพลใต้ดินของวงการมวย และเขารับสารภาพว่า ตอนชกกับ Billy Fox ได้ทำการล้มมวย ต่อแพ้เพื่อให้ได้สิทธิ์ชิงแชมป์โลก

นำแสดงโดย Robert De Niro ผู้หลงใหล คลั่งไคล้ในตัวละครนี้เป็นที่สุด (จะเรียกว่าเป็นโปรเจคในฝันของเขาเลยก็ได้) แน่นอนว่าทุ่มเทสุดตัว ทั้งฟิตร่างกาย ลดน้ำหนัก/เพิ่มน้ำหนัก จนได้ Oscar: Best Actor ไปครอง, ตอนที่ De Niro สนใจโปรเจคนี้ เขาบอกว่า ผู้กำกับคนเดียวในโลกที่สามารถสร้างหนังเรื่องนี้ได้คือ Martin Scorsese (นี่เป็นคำพูดประโยคเดียวกับตอน Leonardo DiCaprio นำ The Wolf of Wall Street ไปเสนอให้ Marty ทำเลยนะครับ) แต่ก็หลายปีทีเดียวกว่า Marty จะยอมตกลงสร้าง นี่เป็นการร่วมงานครั้งที่ 4 จาก 8 ครั้งของทั้งคู่

ความบ้าคลั่งสุดทุ่มเทของ De Niro คงไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ ในทศวรรษนั้นเขารับบทคนหนุ่มหัวรุนแรงมาแล้วทุกรูปแบบ จาก The Godfather Part II (1974), Taxi Driver (1976), The Deer Hunter (1978) ฯ มารับบทคนบ้าอีกคนคงไม่แปลกอะไร

ตัวตนของ LaMotta อธิบายตรงตัวที่สุดก็คือ กระทิง สัตว์ป่าที่เอาสันชาติญาณนำหน้าสติปัญญา, กระทิงเป็นสัตว์ที่ ทนต่อความยั่วยุไม่ได้เลย (ถ้าเอาผ้าแดงมาสะบัด ก็จะวิ่งไล่ขวิดทันทีโดยไม่สนอะไรอื่น) เช่นกันกับ LaMotta ที่พออะไรบางอย่างคับข้อง ติดใจขึ้นมา เขาก็จะตามตื้อจนกว่าจะได้คำตอบที่พึงพอใจถึงยอมหยุด และบทเวทีมวย สไตล์การชกที่ตามตื้อติดคู่ต่อสู้ ไม่ยอมปล่อยห่าง ดื้อด้าน เอาหัวชน จนได้ฉายาว่า ไอ้กระทิงดุ

ฉากที่ผมชอบที่สุด คือขณะ LaMotta จูนทีวีไม่ติด ไม่มีสัญญาณ ซึ่งขณะนั้นเขาขอให้พี่ชาย Joey เล่าถึงเหตุการณ์ที่มีเรื่องชกต่อยกับคนอื่น แล้วลามไปถึงถามว่า เคยมี Sex กับภรรยาเขาหรือเปล่า … ประมาณว่าความคิดหมอนี่เตลิดไปไกลมาก จนจูนสัญญาณเข้ากับคนอื่นไม่ได้แล้ว (ไม่ใช่แค่กับสัญญาณทีวีเท่านั้น)

กับฉากที่ LaMotta คิดได้ เข้าใจตนเอง เขาถูกลากเข้าไปอยู่ในคุก ดื้อด้านไม่ยอมเข้า แต่พออยู่ข้างในก็กรีดร้องโหยหวน พูดขึ้นมาว่า ตนไม่ใช่สัตว์ แล้วชกหมัด หัวโขกกำแพง … เหมือนกระทิงทุกกระเบียดนิ้ว

เป็นเรื่องแปลกที่น่าพิศวง เพราะ Oscar สองครั้งที่ De Niro ได้รับ ล้วนมาจากการเลียนแบบ Marlon Brando ที่ก็ได้ Oscar จาก 2 ครั้งนั้นเช่นกัน
– Oscar: Best Supporting Actor ได้จาก The Godfather Part II บท Vito Corleone วัยหนุ่ม ที่ Brando ได้ Oscar:Best Actor จากการรับบท Vito วัยแก่
– Oscar: Best Actor จาก Raging Bull ตอนจบมีการเลียนแบบคำพูดของ Brando จาก On the Waterfront (1954) ที่ Brando ได้ Oscar ตัวแรก

ในยุคหลังๆเมื่อแก่ตัว บทที่ De Niro ได้รับมักเป็นตัวตลก (แบบเดียวกับ LaMotta ที่กลายเป็นนักตลกอาชีพ) อาทิ Meet the Fockers (2004), Silver Linings Playbook (2012) ฯ น่าเสียดายเป็นนักแสดงที่ฝีมือจางหายไปตามกาลเวลา

เกร็ด: Jake LaMotta ตัวจริงเข้ามาช่วยเทรน De Niro ในฉากต่อยมวยด้วยนะครับ แต่ Marty ขอให้เขาไม่เข้ามาเยี่ยมขณะถ่ายทำฉากอื่น เพราะกลัวจะทำให้ De Niro เกิดความกดดัน ประมาณว่า เห็นการแสดงแล้วบอกว่า นั่นไม่ใช่ฉันสักหน่อย … ก็ใช่เรื่องนะครับ

สำหรับบท Joey LaMotta พี่ชายของ Jake (ตัวจริง Joey เคยขึ้นชกมวยด้วยนะครับ แต่ไม่นานก็เลิก เปลี่ยนมาเป็นผู้จัดการให้น้อง) รับบทโดย Joe Pesci ตอนนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ De Niro เป็นคนพบเจอ จากการแสดงในหนังทุนต่ำฉายทีวีเรื่อง The Death Collector (1976) ตอนที่ติดต่อไปหา Pesci เขาเลิกเอาดีกับการแสดง มาทำงานร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ New Jersey แต่เพราะเห็นบทน่าสนใจจึงรับพิจารณา และตกลงรับเล่น ถือเป็นหนังแจ้งเกิดของเขาเลยละ

บท Joey ถือว่าเป็น counterpart ของคู่กันกับ Jake เป็นพี่น้องที่รู้จัก รักเข้าใจกันเป็นอย่างดี เพียงแต่ความบ้าคลั่งของ Jake มันล้นไปถึงระดับที่ แม้แต่ Joey ก็ยังรับไม่ได้, ซึ่งเมื่อตอนที่ Jake คิดได้ คงอยากจะขอโทษ แต่เอ่ยปากพูดไม่ได้ Joey พยายามเดินหนีในฉากนั้น แต่เพราะดื้อด้าน และวิธีการสุดประหลาด สายใยพี่น้องที่ตัดไม่ขาด ทำให้ Joey ยอมให้อภัยเขา (ทั้งๆที่ผมไม่ได้ยินคำขอโทษเลยนะ)

การแสดงของ Perci ผมเรียกว่าเก๋า เจ๋ง ดูเป็นเจ้าพ่อมาเฟียเท่ห์ๆได้สบาย ระดับความบ้าคลั่งพอกัน แต่ดูมีสติ จับต้องได้มากกว่า De Niro, Perci ร่วมงานกับ De Niro และ Marty ทั้งหมด 3 ครั้ง นอกจาก Raging Bull ยังมี Goodfellas (1990) [ได้ Oscar: Best Supporting Actor] และ Casino (1995) ปัจจุบันปี 2016 Pesci ยังมีชีวิตอยู่นะครับ เกษียนตัวเองจากการแสดงไปตั้งแต่ปี 1999 หนังเรื่องสุดท้ายคือ Lethal Weapon 4 (1998) แต่เคยกลับมา Cameo รับเชิญเล็กๆ 2-3 ครั้ง

บท Vikki ภรรยาคนที่สองของ Jake รับบทโดย Cathy Moriarty แนะนำโดย Perci ที่เคยเห็นภาพของเธอในดิสโก้แห่งหนึ่งที่ New Jersey รู้สึกว่าใบหน้าเธอเด็กเกินอายุ และน้ำเสียงที่แหบแห้ง (ตอนเล่นหนังเรื่องนี้ Moriarty อายุ 19 แล้วนะครับ รับบทหญิงสาวอายุ 15-25 ได้พบดีเลย) น่าเสียดายหลังจากหนังเรื่องนี้ แม้เธอจะยังอยู่ในวงการ แต่ไม่เป็นที่จดจำ กลายเป็นนักแสดงเกรด B ที่ผู้คนคงหลงลืมเธอไปแล้ว

Vikki เป็นผู้หญิงที่ใช้ สัญชาติญาณ ความต้องการเป็นเครื่องชักนำตนเอง ตอนแรกดูเหมือนเธอจะมีสติปัญญา แต่ก็ไม่รู้หลวมตัวไปตกหลุมรัก Jake เอาตอนไหน ถึงยินยอมพร้อมใจ แต่ก็ค่อยๆคิดได้ตอนหลัง ในที่สุดก็จากไป

ในยุคที่หนังมวยกำลังมาแรง จุดเริ่มต้นจาก Rocky (1976) ประสบความสำเร็จทั้งเงินและกล่อง หลายสตูดิโอมีความยินดีถ้าใครจะนำโปรเจคที่เกี่ยวกับ มวย มานำเสนอ, Raging Bull ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้นที่ได้อิทธิพลจากความสำเร็จของ Rocky ทำให้การเสนอขอทุนสร้างแทบไม่มีปัญหาใดๆ

ถ่ายภาพโดย Michael Chapman มีหลายเหตุผลที่หนังถ่ายด้วยฟีล์มขาว-ดำ อาทิ
– ภาพความรุนแรงเลือดสาดกระเซ็น มันดูแรงเกินไป (มีแนวโน้มจะได้เรต X มากกว่าเรต R)
– ยุคฟีล์มหนังขาว-ดำ กำลังหมดสิ้นไปแล้ว Marty จึงต้องการให้ผู้ชมไม่หลงลืมว่า ก็ยังมีหนังภาพขาวดำ หลงเหลืออยู่บ้างนะ
– การจัดบรรยากาศ โทนสีของหนัง อย่างบนเวที นวมของนักมวย สองฝั่งมักจะคนละสี น้ำเงิน-แดง ซึ่งเมื่อเลือดสาดกระเซ็นใส่นวม ถ้าไม่กลืนไปกับสีนวม ก็ตัดกันตรงข้าม มันเลยดูไม่สมจริงเท่าไหร่ เปลี่ยนเป็นภาพขาวดำ แล้วให้จินตนาการเอาเอง แบบนี้โหดกว่ามาก

หนังเริ่มต้นถ่ายทำฉากต่อยมวยก่อน สร้างเวทีจำลองขึ้นมาในหอประชุมขนาดใหญ่ ด้านหลังไกลๆปกคลุมด้วยผ้าสีดำ และมีเครื่องพ่นควันอยู่รอบๆ, เห็นว่าแต่ละการต่อสู้ เวทีมวยขนาดไม่เท่ากันนะครับ ช่วงแรกๆเวทีจะกว้างเป็นพิเศษ นักแสดงสามารเดินไปมารอบๆเวทีได้ แต่ช่วงท้ายๆ เวทีจะแคบลง เดินไม่ไกลก็ติดเชือกแล้ว, ในยุคก่อนหน้านี้ หนังเกี่ยวกับมวย มักจะถ่ายจากด้านนอกเวที เป็นสายตาของผู้ชม แต่ Marty ประกาศกร้าวกับผู้กำกับภาพ ว่าจำเป็นต้องถ่ายจากบนเวที มุมมองของนักมวย … นี่แหละครับจุดเปลี่ยนของหนังมวย ที่เราจะได้เห็นการต่อสู้ระยะกระชั้นชิด เห็นหมัดต่อยโดนคู่ต่อสู้แบบจังๆ, ชกเข้าหน้ากล้อง, เห็นเลือดพุ่งสดๆ (เอาเลือดปลอมใส่ถุง/หลอดเล็กๆ ติดแปะเข้ากับผิวปลอมบนใบหน้านักแสดง พอชกเบาๆก็จะเห็นเลือดพุ่งออกเป็นสาย) แผนเดิมใช้เวลา 5 สัปดาห์ ถ่ายจริง 2 เดือนกว่า

ฝั่งซ้ายคือรูปพระเยซู ฝั่งขวาคือพระแม่มารี, นี่คือจุดที่ LaMotta กลายเป็นคนมีปม ไม่สามารถมี Sex กับ Vickie ได้อีกแล้ว

กระจกหน้ารถ แบ่งคั่นความแตกต่างระหว่างทั้งสอง

ระหว่างถ่ายทำ หนังต้องหยุดกองถ่าย 4 เดือน เพื่อให้เวลา De Niro เพิ่มน้ำหนักตัวเอง เขาออกทริปกินเที่ยวไปอิตาลี ฝรั่งเศส กลับมาน้ำหนักขึ้นจาก 145 เป็น 215 ปอนด์ (66 เป็น 97 กิโลกรัม) เปลี่ยนไปเป็นคนละคน แทบจำหน้าไม่ได้

สำหรับฉากสุดท้ายของหนัง LaMotta มองกระจก พูดเลียนแบบ Marlon Brando ใน On the Waterfront (1954) นี่เป็นฉากจบที่ลึกล้ำมาก ถ่ายทำกันวันสุดท้าย ทั้งหมด 19 เทค (ใช้เทคที่ 13), ภาพสะท้อนกระจก คืออีกตัวตน/ที่อยู่ในใจของตัวละคร กับใจความที่พูด มีลักษณะตัดพ้อ เสียใจ สำนึกผิด คิดว่าถ้าตัวเองวันนั้นเข้าใจตัวเอง ประพฤติตนดีกว่านี้ วันนี้คงไม่มีสภาพเช่นนี้

หนังมีการใช้ภาพสโลโมชั่นด้วยนะครับ แต่เชื่อว่าน้อยคนจะทันสังเกตเห็น เพราะปกติแล้วถ้าภาพช้า ก็จะช้ามาก ความเร็วปกติที่ 25-29 ภาพต่อวินาที สโลโมชั่นจะ 50-60 ภาพต่อวินาที แต่กับหนังเรื่องนี้ ดูแล้วใช้ความเร็วประมาณ 30-35 ภาพต่อวินาทีเท่านั้น นี่จะทำให้รู้สึกช้า แต่ไม่ถึงขนาดสัมผัสได้ ต้องใช้การสังเกตสักหน่อย เห็นชัดกับฉากที่ต้องการเน้นๆ ขณะกระแทกหมัด เห็นเลือดพุ่งกระฉูด ฯ

หนังมีฟุตเทจภาพสีด้วยนะครับ แต่ฉายเป็น filmreel เก่าๆขาดๆ เป็นขณะ Jake แต่งงานกับ Vickie คงเพราะนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตของ Jake สดใสที่สุด (ที่เหลือคือความมืดหม่น)

งานภาพของหนังเรื่องนี้ ดูยังไงก็ไม่สวยนะครับ แต่ Michael Chapman ได้สร้างบรรยากาศเข้มข้น จริงจัง สมจริง โดยเฉพาะแสงและควัน ที่ให้ลักษณะเหมือนในความเพ้อฝัน ไม่ใช่ในโลกความเป็นจริง (มองเป็น Expressionist ภายในจิตใจของตัวละครก็ได้)

ตัดต่อโดย Thelma Schoonmaker ภรรยาของ Michael Powell ขาประจำนักตัดต่อของ Marty นี่ถือเป็นการร่วมงานกันครั้งแรก คว้า Oscar: Best Edited มาแล้ว 3 ครั้ง ล้วนมาจากหนังของ Marty ทั้งหมด (Raging Bull, The Aviator, The Departed)

นักวิจาณ์ชื่อดัง Roger Ebert เปรียบการตัดต่อในหนังเรื่องนี้ เหมือนการออกหมัดของชีวิต, เริ่มเรื่อง การสู้ครั้งแรก เทียบได้คือการต่อยลองเชิงยกแรก ศึกษา อ่านใจคู่ต่อสู้ -> จากนั้นจะเป็นเรื่องราวชีวิตของ Jake จีบหญิงจนติด ตอนแต่งงานใช้การตัดสลับกับภาพเกือบนิ่งของการชกอีกหลายครั้ง เหมือนปล่อยหมัดฮุครัวๆ เริ่มโจมตีศัตรู -> การได้เป็นผู้ท้าชิงคือเป้าหมาย ช่วงเอาจริง ปล่อยหมัดรัวๆหนักๆ -> ชัยชนะ คือการน็อคคู่ต่อสู้ให้ล้ม

ความโดดเด่นของการตัดต่อ คือสามารถทำให้ผู้ชมรับรู้ความต่อเนื่องของหนังได้ โดยไม่ต้องเข้าใจรายละเอียดทั้งหมด เช่นว่า LaMotta กำลังต่อยยกไหน, เหลือเวลาอีกกี่นาที, สถานการณ์ขณะนั้นเป็นอย่างไร ฯ นี่เป็นสิ่งที่ผู้ชมแทบไม่รู้เลย คือเอาแค่สัมผัส ว่ามีการต่อสู้มา รู้ว่ามีเหตุการณ์สำคัญอะไร แพ้ชนะ รายละเอียดเล็กน้อยไม่ใช่สาระสำคัญของหนัง

ผมทึ่งสุดก็ตอน LaMotta ต่อยกับ Robinson ครั้งสุดท้าย เริ่มต้นทั้งสองยืนจ้องกันอยู่กลางภาพ จากนั้นกล้องซูมออกเลื่อนเข้า (เห็นภาพเหมือน Vertigo) จากนั้นตัดภาพออกหมัด ตัดไปโดยต่อย แสงแฟลช ตัดไปมือเกี่ยวเชือก ตัดไปเห็นเลือดไหล ตัดไปออกหมัด วนซ้ำ, นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วมาก จนแทบไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จริงอยู่มันอาจดูมั่วๆ แต่คือความจงใจนำเสนอความอลม่าน ปั่นป่วน ก็เพราะไม่รู้อะไรเกิดขึ้น มันจึงดูบ้าคลั่ง รุนแรง เจ็บปวด

สำหรับเพลงประกอบ Marty ตัดสินใจเลือก Soundtrack ที่ได้รับความนิยมในสมัยนั้น ด้วยความช่วยเหลือของ Robbie Robertson ที่ช่วยตัดสินว่า จะเอาเพลงไหนที่ดังๆ เข้ากับบริบทของหนังบ้าง, Cavalleria Rusticana: Intermezzo (แปลว่า rustic chivalry) เพลงประกอบ Opera 1 องก์ บทละครของ Giovanni Verga แต่งเพลงโดยของ Giovanni Targioni-Tozzetti และ Guido Menasci ได้รับเลือกให้เป็นเพลงประกอบหลัก ที่ถือว่ากลมกล่อมกับหนังมาก โหยหวน เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน แทนด้วยสิ่งที่อยู่ข้างในจิตใจของ LaMotta ได้เข้ากันเป็นที่สุด

เสียงประกอบ (Mixing) โดย Frank Warner ใช้เวลาถึง 6 เดือนกว่าจะเสร็จ, ปกติผมจะไม่พูดถึงสายงานนี้เท่าไหร่ แต่ต้องบอกว่าบ้าคลั่งมาก โดยเฉพาะฉากสู้กันระหว่าง LaMotta กับ Robinson ช่วงกลางเรื่องเงี่ยหูฟังให้ดีๆ จะได้ยินเสียงสรรพสัตว์ช้าง ลิง กระทิง นก ฯ ยังกะอยู่ในสวนสัตว์/ในป่า นี่เป็นความตั้งใจของ Marty ที่ต้องการให้สัมผัสของหนัง เหมือนเห็นสัตว์สองชนิดต่อสู้ ฆ่ากันให้ตายไปข้าง (แสดงถึงสันดานดิบในตัวของของ LaMotta ด้วย)

ถึงนี่จะเป็นหนังเกี่ยวกับนักมวย กีฬาต่อยมวย แต่ใจความของหนังเป็นชีวประวัติของคน ประเภทที่ใช้ชีวิตแบบไม่แคร์อะไร มีปมเรื่อง Madonna-Whore Complex ต่างกันสองขั้ว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย อยากรู้เข้าใจอะไรต้องย้ำคิดย้ำทำ กัดไม่ปล่อย จนถึงที่สุดให้ได้คำตอบ จากที่เคยมีคนรอบข้างตัวมากมาย แต่ก็ถูกผลักไสออกห่างจนไม่เหลืออะไร ซึ่งเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง เขาก็ยอมแพ้ เข้าใจตัวเอง และต้องการกลับตัวเริ่มต้นใหม่

Sigmund Freud บิดาแห่งจิตวิเคราะห์ ได้อธิบายจิตสำนึกของผู้ชาย ต่อเรื่อง Sex กับผู้หญิง ว่าแบ่งเป็นสองขั้ว คือ นักบุญหรือมาดอนน่า (Madonna) กับ โสเภณี (Whore), ขั้วหนึ่งเป็นนักบุญ นางฟ้า คนดี กุลสตรี เป็นแม่ของลูก (มาดอนน่า) ยิ่งเขารู้สึกว่าเธอดีเพียงใด เช่นเห็นเธอทนความเจ็บปวดเพื่อคลอดลูก เห็นเธอทำหน้าที่ของแม่ ก็จะยิ่งเทิดทูนเธอ หลงรักเธอ แต่ด้วยจิตใต้สำนึกที่เห็นภรรยาเป็นนักบุญ จึงหวาดกลัวที่จะมีเพศสัมพันธ์ ไม่มีอารมณ์ทางเพศ ไม่สามารถปลุกเร้าได้, เช่นกันในแบบตรงข้าม กับผู้หญิงที่ผู้ชายดูถูก ว่าเป็นคนไม่ดี ทำตัวแย่ๆ แต่กลับมีอารมณ์ และมีต้องการ Sex ด้วย เพราะถือว่าควรถูกลงโทษ

Where such men love they have no desire and where they desire they cannot love.

– Sigmund Freud

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Jake LaMotta ในหนังคือ หลังจากแต่งงานกับ Vickie ก็ยกย่องเทิดทูนเธอดั่งแม่พระมาโปรด (นี่น่าจะเกิดขึ้นหลังมีลูกด้วยกันแล้ว) แต่พอเขาเห็นเธอพูดให้ความสนใจกับผู้อื่น มันเหมือนเป็นการทำลายภาพความบริสุทธิ์สูงส่งที่จับต้องไม่ได้ เป็นความผิดมองเห็นเหมือนเป็นโสเภณี จึงลงโทษทำร้ายร่างกายเธอ (ทั้งๆที่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรนอกจากคำพูด)

ปม Madonna-Whore มีการวิเคราะห์ว่าอาจเกิดจากแม่ที่เลี้ยงดูแบบเย็นชาเหมือนจะไม่สนใจ แต่บางครั้งหวงแหน ปกป้องเกินเหตุ (cold but overprotective mother) นี่ทำให้ลูกจดจำฝังใจ แบ่งผู้หญิงออกเป็น 2 ประเภทตรงข้ามแบบสุดขั้ว หนึ่งคือรักมาก อีกหนึ่งคือเกลียดมาก นี่ทำให้นิสัยทั่วไปของคนประเภทนี้ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เอาแน่เอานอนไม่ได้

So, for the second time, [the Pharisees] summoned the man who had been blind and said:
“Speak the truth before God. We know this fellow is a sinner.”
“Whether or not he is a sinner, I do not know,” the man replied.
“All I know is this: Once I was blind and now I can see.”

John IX. 24–26, The New English Bible

ประโยคท่อนนี้ เป็นการอุทิศให้กับอาจารย์ของ Marty,  Haig P. Manoogian (1916 – 1980)

กับตอนจบแบบนี้ ผมรู้สึกเหมือน Marty ต้องการเรียกร้อง ขอให้ผู้ชมยกโทษให้กับ Jack LaMotta และตัวเขาเอง, แม้ในบริบทของหนัง ดูไปหมอนี่ก็ไม่น่าให้อภัยเท่าไหร่ แต่ถ้าสามารถกลับตัวกลับใจได้จริงๆ ‘จากเคยเป็นคนบาปไม่สนใจอะไรเหมือนคนตาบอด ตอนนี้เข้าใจมองเห็นรับรู้ได้ทุกสิ่งแล้ว’ เราก็ควรให้อภัยพวกเขานะครับ เช่นกันกับ Martin Scorsese และ Robert De Niro เชื่อว่าไม่ต้องขอออกนอกหน้าแบบนี้ ผู้ชมส่วนใหญ่คงพร้อมให้อภัยพวกเขาแน่

ด้วยทุนสร้าง $18 ล้านเหรียญ หนังทำเงินได้เพียง $23.4 ล้านเหรียญ ถือว่าขาดทุนครึ่งต่อครึ่ง แต่ไม่ถือว่ากระเทือนอะไรนัก เพราะหนังได้เข้าชิง Oscar 8 สาขา ได้มา 2 รางวัล
– Best Picture
– Best Director
– Best Actor (Robert De Niro) ** ได้รางวัล
– Best Supporting Actress (Cathy Moriarty)
– Best Supporting Actor (Joe Pesci)
– Best Cinematography
– Best Sound
– Best Editing ** ได้รางวัล

ในการจัดอันดับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
– อันดับ 53 นิตยสาร Sight & Sound: Critic’s Poll ปี 2012
– อันดับ 12 นิตยสาร Sight & Sound: Director’s Poll ปี 2012
– อันดับ 24 ในชาร์ท AFI: Greatest American Films Of All Time ปี 1998
– อันดับ 4 ในชาร์ท AFI: Greatest American Films Of All Time ปี 2007
– อันดับ 23 นิตยสาร TIMEOUT: The 100 Best Movies Of All Time
– ติดอันดับ TIME: All-TIME 100 Movies

ส่วนตัวไม่ชอบหนังเรื่องนี้เลยนะครับ มันอาจเพราะชีวิตผมไม่บัดซบ พุ่งถลาเอาหัวเข้าขวิดแบบ Jack LaMotta เลยไม่เห็นว่า ชีวประวัติของหมอนี่มีความน่าสนใจอะไร, แต่คุณภาพของหนัง การันตีได้ว่า ถ้าคุณดูเป็นจะพบเห็นสวยงามแบบแปลกประหลาดพิศดารลึกล้ำ โหดเหี้ยมเลือดสาดที่สุดเท่าที่เคยมีมา

แนะนำกับคน S&M ชื่นชอบความเจ็บปวด รุนแรง โหดเหี้ยม, กับนักกีฬา โดยเฉพาะนักมวย … จะดูรู้เรื่องไหมเนี่ย, ผู้ชื่นชอบ Jack LaMotta หรือคอมวยในยุคนั้น

แนะนำอย่างยิ่งกับคนทำงานสายภาพยนตร์ ศึกษา วิเคราะห์ ทำความเข้าใจให้ครบทุกรายละเอียดของหนัง

และแฟนๆ Martin Scorsese, Robert De Niro, Joe Pesci และตากล้อง Michael Chapman ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

จัดเรต R กับเลือด ความบ้าคลั่ง และความรุนแรงไร้ขอบเขต

TAGLINE | “Raging Bull ชีวิตต้องเอาหัวพุ่งชนเหมือนกระทิง ภาพยนตร์อัตชีวประวัติของทั้งนักมวย Jack LaMotta ผู้กำกับ Martin Scorsese และนักแสดงนำ Robert De Niro”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | WASTE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: