Salt for Svanetia

Salt for Svanetia (1930) USSR : Mikhail Kalatozov ♥♥♥♥

หนังเงียบกึ่งสารคดี ถ่ายทำวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ Svans อาศัยบนเทือกเขาในจังหวัด Svanetia (ปัจจุบันคือประเทศ Georgia) มีความแร้นเค้น ทุรกันดาร ต่อสู้ชีวิตอย่างทุกข์ยากลำบาก แต่ด้วยแผนพัฒนาประเทศ 5 ปี (1928-32) ของ Joseph Stalin ดินแดนห่างไกลแห่งนี้กำลังจะมีท้องถนนตัดผ่าน

ก่อนที่ Mikhail Kalatozov จะกลายเป็นผู้กำกับระดับตำนานจากโคตรภาพยนตร์ The Cranes Are Flying (1957) และ I Am Cuba (1964) ก่อนหน้านั้นเคยมีผลงานหนังเงียบที่ต้องบอกเลยว่าตราตะลึง เต็มไปด้วยความอึ้งทึ่ง ชวนให้นึกถึง Land Without Bread (1933) ของผกก. Luis Buñuel ขึ้นมาโดยพลัน!

ไม่รู้เป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ ผมรู้สึกว่า Salt for Svanetia (1930) มีความละม้ายคล้าย Land Without Bread (1933) เพราะต่างเดินทางไปถ่ายทำยังดินแดนทุรกันดารห่างไกล และวิธีการของผู้กำกับทั้งสอง Kalatozov & Buñuel ต่างผสมผสานฟุตเทจสถานที่จริง เข้ากับการจัดฉากถ่ายทำ (ในลักษณะของ ‘docu-fiction’ หรือ ‘docudrama’) ผลลัพท์อาจเรียกว่า Mockumentary หรือ Surrealist Documentary

สำหรับวัตถุประสงค์การสร้าง Salt for Svanetia (1930) ก็เพื่อโปรโมท ประชาสัมพันธ์ โฆษณาชวนเชื่อแผนพัฒนาประเทศห้าปี (1928-32) ของ Joseph Stalin หนึ่งในนั้นคือการแพร่ขยายความเจริญสู่ชนบท ก่อสร้างถนนมุ่งสู่จังหวัด Svanetia ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ Svans ไม่ต้องขาดแคลน ‘เกลือ’ สำหรับบริโภคอีกต่อไป

แม้ว่าตากล้องของ Salt for Svanetia (1930) จะยังไม่ใช่ Sergey Urusevsky ที่เป็นขาประจำผกก. Kalatozov แต่เรายังได้พบเห็นมุมกล้องสวยๆที่ดูแปลกตา ร่วมกับลีลาตัดต่อสร้างความตื่นเต้น สามารถปลุกเร้าอารมณ์ ถือเป็นโคตรๆผลงานอันทรงพลัง งดงามวิจิตรศิลป์ แต่เพราะใจความ’ชวนเชื่อ’เลยเลือนหายไปตามกาลเวลา


Mikhail Konstantinovich Kalatozov (1903-73) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติ Georgian เกิดที่ Tiflis, Caucasus Krai ขณะนั้นอยู่ภายใต้ Russian Empire (ปัจจุบันคือเมืองหลวงของประเทศ Georgia) ในตระกูลขุนนาง/ชนชั้นสูง Amirejibi แต่หลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 ทำให้เด็กชาย Kalatozov ต้องเริ่มหางานทำขณะอายุเพียง 14 ปี จนกระทั่งมีโอกาสเข้าร่วม Georgian Film Studio เริ่มจากเป็นโชเฟอร์ขับรถ ช่างเทคนิค ผู้ช่วยตัดต่อ ผู้ช่วยตากล้อง จนมีโอกาสแสดงตัวประกอบ The Case of Tariel Mklavadze (1925), เขียนบท-ถ่ายภาพ Giuli (1927), ร่วมกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Their Empire (1928)

สำหรับภาพยนตร์เรื่องถัดมา Слепая (1929) แปลว่า The Blind ทำการบันทึกภาพวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรม แสดงให้เห็นความทุรกันดารของชาว Svans นำจากประสบการณ์ การสังเกตการณ์ เพราะว่า Kalatozov ก็เป็นชาว Georgian เคยเดินทางไปท่องเที่ยวหลายต่อหลายสถานที่ แต่หนังไม่เคยถูกนำออกฉาย เพราะโดนตีตราจากบรรดาผู้กำกับฝั่งขวา (Leftist) ว่ามีความเป็น Formalism

จนกระทั่งมีโอกาสอ่านบทความ ущельные люди (อ่านว่า ooshchil’nyye ludi, แปลว่า Gorge People) จากนิตยสาร Красная Новь (อ่านว่า Krasnaya Nov, แปลว่า Red Virgin Soil) ฉบับปี ค.ศ. 1928 โดยนักเขียน/นักข่าว Sergei Tretyakov ซึ่งมีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวเทือกเขา Caucasus แล้วการกล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ Svaneti ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผกก. Kalatozov ติดต่อชักชวนมาร่วมพัฒนาบท Соль Сванетии (อ่านว่า Sol’ Svanetii, แปลว่า Salt for Svanetia)

ดั้งเดิมนั้นผกก. Kalatozov และนักเขียน Tretyakov ร่วมกันพัฒนาบท สร้างเรื่องราวที่ถือเป็นเรื่องแต่ง (Fiction Story) แต่ระหว่างตัดต่อ ตัดสินใจนำเอาฟุตเทจที่เคยถ่ายทำ The Blind (1929) นำมาแทรกแซม แปะติดปะต่อเข้าไปด้วย ผลลัพท์ทำให้หนังมีลักษณะกึ่งสารคดี ‘docu-fiction’ หรือ ‘docudrama’


Salt for Svanetia (1929) นำเสนอภาพวิถีชีวิตชาว Svans ในหมู่บ้าน Ushguli อาศัยอยู่บนเทือกเขาสูง มีความทุรกันดาร ลำบากยากแค้น แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของ Vladimir Lenin วางแผนพัฒนาประเทศห้าปี (1928-32) หนึ่งในนั้นก็คือการสร้างถนนเข้าสู่ดินแดนห่างไกลแห่งนี้

Even now there are far reaches of the Soviet Union where the patriarchal way of life persists along with remnants of the clan system.

Vladimir Lenin

เพราะหมู่บ้านอยู่ห่างไกล กอปรกับภัยทางธรรมชาติ ทำให้สิ่งขาดแคลนที่สุดก็คือ ‘เกลือ’ ในขณะที่สรรพสัตว์สามารถหาทดแทนอย่างเหงื่อไคล เลือดไหล ฯ แต่สำหรับเด็กทารกอาจทำให้ถึงแก่ชีวิต (จริงไหมก็ไม่รู้เหมือนกัน) การสร้างถนนหนทางตามแผนพัฒนาห้าปี จักช่วยนำพาความเจริญเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ ไม่ให้โศกนาฎกรรมดังกล่าวบังเกิดขึ้นอีกต่อไป


ถ่ายภาพโดย Mikhail Kalatozov ร่วมกับ Shalva Gegelashvili (1902-70) สัญชาติ Georgian โตขึ้นได้รับทุนการศึกษา State Film Industry of Georgia เข้าเรียนภาพยนตร์ยังประเทศเยอรมัน Institut für Film und Bild in Wissenschaft und Unterricht (FWU) จบออกมาปักหลังทำงานอยู่กับ Georgian Film Studio ผลงานเด่นๆ อาทิ Salt for Svanetia (1930), Stakan vody (1957) ฯ

งานภาพของหนังแพรวพราวด้วยเทคนิค ถือว่ามีความสไตล์ลิสต์ (Stylish) ตั้งแต่การขยับเคลื่อน ทิศทางมุมกล้อง ก้ม-เงย เอียงซ้าย-ขวา ระยะภาพไกล-ใกล้ (Extreme-Long Shot กับ Close-Up จะมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ) มันช่างดูมีความผิดแผกแปลกตา แถมทุกช็อตสามารถสร้างสัมผัสทางอารมณ์ ให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกร่วมกับภาพเหตุการณ์ ซึ่งเทคนิคต่างๆยังทำออกมาให้สอดคล้องเรื่องราวขณะนั้นๆอีกด้วย

I wanted to use the camera to show the beauty of the landscape and the harshness of the life of the people who lived there. I wanted to create a sense of dynamism and excitement in the film. And I wanted to use the camera to tell the story.

I knew that I could not do this with traditional filmmaking techniques. I needed to find a new way to see the world, a new way to tell a story. So I developed a new style of camerawork, a style that was based on long takes, low-angle shots, and tracking shots. These techniques allowed me to capture the beauty and harshness of the landscape, the dynamism and excitement of the people, and the story itself. They allowed me to create a film that was both visually stunning and emotionally powerful.

Mikhail Kalatozov

การเลือกหมู่บ้าน Ushguli บนเทือกเขา Caucasus Mountains ในจังหวัด Svanetia เพราะเป็นสถานที่ทุรกันดารห่างไกล ความศิวิไลซ์ยังเข้ามาไม่ถึง ทำให้วัฒนธรรมประเพณี ดำเนินตามวิถีชีวิตดั้งเดิม

I wanted to show the life of the Svan people in their natural setting, without any artificiality or staging. I wanted to capture the beauty of their land and the strength of their culture.


ทิศทางมุมกล้องของหนัง ผมถือว่ามีความพิศดารอย่างมากๆ ละเล่นกับการก้ม-เงย เอียงซ้าย-ขวา (Dutch Angle) ดูมีความผิดแผกแปลกตา แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ต้องมนต์ขลัง มอบสัมผัสราวกับหมู่บ้านแห่งนี้คือโลกอีกใบ ดินแดนห่างไกลอารยธรรม … ใครเคยรับชมหลายๆผลงานของผกก. Kalatozov ย่อมตระหนักถึง ‘วิสัยทัศน์’ มุมมองการถ่ายภาพที่ไม่เคยซ้ำแบบใคร

หลายๆการถ่ายภาพระยะไกล (Extreme-Long Shot) ไม่ว่าจะท้องฟ้า ขุนเขา ล้วนเพื่อสร้างสัมผัสมนุษย์ตัวกระจิดริด vs. ธรรมชาติกว้างใหญ่ ไม่มีทางที่ใครจะสามารถเอาชนะ ทำได้เพียงต่อสู้ดิ้นรน กระเสือกกระสน หาหนทางธำรงชีพรอดก็เท่านั้น … นี่อาจคือเหตุผลหนึ่งกระมัง ทำให้หนังได้เสียงตอบรับไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่จากทางการโซเวียต (เพราะอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ พยายามเอาชนะธรรมชาติกว้างใหญ่)

หนึ่งในเทคนิคการถ่ายภาพที่(แอบ)สร้างความตกตะลึงให้ผมไม่น้อย คือการหมุนกล้องขึ้น-ลง (Tilt Up-Down) ให้มีความพร้อมเพรียงกับการทุ่มก้อนหิน (ระหว่างกำลังขับไล่ศัตรู) นี่ถือเป็นสัมผัสของบทกวี เทคนิคถ่ายภาพ = การกระทำของตัวละคร ซึ่งสามารถปลุกเร้าอารมณ์ผู้ชมให้กวัดแกว่งตามภาพพบเห็นด้วยเช่นกัน!

ภาพที่น่าจะสร้างความเกรี้ยวกราดให้ผู้ชมอย่างรุนแรง คือการเสียชีวิตของทารกน้อย แล้วมารดาบีบน้ำนมลงบนหลุมฝังศพ สาเหตุจากความยากไร้ ทุรกันดารห่างไกล ขาดแคลนแพทย์ ยารักษา รวมถึงประเพณีคนท้องถิ่น (ทารกคลอดในวันที่มีคนตาย ถือเป็นกาลกินี) พบเห็นแล้วรู้สึกวาบหวิว เศร้าโศก สั่นสะท้านทรวงใน ถือเป็นไคลน์แม็กซ์ในเชิงสัญลักษณ์ที่ทรงพลังไม่น้อยเลยละ

The mother milking the soil is a powerful image of grief and resilience. It is a reminder that even in the face of tragedy, the human spirit can find strength and hope.

Mikhail Kalatozov

ตัดต่อไม่มีเครดิต แต่คาดคิดว่าก็คง Mikhail Kalatozov

การดำเนินเรื่องของหนังไม่ได้นำเสนอผ่านมุมมองตัวละครใด แต่ใช้หมู่บ้าน Ushguli บนเทือกเขาในจังหวัด Svanetia เป็นจุดศูนย์กลาง โดยสามารถแบ่งเรื่องราวออกเป็นตอนๆดังต่อไปนี้

  • เริ่มต้นแนะนำสถานที่ การมีอยู่ของป้อมปราการ ต่อสู้ศัตรูเข้ามาบุกรุกราน
  • ร้อยเรียงวิถีชีวิต กิจวัตรประจำวันของชาว Svans เจาะหิน เลี้ยงสัตว์ ทำไร่ไถนา
  • การมาถึงของภัยพิบัติ พายุหิมะมาถึงโดยไม่ทันตั้งตัว ทำลายพืชผลทางการเกษตรเสียหาย ทำให้ชาวบ้านต้องหาหนทางต่อสู้ดิ้นรน
  • อารัมบทเรื่องราวของเกลือ สิ่งอุปโภคที่ขาดแคลนในหมู่บ้านแห่งนี้
  • การเดินทางเพื่อขนส่งเกลือมายังหมู่บ้าน เต็มไปด้วยอุปสรรค และเสี่ยงอันตราย
  • ความตายของคนส่งเกลือ พบเห็นการจัดพิธีศพ ตัดสลับกับการคลอดบุตร
  • และการโฆษณาชวนเชื่อแผนพัฒนาห้าปีของสหภาพโซเวียต พบเห็นคนงาน ระเบิดภูเขา ตัดต้นไม้ สร้างถนนหนทางมุ่งสู่หมู่บ้านแห่งนี้

ลีลาการตัดต่อของหนัง แม้พบเห็นหลากหลายอิทธิพลจาก ‘Soviet Montage’ อาทิ rapid cuts, juxtaposition, cross-cutting, symbolism ฯ แต่เป้าหมายไม่ได้ต้องการสร้างนิยามทางการเมืองใหม่ๆ นั่นเพราะ Salt for Svanetia (1929) มีลักษณะ ‘กวีภาพยนตร์’ ใช้การตัดต่อเพื่อสร้างบรรยากาศและสัมผัสทางอารมณ์

I wanted to use editing to create a sense of rhythm and flow in the film. I wanted the film to be visually stunning, but I also wanted it to be emotionally powerful. Editing was the key to achieving this balance.

Mikhail Kalatozov

‘เกลือ’ หนึ่งในเครื่องปรุงรสที่มีความเก่าแก่ สำหรับเพิ่มความเค็ม ถนอมอาหาร ใช้รักษาอาการป่วย ฯ สามารถหาได้ง่ายตามธรรมชาติ แต่อาจไม่ใช่สำหรับชาวภูเขาอาศัยอยู่บนที่สูง (จริงๆมันเกลือสินเธาว์ที่สามารถขุดจากบ่อน้ำใต้ดิน แค่ว่าไม่มีสารไอโอดีน) ห่างไกลจากทะเล-มหาสมุทร จำเป็นต้องเดินทางขนส่ง พานผ่านเส้นทางที่เสี่ยงอันตราย

ในยุคสมัยโรมัน ‘เกลือ’ เคยมีมูลค่ามากกว่าทองคำ! สามารถนำมาจับจ่ายใช้สอยแทนเงินตรา เพราะเป็นสิ่งหาได้ยาก (สมัยนั้นยังไม่มีนาเกลือสมุทร ต้องใช้การขุดเหมืองลงไปเอาเกลือสินเธาว์ขึ้นมาจากใต้ดิน) กระบวนการขนส่งซับซ้อน แถมยังถูกผูกขาดโดยรัฐบาลกลาง เพราะใช้เป็นค่าตอบแทนทหารหลังกลับจากสงคราม (คำว่า Salt ภายหลังจึงอาจเพี้ยนกลายมาเป็น Salary)

สถานการณ์ขาดแคลนเกลือยัง Svanetia เอาจริงๆมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่หนังพยายามนำเสนอหรอกนะ (เพราะย่านนั้นมีเหมืองเกลือสินเธาว์ Tskhalta Salt Mine อายุกว่า 2,000 ปี) แต่ผกก. Kalatozov ต้องการใช้เป็นสัญลักษณ์ชวนเชื่อ เพื่อให้ชาวรัสเซียตระหนักถึงความสำคัญ ขาดแคลนไม่ได้ในท้องถิ่นทุรกันดารห่างไกล การตัดถนนหนทางจักช่วยให้กลุ่มชาติพันธุ์ Svans สามารถเข้าถึงโอกาส พัฒนาความเจริญ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อตอบสนองอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ประชาชนทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียม

Salt is a symbol of life and hope. It is a reminder that even in the most remote and isolated places, there is always the possibility of a better future.

Mikhail Kalatozov

แต่หนังก็ถูกตั้งคำถามว่าต้องการโฆษณาแผนพัฒนาประเทศห้าปีจริงๆหรือ? เพราะมันมีการชวนเชื่อแค่ประมาณ 5 นาทีสุดท้ายที่นำเสนอภาพคนงาน ระเบิดภูเขา ตัดต้นไม้ แล้วก่อสร้างถนนหนทางเสร็จสรรพ ยังไม่ทันที่ผู้ชมจะสัมผัสถึงอิทธิพล ผลกระทบ ความเปลี่ยนแปลงที่บังเกิดขึ้นจากถนนเส้นดังกล่าว … เมื่อเปรียบเทียบกับภาพยนตร์อีกเรื่องที่ออกฉายใกล้เคียงกัน Turksib (1930) นำเสนอการสร้างทางรถไฟ Turkestan–Siberia เต็มไปด้วยรายละเอียดชวนเชื่อเด่นชัดเจนกว่ามากๆ

อาจเพราะความตั้งใจผกก. Kalatozov ต้องการนำเสนอเรื่องราวผ่านมุมมอง วิถีชีวิตชาว Svans เพื่อให้ผู้ชมตระหนักถึงสิ่งจำเป็น (เกลือ) ความสำคัญของการมีท้องถนนหนทางตัดผ่าน จักทำให้ท้องถิ่นทุรกันดารแห่งนี้ เกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไป … คือไม่ได้จะชวนเชื่อเนื้อหาของแผนพัฒนา แต่แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สามารถบังเกิดขึ้น

I wanted to make a film about the Svan people, who are a very ancient and mysterious people. I wanted to show their way of life, their traditions, and their culture. I also wanted to show the challenges they face, and the hope they have for the future.

I wanted to make a film that showed the power of the Soviet Union to bring about positive change in the world. I wanted to show how the Soviet Union was helping people to live better lives, even in the most remote and isolated places.


น่าเสียดายที่ทางการสหภาพโซเวียตมองว่า ผกก. Kalatozov มุ่งเน้นนำเสนอความล้าหลังของชาว Svans มากจนเกินไป ขณะที่ใจความโปรโมท ประชาสัมพันธ์ โฆษณาชวนเชื่อแผนพัฒนาประเทศห้าปี กลับมีเพียงแค่ห้านาทีสุดท้าย! แม้ว่า Salt for Svanetia (1930) จะไม่ได้ถูกห้ามฉาย แต่ผลงานถัดไป Nail in the Boot (1931) กลับโดนแบนแบบไม่ทันตั้งตัว

The film Salt for Svanetia is a vulgar distortion of reality. It shows the Svanetian people as backward and superstitious, and it does not show the great progress that has been made in Svanetia under the Soviet government. The film is a clear example of bourgeois formalism, and it should be banned.

กาลเวลาอาจไม่ทำให้หนังเป็นที่รู้จักในวงกว้างสักเท่าไหร่ แต่ได้รับการยกย่องสรรเสริญโดยนักประวัติศาสตร์ และบรรดาผู้กำกับชาวรัสเซียหลายๆคน โดยเฉพาะ Andrei Tarkovsky กล่าวถึงอิทธิพลของ Kalatozv ว่ามีความมากล้นต่อวงการภาพยนตร์รัสเซีย

Mikhail Kalatozov was a great director. He made some very interesting films, such as Salt for Svanetia and The Cranes Are Flying. His films are very poetic, and he was one of the most important directors of the Soviet cinema.

Andrei Tarkovsky

ปัจจุบันยังไม่มีข่าวคราวการบูรณะภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่สามารถหารับชมออนไลน์ได้ทาง Youtube หรือซื้อแผ่น DVD Boxset ขายคู่กับ Nail in the Boot (1931) หรือถ้าใครงบเยอะแนะนำ Landmarks of Early Soviet Film (1924-30) มีทั้งหมดแปดเรื่องประกอบด้วย The Extraordinary Adventures of Mr. West in the Land of the Bolsheviks (1924), By the Law (1926), Stride, Soviet! (1926), Fall of the Romanov Dynasty (1927), The House on Trubnaya (1928), Old and New (1929), Turksib (1930) และ Salt for Svanetia (1930)

ถ้าไม่เพราะผมเพิ่งรับชม In Spring (1929) ก็อาจหลงใหลคลั่งไคล้ Salt for Svanetia (1930) มันเกิดการเปรียบเทียบเพราะทั้งเรื่องนั้นมีความเป็น Cinéma Pur ที่ไม่มี Title Card/Intertitles ปรากฎขึ้นมาให้หงุดหงิดรำคาญใจ แต่ส่วนตัวก็ประทับใจมุมมอง วิสัยทัศน์ผกก. Kalatozov แม้ยังไม่มีตากล้อง Sergey Urusevsky ต้องถือว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว งดงามวิจิตรศิลป์ในสไตล์ของตนเอง

แนะนำสำหรับคนที่ชื่นชอบหนังชาติพันธุ์ (Ethnographic Film) แม้ว่า Salt for Svanetia (1930) จะเต็มไปด้วยการปรุงแต่ง สร้างเรื่องราว แต่ก็มีมุมมอง วิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมาย

จัดเรต 15+ กับภาพถ่าย-ตัดต่อที่ชวนวิงเวียน วิถีชีวิตชาวภูเขาที่เหี้ยมโหดร้ายยิ่งนัก

คำโปรย | Salt for Svanetia ภาพยนตร์ชวนเชื่อสหภาพโซเวียตที่เต็มไปด้วยลายเซ็นต์ผู้กำกับ Mikhail Kalatozov มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว งดงามวิจิตรศิลป์ในสไตล์ของตนเอง
คุณภาพ | วิจิศิป์
ส่วนตัว | ทรงพลัง

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: