A Sixth Part of the World

Shestaya Chast Mira (1926) USSR : Dziga Vertov ♥♥♡

ถึงภาพจากทั่วทุกสารทิศของสหภาพโซเวียตจะมีความตื่นตระการตา แต่ใจความชักชวนเชื่อว่า ‘คุณ’ คือผู้สามารถเปลี่ยนแปลงโลก เน้นย้ำเสียจนสร้างความรำคาญโดยง่าย

“A Sixth Part of the World is more than a film, than what we have got used to understanding by the word ‘film.’ Whether it is a newsreel, a comedy, an artistic hit-film, A Sixth Part of the World is somewhere beyond the boundaries of these definitions; it is already the next stage after the concept of ‘cinema’ itself”

– Dziga Vertov

A Sixth Part of the World ดูเป็นผลงาน Show-Off ของผู้กำกับ Dziga Vertov เพื่อพิสูจน์ทฤษฎี Kino-Eye ออกเดินทางท่องสหภาพโซเวียตที่กว้างใหญ่ บันทึกภาพผู้คนจากเหนือ-ใต้ ตะวันออก-ตก ชนเอเชีย-อาหรับ-ยุโรป วัฒนธรรมท้องถิ่น วิถีชีวิตพื้นบ้าน อาชีพการงาน ฯลฯ นำมาร้อยเรียงปะติดปะต่อกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง!

ความที่เอาโน่นนิด เอานี่หน่อย ตัดแปะปะติดต่อ ผลลัพท์สุดท้ายแลดูเหมือนภาพโมเสก จากเศษกระเบื้องแตกๆหลากหลายสีสัน รวมเข้ากันกลายเป็นแผนที่สหภาพโซเวียต ขณะนั้นมีขนาด 1 ใน 6 ของพื้นที่โลก … … … มองไกลก็แลดูสวยดีนะ แต่การสลับคั่นด้วยข้อความ Title Card ทำให้กลายเป็นกระเบื้องลายพาดกลอน สีสันสลับขาว-ดำ แลดูพิลึกพิลั่นยังไงชอบกล!


Dziga Vertov ชื่อจริง David Abelevich Kaufman (1896 – 1954) นักทฤษฎี ผู้กำกับ บุกเบิกสร้าง Newsreels สัญชาติรัสเซีย เกิดยัง Białystok, Russian Empire (ปัจจุบันคือประเทศ Poland) ในครอบครัวเชื้อสาย Jews โตขึ้นเข้าเรียนด้านดนตรี Białystok Conservatory กระทั่งการมาถึงของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ถูกกองทัพเยอรมันเข้ารุกราน จำต้องอพยพย้ายสู่ Petrograd เปลี่ยนมาให้ความสนใจด้านการเขียน บทกวี เรื่องล้อเลียน นวนิยายไซไฟ ต่อด้วยศึกษาวิชาการแพทย์ ณ Psychoneurological Institute, Saint Petersburg แต่สุดท้ายจบออกมาทำงานเป็นผู้สร้างภาพยนตร์

แม้ผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาไม่นาน จักรวรรดิรัสเซียได้เกิดการปฏิวัติภายใน October Revolution ค.ศ. 1917 ซึ่ง Vertov ก็ได้เข้าร่วมฝั่งฝ่าย Bolshevik โค่นล้มอำนาจสำเร็จ หลังจากนั้นได้รับมอบหมายจาก Moscow Cinema Committee ให้เป็นผู้ตัดต่อ Newsreel เรื่องแรกของสหภาพโซเวียต Kino-Nedelya (1918-20) [แปลว่า Cine-week]

ด้วยความที่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์มาก่อนเลย ร่วมงานนักตัดต่อ/ว่าที่ภรรยา Elizaveta Svilova ทดลองผิดลองถูก เก็บเกี่ยวสะสมประสบการณ์ จนกระทั่งปี 1922 เริ่มต้นสร้าง Newsreels ในรูปแบบฉบับของตนเอง ตั้งแต่ถ่ายทำ ตัดต่อ กลายมาเป็น Kino-Pravda (1922-25) ซึ่งระหว่างนั้นก็ได้สร้าง Feature Length เรื่องแรก Kino-glaz (1924) เพื่อพิสูจน์แนวคิด/ทฤษฎีของตนเอง

ช่วงระหว่างการสร้าง Kino-Pravda (1922-25) ครั้งหนึ่งออกเดินทางไปเหนือ-ใต้ ตะวันออก-ตก เพื่อบันทึกภาพวิถีชีวิตของชาวรัสเซียจากสุดปลายขอบดินแดน สร้างความสนใจให้กับตนเอง อยากที่จะอุทิศผลงานถัดไป นำเสนอโลกทั้งใบของสหภาพโซเวียต กลายมาเป็น A Sixth Part of the World

“Our slogan is: All citizens of the Union of the Soviet Socialist Republics from 10 to 100 years old must see this work. By the tenth anniversary of October there must not be a single Tungus who has not seen A Sixth Part of the World”.

โดยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ มุ่งเป้าไปที่การนำเสนอวิถีชีวิต วัฒนธรรม สภาพเศรษฐกิจ ยิ่งห่างไกลเมืองหลวง/ความเจริญ ท้องถิ่นธุรกันดารยากลำบาก เฉกเช่นนั้นแล้วเพื่อให้ประเทศชาติสามารถกลายเป็นระบอบสังคมนิยมโดยสมบูรณ์แบบ ‘complete socialist society’ จำเป็นอย่างยิ่งทุกผู้คนต้องร่วมแรงร่วมใจ ยึดถือมั่นในอุดมการณ์อดีตท่านผู้นำ Vladimir Lenin และพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้นคืออนาคตของสหภาพโซเวียต

หนังได้ทุนสร้างจาก State Trade Organisation (Gosudarstvennaya torgovlya หรือรู้จักในชื่อ Gostorg) จุดประสงค์เพื่อตอบสนองนโยบายเศรษฐกิจใหม่ New Economic Policy ของอดีตท่านผู้นำ Vladimir Lenin เสนอไว้เมื่อปี ค.ศ. 1921 ด้วยอุดมการณ์

“a free market and capitalism, both subject to state control”.

แซว: แต่แนวคิด NEP ก็ถูก Joseph Stalin ละทอดทิ้งเมื่อปี 1928


ถ่ายภาพโดย Mikhail Abramovich Kaufman (1897 – 1980) น้องชายแท้ๆของผู้กำกับ Dziga Vertov ที่ได้รับคำชักชวนจากพี่ ร่วมงานกันครั้งแรกน่าจะ Kino-Pravda (1922) ตามต่อด้วยอีกหลายๆผลงาน รวมถึง Man with a Movie Camera (1929)

การทำงานของ Vertov มุ่งเน้นบันทึกภาพเหตุการณ์จริงๆ มีทั้งต่อหน้า ลับหลัง หลบซ่อนกล้องไว้ มิให้ผู้คนรับรู้ตัวเอง หรือต้องเสียเวลาขออนุญาตใคร ซึ่งเรื่องนี้แบ่งออกเป็นแปดทีม แยกย้ายกันเดินทางไปถ่ายทำยังสถานที่ห่างไกลต่างๆ แล้วค่อยนำมารวบรวมร้อยเรียงเข้าด้วยกันภายหลัง

เทคนิคที่พบเห็น เต็มไปด้วยความหลากหลาย อาทิ การซ้อนภาพ (Double Exposure), Slow-Motion, Reverse Motion, Stop-Frame, Stop-Motion, Split Screen, ตัดแปะ ฯลฯ

สำหรับการแทรกข้อความ Title Card หลายครั้งแทบจะช็อตต่อช็อต Vertov ให้คำนิยามว่า ‘Word-Radio-Theme’ แบบเดียวกับวิธีการที่นักจัดรายการวิทยุชอบใช้ “พูดประโยคลดเสียงเพลง <-> เงียบเสียงเพลงดัง” สลับกันไปมาจนราวกับว่า ผู้ชมได้ยินเสียงจากข้อความดังกึกก้อง

ซึ่งการเน้นข้อความ “You(vy)/Yours(vash–)” ถือเป็นการพูดคุยกับผู้ชม หรือเรียกว่า ‘Self-Objectify’ เพื่อตอกย้ำ ปลุกระดม ตระหนักถึงตนเองว่า ฉันคือชนชาวรัสเซีย มีสิทธิ์ เสียง หน้าที่ โอกาส เป็นเจ้าของประเทศ สามารถลงแรงร่วมมือกันเพื่อพัฒนาชาติให้เจริญรุดหน้าทัดเท่าเทียม

You are all the makers of the Soviet land.”

