
Talk to Her (2002)
: Pedro Almodóvar ♥♥♥♥♡
(4/6/2025) ชายแปลกหน้าสองคนรู้จักกันเพราะคนรักต่างล้มป่วยโคม่า นอนสลบไสลเหมือนเจ้าหญิงนิทรา (Vegetative State) โอกาสตื่นขึ้นมาช่างน้อยนิด แต่ตราบยังมีความเชื่อมั่น คอยพูดคุย ดูแลเอาใจใส่ สวรรค์อาจดลบันดาลให้เธอฟื้นคืนชีพก็เป็นได้, คว้ารางวัล Oscar: Best Original Screenplay
ในขณะที่ All About My Mother (1999) ถ่ายทอดความเศร้าโศกาของมารดาสูญเสียบุตรชายสุดที่รัก, Talk to Her (2002) สลับสับเปลี่ยนมาเป็นบุรุษเพศ ทุกข์ทรมานจากการพบเห็นเธอคนรักกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไม่ใช่ทุกคนจะมีความเชื่อมั่นศรัทธาอันแรงกล้า สามารถอดกลั้นธารน้ำตาไม่ให้ไหลริน
All About My Mother (1999) และ Talk to Her (2002) ต่างคือจุดสูงสุดในอาชีพการงานของผกก. Almodóvar ประสบความสำเร็จทั้งรายรับ เสียงวิจารณ์ และกวาดรางวัลอีกมากมาย เมื่อหลายปีก่อนผมถือหาง Talk to Her แต่พอหวนกลับมารับชมคราวนี้ พบเห็นความลุ่มลึกล้ำของ All About My Mother เลยยังเลือกไม่ได้ว่าเรื่องไหนยอดเยี่ยมกว่ากัน
Talk to Her (2002) เป็นภาพยนตร์ที่ผกก. Almodóvar พยายามจะให้คำแนะนำว่า ผู้ชายแท้ๆก็สามารถร่ำร้องไห้ แสดงอารมณ์อ่อนไหว (ไม่จำต้องเป็นเกย์ กะเทย หรือเพศอื่นๆ) เพราะทุกคนต่างมีความเป็นเพศหญิง (Feminine) ในตนเอง … คล้ายๆกับ All About My Mother (1999) บุรุษก็สามารถเป็นมารดา (Motherhood) ที่ไม่ได้หมายถึงเพศกำเนิด
It’s a film that has to do with affections, illness and death. And it has men as protagonists, so they can no longer say that I only know how to direct women. There is more mystery in male tears than in female ones. Apparently, men inspire tragedies in me.
Pedro Almodóvar
Cinema became my real education, much more than the one I received from the priest.
Pedro Almodóvar
สำหรับ Hable Con Ella แปลตรงตัว Talk to Her เกิดจากการผสมผสานหลากหลายแนวคิดเข้ากันด้วยกัน เริ่มต้นอยากนำเสนอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผู้ชายร่ำร้องไห้ แสดงด้านอ่อนไหวของตนเองออกมา
I wanted to tell the story of this highly sentimental man who is moved to crying by all sorts of different things.
เมื่อตอนสรรค์สร้าง All About My Mother (1999) ผกก. Almodóvar เล่าว่าในห้องนอนของ Esteban (บุตรชายของ Manuela ที่ถูกรถชนเสียชีวิตตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง) มีภาพถ่ายการแสดง Café Müller ของ Pina Bausch ติดอยู่บนฝาผนัง ตอนนั้นครุ่นคิดอยากสร้างภาพยนตร์สักเรื่องอุทิศให้ Bausch โดยไม่รู้ตัวกลายมาเป็นอารัมบทของหนังเรื่องใหม่ Talk to Her (2002)
(ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าคือสี่ภาพถ่ายติดตรงเสาหรือเปล่านะ)

นอกจากนี้เคยอ่านหนังสือพิมพ์ มีรายงานข่าวเกี่ยวกับหญิงสาวอาการโคม่า (Vegetative State) ถูกข่มขืนโดยผู้ดูแลจนตั้งครรภ์ และหญิงอีกคนตื่นขึ้นภายหลังนอนสลบไสลนานถึง 16 ปี!
I wanted to talk about something that is painful enough to make a man cry. On the other hand, I have been taking notes from different cases I have read in the press about women in comas. In one, a woman had been raped by an orderly in the hospital, and in another case a woman awoke after spending 16 years in a coma. At one point, I decided to put these elements together.
Pedro Almodóvar
หญิงสาวอาการโคม่าถูกข่มขืนจนตั้งครรภ์ ถ้านำเสนอแบบปกติทั่วไป มันคงสร้างความสั่นสยอง ขนลุกขนพอง อาชญากรโรคจิต! ด้วยเหตุนี้ผกก. Almodóvar จึงพยายามครุ่นคิดหาวิธีการนำเสนอที่แตกต่าง กลายมาเป็นเรื่องราวความรัก(ข้างเดียว) Benigno ยินยอมทุ่มเทเสียสละ เพื่อให้ผู้ชมสามารถตีความการข่มขืน/ตั้งครรภ์ ด้วยแง่มุมอื่น
If you think about the story, it’s a story that deals with hospitals and women in comas, a subject that can be really creepy, but I wanted to deal with it in a completely different way. I wanted it to be a love story that had a completely opposite tone from the subject matter you would expect to have to deal with. I didn’t want to deal with pain, and I didn’t want to portray the hospital as a place where pain reigns.
สองหนุ่ม Benigno Martín (รับบทโดย Javier Cámara) และ Marco Zuluaga (รับบทโดย Darío Grandinetti) บังเอิญนั่งเคียงข้างระหว่างรับชมการแสดง Café Müller ของ Pina Bausch แล้วจู่ๆ Marco ร่ำร้องไห้ออกมา สร้างความฉงนสงสัยให้กับ Benigno เลยจดจำชายคนนี้ไว้
Benigno คือนายพยาบาลผู้ให้การดูแล Alicia Roncero (รับบทโดย Leonor Watling) นักบัลเล่ต์สาวประสบอุบัติเหตุ ล้มป่วยโคม่า นอนสลบไสลเป็นเจ้าหญิงนิทรามาหลายปี เขาชอบพูดเล่าเรื่องราวโน่นนี่ สารพัดสิ่งต่างๆพบเจอในชีวิต ด้วยความเชื่อมั่นว่าเธอสามารถรับรู้ ได้ยินทุกสิ่งอย่าง
สำหรับ Marco คือนักเขียน/นักข่าว เกิดความสนใจในตัวนักสู้วัวกระทิงสาว Lydia González (รับบทโดย Rosario Flores) ขณะนั้นเธอเพิ่งเลิกราแฟนหนุ่ม การได้พบเจอเขาทำให้มีโอกาสเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ แต่ไม่ทันไรระหว่างการต่อสู้วัว ประสบอุบัติเหตุ สมองกระทบกระเทือน ล้มป่วยโคม่า นอนสลบไสลเป็นเจ้าหญิงนิทรา ในโรงพยาบาลเดียวกับ Alica และ Benigno
Javier Cámara Rodríguez (เกิดปี ค.ศ. 1967) นักแสดงสัญชาติ Spanish เกิดที่ Albelda de Iregua, La Rioja โตขึ้นเข้าร่วมคณะการแสดง Logroño’s Theatre School เดินทางสู่ Madrid เพื่อเรียนต่อ Real Escuela Superior de Arte Dramático (RESAD) แล้วทำงานเป็นพิธีกรต้อนรับ (Usher) ณ โรงละคอน Fígaro Theatre ก่อนแจ้งเกิดจากซีรีย์โทรทัศน์ ¡Ay, Señor, Señor! (1994-95), ผลงานภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ Torrente, the Dumb Arm of the Law (1998), Talk to Her (2002), Bad Education (2003) ฯ
รับบท Benigno Martín ชายหนุ่มหน้าใส ร่ำเรียนพยาบาลเพื่อดูแลมารดาติดเตียง วันๆไม่เคยออกไปไหน ใช้ชีวิตอยู่ภายในอพาร์ทเม้นท์ จนกระทั่งได้พบเห็น Alicia ร่ำเรียนบัลเล่ต์อยู่ตึกฝั่งตรงข้าม ใช้ความหาญกล้าออกไปพูดคุยสนทนา พยายามแทรกซึมเข้ามาในชีวิต หลังเธอประสบอุบัติเหตุ ล้มป่วยโคม่า ได้รับเลือกให้เป็นพยาบาลส่วนตัว (เพราะใครๆครุ่นคิดว่าเขาเป็นเกย์) ทำการดูแล ทะนุถนอม ยุงไม่ให้ไต่ไม่ให้ตอม ก่อบังเกิดความรัก แสดงออกในรูปแบบไม่มีใครคาดคิดถึง
เกร็ด: ในตอนแรกเห็นว่าผกก. Almodóvar อยากได้นักแสดงชาวอิตาเลี่ยน Roberto Benigni แต่ไม่รู้คิวไม่ว่างหรือไร เลยตั้งชื่อตัวละคร Benigno เพื่อเคารพคารวะ Life is Beautiful (1997)
ทั้งน้ำเสียง กิริยาท่าทาง ท่าทางเคลื่อนไหว ความเอาใจใส่ในงานพยาบาล ทำให้ใครๆครุ่นคิดเข้าใจผิดว่า Benigno รวมถึงนักแสดง Rodríguez น่าจะเป็นเกย์ รสนิยมรักร่วมเพศ แต่มันผิดอะไรที่ผู้ชายแท้ๆจะมีอารมณ์อ่อนไหว ใส่ใจรายละเอียด แสดงออกด้วยความรักต่อเธอคนนั้น เชื่อมั่นอย่างเอ่อล้นว่าสิ่งทำอยู่จะไม่สูญเสียเปล่าอย่างแน่นอน
การกระทำของ Benigno ไม่ต้องให้แพทย์วินิจฉัย ใครๆก็บอกได้ว่าหมอนี่เป็นคนโรคจิต (Psychopath) กามวิปริต (Sex Maniac) แต่วิธีการนำเสนอของหนังทำให้ผู้ชมสามารถมองตัวละครในแง่มุมแตกต่างออกไป อาจแค่ชายคนหนึ่งตกหลุมรักเธอข้างเดียว และวิธีการแสดงออกเลียนแบบจากหนังเงียบ กระทำไปด้วยจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์
คือถ้าเราตัดสิน Benigno จากการกระทำ ร่วมรัก/ข่มขืนโดยที่ฝ่ายหญิงไม่แสดงความยินยอมพร้อมใจ นี่เป็นสิ่งผิดสามัญสำนึก ศีลธรรมจรรยา และกฎหมายบ้านเมือง แต่ในแง่มุมของความตั้งใจ และผลลัพท์บังเกิดปาฏิหารย์ให้ Alicia สามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมา … นั่นอาจมีเพียง Marco รับรู้ตัวตนของ Benigno ไม่ได้ทำไปเพราะครุ่นคิดชั่วร้ายอย่างแน่นอน!
Darío Alejandro Grandinetti (เกิดปี ค.ศ. 1959) นักแสดงสัญชาติ Argentine เกิดที่ Rosario, Santa Fe วัยเด็กชื่นชอบกีฬาฟุตบอล เคยเล่นให้สโมสร Newell’s Old Boys ก่อนหันเหความสนใจสู่การแสดง เริ่มจากเล่นซีรีย์โทรทัศน์ รับงานภาพยนตร์ทั้งภายใน-ต่างประเทศ ผลงานเด่นๆ อาทิ Tangos Are for Two (1997), Talk to Her (2002), Julieta (2016) ฯ
รับบท Marco Zuluaga นักเขียน/นักข่าว สุภาพบุรุษหน้าเศร้าๆ เป็นคนพูดน้อย อารมณ์อ่อนไหว เมื่อสิบปีก่อนเคยครองรักแฟนสาว Ángela พอพบเห็นเธอเสพติดยา(เฮโรอีน) พาออกเดินทาง เขียนหนังสือแนะนำการท่องเที่ยว ก่อนปลีกตัวออกมาอยู่คนเดียว (แต่ก็ยังไปร่วมงานแต่งงาน) จนกระทั่งตกหลุมรักครั้งใหม่กับนักสู้กระทิง Lydia หลายๆสิ่งอย่างหวนย้อนกลับมาบังเกิดขึ้นซ้ำสอง และเมื่อเธอกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา จึงขาดความเชื่อมั่นศรัทธาในตนเอง … ว่าจะสามารถรักเธอจนวันสุดท้าย
การได้รับรู้จักนายพยาบาล Benigno ดูแลผู้ป่วยโคม่าห้องข้างๆ นั่นทำให้พวกเขากลายเป็นเพื่อนสนิทสนม เข้าใจหัวอก พึ่งพาอาศัย ช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก และท้ายที่สุดอาจเรียกว่าเป็นตัวตายตัวแทน นั่นเพราะหลังจาก Alicia ฟื้นตื่นขึ้นมา มันเหมือนมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้ต้องชะตากับ Marco
Grandinetti เป็นคนมีใบหน้าเคร่งขรึม จริงจัง ภาพลักษณ์ผู้ชายแท้ๆ แต่สามารถถ่ายทอดอารมณ์อ่อนไหว ซึมเศร้าโศกเสียใจ พร้อมร่ำไห้ หลั่งน้ำตาได้ตลอดเวลา สำแดงความรู้สึกภายในด้วยสายตา และท่วงท่าการเดินอันเชื่องช้า แสดงถึงการขาดความเชื่อมั่นศรัทธาในตนเอง … นักวิจารณ์เปรียบเทียบท่าทางการเดินของ Grandinetti กับ John Wayne, Gary Cooper, Robert Mitchum ฯ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เมื่อตอน Benigno แนะนำให้ Marco พูดคุยกับเธอ (Talk to Her) เขากลับไม่สามารถกระทำตามได้ เพราะขาดความเชื่อมั่น ประสบการณ์จากอดีต(ที่ไม่สามารถช่วยเหลือ Ángela ให้ละเลิกเล่นยา)เสี้ยมสอนว่ามันคงไม่คุ้มค่า เสียเวลา และการหวนกลับมาของคนรักเก่า(ของ Lydia) ทำให้ตัวเขาหมดสิ้นสูญศรัทธาในตนเอง เลยตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง (เป็นการหลบหนีปัญหา ย้อนรอยความผิดพลาดเคยกระทำมา)
แต่แม้ความรักจักสูญสิ้น แฟนสาวตายจากไป มิตรภาพระหว่าง Marco และ Benigno กลับยิ่งเบ่งบานอย่างคาดไม่ถึง แม้เพื่อนคนนี้จะกระทำสิ่งชั่วร้าย เขาก็พร้อมให้ความช่วยเหลือ เพราะเชื่อในจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ มันต้องมีเหตุผล คำอธิบายอะไรบางอย่าง … ก็แล้วแต่ผู้ชมจะขบครุ่นคิดพิจารณา
Rosario del Carmen González Flores (เกิดปี ค.ศ. 1963) นักร้อง/นักแสดง สัญชาติ Spanish เกิดที่กรุง Madrid เป็นบุตรคนที่สามของ Lola Flores นักร้อง/นักแสดงชื่อดัง ดำเนินตามรอยเท้ามารดา ออกซิงเกิ้ลแรกตอนอายุ 21 ปี ก่อนกลายเป็นเจ้าของสองรางวัล Latin Grammy Award จากอัลบัม Muchas Flores (2002) และ De Mil Colores (2004), และเคยได้รับคำชักชวนจาก Almodóvar แสดงภาพยนตร์ Talk to Her (2002)
รับบท Lydia González หญิงสาวแกร่ง นักสู้วัวกระทิง ขณะนั้นกำลังจะเลิกราแฟนหนุ่ม ก่อนได้รับรู้จัก Marco ให้ความช่วยเหลือ (จากโรคกลัวงู) แล้วพบเจอกันในหลายๆโอกาส ก่อนเริ่มสานสัมพันธ์ ตกหลุมรักใคร่ แต่หลายเดือนถัดมาเมื่อเธอกำลังจะทำการสู้กระทิง มันคงเกิดเหตุการณ์บางอย่างสร้างความปั่นป่วนจิตใจ ถูกขวิดจนอาการโคม่า กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไม่มีโอกาสฟื้นคืนชีพขึ้นมา
เกร็ด: คำว่า Lidia ภาษา Spanish แปลว่า กระทิง บิดาของเธอเป็นคนตั้งให้เพราะใฝ่ฝันอยากเป็นนักสู้กระทิง นั่นคือเหตุผลที่ Marco กล่าวกับเธอว่า “It’s as if he sealed your destiny.”
Flores เป็นนักร้อง ไม่ใช่นักแสดงอาชีพ แต่เพราะภาพลักษณ์สาวแกร่ง สามารถเป็นนักสู้วัวกระทิงได้สบายๆ เข้าคอร์สฝึกฝนการต่อสู้อยู่หลายเดือน ถึงอย่างนั้นเวลาเข้าฉากจริงๆล้วนใช้มุมกล้องหลอกตา … ผกก. Almodóvar ยืนกรานว่า Flores ไม่มีเสี่ยงอันตรายเข้าฉากกับกระทิง
I did use some digital effects for the bullfight sequence. But Rosariowas learning how to do it, in fact she went to the bullfighting school in Madrid and received lessons there from real matadors. She does it pretty well, because even though the bull wasn’t next to her in those scenes she needed to do everything else herself. She needed to do it properly like a real bullfighter, so it was necessary for her to learn. But she was never in front of a bull. It was very complicated and it took a lot of time.
Pedro Almodóvar
ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์สาวแกร่ง แต่ยังบุคลิกภาพ ท่าทางขยับเคลื่อนไหว ล้วนผ่านการฝึกฝน จนมีความสง่างาม น่าเกรงขาม ทำให้ผู้ชมตระหนักว่าอาชีพนักสู้กระทิงคือศิลปะชั้นสูง กว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่อง เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย ต้องใช้ทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่สามารถแสดงความอ่อนไหวระหว่างเผชิญหน้าวัวกระทิง
แม้ภายนอกจะดูแข็งแกร่งสักเพียงไหน Lydia ยังคือผู้หญิง เก่งกับกระทิงกลับหวาดกลัวงูตัวเล็กๆ และในเรื่องความรัก แม้ปัจจุบันสานสัมพันธ์อยู่กับ Marco แต่ใจเธอยังคงโหยหาแฟนเก่า สิ่งอยากพูดกับเขา (ก่อนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา) เล่าผ่านชายคนนั้น (แฟนเก่า) บอกว่ากำลังจะหวนกลับมาคืนดี นั่นอาจเป็นสาเหตุให้เธอเกิดอารมณ์อ่อนไหว จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวระหว่างสู้กระทิง นำสู่โศกนาฎกรรมคาดไม่ถึง
อีกคนที่ต้องกล่าวถึงก็คือ Leonor Elizabeth Ceballos Watling (เกิดปี ค.ศ. 1975) นักร้อง/นักแสดง สัญชาติ Spanish เกิดที่ Madrid วัยเด็กใฝ่ฝันอยากเป็นนักบัลเล่ต์ แต่ทว่าได้รับบาดเจ็บหัวเข่า เลยหันเหความสนใจสู่การแสดง เริ่มต้นจากฟากฝั่งละคอนเวทีสมัครเล่น แล้วเดินทางไปเรียน The Actors Center ที่ประเทศอังกฤษ กลับมามีผลงานซีรีย์โทรทัศน์ ภาพยนตร์เด่นๆ อาทิ A Time for Defiance (1998), My Mother Likes Women (2002), Talk to Her (2002), My Life Without Me (2002) ฯ
รับบท Alicia Roncero นักเต้นบัลเล่ต์สาว แอบถูกติดตาม (Stalker) ระหว่างหลบหนีประสบอุบัติเหตุถูกรถชน อาการโคม่า กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่หลายปี หลังถูกข่มขืนจนตั้งครรภ์ แม้ไม่สามารถให้กำเนิดบุตร แต่เธอกลับฟื้นตื่นขึ้นมา ก่อนโชคชะตานำพาให้รู้จักกับ Marco
บทบาทของ Watling อาจมีเพียงการนอนแน่นิ่ง ไม่ขยับเคลื่อนไหวติง อดทนต่อการถูกสัมผัสลูบไล้ รวมถึงเปลือยร่างกายล่อนจ้อน แต่การจะหยุดนิ่งเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด! เห็นว่าเธอต้องเข้าคอร์สโยคะ(ร่วมกับ Rosario Flores)ฝึกสมาธินานถึงสี่เดือน … การเล่นฉากเปลือยระดับนี้ นักแสดงต้องมีความเชื่อมั่นในตัวผู้กำกับอย่างท่วมท้น
Of course I need a certain level of trust from all my actors, and Leonor absolutely trusted me. This is not a joke, but she is acting too. To be so immobile, so quiet, and so expressive at the same time is very difficult. She only has her body to do that with, and it’s the body that ‘talks’. Of course I have to be respectful with that body, and I absolutely was. I tried to invent more beautiful shots. It’s very difficult to photograph a body in a bed, there are only two shots you can do, and they don’t make you look nice or beautiful.
She took yoga classes for four months, so did Rosario, to learn to be completely still. These roles didn’t mean that they would go to bed, lay down and close the door. There were a thousand people coming around on set, causing distractions. It could have been impossible. I wanted them to have the impression that they were in an inner place, mysterious and far from everything. This is another expression, something you can get with deep relaxation from yoga. They went every day for months. Leonor did it very well, even her teacher was surprised at the control she gained within that time. It was not easy, not at all.
Pedro Almodóvar
ถ่ายภาพโดย Javier Aguirresarobe Zubía (เกิดปี ค.ศ. 1948) ตากล้องสัญชาติ Basque Spanish เกิดที่ Eibar, Guipúzcoa พี่ชายคนโตเป็นช่างภาพ สร้างอิทธิพลให้น้องชายหลงใหลด้านนี้ตั้งแต่เด็ก โตขึ้นเดินทางไปเรียนวรสารศาสตร์ที่ Madrid ทำงานหนังสือพิมพ์อยู่หลายปี ก่อนออกมาเรียนถ่ายภาพเคลื่อนไหว Escuela Oficial de Cine ถ่ายหนังเรื่องแรก La Muerte de Mikel (1984), เริ่มมีชื่อเสียงกับ Secrets of the Heart (1997), The Others (2001), Talk to Her (2002), Goya’s Ghosts (2006), Vicky Cristina Barcelona (2008), The Twilight Saga: New Moon & Eclipse (2009-10), Blue Jasmin (2013), Thor: Ragnarök (2017) ฯ
งานภาพใน ‘สไตล์ Almodóvar’ โดดเด่นกับการออกแบบฉาก เสื้อผ้าหน้าผมนำเทรนด์แฟชั่น มีความฟรุ้งฟริ้ง (ภาษากะเทย แปลว่าระยิบระยับ ความสวยงามที่เกินจากความเป็นจริง) ละเลงแสง-สีสัน ลวดลายละลานตา ทุกช็อตฉากล้วนเต็มไปด้วยรายละเอียด ยัดเยียดโน่นนี่นั่น แพรวพราวด้วยลูกเล่นภาพยนตร์
ผมสังเกตว่าลวดลาย+เฉดสีของ Talk to Her (2002) ดูไม่ค่อยฉูดฉาดตระการตาเทียบเท่าผลงานก่อนหน้า เลือกใช้เฉดสีแดง-ส้ม สร้างบรรยากาศแห้งเหี่ยว ซีดเซียว อาจเพราะหญิงคนรักล้มป่วยโคม่า นอนสลบไสลเหมือนเจ้าหญิงนิทรา มันจะมีสีสัน-ชีวิตชีวาได้อย่างไร?
การถ่ายทำเริ่มต้นวันที่ 6 กรกฎาคม – 14 ตุลาคม ค.ศ. 2001 ส่วนใหญ่ถ่ายทำยัง Madrid และ Córdoba (Andalucía) ประกอบด้วยโรงพยาบาล University Hospital HM Montepríncipe (Boadilla del Monte, Madrid), โรงเรียนสอนบัลเล่ต์ Calle del Principle (Madrid), สนามสู้กระทิงมีสองแห่ง Plaza de Toros (Aranjuez, Madrid), Plaza de Toros (Brihuega, Guadalajara), ฉากแต่งงานของ Ángela (กับแฟนใหม่) ณ El Santuario de Nuestra Señora de Araceli (Lucena, Córdoba), และเรือนจำ Segovia Penitentiary (Torredondo, Segovia)
ก่อนอื่นต้องการถึง Philippine ‘Pina’ Bausch (1940-2009) นักเต้น/ออกแบบท่าเต้นสัญชาติ German เกิดที่ Solingen บิดา-มารดาเป็นเจ้าของคาเฟ่/ร้านอาหาร มีพื้นที่สำหรับเวทีการแสดง นั่นทำให้เธอหลงใหลการเต้นมาตั้งแต่เด็ก ตอนอายุ 14 สมัครเข้าโรงเรียนสอนการเต้น Folkwangschule ของ Kurt Jooss แล้วได้ทุนไปศึกษาต่อ Juilliard School, หวนกลับมาเข้าร่วมคณะบัลเล่ต์ Metropolitan Opera ก่อนย้ายมา Folkwang-Ballett (ของอาจารย์ Jooss) เริ่มครุ่นคิดออกแบบท่าเต้นด้วยตนเอง จนไต่เต้ากลายเป็น Artistic Director
แนวคิดของ Tanztheater แปลว่า Dance Theatre แม้ถือกำเนิดมานาน แต่ทว่า Bausch ได้ต่อยอด ออกแบบการเคลื่อนไหวให้มีความสไตล์ลิสต์ ผสมเข้ากับฉาก รวมถึงแสง-สี-เสียง วิวัฒนาการมาเป็น Neo-Expressionism สำหรับถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกออกมาจากภายใน
Café Müller (1978) น่าจะเป็นการแสดงเต้น (Dance Choreographed) มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของ Bausch ความยาวประมาณ 45 นาที ได้แรงบันดาลใจจากความทรงจำวัยเด็ก พบเห็นบิดาทำงานในคาเฟ่/ร้านอาหารช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง โดยการแสดงนั้นนักเต้นสาวจะหลับตา เริงระบำบทเพลงของ Henry Purcell ไปโดยรอบร้าน และจะมีพนักงานชายคอยขยับเคลื่อนย้ายโต๊ะ-เก้าอี้ คอยดูแลความปลอดภัย ไม่ให้สะดุดล้ม พุ่งเข้าชนสิ่งกีดขวาง
ในส่วนของการตีความการแสดงชุดนี้ ต้องบอกเลยว่ามีมากมายร้อยแปดอย่าง เอาแค่เท่าที่ผมครุ่นคิดได้ และน่าจะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหนังก็พอนะครับ
- การตีความการแสดงชุดนี้ที่ตรงไปตรงมาที่สุด คืออุปมาอุปไมยถึงชีวิตเป็นสิ่งไม่มีใครคาดเดา มองไม่เห็นหนทางเบื้องหน้า (Blindly Seeking) ต้องต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนาม (Life’s Obstacles) บางครั้งสามารถก้าวผ่านไปได้ด้วยตนเอง แต่หลายๆครั้งอาจต้องมีผู้อื่นคอยให้ความช่วยเหลือ
- แต่นักแสดงที่หลับตาคือผู้หญิง ส่วนบุคคลคอยกำจัดสิ่งกีดขวางคือผู้ชาย นี่สามารถสะท้อนบทบาททางเพศที่ปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย บุรุษไม่ใช่ช้างเท้าหน้าอีกต่อไป เขามีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือสนับสนุน ไม่ได้ลากพาหรือชี้นำทาง ปล่อยอิสระให้เธอดำเนินตามเส้นทางชีวิต
- การหลับตาเดิน/เต้นรำ ชวนนึกถึง Somnambulist (แปลว่า Sleepwalker) จากโคตรหนังเงียบ The Cabinet of Dr. Caligari (1920) ยังนอนหลับอยู่แต่ลุกขึ้นมาเดินละเมอ (Waking/Walking Dream) มันช่างหลอกหลอน ขนหัวลุกพอง สามารถเปรียบเทียบกับสาวๆล้มป่วยโคม่า อดรนทนพานผ่านอุปสรรคขวากหนาม แล้วสักวันจักสามารถฟื้นตื่นขึ้นมา
- และการเลือกบทเพลง O Let Me Weep, For Ever Weep จาก(กึ่ง)อุปรากร The Fairy Queen (1692) ประพันธ์โดย Henry Purcell ที่มีความเศร้าโศกาหลังจากสูญเสียคนรัก (Lost Love) ทำให้ชีวิตมืดบอด ไปต่อไม่ถูก พุ่งชนโน่นนี่นั่น แสดงความเจ็บปวดทุกข์ทรมานทั้งร่างกาย-จิตวิญญาณ

ผมเพิ่งมาเอะใจว่าว่าช็อตนี้เป็นการถ่ายหน้าตรง Benigno อ่านคำอวยพรของ Pina Bausch ด้วยการสบตาหน้ากล้อง “Breaking the Fourth Wall” ราวกับต้องการพูดบอกกับผู้ชมด้วยเช่นกัน … เป็นคำอวยพรที่อธิบายความหมายของชุดการแสดง Café Müller
Alicia may you overcome yours obstacles, and dancing again very soon.
ขณะที่ใบหน้าของ Alicia แม้นอนสลบไสลเหมือนเจ้าหญิงนิทรา แต่สังเกตว่ามีการเผยอปากเล็กๆ เห็นฟันกระต่ายคู่หน้า ดูราวกับรอยยิ้ม อิ่มหฤทัย พึงพอใจกับเรื่องเล่าของ Benigno และคำอวยพรของ Pina Bausch


แวบแรกพบเห็นการแต่งองค์ทรงเครื่องของ Alicia ชวนให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่องโปรด Departure (2008) ที่มีการแต่งตัว/แต่งหน้าศพ ให้ดูราวกับยังมีชีวิตครั้งสุดท้าย … การดูแลผู้ป่วยโคม่าของ Benigno ต้องถือว่ามีความประณีต ละเอียดอ่อน ราวกับศาสตร์(ศิลปะ)ขั้นสูง ใส่ใจในทุกๆรายละเอียด พยายามทำเหมือนเธอยังมีชีวิต สร้างขวัญกำลังใจ ให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนาม เพื่อสักวันจักพบเจอปาฏิหารย์

โทรทัศน์ โดยปกติแล้วคือสื่อแห่งการสร้างภาพ ลวงหลอกผู้ชม ปกปิดบังตัวตนแท้จริง แต่ทว่ารายการสัมภาษณ์นักสู้กระทิง Lydia González พิธีกรกลับเปิดโปงเบื้องหลัง ความสัมพันธ์ฉาวโฉ่กับ Niño de Valencia ที่ฝ่ายชายเหมือนพยายามเกาะกิน แสวงหาผลประโยชน์ พอตนเองเริ่มมีชื่อเสียงก็ตีตนออกห่าง
ยุคสมัยก่อนการนำเรื่องส่วนตัวมาเปิดเผยผ่านสื่อสาธารณะคือเรื่องต้องห้าม ไร้สามัญสำนึก ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง! แต่ปัจจุบันแทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ สร้างคอนเทนต์ เรียกเรตติ้ง สังคมออนไลน์แทบจะทำให้ความเป็นส่วนตัวหมดสูญสิ้น

เมื่อกล่าวถึงประเทศ Spain ใครๆย่องครุ่นคิดถึงการสู้กระทิง (Bullfighter) เป็นกีฬาพัฒนามาจากศิลปะการป้องกันตัวที่สืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เป็นการต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์ นักสู้วัวกระทิงหรือ Matador มักเป็นชายหนุ่มผู้กล้า แต่งกายด้วยชุดล่าสัตว์ดูทะมัดทะแมง วิจิตรหรูหรา และมีผ้าสีแดงอีกผืนใช้กระตุ้นความสนใจล่อวัวกระทิงให้เข้ามาประชิดตัว จากนั้นจึงใช้อาวุธปลิดชีพกระทิงดุตัวนั้น (ยุคสมัยนี้บางแห่งเพียงกำหลาบเจ้ากระทิงให้เชื่อง ไม่จำเป็นต้องลงมือฆ่าเสมอไฟ เพื่อลดข้อครหาทรมานสัตว์)
I identify myself very much with the bullfighter, in the sense that my work is something I do surrounded by other people, but completely alone. You get the impression that you are in the middle of an arena and everybody is watching you. Sometimes they are applauding, but there is a mystery and a secret between you and the story you are telling. Then again sometimes I identify with the bull as well.
Pedro Almodóvar
เกร็ด: กระทิงในหนังได้อนุญาตจากเจ้าของเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามประเพณีคือต้องฆ่าวัวกระทิง เลือดพบเห็นจึงเป็นเลือดจริงๆเช่นกัน

ทั้งๆที่ Lydia สามารถเผชิญหน้าวัวกระทิง พร้อมเสี่ยงอันตราย ท้าความตาย แต่กลับหวาดกลัวงูตัวเล็กๆ ส่งเสียงกรีดร้องจะเป็นจะตาย เรียกร้องขอความช่วยเหลือจาก Marco ไม่ต้องการอาศัยอยู่บ้านหลังนี้อีกต่อไป! … ผมมองว่ากระทิงคือสัตว์สัญลักษณ์แทนบุรุษ พุ่งตรงเข้ามาใช้เขาขวิด (เหมือนการมีเพศสัมพันธ์) เพราะนั่นคือการเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมา เธอจึงไม่หวาดกลัวเกรงสักเท่าไหร่, ผิดกับงูตัวเล็กๆ หลบซ่อนอยู่ทุกแห่งหน พ่นพิษร้าย อาจสื่อถึงพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของชายคนรัก Niño de Valencia สนเพียงเกาะกินชื่อเสียง เงินทอง ความสำเร็จของ Lydia

ตอนรับชมหนังรอบแรกผมไม่ได้จดจำเรื่องเล่านี้ พอหวนกลับมาดูรอบค่อยตระหนักว่าสิ่งที่(น่าจะ)น้องสาวของ Lydia กล่าวถึงแม่ชีถูกบาทหลวงข่มขืน มันช่างละม้ายคล้ายคลึงนายพยาบาลข่มขืนผู้ป่วยโคม่าจนตั้งครรภ์!!!
ใครเคยรับชม Bad Education (2003) น่าจะรับรู้ว่าผกก. Almodóvar เต็มไปด้วยอคติต่อศาสนา ไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วการสวดอธิษฐานในฉากนี้ ย่อมดลบันดาลสิ่งตรงกันข้าม กลายเป็น ‘Death Flag’ โดยไม่รู้ตัว!

ฟากฝั่งของ Lydia ตอนล้มป่วยโคม่า จะไม่มีฉายภาพตอนเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกับ Alicia แต่ทว่าตอนยังสามารถขยับเคลื่อนไหว มันจะมีซีเควนซ์สวมใส่เครื่องแต่งกาย เครื่องแบบนักสู้กระทิง ซึ่งเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย แถมระหว่างการซักซ้อมเตรียมการยังฉายภาพแบบสโลโมชั่น ราวกับเวลาชีวิตใกล้จบสิ้นลง เป็นการปักธง (Death Flag) ก่อนเข้าสู่สนามรบครั้งสุดท้าย

ฉากที่ Lydia โดนกระทิงขวิดนั้น มีการละเล่นทิศทางมุมกล้อง ผสมกับ Computer Graphic และใช้ตุ๊กตาหน้าเหมือนถูกลากไปกับพื้น ไม่มีการนำเอานักแสดงลงไปเสี่ยงอันตราย … จะว่าไปตอนสู้กระทิงครั้งแรก ภาพระยะไกลก็ใช้นักสู้วัวตัวจริง ส่วนช็อตโคลสอัพถึงถ่ายใบหน้านักแสดง
หลังจากเจ้ากระทิงขวิด Lydia ลงไปนอนแน่นิ่ง จะมีช็อตที่มันเหลียวหลัง หันกลับมองด้วยสายตาไม่ยี่หร่า สมน้ำหน้า มายั่วเย้ากรุทำไม เลือกภาพที่สามารถสื่ออารมณ์ได้อย่างน่าประทับใจ


แม้ผมจะรู้สึกว่าการขึ้นข้อความบอกเวลา สามเดือนให้หลัง สี่ปีถัดไป ฯ เป็นลูกเล่นที่ไม่จำเป็นสักเท่าไหร่ แต่หลังจาก Lydia ถูกกระทิงขวิด พื้นหลังของข้อความสามเดือนถัดไป คือผืนป่าเขียวขจี มีสายลมพัดเบาๆ ราวกับต้องการสื่อถึงความสงบจิตสงบใจหลังเหตุการณ์ดังกล่าว … นั่นเพราะ Lydia นอนโคม่ามาสามเดือน เป็นระยะเวลาที่บรรดาญาติๆน่าจะเริ่มทำใจได้ระดับหนึ่งแล้วกระมัง

ภาพแรกที่ฉายให้เห็น Lydia ในสภาพโคม่า สลบไสลเหมือนเจ้าหญิงนิทรา สังเกตว่ากล้องถ่ายจากระเบียงห้อง พบเห็นเฟรมการแบ่งแยกระหว่าง Marco และแฟนสาว ราวกับเธออาศัยอยู่โลกคนละใบ ไม่มีทางที่ทั้งสองจะได้มีปฏิสัมพันธ์กันอีกต่อไป
มันจะมีเหรียญที่ Lydia สวมใส่อยู่ตลอดเวลา (ตอนก่อนสู้วัวกระทิงก็มีการจุมพิตเหรียญดังกล่าว) ทีแรกผมนึกว่าคือนักบุญสักคน พอลองสอบถาม AI ให้คำตอบว่าคือเหรียญพระแม่มารีย์ และ Our Lady of Araceli จากวิหาร Jerez de la Frontera Cathedral หรือ Cathedral of the Holy Saviour (พระผู้ช่วยให้รอดอันศักดิ์สิทธิ์) … แต่ก็อย่างที่อธิบายไปแล้วว่า ถ้าตัวละครมีความเชื่อศรัทธาศาสนาในหนังของผกก. Almodóvar มักให้ผลลัพท์ที่ตรงกันข้าม


ทุกครั้งที่มีการเล่าเรื่องย้อนอดีต (Flashback) มันจะต้องมีลูกเล่นภาพยนตร์อะไรบางอย่าง ครั้งนี้ระหว่าง Marco กำลังนั่งทำงาน จับจ้องหน้าจอโน๊ตบุ๊ค หันไปมอง Lydia ผ่านกระจกสะท้อน (มีการปรับโฟกัสใกล้-ไกล แทนมุมมองสายตา) จากนั้นกล้องค่อยๆซูมเข้าหาใบหน้า ก่อนตัดภาพชายคนหนึ่ง (อดีตคนรักเก่าของ Lydia) กำลังดำผุดดำว่าย (ภายในจิตใต้สำนึก/ความทรงจำ) แล้วโผล่ขึ้นมารับชมการแสดงดนตรีของ Caetano Veloso
การที่กล้องซูมเข้าหาใบหน้า ในบริบทนี้ไม่ใช่แค่การครุ่นคิดถึงอดีต แต่ยังสามารถสื่อถึงความตระหนักบางสิ่งอย่าง ค่ำคืนนั้นที่ Lydia พยายามยั่วเย้า อ่อยเหยื่อ Marco มันอาจไม่ใช่เพราะความลุ่มหลงใหล เหมือนเธอทำไปเพื่อประชดประชันแฟนเก่าที่อยู่ในงานคอนเสิร์ต (กำลังดำผุดดำว่ายน้ำ)

ผมรู้สึกว่าผกก. Almodóvar พยายามควบคุมตนเองไม่ให้ทำ “Flashback ซ้อน Flashback” ตอนที่ Marco เล่าเรื่องอดีตรัก Ángela วิ่งหนีออกจากเต้นท์เพราะกลัวงู (แบบเดียวกับ Lydia หนีออกจากบ้านเพราะกลัวงู) ใช้การฉายภาพซ้อนปรากฎขึ้นเคียงข้างใบหน้า(ของ Marco)
แซว: ไม่รู้เพราะซีนนี้หรือเปล่าที่ทำให้ผกก. Almodóvar ตัดสินใจทดลองทำ “Flashback ซ้อน Flashback” กับผลงานเรื่องถัดไป Bad Education (2002)

ครั้งแรกที่ Marco พบเจอกับ Alicia แอบถ้ำมองลอดผ่านประตูห้อง พยาบาลเหมือนกำลังอาบน้ำเช็ดตัว ร่างกายของเธอเปลือยเปล่า มือข้างหนึ่งวางอยู่บนหมอน นอนไขว้ขวา มีความงดงามราวกับรูปปั้นเทพยดากรีก/โรมัน แล้วจู่ๆลืมตาขึ้น … มันราวกับว่า Marco พบเห็นสิ่งไม่ควรเห็น เธอจึงลืมตาขึ้นเพื่อสร้างตระหนักให้กับเขาว่าฉันก็เหนียงอายเป็น กระมังนะ?
การลืมตาของผู้ป่วยโคม่า ไม่ใช่สัญญาณว่าจะฟื้นคืนชีพนะครับ แต่มันคือปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ (reflexive) ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของจิตใจ อาจถูกกระตุ้นด้วยอะไรบางอย่าง ซึ่งในบริบทของหนังก็อย่างที่วิเคราะห์ไป เธออาจสัมผัสถึงการจับจ้องมองของ Marco จึงสำแดงปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยการลืมตา

บนหัวเตียงนอนของ Alicia ประกอบด้วยโคมไฟ จรวด นาฬิกา ภาพถ่ายบิดา-มารดา ครูสอนบัลเล่ต์ เรือลำเล็กๆ และหนังสือเล่มหนึ่ง หน้าปกคุ้นๆ La noche del cazador แปลว่า The Night of the Hunter (1955) กำกับโดย Charles Laughton, นำแสดงโดย Robert Mitchum ใครเคยรับชมหนังน่าจะรับรู้ว่ามีลักษณะเหมือนนิทานก่อนนอน เสี้ยมสอนเรื่อง Wolf in sheep’s clothing โดยตัวละครของ Mitchum คือนักเทศน์สอนศาสนา แต่รอยสักตรงข้อนิ้ว DEATH แท้จริงแล้วคืออาชญากรสุดเหี้ยมโหด … ในแง่มุมหนึ่งเราสามารถมองว่า Benigno ไม่ต่างจากตัวละครของ Mitchum นายพยาบาลให้การดูแลผู้ป่วย Alicia แต่ลับหลังกลับข่มขืนกระทำชำเรา ตรงกับสำนวนหมาป่าในคราบแกะน้อย
ปล. สิ่งข้าวของบนหัวเตียงนอนนี้ Benigno จดจำมาจากตอนแอบเข้าห้องนอนของ Alicia (แล้วลักขโมยกิ๊บรัดผม) พยายามจัดวางให้ละม้ายคล้าย เป็นการสร้างความรู้สึกคุ้นเคยชิน ราวกับอยู่บ้าน/ห้องของตนเอง

Geraldine Chaplin (เกิดปี ค.ศ. 1944) เกิดที่ Santa Monica, California เป็นบุตรของ Charlie Chaplin และ Oona O’Neill ตั้งแต่เด็กฝึกฝนการเต้นบัลเล่ต์ แต่พอโตขึ้นครุ่นคิดว่าตนเองไม่ดีพอเลยผันตัวสู่วงการแสดง เคยเล่นหนังของอดีตสามี Carlos Saura อยู่หลายเรื่อง Peppermint Frappé (1967), Cría Cuervos (1975) ฯ เลยไม่แปลกจะสามารถพูดภาษา Spanish ได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ
I called Geraldine because I like her very much, and also she has the physical attributes of the character. She has had training in ballet, I remember once when I was a child watching her in Paris, wearing a big tutu even before she began making movies. So she was perfect for that. And of course you do believe that she was once a dancer. At the same time she was a discovery, she’s very funny, a great comedienne. But I’m not surprised because I remember her in Robert Altman’s Nashville. She’s very spirited and very funny. I found that she was perfect for me and reminded me of a quality that Chus Lampreave – one of my family of actresses – has, which is a kind of innocence and a natural extravagance. Geraldine and Chus and also Javier Camara have this quality, they can make the most strange or surreal things seem incredibly natural.
Pedro Almodóvar
เรื่องเล่าของ Katerina Bilova (รับบทโดย Geraldine Chaplin) เกี่ยวกับการแสดงชุดใหม่ ทหารเสียชีวิตในสงครามโลก แล้วพอวิญญาณออกจากร่างกายเป็นหญิงสาวเต้นรำ เพื่อสื่อถึงชีวิตถือกำเนิดขึ้นจากความตาย “Life emerges out of death” … นี่คือตรรกะของหนังที่ใช้อธิบายเหตุการณ์ช่วงท้าย ความตายของทารกน้อยในครรภ์ให้กำเนิดชีวิตใหม่แก่ Alicia สามารถฟื้นตื่น คืนชีพขึ้นมา
เกร็ด: Krzysztof Penderecki (1933-2020) คีตกวีสัญชาติ Polish ประพันธ์บทเพลงเพื่ออุทิศให้โศกนาฎกรรมที่ Hiroshima ตั้งชื่อว่า Tren – ofiarom Hiroszimy (1961) แปลว่า Threnody to the Victims of Hiroshima เป็นบทเพลงแนวทดลองที่โคตรๆอลังการ ใช้เครื่องสายทั้งหมด 52 ชิ้น สร้างสัมผัสหายนะได้อย่างสั่นสยองขวัญ

Benigno ให้คำแนะนำกับ Marco พูดคุยกับเธอ (Talk to Her) มันอาจไม่มีหลักการวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าผู้ป่วยโคม่าจะได้ยินอะไร แต่เราอาจเรียกว่าความเชื่อทางใจ เพราะจิตวิญญาณมนุษย์นั้นซับซ้อน ยากหยั่งลึก และยังมีสิ่งต่างๆอีกมากมายไม่สามารถค้นหาคำอธิบาย ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะ ‘ศรัทธาความรัก’ มากน้อยเพียงไหน
วินาทีที่ Marco แสดงออกว่าไร้ความเชื่อมั่นศรัทธา ฉันไม่สามารถพูดคุยกับเธอ ราวกับมันมีพลังงานลบแผ่ออกมา นั่นทำให้ Benigno มีทีท่าร้อนรน กระวนกระวาย หยุดการปักลายตัวอักษร Alicia มาสวมใส่หูฟังแพทย์ (Stethoscope) วัดความดัน จับชีพจร (เหมือนว่า Alicia จะหายใจแรงขึ้นด้วย) หวังว่าเธอจะไม่ได้รับผลกระทบจากคลื่นอารมณ์ดังกล่าว

การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับ Benigno ทำให้ Marco สามารเข้าใกล้ชิดกับ Lydia เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังมีเสาบานเลื่อนกีดกั้นขวาง ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านเหมือนตอน Benigno แวะเวียนมาเยี่ยมเยียน ทั้งๆไม่ใช่คนรู้จัก กลับสำแดงความเชื่อมั่น พูดคุยกับเธอบอกให้ใจเย็นๆกับเขาสักหน่อย

หนังเงียบ El Amante Menguante แปลว่า The Shrinking Lover ไม่ได้มีอยู่จริงนะครับ สร้างขึ้นเพื่อใช้เล่าเรื่องคู่ขนานกับค่ำคืนที่ Benigno อาศัยอยู่ตามลำพังกับ Alicia ซึ่งเราสามารถเปรียบเทียบเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา เมื่อฝ่ายชายค่อยๆย่อส่วนจนขนาดเล็กจิ๋ว ตัดสินใจมุดเข้าไปในช่องคลอดแฟนสาว สร้างความสุขให้กับเธอชั่วนิรันดร์
Benigno คงด้วยความตั้งใจเดียวกัน แม้เขาไม่สามารถย่อส่วนเหมือนตัวละครในหนังเงียบ แต่ครุ่นคิดว่าการร่วมเพศสัมพันธ์คือสิ่งสร้างความสุขให้กับ Alicia จึงกระทำการลอกเลียนแบบตาม … การข่มขืน (Rape) มันแตกต่างจากอาชญากรรมประเภทอื่น คือถ้าฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมแล้วมีการล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้น จะถือว่ากระทำผิดโดยทันที ไม่สนเจตนารมณ์ ความตั้งใจใดๆ ละเว้นโทษแค่เพียงแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นคนบ้าเท่านั้น ในกรณีของ Benigno จึงไร้ข้อแก่ต่าง


นี่น่าจะเป็นภาพที่ทำให้หลายคนจินตนาการเตลิดเปิดเปิงไปไกล แต่จริงๆมันคืออะไร? คำตอบคือจรวดที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงนอน ภายในมีของเหลวสองอย่างที่ไม่สามารถผสมรวมกัน (ยกตัวอย่าง น้ำ+น้ำมัน) เมื่อนำมาเขย่าๆ พลิกหมุน ก็จะเกิดการแบ่งแยกอย่างภาพพบเห็น


ผกก. Almodóvar ให้คำนิยามว่าภาพถ่ายครอบครัว (Family Portrait) ครั้งเดียวที่ตัวละครหลักทั้งสี่อยู่ร่วมเฟรมเดียวกัน ภาพจากในหนังจะเห็นพวกเขาแค่ครึ่งตัวเท่านั้น แต่ผมบังเอิญพบเจอภาพถ่ายเต็มตัว สังเกตว่ารองเท้าของสาวๆจะมีแผ่นไม้รอง จุดประสงค์เพื่อให้สามารถวางเท้านาบไปกับพื้น … มันเป็นทริคการถ่ายรูปของผู้ป่วยโคม่ากระมัง

วิหารแห่งนี้คือ Santuario de Nuestra Señora de Araceli หรือ Sanctuary of Our Lady of Araceli ตั้งอยู่ใกล้ๆกับ Lucena, Córdoba บนยอดเขา Sierra de Aras ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 863 เมตร ประมาณการว่าสร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 17th เพื่ออุทิศให้ Our Lady of Araceli ผู้เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ (Patron Saint of Lucena) ก่อนพังทลายลงปี ค.ศ. 1726 แล้วสร้างใหม่โดยสถาปนิก Martín de Rojas เมื่อปี ค.ศ. 1765
การเลือกสถานที่แห่งนี้น่าจะเพราะตั้งอยู่บนยอดเขาสูง สามารถสื่อถึงจุดสูงสุดความสัมพันธ์ระหว่าง Marco และ Lydia ทั้งสองมาร่วมงานแต่งงานของ Ángela (แฟนเก่าของ Marco) ซึ่งโดยปกติแล้ว Marco ผู้มีอารมณ์อ่อนไหวน่าจะร่ำร้องไห้ออกมา แต่เขากลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆ (เพราะรับรู้จักอดีตของ Ángela เลยไม่มีอารมณ์ร่วมใดๆ) ผิดกับ Lydia แทบมิอาจกลั้นหลั่งธารน้ำตา (ใฝ่ฝันอยากมีงานแต่งงานสวยหรูหรา งดงามตราตรึงแบบนี้บ้าง)
แต่บุคคลที่ Lydia ร่ำร้องไห้ให้กลับไม่ใช่ Marco แท้จริงแล้วคือแฟนเก่า Niño de Valencia หวนกลับมาคืนดี(ลับหลัง Marco)ได้เดือนกว่าๆ ยังคงรักมาก มิอาจแปรเปลี่ยนเป็นอื่น กำลังมองหาโอกาสพูดบอกลา Marco ถึงอย่างนั้นระหว่างทางกลับเขาจ้อไม่หยุด เลยเก็บมาหมกมุ่นครุ่นคิดจนสูญเสียสมาธิ … รู้สึกผิดด้วยกระมังที่ทรยศหักหลังเขา
ปล. บุคคลที่เล่นเป็นบาทหลวงทำพิธีแต่งงานก็คือโปรดิวเซอร์ Agustín Almodóvar น้องชายของผกก. Pedro Almodóvar


ผมแนะนำให้สังเกตบทสนทนาขากลับของ Marco พูดไม่หยุดเกี่ยวกับตนเองและแฟนเก่า Ángela แม้บอกว่าจบสิ้นลงนานแล้ว แต่ยังคงรัก ครุ่นคิดถึง ร่ำร้องไห้ถึงสิ่งไม่สามารถทำร่วมกับเธอ คำอธิบายของเขาแทบจะคือสิ่งเดียวกับที่ Lydia ต้องการพูดออกมา เหตุผลที่เธอหวนกลับไปคืนดีแฟนเก่า Niño de Valencia … แต่เพราะเขาเอาแต่จ้อไม่หยุด เธอจึงยังไม่มีโอกาสพูดบอกความจริงดังกล่าว

หลังจากรับรู้ตัวว่าถูกแฟนสาวทรยศหักหลัง แอบคืนดีกับแฟนเก่าไม่บอกกล่าว Marco แวะเข้ามาในห้องพักของ Alicia แล้วเอ่ยปาก “I am alone again.” นี่คือการพูดกับเธอ (Talk to Her) ที่เขาไม่เคยทำมาก่อนกับ Lydia แต่คราวนี้กลับยินยอมสนทนากับ Alicia ราวกับว่าอยากให้เธอได้ยิน ช่วยรับฟังปัญหา ระบายอารมณ์อัดอั้นภายในออกมา … แต่ก็ถูกขัดจังหวะโดยไวจาก Benigno

แปดเดือนถัดมา ณ ชายหาดแห่งหนึ่งในประเทศ Jordan (แต่เหมือนจะถ่ายทำที่ Playa de Mónsul หรือ Mónsul Beach ตั้งอยู่ยัง Cabo de Gata, Almería) สถานที่เชื่อมต่อระหว่างผืนดิน-ท้องทะเล ชีวิต-ความตาย และ Marco รับรู้ข่าวการเสียชีวิตของ Lydia

Marco เดินทางไปเยี่ยมเยียน Benigno ถูกคุมขังในเรือนจำ สังเกตมุมกล้องช้อตนี้ที่พยายามทำให้ภาพสะท้อนกระจกของ Benigno ซ้อนทับใบหน้าของ Marco เพื่อสื่อว่าอีกฝ่ายจักกลายเป็นตัวตายตัวแทน สานต่อความฝัน สืบทอดจิตวิญญาณของตนเอง (Spiritual Successor) ร้องขอให้ช่วยสืบค้นหาว่า Alicia อยู่ดีมีสุข คลอดบุตรสำเร็จหรือไม่

จากอพาร์ทเม้นท์ว่างเปล่าของ Benigno (นอนคว่ำ) ช่วงกลางเรื่องพบเห็นภาพการตกแต่งห้องพักในนิตยสารเล่มหนึ่ง เลยตัดสินใจจ่ายเงินซื้อทุกสิ่งอย่าง แต่ท้ายที่สุดบุคคลเข้าอยู่อาศัยกลับคือ Marco (นอนหงาย) … นี่เช่นกันคือส่งต่อความฝัน Marco คือตัวตายตัวแทน ผู้สืบทอดจิตวิญญาณของ Benigno



ตลอดทั้งเรื่องผู้ชมจะไม่พบเห็น Benigno ร่ำร้องไห้เลยสักครั้ง มากสุดคือตาแดงกล่ำแต่ไร้หยดน้ำตา ถึงอย่างนั้นทุกครั้งเมื่อถึงวันแห่งการร่ำลา มักตรงกับช่วงเวลาฝนตก (สื่อแทนหยาดน้ำตาจากภายใน)
- ฉากย้อนอดีตตอนที่ Alicia ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนจนอาการโคม่า เห็นว่าฝนตกตลอดทั้งสัปดาห์
- ครั้งสุดท้ายที่ Marco พูดคุยกับ Benigno ก็ฝนตกหนักเช่นกัน
- และระหว่าง Benigno เขียนจดหมายลาตา หนีทางโลก ภายนอกหยาดฝนก็พรำลงมา



ด้วยความที่ Marco ไม่กล้าเอ่ยกล่าวความจริงต่อหน้า Benigno ภายหลังอีกฝ่ายหนีจากโลกใบนี้ จึงเดินทางไปเยี่ยมเยียนหลุมฝังศพ จากนั้นทำการพูดกับเขา (Talk to Him) แล้วเปิดเผยความจริงทั้งหมด … จากที่ Marco ไม่เคยกล้าสนทนากับ Lydia มาถึงจุดนี้เขาเอ่อล้นด้วยความเชื่อมั่น ศรัทธาอันแรงกล้า Benigno ต้องได้ยินสิ่งที่ตนเองพูดบอกออกมาอย่างแน่นอน!

นี่คือการแสดงอีกชุดของ Pina Bausch ชื่อว่า Masurca Fogo (1998) แปลว่า Fiery Mazurka (Mazurka คือบทเพลง Folk Dance ของ Polish) เห็นว่าได้แรงบันดาลใจจากเมื่อตอนคณะของ Bausch เดินทางมาทำการแสดงที่ Lisbon แล้วเกิดความประทับใจเมืองแห่งหนึง จึงทำการผสมผสานท่าเต้น บทเพลง แสงสีสัน
- การแสดงแรกนักร้องสาวหลับตา แล้วถูกหนุ่มๆทั้งหลายพาขยับเคลื่อนย้าย โบยบิน เริงระบำ เธอไม่ต้องทำอะไรสักสิ่งอย่างนอกจากขับร้องเพลง Hain’t It Funny
- การแสดงอีกชุดหลังพักเบรค พบเห็นบรรดาชาย-หญิง ค่อยๆโยกเต้นออกมาบนเวที
ผมขอไม่วิเคราะห์การแสดงชุดนี้เพราะหนังนำมาแค่สองฉาก ที่มีความสอดคล้องเข้ากับเรื่องราวตอนจบ Marco พบเห็นนักร้องสาวแน่นิ่ง ไม่ขยับเคลื่อนไหวติง คงชวนนึกถึง Lydia (และ Alicia) จึงมิอาจกลั้นหลั่งธารน้ำตา แล้วช่วงพักเบรค Alicia เอ่ยปากทักทาย ด้วยสายตาฉงนสงสัย ราวกับมีบางสิ่งอย่างชักโยงใย ให้เราสองมีโอกาสพบเจอ เริงระบำ สานสัมพันธ์ เริ่มต้นรักครั้งใหม่


ตัดต่อโดย José Salcedo Palomeque (1949-2017) สัญชาติ Spanish เกิดที่ Ciudad Real, ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ Pedro Almodóvar ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องแรก Pepi, Luci, Bom (1980) จนถึง Julieta (2016)
หนังเริ่มต้นที่ชายแปลกหน้าสองคน รับชมการแสดง Café Müller ของ Pina Bausch จากนั้นนำเสนอเรื่องราวคู่ขนานของพวกเขา Benigno Martín และ Marco Zuluaga ก่อนมาพบเจอกันอีกครั้งที่โรงพยาบาล เนื่องจากหญิงคนรักต่างล้มป่วยโคม่า นอนสลบไสลเหมือนเจ้าหญิงนิทรา
หลังการพบเจอครั้งหลัง จากคนแปลกหน้ากลายเป็นเพื่อนสนิทสนม ทั้งสองสลับกันเล่าเรื่องย้อนอดีต หวนระลึกความทรงจำ ฉายภาพ Flashback ตั้งแต่ตอนพบเจอกับเธอคนนั้น แล้วพอ(เรื่องเล่าจากอดีต)ดำเนินมาถึงปัจจุบัน พลันเกิดเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของทั้งสอง แยกย้ายกันออกเดินทาง (คนหนึ่งออกท่องเที่ยว อีกคนถูกคุมขัง)
- เรื่องราวของชายแปลกหน้าสองคน
- ชายแปลกหน้าสองคน รับชมการแสดง Café Müller
- นายพยาบาล Benigno ทำการดูแลผู้ป่วยโคม่า Alicia
- Marco เห็นข่าวของนักสู้กระทิง Lydia พยายามเข้าหา ให้ความช่วยเหลือ (ฆ่างูในบ้าน)
- เช้าวันถัดมา นายพยาบาล Benigno ยังคงทำการดูแล Alicia ตัดแต่งทรงผมให้ใหม่
- หลายเดือนถัดมา Marco กลายเป็นแฟนคนใหม่ของ Lydia
- Lydia ประสบอุบัติเหตุระหว่างการสู้กระทิง ล้มป่วยโคม่า นอนสลบไสลเหมือนเจ้าหญิงนิทรา
- Benigno & Marco
- (Flashback) Marco นอนเฝ้าไข้ Lydia หลับฝันถึงตอนพบเจอเธอในคอนเสิร์ต ถูกเกี้ยวพาราสี รวมถึงซ้อนฝันถึงคนรักเก่า
- Benigno ทักทาย Marco แนะนำให้รู้จักกับ Alicia และบอกว่ามีปัญหาอะไรพูดคุยกับตนเองได้
- บิดาของ Alicia เดินทางมาเยี่ยมบุตรสาว
- ครูสอนเต้นรำ Katerina Bilova (รับบทโดย Geraldine Chaplin) เดินทางมาเยี่ยมเยียนลูกศิษย์
- (Flashback) Benigno เล่าความหลังตั้งแรกแรกพบเจอ Alicia จนกระทั่งประสบอุบัติเหตุ ล้มป่วยโคม่า
- ด้วยรักและสิ้นหวัง
- Benigno ระหว่างเช็ดตัว Alicia พูดเล่าถึงหนังเงียบ The Shrinking Lover
- เป็นการใช้หนังเงียบอธิบายการกระทำของ Benigno ร่วมรัก/ข่มขืน Alicia
- Benigno & Marco ถ่ายภาพคู่กับ Alicia & Lydia
- (Flashback) Marco (และ Lydia) เข้าร่วมงานแต่งงานของแฟนเก่า Ángela
- แฟนเก่าของ Lydia สารภาพกับ Marco ก่อนเกิดอุบัติเหตุ เขาและเธอกำลังจะรื้อความสัมพันธ์
- นั่นทำให้ Marco หมดสิ้นศรัทธาต่อ Lydia ตั้งใจจะออกเดินทาง เขียนหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวอีกครั้ง
- Benigno ระหว่างเช็ดตัว Alicia พูดเล่าถึงหนังเงียบ The Shrinking Lover
- การเดินทางของ Marco & Benigno
- ก่อนการเดินทางของ Marco รับฟังคำสารภาพของ Benigno บอกว่าอยากแต่งงานกับ Alicia
- ตรวจพบว่า Alicia ตั้งครรภ์ Benigno คือผู้ต้องสงสัยหนึ่งเดียว
- แปดเดือนถัดมา Marco เห็นข่าวการเสียชีวิตของ Lydia เลยติดต่อกลับมาโรงพยาบาล แล้วรับรู้ว่า Benigno กลายเป็นนักโทษคดีข่มขืน
- Marco เดินทางไปหา Benigno ช่วงสืบข่าวคราว ก่อนรับรู้จากบิดาของ Alicia ว่าบุตรในครรภ์เสียชีวิต แต่ทำให้เธอฟื้นคืนชีพขึ้นมา
- Marco ตัดสินใจไม่เปิดเผยความจริงแก่ Benigno ปล่อยให้เข้าใจว่า Alicia คลอดบุตรชาย
- Benigno กระทำอัตวินิบาต
- ปัจฉิมบท
- Marco แวะเวียนไปยังสุสานของ Benigno พูดเล่าความจริงทั้งหมด
- ค่ำคืนนั้น Marco เดินทางไปรับชมการแสดง Masurca Fogo แล้วบังเอิญพบเจอ Alicia
หลายคนอาจรู้สึกว่าหนังดูยาก ค่อนข้างสลับซับซ้อน เพราะการดำเนินเรื่องคู่ขนาน แถมหลายๆครั้งฉายยังมีการเล่าย้อนอดีตอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ผมให้ข้อสังเกตการฉายภาพ Flashback มักต้องมีสิ่งอย่างเชื่อมโยง/ภาพสะท้อนปัจจุบันเสมอๆ
- Lydia แสดงอาการหวาดกลัวงู จึงขอความช่วยเหลือจาก Marco, ภายหลังมีการฉายภาพอดีตย้อนอดีต ตอนอดีตคนรัก Ángela วิ่งเปลือยกายออกจากเต้นเพราะงู
- หลังจากล้มป่วยโคม่า Marco หลับฝันถึง Lydia ย้อนวันที่เธอแสดงออกว่าตกหลุมรักเขา
- ย้อนอดีตอีกครั้งของ Marco คือตอนเข้าร่วมงานแต่งงานของแฟนเก่า Ángela, พอหวนกลับปัจจุบันแฟนเก่าของ Lydia สารภาพว่าตนเองกำลังจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์
- ในขณะที่เรื่องราวของ Marco & Lydia มีการตัดแบ่งเล่าเรื่อง/ย้อนอดีตอยู่สองสามครั้ง, Benigno & Alicia เพียงครั้งเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ
ผมเคยพร่ำบ่นไปตอน All About My Mother (1999) สิ่งไม่จำเป็นที่สุดในหนังของผกก. Almodóvar คือการขึ้นข้อความบอกเวลา หลายเดือนให้หลัง สี่ปีผ่านไป ฯ เพราะผู้ชมสามารถสังเกตวัน-เวลาผันแปรเปลี่ยนได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดเป๊ะๆ แถมบรรดาลูกเล่นตัวอักษรย่อ-หด เคลื่อนออกมาจากด้านหน้า-หลัง ฯ มันเป็นสิ่งที่ดูเฉิ่มเฉยในปัจจุบัน
นอกจากวัน-เดือน-ปีเคลื่อนผ่าน บางครั้งยังมีข้อความ LYDIA Y MARCO (Lydia and Marco) และ MARCO Y ALICIA (Marco and Alicia) เหมือนต้องการนำเสนอจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร และสังเกตว่ามันจะมีความแตกต่างตรงกันข้าม
- Lydia and Marco ตัวอักษรสีส้ม ทั้งสองกำลังขับรถ ถ่ายหน้าตรง ต่างฝ่ายอยู่ในช่วงเวลาอกหัก ยังคงรู้สึกผิดหวังในรัก ไม่สามารถปล่อยละวางจากอดีต
- Marco and Alicia ตัวอักษรสีแดง กำลังรับชมการแสดง ภาพถ่ายจากด้านข้าง ฝ่ายชายนั่งข้างหน้า(หันหลังกลับไปมอง) หญิงสาวห่างไปสองเบาะหลัง ต่างฝ่ายต่างมีอดีตเลวร้าย แต่ไม่หลงเหลืออะไรติดค้างคาใจ พร้อมจะเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่


เพลงประกอบโดย Alberto Iglesias Fernández-Berridi (เกิดปี ค.ศ. 1955) นักแต่งเพลงสัญชาติ Spanish เกิดที่ San Sebastián, Basque Country โตขึ้นร่ำเรียนดนตรียัง Saint-Sébastien จากนั้นเดินทางสู่ Paris เรียนการแต่งเพลงกับ Francis Schwartz และสไตล์ดนตรี Electro-Acoustic กับ Gabriel Brnčić, ร่วมงานขาประจำผกก. Pedro Almodóvar ตั้งแต่ The Flower of My Secret (1995), ผลงานเด่นๆ อาทิ All About My Mother (1999), Talk to Her (2002), The Constant Gardener (2005), The Kite Runner (2007), Che (2008), The Skin I Live In (2011), Exodus: Gods and Kings (2014) ฯ
ผมรู้สึกว่างานเพลงของ Iglesias ในภาพยนตร์ Talk to Her (2002) มีความเด่นชัดเจนขึ้นกว่า All About My Mother (1999) คอยสร้างบรรยากาศหม่นหมอง เศร้าซึม โดดเดี่ยวเดียวดาย แม้มีเธอเคียงข้างกาย แต่สลบไสลเหมือนเจ้าหญิงนิทรา ท้าทายความเชื่อศรัทธา จะสามารถรักมั่นคง หรือหมดสิ้นหวังอาลัย
ระหว่าง(นายและนาง)พยาบาลกำลังแต่งองค์ทรงเครื่องของเจ้าหญิงนิทรา Alicia บทเพลง Sábana santa แปลว่า Holy Shroud สร้างสัมผัสราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรือนร่างหญิงสาวช่างมีความงดงาม บริสุทธิ์ผุดผ่อง ได้รับการทะนุถนอม ยุงไม่ให้ไต่ไม่ตอม เฝ้ารอคอยวันแห่งการฟื้นคืนชีพ (Resurrection)
บทเพลงดังขึ้นระหว่างการแสดง Café Müller ของ Pina Bausch ก็คือ O Let Me Weep, For Ever Weep จาก(กึ่ง)อุปรากร The Fairy Queen (1692) ประพันธ์โดย Henry Purcell, คำร้องโดย Benjamin Britten & Imogen Holst ได้แรงบันดาลใจ(ไม่ใช่ดัดแปลง)จากบทละคอนตลก A Midsummer Night’s Dream (1595-96) ของ William Shakespeare
O let me forever weep!
My Eyes no more shall welcome sleep:I’ll hide me from the sight of Day,
and sigh my Soul away.He’s gone, his loss deplore;
and I shall never see him more.O let me weep! forever weep!
บทเพลงระหว่าง Lydia กำลังสู้กระทิง (ครั้งแรก) ชื่อว่า Por Toda A Minha Vida (Exaltação Ao Amor) (1974) แปลว่า For all my life (Exaltation of Love) แต่งโดย Antonio Carlos Jobim & Vinicius de Moraes, ขับร้องโดย Elis Regina
เนื้อคำร้องอาจดูเหมือนการประกาศคำมั่น สัญญาว่าจักรักนิรันดร์ อุทิศทั้งชีวิตเพื่อเธอ แต่ท่วงทำนองและน้ำเสียงร้อง ฟังดูโหยหวน คร่ำครวญ ราวกับเพิ่งผิดหวังในรัก
ต้นฉบับ Spanish | คำแปลอังกฤษ |
---|---|
oh! meu bem amado quero fazer de um juramento uma cançao eu prometo por toda minha vida ser somente tua e amar-te como nunca ninguem jamais amou, ninguem oh! meu bem amado estrela pura aparecida eu te amo e te proclamo o meu amor o meu amor maior que tudo quanto existe oh! meu amor | Oh! my beloved I want to make a song out of an oath I promise for all my life to be only yours and to love you like no one has ever loved, no one Oh! my beloved pure star appeared I love you and I proclaim to you my love my love greater than anything that exists Oh! my love |
A Portagayola แปลว่า At the Cage Door คือคำศัพท์ของนักสู้กระทิง ก่อนหน้าเริ่มต้นทำการแสดง นักสู้จะนั่งคุกเข่าบริเวณประตูทางออกของกระทิง นี่ถือเป็นเกียรติ ประเพณี เตรียมความพร้อม (ทั้งนักสู้และผู้ชม) และแสดงความเคารพคู่ต่อสู้ไปในตัว
บทเพลง Portagayola ดังขึ้นระหว่าง Lydia เตรียมความพร้อมต่อสู้กระทิง (ครั้งที่สอง) เสียงเชลโล่สร้างความตื่นเต้น ลุ้นระทึกขวัญ แต่การเดี่ยวไวโอลินที่มีความโหยหวน ราวกับบอกใบ้หายนะคืบคลานเข้ามา (Death Flag) ซึ่งพอประตูเปิดออกจะได้ยินอีกบทเพลง Amanecer agitato (แปลว่า Restless dawn) นำสู่โศกนาฎกรรมไม่มีใครคาดคิดถึง
Marco นอนหลับฝันถึง Lydia พบเจอเธอระหว่างรับชมการแสดงดนตรีของ Caetano Veloso ขับร้อง-เล่นบทเพลง Cucurrucucú Paloma (1954) แต่งโดย Tomás Méndez Sosa, ช่วงมีความโหยหวน คร่ำครวญ ฉันคิดถึงเธอจนไม่หลับไม่นอน แทบมิอาจกลั้นหลั่งธารน้ำตา
เกร็ด: Cucurrucucú คือเสียงนกร้อง (Bird’s Call) ในภาษา Spanish ของ Paloma/Dove
ต้นฉบับ Spanish | คำแปลอังกฤษ |
---|---|
Cucurrucucu paloma dicen que por las noches No mas se le iba en puro llorar Dicen que no dormía No mas se le iba en puro tomar Juran que el mismo cielo Se estremecía al oír su llanto Cómo sufrió por ella que hasta en su muerte La fué llamando: Cucurrucucu, cantaba Cucurrucucu, gemía ay, ay, ay, ay, lloraba De pasión mortal moría que una paloma triste Muy de mañana le iba a cantar A la casita sola Con sus puertitas de par en par Juran que esa paloma No es otra cosa mas que su alma Que todavía la espera A que regrese la desdichada Cucurrucucu, cantaba cucurrucucu, no llores Las piedras jamás, paloma Qué van a saber de amores Cucurrucucu, Cucurrucucu Cucurrucucu, cucurru, cucurru Paloma no llores | Cucurrucucú, dove, they say that at night He did nothing but cry, They say he didn’t sleep, Just spent his time drinking. They swear that the very sky Trembled to hear his weeping, How he suffered for her, Even in his death, he kept calling her: Cucurrucucú, he sang, Cucurrucucú, he moaned, Ay, ay, ay, ay, he cried, Dying of a mortal passion. That a sad dove, Very early in the morning, Went to sing to the lonely little house With its tiny doors wide open. They swear that this dove Is nothing less than his soul, Still waiting for her, For the unfortunate one to return. Cucurrucucú, he sang, Cucurrucucú, don’t cry. The stones, dove, What could they ever know of love? Cucurrucucú, cucurrucucú, Cucurrucucú, cucurru, cucurru, Dove, don’t cry. |
ในขณะที่บทเพลงฟากฝั่ง Marco/Lydia มักมีท่วงทำนองเศร้าๆ เหงาๆ เจ็บปวดรวดร้าว, เรื่องเล่าย้อนอดีต(รวมถึงปัจจุบัน)ของ Alicia มักเริ่มต้นเสียงเปียโนนุ่มๆ มอบสัมผัสความบริสุทธิ์ เอ่อล้นด้วยประกายความหวัง แสงสว่างไม่มีวันมืดดับ ด้วยความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าของ Benigno สักวันเธอต้องฟื้นคืนชีพขึ้นมา (Alicia vive แปลว่า Alicia Lives)
บทเพลงระหว่างหนังเงียบ El Amante Menguante แปลว่า The Shrinking Lover ใช้นักดนตรี 4 คน (Quartet) เล่นเครื่องสายสามชิ้น สองไวโอลิน, วิโอล่า และเชลโล่ สร้างสัมผัสอันตราย กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ Benigno ลอกเลียนแบบอย่าง แม้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ใครต่อใครกลับตีตราว่าโฉดชั่วร้าย … จิตวิญญาณพองโตของ Benigno ค่อยๆเล็กลีบลงแบบเดียวกับชื่อหนังเงียบ The Shrinking Lover
บทเพลงระหว่างการแสดง Masurca Fogo คือ Hain’t It Funny แต่งโดย Jane Siberry, ขับร้องโดย k.d. lang, รวมอยู่ในอัลบัม Drag (1997) นี่เป็นอีกเพลงท่วงทำนองเศร้าๆ เหงาๆ “My baby’s gone” ตื่นเช้าวันใหม่ ไม่หลงเหลือใครเคียงข้างกาย
We made love last night
Wasn’t good wasn’t bad
Intimate strangers made me kinda sad
Now when I woke up this morning
Coffee wasn’t on
It slowly dawned on me that my baby is gone
My baby’s goneGuess I shouldn’t be so shocked
I guess I shouldn’t be so surprised
Guess I sorta noticed the sadness in your eyes
All this time together
And I still feel so alone
Two of us together couldn’t make this house a home
My baby’s gone
My baby’s gone
Oh so longUmf maybe I’m a little bit relieved
Maybe even a little bit glad
Now that you’re gone maybe I won’t feel so sad
So I’m packing your things and
Leaving them outside and
Neighbors can talk themselves up into a storm I’ll survive
My baby’s gone
My baby’s gone
Oh…so longDid you forget something my love
I see you’re back outside
Looking at your suitcases looking oh so surprised
Ain’t it funny
One of life’s little jokes
Thought you’d gone for good
But you’d only gone…for smokes
ทิ้งท้ายกับ Habel con Ella (แปลว่า Talk to Her) เริ่มต้นด้วยออร์เคสตราท่วงทำนองเศร้าๆ เหงาๆ โดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่หลงเหลือใครเคียงข้างกาย แต่การมาถึงของเสียงกีตาร์ (Spanish Guitar) บรรเลงโดย Vicente Amigo ช่วยสร้างรอยยิ้ม ประกายความหวัง เพราะเธอคนนั้นได้ถูกปลุกตื่น ฟื้นคืนชีพ ราวกับปาฏิหารย์ ทำเอาหัวใจของเขาสั่นระริกรัว อยากลุกขึ้นมาโยกเต้น แทบมิอาจอดใจรอคอยจะเข้าไปพูดคุยสนทนา มันอาจคือโชคชะตาหรือเพื่อนผู้ล่วงลับลิขิตมา
Talk to Her (2002) นำเสนอเรื่องราวของชายสองคน Benigno & Marco ที่มีความแตกต่างตรงกันข้าม โดยปกติไม่น่าจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่สถานการณ์ที่ทั้งสองประสบพบเจอ คือหญิงคนรักต่างล้มป่วยโคม่า นอนสลบไสลเหมือนเจ้าหญิงนิทรา พวกเขาจึงกลายเป็นเพื่อนพึ่งภายามยาก เข้าใจความรู้สึก/หัวอกเดียวกัน
สำหรับหญิงสาวทั้งสอง Alicia ฝึกเต้นบัลเล่ต์, Lydia นักสู้กระทิง ต่างเป็นอาชีพที่ต้องใช้ร่างกายขยับเคลื่อนไหว อ่อนช้อย ดุดัน แต่หลังจากประสบอุบัติเหตุถูก(รถ+กระทิง)พุ่งชน ล้มป่วยโคม่า นอนแน่นิ่ง ไม่ขยับเคลื่อนไหวติง ทำได้เพียงเฝ้ารอคอยปาฏิหารย์
ในขณะที่ Benigno เป็นบุคคลผู้มีศรัทธาในรัก เชื่อมั่นว่าการพูดคุยกับเธอ (Talk to Her) จะช่วยคลายเหงา สร้างกำลังใจ Alicia ให้สักวันสามารถสร้างปาฏิหารย์ ฟื้นคืนชีพกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง, ตรงกันข้ามกับ Marco อาจเพราะเคยพานผ่านความผิดหวัง (จากแฟนเก่าที่กำลังแต่งงานใหม่) จนสูญเสียความเชื่อมั่นในรัก จึงไม่สามารถพูดคุยสื่อสาร พยายามจะจงรักภักดีต่อ Lydia แต่มันเหมือนมีเส้นแบ่งบางๆ มิอาจทุ่มเทหัวใจ และเมื่ออดีตคนรักของเธอสารภาพความจริง มันยิ่งทำให้เขาหมดสูญสิ้นทุกสิ่งอย่าง
This film is a sort of confession and a personal anthology. The confession is showing that the man cries when he is faced with unexpected and extraordinary beauty, naturally linked to some kind of love. In choosing the moments to move the character, I used personal anthology, from other moments and spectacles that I have seen and have moved me in the past.
Pedro Almodóvar
แม้ผกก. Almodóvar เกิดมาเพศชาย แต่หัวใจเป็นหญิง อารมณ์อ่อนไหว คงเคยร่ำร้องไห้อยู่บ่อยครั้งอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ แล้ววันหนึ่งพบเห็นเพื่อนชายแท้ๆหลั่งน้ำตา ทำลายภาพจำที่ใครๆสร้างมา เริ่มตระหนักว่าการร้องไห้มันไม่แบ่งเพศสภาพ ชาย-หญิง เด็ก-แก่ มนุษย์หรือสัตว์ ล้วนสามารถสำแดงความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจออกมา
Benigno ชายผู้มีความตุ้งติ้ง เหมือนผู้หญิง แต่กลับมีจิตวิญญาณอันเข้มแข็ง ตลอดทั้งเรื่องไม่เคยหลั่งน้ำตา, ตรงกันข้ามกับ Marco ลูกผู้ชายอกสามศอก กลับพบเห็นร่ำร้องไห้ตั้งแต่ฉากแรก เต็มไปด้วยอารมณ์อ่อนไหว เศร้าโศกเสียใจอยู่ตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้ผมจึงมอง Talk to Her (2002) คือภาพยนตร์ท้าทายศรัทธาแห่งรัก Benigno พร้อมทำทุกสิ่งอย่างที่เชื่อว่าจักทำให้ Alicia มีความสุข และสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมา พอพบเห็นต้นแบบอย่างจากหนังเงียบ El Amante Menguante (แปลว่า The Shrinking Lover) จึงตัดสินใจลอกเลียนแบบโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ก่อนพลั้งพลาดปล่อยให้เธอตั้งครรภ์
ในสายตาใครต่อใคร การกระทำของ Benigno คือสิ่งโฉดชั่วร้าย ผิดกฎหมาย บุคคลอันตราย โรคจิต (Psychopath) กามวิปริต (Sex Maniac) แต่ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจความรู้สึกนึกคิด สัมผัสจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา บางอาจมองว่านั่นไม่ใช่การข่มขืนด้วยซ้ำไป
การตั้งครรภ์และแท้งบุตร คือสัญลักษณ์ของการเกิด-ตาย, ตรงกันข้ามกับมารดานอนสลบไสล (ไม่ต่างจากคนตาย) ก่อนฟื้นตื่นขึ้นมา (การกำเนิดใหม่, Rebirth) นี่คือปาฏิหารย์นะครับไม่ใช่เหตุการณ์จริง จุดประสงค์เพื่อสื่อถึงการกระทำของ Benigno ที่ใครๆมองว่าโฉดชั่วร้าย มันอาจกลายเป็นดี
There is a concept of the body and blood of Jesus coming together, when there are two different substances joining into one, and this is what happens — they identify with each other and they come together. Also, the relationship formed at the end of the film between Alicia and Marco, in a way, is the actual consummation of that relationship. There is a spiritual transcendence from Benigno to Marco that blesses the relationship between Marco and Alicia.
น่าแปลกใจเล็กๆที่หนังคุณภาพระดับนี้ กลับไม่ได้เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนัง แต่เสียงตอบรับดียอดเยี่ยมในประเทศ Spain ทำให้มีโอกาสเดินทางไปฉายต่างประเทศ ประมาณการรายรับทั่วโลกสูงถึง $51-$64.8 ล้านเหรียญ
แม้ว่าสมาพันธ์ภาพยนตร์ของประเทศ Spain จะเลือกหนัง Mondays in the Sun (2002) ส่งลุ้นรางวัล Oscar: Best Foreign Language Film แต่ทว่า Talk to Her (2002) กลับได้เข้าชิงสองสาขา และคว้ารางวัล Best Original Screenplay … มีน้อยครั้งมากๆที่หนังภาษาต่างประเทศ (ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ) จะคว้ารางวัลนี้
- Academy Award
- Best Director
- Best Original Screenplay **คว้ารางวัล
- Golden Globe Award: Best Foreign Language Film **คว้ารางวัล
- BAFTA Awards
- Best Film not in the English Language **คว้ารางวัล
- Best Original Screenplay **คว้ารางวัล
- César Awards: Best European Union Film **คว้ารางวัล
- David di Donatello Awards: Best Foreign Film
- European Film Award
- European Film **คว้ารางวัล
- European Director **คว้ารางวัล
- European Actor (Javier Cámara)
- European Screenwriter **คว้ารางวัล
- European Cinematography
- EFA People’s Choice Award: Best European Director **คว้ารางวัล
- EFA People’s Choice Award: Best European Actor (Javier Cámara) **คว้ารางวัล
นอกจากนี้หนังยังได้เข้าฉายเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ 10-21 มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ใช้ชื่อไทย บอกเธอให้รู้ว่ารัก และสามารถคว้ามาสองรางวัลกินรีทองคำ: ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยม
แม้ว่า Talk to Her (2002) จะยังไม่ได้ติดอันดับ “Greatest Film of All-Time” ของนิตยสาร Sight & Sound ครั้งล่าสุด ค.ศ. 2022 แต่ก็พอมีชาร์ทอื่นๆที่น่าสนใจ
- Time: All-Time 100 Movies (2005) ไม่มีอันดับ
- BBC: 100 Greatest Films of the 21st Century (2016) ติดอันดับ #28
- Sight & Sound: 30 great films of the 2000s (2020) ไม่มีอันดับ
ปัจจุบันผมยังไม่เห็นข่าวคราวการบูรณะ แต่สามารถหารับชมทางออนไลน์ได้แทบจะทุก Platform อาทิ iTunes, Google Play, Amazon Prime, Netflix ก็เหมือนจะเคยมี และด้วยความที่เคยเข้าฉายในเมืองไทย ใครสนใจแผ่น DVD/Blu-Ray แนะนำลองหาตามร้านขายแผ่นหนังทั่วๆไป
ในบรรดาผลงานของผกก. Almodóvar ผมครุ่นคิดว่า Talk to Her (2002) เป็นเรื่องทำความเข้าใจยากที่สุด! ไม่ใช่ความซับซ้อนของเรื่องราว หรือลีลาการนำเสนอ (Bad Education (2004) มีการเล่าย้อนอดีตที่ซับซ้อนกว่า) แต่คือการตัดสินการกระทำของ Benigno ทั้งรู้ว่ามันขัดต่อสามัญสำนึก ผิดกฎหมายบ้านเมือง ถึงอย่างนั้นด้วยจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ และผลลัพท์ทำให้หญิงสาวฟื้นคืนชีพขึ้นมา มันยากยิ่งจะสาปส่งตัวละครว่าโฉดชั่วช้าสามานย์
Talk to Her (2002) อาจถือได้ว่าเป็นภาคต่อทางจิตวิญญาณของ All About My Mother (1999) ผมยังเลือกไม่ได้ว่าเรื่องไหนคุณภาพยอดเยี่ยมกว่า แต่ความรู้สึกส่วนตัวค่อนไปทาง All About My Mother เพราะความรักระหว่างมารดา-บุตร ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์กว่าชาย-หญิง สามี-ภรรยา
จัดเรต 18+ กับคดีข่มขืน ร่างกายเปลือยเปล่า และการสู้วัวกระทิง
Leave a Reply