
ชำเลืองมองเศษเสี้ยวความทรงจำของ Jonas Mekas ในภาพยนตร์แนวทดลอง ‘Diary Films’ ความยาวเกือบๆห้าชั่วโมง แปะติดปะต่อฟุตเทจถ่ายทำไว้ตั้งแต่ทศวรรษ 70s ไม่ได้มีเนื้อเรื่องราวอะไร แต่มีความงดงามจับใจ
ชำเลืองมองเศษเสี้ยวความทรงจำของ Jonas Mekas ในภาพยนตร์แนวทดลอง ‘Diary Films’ ความยาวเกือบๆห้าชั่วโมง แปะติดปะต่อฟุตเทจถ่ายทำไว้ตั้งแต่ทศวรรษ 70s ไม่ได้มีเนื้อเรื่องราวอะไร แต่มีความงดงามจับใจ
ผลงานเรื่องสุดท้ายของผู้กำกับ Darek Jarman หลังติดเชื้อไวรัส HIV ทำให้สายตาพร่าบอด สรรค์สร้างโคตรภาพยนตร์แนวทดลองเรื่องนี้ โดยใช้เพียงเสียงบรรยายและฉายภาพสีน้ำเงิน International Klein Blue (#002FA7) แทนความเจ็บปวด เศร้าโศก แต่ไม่เคยตกอยู่ในความหมดสิ้นหวัง
โคตรๆๆภาพยนตร์แนวทดลองที่ทำการบุกเบิกแนวคิด ‘Music Video’ ดำเนินเรื่องผ่านบทเพลงฮิตอย่าง Blue Velvet, (You’re the) Devil in Disguise, Hit the Road Jack, I Will Follow Him ฯ ฟังดูเหมือนไม่มีอะไรอันตราย แต่การฉาย Scorpio Rising (1963) มีความเสี่ยงอาจโดนจับติดคุกโดยไม่รู้ตัว!
การเริงระบำของจักรกล คือภาพยนตร์แนวทดลอง (Experimental) ด้วยอิทธิพลของ Dadaism เปรียบเทียบระหว่างมนุษย์กับเครื่องยนต์กลไก ทั้งภาพและเสียงต่างมีความตื่นหู ตื่นตา แปลกใหม่ เปิดประสบการณ์ไม่ซ้ำแบบใคร
นำกล้องติดตั้งบนแขนจักรกล สามารถเคลื่อนหมุนรอบทุกทิศทาง ตั้งไว้กลางทิวทัศน์ธรรมชาติไร้ผู้คน แล้วทดลองบันทึกภาพความยาว 3 ชั่วโมงอาจดูน่าเบื่อหน่าย แต่บางคนคงเพลิดเพลินกับความเป็นไปได้ไม่รู้จบ
ได้รับยกย่อง “Masterpiece of Experimental Cinema” ทั้งๆมีเพียงการถ่ายภาพภายในห้องพัก 45 นาทีค่อยๆซูมเข้าไปยังรูปภาพ’คลื่น’ทะเลบนฝาผนัง แต่กลับเต็มไปด้วยรายละเอียดชวนให้ขบครุ่นคิด โดยเฉพาะการใช้เสียงลวงหู ‘Auditory Illusion’ ทุกสิ่งอย่างพบเห็นล้วนคือภาพลวงตา ‘Strawberry Fields Forever’
ประมาณ 8 ชั่วโมงกับภาพถ่ายตึก Empire State Building ตั้งแต่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน จนท้องฟ้ามืดมิด แล้วเปิดไฟส่องสว่าง บางคนอาจสามารถเพลิดเพลินผ่อนคลาย แต่สำหรับอีกหลายคนกลับรู้สึกน่าเบื่อหน่ายชิบหาย
การทดลองเกี่ยวกับสื่อภาพยนตร์ที่แปลกประหลาด แต่กลับประสบความสำเร็จที่สุดของ Andy Warhol ด้วยการบันทึกภาพเรื่อยเปื่อยของผู้พักอาศัยใน Hotel Chelsea แล้วนำมาฉายสองจอพร้อมกัน ‘Split Screen’ ความยาวตั้ง 210 นาที จะมีใครดูรู้เรื่องไหมเนี่ย?
Ju แปลว่าฉัน (I), Tu อาจหมายถึงผู้ชม (You), Il บุรุษผู้มีความเห็นแก่ตัว (He), Elle เธอคือคนที่ฉันต้องการร่วมเพศสัมพันธ์ (She), ภาพยนตร์แนวทดลองเกี่ยวกับ ฉัน-เขา-เธอ โดยคุณเป็นผู้ครุ่นคิดตัดสินว่าผู้กำกับ Chantal Akerman ต้องการสื่อนัยยะถึงอะไร
ชีวิตก็เหมือนทอยลูกเต๋า มีความเป็นไปได้เกิดขึ้นไม่รู้จบ! ผู้กำกับ Krzysztof Kieślowski ทดลองนำเสนอสามสถานการณ์แห่งโชคชะตา เมื่อตัวละครสามารถวิ่งขึ้นรถไฟ, พุ่งชนเจ้าหน้าที่สถานี และหยุดยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ไม่ว่าจะไทม์ไลน์ไหน ล้วนประสบผลลัพท์ไม่น่าอภิรมณ์ทั้งนั้น
จากการถ่ายทำ Live-Action นำมาวาดภาพ Animation ที่อาจดูปวดเศียรเวียนเกล้า แต่ชักชวนให้ผู้ชมครุ่นคิดตั้งคำถาม สนทนาอภิปรัชญา ทุกวันนี้เรากำลังหลับหรือตื่น มีชีวิตหรือจมอยู่ความฝัน อะไรคืออิสรภาพ-โชคชะตากรรม ทำอย่างไรถึงสามารถดิ้นหลุดพ้นจากวัฎฎะสังสาร แล้วมนุษย์เกิดมาทำไมกัน?
สิ่งที่อยู่ในศีรษะขี้ยางลบของ David Lynch คือจินตนาการโลกทั้งใบ ดาวเคราะห์เคยพักอาศัย รายล้อมรอบด้วยโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ภรรยาไม่ได้อยากแต่งงานด้วยสักเท่าไหร่ และบุตรสาวเกิดมาพร้อมความผิดปกติ (โรคเท้าปุก) สิ่งเหล่านั้นทำให้ฉันไม่อยากเป็นพ่อคนเลยสักนิด!
ผู้กำกับ Werner Herzog ทำการสะกดจิต (Hypnosis) นักแสดงแทบทั้งหมดให้ตกอยู่ในสภาวะว่างเปล่า ไร้จิตวิญญาณ เพื่อนำเสนอเรื่องราวการสูญเสียสิ่งทรงคุณค่าที่สุดของชีวิตไป
The Inhuman Woman นำเสนอเรื่องราวไร้ตรรกะ ผ่านตัวละครไร้สามัญสำนึก แถมผู้ชม/นักวิจารณ์สมัยนั้นเห็นพ้องกันว่าโคตรไร้สาระ! แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นครั้งแรกที่รวบรวมศิลปินหลากหลายแขนง ทดลองสรรค์สร้างผลงาน Avant-Garde งดงามระดับวิจิตรศิลป์
Kino-Pravda (1922) : Dziga Vertov ♥♥♡
Kino-Pravda แปลว่า Film Truth คือซีรีย์ Newsreels จำนวน 23 ตอน สร้างโดยผู้กำกับ Dziga Vertov เพื่อบันทึกภาพ ‘ความจริง’ นำเสนอสิ่งไม่พบเห็นด้วยมุมมองปกติ แต่สามารถปรากฎบนฟีล์มภาพยนตร์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นทฤษฎี Kino-Eye ก่อนพัฒนาการมาเป็น Man with a Movie Camera (1929) ที่โด่งดัง
Meshes of the Afternoon (1943) : Maya Deren, Alexander Hammid ♥♥♥♥
โคตรหนังแนวทดลอง (Experimental Film) นำเสนอสภาพจิตใจของหญิงสาว ก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นถึงเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่งเสียสติแตก กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้กำกับ David Lynch สรรค์สร้าง Lost Highway และ Mulholland Drive
Performance (1970) : Donald Cammell & Nicolas Roeg ♥♥♥♡
โคตรหนัง Cult พยายามนำเสนอว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมีภายนอก-ใน ที่สามารถ’แสดง’ออกมาได้ แต่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือตัวตนแท้จริง!, การันตีความดูไม่รู้เรื่อง ด้วยการตัดต่อระดับ Masterpiece ถ่ายทอดยุคสมัย 60′ Swinging London และมึนเมาไปกับวัฒนธรรม Bohemian/Hippie
Funeral Parade of Roses (1969) : Toshio Matsumoto ♥♥♥♥
หลายๆไดเรคชั่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้กำกับ Stanley Kubrick สร้าง A Clockwork Orange (1971) ต่างเพียงความรุนแรงที่สะสมในตัวเด็กชาย ได้แปรสภาพให้เขาเติบโตขึ้นกลายเป็นเกย์ ดำเนินเรื่องแบบไม่เรียงตามลำดับเวลา (Non-Chronological Order) ความจริง-ความฝัน อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ซ้อนทับกันอย่างเบลอๆ ดูยากยิ่งกว่า 8½ (1963) แต่คือ Masterpiece ของแนว LGBT ที่สั่นสะเทือนวงการภาพยนตร์ใต้ดินญี่ปุ่น
Goodbye to Language (2014) : Jean-Luc Godard ♥♥♥
สิ่งที่ทำให้ผู้ชม/นักวิจารณ์ จากเทศกาลหนังเมือง Cannes ปีนั้นขนลุกเนื้อเต้น ถึงขนาดต้องมอบรางวัล Jury Prize ให้กับปู่ Jean-Luc Godard คือการบัญญัติไวยากรณ์ใหม่ให้ภาษาภาพยนตร์สามมิติ หลับตาซ้ายเห็นภาพหนึ่ง หลับตาขวาเห็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ประสบการณ์นี้อาจต้องรับชมในโรงภาพยนตร์เท่านั้นกระมัง (และอาจเกาหัวจนผมร่วงหมดศีรษะ เพราะไม่เข้าใจว่าหนังต้องการนำเสนออะไร)
Mon oncle d’Amérique (1980) : Alain Resnais ♥♥♥♡
น่าจะเป็นครั้งแรกของวงการภาพยนตร์ ที่ทำการผสมผสานงานศิลปะเข้ากับการทดลองวิทยาศาสตร์ นำเสนอเรื่องราวชีวิตของสามนักแสดงเปรียบเทียบดั่งหนูทดลองในห้องปฏิบัติการ ประกอบคำบรรยายของศาสตราจารย์ชื่อดัง Henri Laborit (ผู้ค้นพบยา Chlorpromazine ใช้รักษาความผิดปกติของจิตใจ อารมณ์ ฯ), คว้ารางวัล Grand Prix (ที่ 2) จากเทศกาลหนังเมือง Cannes