แม้การปรากฎข้อความ Title Card ขึ้นอยู่ซ้ำๆ จะชวนให้น่าหงุดหงิดรำคาญใจ แต่หลายครั้งก็แฝงความงดงาม สอดคล้อง ต่อเนื่อง มอบสัมผัสราวกับบทกวี อาทิ
– you with the grapes
– you with the rice
– you eating the raw reindeer meat
– you doing the laundry with your feet

– you bathing sheep in the waves of the sea
– you bathing sheep in the stream
ฯลฯ

สำหรับคนมองหาดนตรีประกอบ ที่มีความไพเราะเสนาะหู แนะนำฉบับของ Michael Nyman (The Draughtsman’s Contract, The Piano) คีตกวีสัญชาติอังกฤษ ซึ่งก็ยังได้ทำ The Eleventh Year (1928) และ Man with a Movie Camera (1929) รวบรวมอยู่ใน DVD/Blu-Ray ฉบับของ BFI

สหภาพโซเวียต เป็นดินแดนแห่งความแตกต่าง (สุดขั้ว) แต่ระบอบคอมมิวนิสต์ไม่ได้คิดปกครองแบบจักรวรรดิ อาณานิคม ชนชั้น หรือข้าทาสรับใช้ แบบที่ยุโรป/สหรัฐอเมริกา นิยมกระทำกันทั้งๆปากอ้างระบอบประชาธิปไตย!

มองมุมหนึ่ง A Sixth Part of the World คืออีกความพยายามย้อนแย้งแนวคิด ทัศนคติของชาวโลกตะวันตก สังเกตจากการใช้คำว่า ‘Chocolate Kids’ แทนข้อความอ่อนไหวอย่าง Negro/Black People ฯ แสดงชัดว่าประชาชน/รากหญ้าแรงงาน คือเจ้าของประเทศ ทุกคนมีสิทธิ์เสมอภาคเท่าเทียมอย่างแท้จริง

ซึ่งเมื่อใดที่ชาวรัสเซียสามารถร่วมมือกันจากทุกภาคส่วน มุ่งสู่ยุคสมัยแห่งอุตสาหกรรม นำความเจริญแผ่นขยายออกสู่วงกว้าง ก็เปรียบเหมือนเรือตัดน้ำแข็ง สามารถแล่นผ่านธารขนาดใหญ่ บุกเบิกเข้าไปยังดินแดนโลกใหม่ ไม่มีใครไหนเคยออกเดินทางมุ่งสู่

ถึงกระนั้น ผมมองทฤษฎี Kino-Eye ของ Dziga Vertov กับผลงานภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่ผ่านมา มีลักษณะขัดย้อนแย้งกันเอง! กล่าวคือต้องการนำเสนอมุมมอง ‘ความจริง’ ที่แตกต่างจากสายตามองเห็น แต่ผลลัพท์กลับพยายามชี้นำ ชักชวนเชื่อ เพื่อให้ชาวรัสเซียอุทิศชีวิตถวายระบอบคอมมิวนิสต์ และท่านผู้นำ Vladimir Lenin โดยไม่สนด้านอื่นเลย นอกจากเศษเสี้ยวอุดมการณ์ โลกทัศนคติของตนเอง

(เว้นไว้กับ Man with a Movie Camera เพียงเรื่องเดียวที่มีความจริงบริสุทธิ์)

จะว่าไป A Sixth Part of the World มีลักษณะแตกต่างตรงกันข้ามกับ Man with a Movie Camera โดยสิ้นเชิงเลยนะ
– ถ่ายทำทั่วสหภาพโซเวียต, เฉพาะเมืองใหญ่ๆ Kiev, Kharkov, Moscow และ Odessa
– ตัดสลับด้วย Title Card, ขึ้นข้อความเพียงเครดิตต้นเรื่องเท่านั้น
– นัยยะชักชวนเชื่อ เป้าหมายสร้างระบอบสังคมนิยมโดยสมบูรณ์แบบ, ตนเอง=ภาพยนตร์
ฯลฯ

ส่วนตัวเลยไม่ค่อยชอบ A Sixth Part of the World เพราะวิธีการนำเสนอตัดสลับแทบจะช็อตต่อช็อตกับ Title Card มีลักษณะคล้ายลวดลายพาดกลอน ถ้าจับจ้องมองนานๆราวกับกำลังถูกสะกดจิต ล้างสมอง ให้เกิดมุมมองความเข้าใจผิดๆ … แต่ปัจจุบันเชื่อว่าผู้ชมส่วนใหญ่/ประเทศโลกที่สามอย่างเราๆ น่าจะพอแยกแยะ ‘ความจริง’ ออกได้

จัดเรต 15+ กับการเน้นย้ำ ‘You’ ซ้ำๆ

คำโปรย | Shestaya Chast Mira คือความพยายามสร้างแผนที่สหภาพโซเวียตของ Dziga Vertov แม้บุกเบิกได้สำเร็จ แต่เต็มไปด้วยลายพาดกลอน
คุณภาพ | ตื่นตารำคาญใจ
ส่วนตัว | ไม่ชอบเท่าไหร่

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: