The Ballad of Narayama (1983)
: Shōhei Imamura ♥♥♥♥
(23/11/2018) ฉบับสร้างใหม่โดย Shōhei Imamura เน้นความสมจริงจับต้องได้ ร้อยเรียงภาพ Montage มนุษย์ไม่ต่างอะไรจากสรรพสัตว์ ต้องใช้สันชาติญาณ แรงขับเคลื่อนทางเพศ เพื่อต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด, คว้ารางวัล Palme d’Or จากเทศกาลหนังเมือง Cannes
แม้ว่าหนังสร้างใหม่นี้ จะมีเรื่องราวแทบไม่แตกต่างจากต้นฉบับปี 1958 แต่อย่างอื่นไม่มีอะไรเหมือนสักนิด
– 1958 สร้างฉากถ่ายทำในสตูดิโอ เล่นลีลากับแสง สี Special Effect ล้นด้วยความ Stylish, 1983 สร้างทั้งหมู่บ้านยังสถานที่จริง ปักหลักอยู่ครบ 4 ฤดูกาล ถ่ายทำด้วยแสงธรรมชาติ ตามสภาพดินฟ้าอากาศเป็นใจ
– 1958 ดำเนินเรื่องด้วยอิทธิพลจากการแสดง Kabuki, 1983 เน้นความเป็นธรรมชาติ สมจริง จับต้องได้
The Ballad of Narayama สองฉบับนี้ถือว่ามีความแตกต่างระดับ นามธรรม-รูปธรรม จับต้องไม่ได้-ได้ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าต่างคือ Masterpiece มีความโดดเด่นในตัวเอง ห่ำหั่นเฉือดเฉือนกินกันไม่ลง ขนาดคะแนนใน IMDB ให้ต้นฉบับ 8.0 รีเมค 7.9 แต่ข้อได้เปรียบตกอยู่กำมือของเรื่องสร้างก่อน กลายเป็น ‘ทรัพย์สมบัติแห่งชาติ’ (National Treasure) ของประเทศญี่ปุ่นไปแล้ว
หลังจากวันก่อนมีโอกาสรับชมต้นฉบับ แล้ววันนี้หวนกลับมาดูสร้างใหม่อีกรอบ โดยส่วนตัวรู้สึกโอนเอนเอียงความชื่นชอบข้างหนังปี 1958 อาจเพราะมุมมองของผมต่อ The Ballad of Narayama คือเรื่องเล่าตำนานพื้นบ้าน เพ้อฝันจินตนาการ จับต้องไม่ได้สักเท่าไหร่ การนำเสนอในลักษณะการแสดง Kabuki เลยรู้สึกอิ่มหนำสำราญตรงกับใจมากกว่า
และขอเตือนไว้ก่อนว่า ทั้งสองฉบับของ The Ballad of Narayama ต่างมีความยากยิ่งในการรับชม ซึ่งในลักษณะที่แตกต่างกันพอสมควร
– ฉบับ 1958 การดำเนินเรื่องมีความเชื่องช้า นุ่มนวล เสียจนสามารถนอนหลับสนิทฝันดี
– ฉบับ 1983 ท้าทายกลุ่มชน ‘มือถือสากปากถือศีล’ นำเสนอสันชาติญาณ’ดิบ’ของมนุษย์ออกมา อัปลักษณ์พิศดารเสียจนยากจะยินยอมรับไหว
Shohei Imamura (1926 – 2006) ปรมาจารย์ผู้กำกับในตำนานของญี่ปุ่น เป็นคนเดียวของเอเชียที่คว้า Palme d’Or ถึงสองครั้งจาก The Ballad of Narayama (1983) และ The Eel (1997), เกิดที่ Tokyo ในครอบครัวระดับกลาง พ่อเป็นหมอ เอาตัวรอดผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างลำบากแสนเข็น ทำงานในตลาดมืดรู้จักเส้นสาย Chimpira, Yakuza เป็นอย่างดี, เข้าเรียน Waseda University สาขาประวัติศาสตร์ตะวันตก แต่เอาเวลาส่วนใหญ่สนใจการเมืองและดูหนัง หลงใหลใน Rashômon (1950) ของผู้กำกับ Akira Kurosawa คือแรงบันดาลใจให้กลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์
หลังเรียนจบได้ทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Yasujirō Ozu ที่สตูดิโอ Shochiku Studios อาทิ Early Summer (1951), The Flavor of Green Tea over Rice (1952), Tokyo Story (1953) แต่เพราะความไม่ประทับใจในแนวทางของ Ozu ต่อการนำเสนอภาพลักษณ์ของสังคมญี่ปุ่น ลาออกไปสตูดิโอ Nikkatsu เป็นผู้ช่วย Yuzo Kawashima สร้าง Sun in the Last Days of the Shogunate (1957) ต่อมาได้กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Stolen Desire (1958) เรื่องราวของนักแสดงพเนจรที่ได้พบเจอเรื่องราวต่างๆ สะท้อนเข้ากับชีวิตของ Imamura ที่ได้พบเจออะไรต่างๆมากมาย
ผลงานเด่นๆ อาทิ Pigs and Battleships (1961), The Insect Woman (1963), Intentions of Murder (1964), Vengeance Is Mine (1979), Black Rain (1989) ฯ
สไตล์ของ Imamura มีความสนใจอย่างมากเรื่องสังคมชนชั้นต่ำกว่าสะดือของประเทศญี่ปุ่น ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนล่างของมนุษย์กับโครงสร้างของสังคม (ชนชั้นล่าง) สันชาติญาณความต้องการ โดยเฉพาะเรื่อง Sex ด้วยการตั้งคำถาม ‘มนุษย์คืออะไร? แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นอย่างไร?’ (หนังของ Imamura จะต้องมีภาพของสรรพสัตว์สอดแทรกใส่อยู่เสมอ)
“I like to make messy films, and I am interested in the relationship of the lower part of the human body and the lower part of the social structure… I ask myself what differentiates humans from other animals. What is a human being? I look for the answer by continuing to make films”.
สำหรับ The Ballad of Narayama ทั้งสองฉบับ ดัดแปลงจากนวนิยาย 楢山節考, Narayamabushi ko (1956) ผลงานเรื่องแรกแจ้งเกิดของ Shichirō Fukazawa (1914 – 1998) เกิดที่ Isawa, Yamanashi อยู่ไม่ห่างไกลจาก Obasute Station, Chikuma, Nagano Prefecture สักเท่าไหร่ คือในบริเวณทิวเทือกเขาเดียวกัน คงไม่แปลกถ้าจะเคยได้ยินเรื่องเล่าตำนานพื้นบ้าน 姥捨て, Ubasute หรือ Obasute ความเชื่อโบราณของสังคมชนบทห่างไกล เมื่อผู้สูงวัยอายุย่างเข้า 70 ปี จักต้องออกเดินทางมุ่งสู่ Ubasute Mountain หรือเทือกเขา Narayama
เกร็ด: Obasute Station ปัจจุบันคือสถานีรถไฟ แต่มีเสียงลือเล่าขานจากอดีต ว่าคือสถานที่ที่ผู้สูงวัยถูกนำมาทอดทิ้งไว้
เรื่องราวของ Orin (รับบทโดย Sumiko Sakamoto) หญิงชราวัย 69 ปี ที่ยังคงแข็งแรง ฟันอยู่ครบ อีกแค่เพียงปีเดียวก็ถึงเวลาออกเดินทางสู่ Narayama ความเชื่อเก่าแก่ของคนโบร่ำโบราณยึดถือมั่นสืบสานต่อมา ซึ่งเธอก็พร้อมเติบเต็มขนบวิถีดังกล่าวอย่างใจจดจ่อ, หลังจากสามีสูญหายตัวไปในป่า เลี้ยงดูแลบุตรสามคนจนเติบใหญ่
– ลูกชายคนโต Tatsuhei (รับบทโดย Ken Ogata) เพราะเขาคือคนต้องแบกพาแม่ไปส่งยัง Narayama จิตสำนึกอันดีทำให้เกิดความหวาดหวั่นวิตก กลัวจะไปตกทุกข์ยากลำบาก แถมยังไม่รู้จักพบเจออะไรข้างหน้าระหว่างทางบ้าง ใช้ชีวิตเป็นโสดหลายปี เลยถูกแม่จับคู่ให้หญิงหม้ายจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง Tamayan (รับบทโดย Aki Takejo) เพื่อเธอจะได้ทำหน้าที่ทดแทนตนเองเมื่อถึงเวลาจากไป
– ลูกชายคนรอง Risuke (รับบทโดย Tonpei Hidari) ผู้มีความจงเกลียดจงชังแม่ของตนเอง ถึงขนาดแต่งเพลงประชดประชัน ตกหลุมแอบร่วมรักกับ Matsuyan (รับบทโดย Junko Takada) จนเธอตั้งครรภ์ แต่เพราะครอบครัวหญิงสาวชอบลักเล็กขโมยน้อยเลยถูกสังคมรุมประชาทัณฑ์ กลบฝังตายท้องกลม นั่นยิ่งก่อให้เกิดความเคียดแค้นเข้ากระดูกดำ ผลักไสไล่ส่งให้รีบๆออกจากบ้านไปเสียที
– ลูกชายคนเล็ก Kesakichi (รับบทโดย Seiji Kurasaki) เป็นคนซกมก ทำให้ถูกสังคมรังเกลียดเดียดฉันท์ กลิ่นตัวเหม็นหึ่งฟุ้งไปทั่วจนไม่มีใครเอา หมกมุ่นอัดอั้นต้องการระบายความต้องการทางเพศที่ไม่เคยได้รับการเติมเต็ม จนแม่ต้องอาสาจัดหาหญิงมาเปิดบริสุทธิ์ให้
นำแสดงโดย Sumiko Sakamoto (เกิดปี 1939) นักร้อง-นักแสดงหญิง สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Osaka น้ำเสียงร้องเพลงของเธอจับจิตจับใจผู้กำกับ Imamura ร่วมงานกันหลายครั้ง อาทิ The Pornographers (1966), The Ballad of Narayama (1983), Warm Water Under a Red Bridge (2001) ฯ
รับบท Orin หญิงชราผู้ใช้ช่วงเวลาปีสุดท้ายของชีวิต จัดแจงโน่นนี่นั่นให้ลูกหลานมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย ตนเองจักได้ไปสบายหายห่วง รีบร้อนเร่งเร้าเดินทางสู่ Narayama แม้พบเห็นความจริงของดินแดนแห่งนี้ ก็ยินยอมรับโชคชะตากรรม สวดมนต์อธิษฐาน โบกมือขับไล่ลูกชาย เสียสละตนเอง เพื่อเติมเต็มขนบวิถีธรรมเนียมประเพณีสืบทอดปฏิบัติมาช้านานให้สำเร็จลุล่วง
ตอนแสดงหนังเรื่องนี้ Sakamoto เพิ่งอายุ 40 ต้นๆ แต่งหน้าทำผมอย่างเยอะเพื่อให้ดูมีรอยเหี่ยวย่น แก่เหมือนหญิงชราวัย 70 ปี (นี่เหมือนกับต้นฉบับ 1958 ที่ Kinuyo Tanaka อายุประมาณ 48-49 ปี, คือถ้าใช้นักแสดงอายุ 60-70 มารับบท คงจะยุ่งยากลำบาก ทรมานผู้สูงวัยเสียเปล่าๆ) จะมีช่วงขณะหนึ่งที่เธอทำหน้านิ่ง พูดบอกกับ Matsuyan ให้คืนนี้รีบกลับไปบ้านเสีย ทั้งรู้ว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ต้องแสดงความโหดเหี้ยมร้ายลึก เพราะคุณธรรมไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าไหร่ต่อชีวิต การเอาตัวรอดท้องอิ่มต่างหากจำเป็นสูงสุดในดินแดนแห่งนี้
เกร็ด: เมื่อตอนหนังคว้ารางวัล Palme d’Or เธอได้รับการจุมพิตจาก Orson Welles ชื่นชมด้วยความซาบซึ้งจากใจ
Ken Ogata (1937 – 2008) นักแสดงยอดฝีมือสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo เข้าสู่วงการจากเป็นนักแสดงโทรทัศน์ ไต่เต้าขึ้นมาจนประสบความสำเร็จพอสมควร ขณะที่ภาพยนตร์เริ่มมีชื่อกับ The Demon (1979), The Ballad of Narayama (1984), House on Fire (1987) จนมีโอกาสโกอินเตอร์กับ Mishima: A Life in Four Chapters (1985), The Pillow Book (1996) ฯ
รับบทลูกชายคนโต Tatsuhei ครั้งหนึ่งไม่พึงพอใจคำพูดของพ่อ ด้วยความวัยรุ่นเลือดร้อนเลยเข่นฆ่าเขาตายด้วยน้ำมือตนเอง กลบฝังไว้ใต้ต้นโอ๊ค กาลเวลาเคลื่อนเลยผ่าน วัยวุฒิมากขึ้นตาม ทำให้ค่อยๆเรียนรู้จักการสำนึกผิด ครุ่นคิดถึงจิตใจผู้อื่น เกิดความหวาดวิตกกังวลแทนแม่ที่ใกล้ถึงวันเดินทางไป Narayama ขณะที่น้องๆลูกหลานก็ทำตัวเถลไถลพึ่งพาไม่ค่อยได้ โชคดีภรรยาใหม่ Tamayan สามารถช่วยเหลือเติมเต็มได้ทุกสิ่งอย่าง
ครึ่งหนึ่งของหนังแบกไว้โดยการแสดงของ Ogata แรกๆถ่ายทอดความหวาดหวั่นวิตก สั่นสะพรึงกลัว ไม่อยากให้วันของแม่ก้าวย่างมาถึง และระหว่างการเดินทางสู่ Narayama เมื่อพบเห็นโครงกระดูก สีหน้าตกตะลึง คาดคิดไม่ถึง ภายในปั่นป่วนพลุกพร่าน นี่ฉันกำลังจะเข่นฆ่าบุพการีอีกคนหรือนี่ ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากร้องไห้วิ่งหนี เก็บกดความทุกข์ทรมานฝังลึกไว้ภายใน ไม่สามารถพูดบอกระบายออกต่อใคร
นักแสดงสมทบที่สร้างสีสันให้หนังอย่างมากคือ Seiji Kurasaki รับบท Kesakichi ลูกชายคนเล็กของ Orin ด้วยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ (คงไม่ยอมอาบน้ำ) ผสมกับความซกมกจนไม่มีใครอยากค้าคบสมาคมด้วย แม้แต่หญิงสาวผู้ถูกเสี้ยมสั่งสอนให้เสียตัวกับชายทุกคนในหมู่บ้าน (เพื่อเป็นการขอขมาพระเจ้า) ยังข้ามหมอนี่ไปเพราะไม่คิดว่ามันคือคน สร้างความอึดอัดอั้น รวดร้าวรานจากอาการติดสัด จะหมา ไก่ ม้า หรืออะไรก็ได้มีรู เงี่ยนชิบหาขอสักทีเถอะ … กลายเป็นเหตุให้พี่ชาย Tatsuhei ต้องขอความช่วยเหลือจากภรรยา-ไม่สำเร็จ เป็นแม่ Orin จัดหาคู่ให้เปิดบริสุทธิ์, คงเพราะความบ้าบอคอแตกของตัวละคร กระทำได้แม้แต่กับสัตว์ ทำให้อนาคตที่ควรก้าวไกลของ Kurasaki กลับไม่มีใครกล้าจ้างเล่นหนังสักเท่าไหร่
ถ่ายภาพโดย Masao Tochizawa ผลงานเด่นๆ อาทิ The Ballad of Narayama (1983), Death of a Tea Master (1989), Deep River (1995) ฯ
สถานที่ถ่ายทำของหนังอยู่แถวๆ Niigata และ Nagano ซึ่งได้มีการสร้างหมู่บ้านขึ้นทั้งหลัง ขนข้าวของ เครื่องมือ อุปกรณ์การถ่ายทำไปปักหลักอาศัยอยู่ และใช้แสงธรรมชาติทั้งหมด รวมระยะเวลาทั้งหมด 3 ปี ถึงเสร็จสิ้น
ไม่รู้การบุกลุยมุ่งสู่ถิ่นทุรกันดาร เลือกสถานที่ถ่ายทำยังป่าเขาลำเนาไพร ห่างไกลผู้คนขนาดนี้ รับอิทธิพลจากผู้กำกับ Werner Herzog หรือเปล่านะ แต่ผมก็ได้กลิ่นอายของ Aguirre, the Wrath of God (1972) อยู่ไม่น้อยทีเดียว
ช็อตแรกและสุดท้ายของหนัง เป็นภาพถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ บินไล่มาเรื่อยๆผ่านขุนเขา แมกไม้ ปกคลุมหิมะขาวโพลน ถือว่าจะระยะหนึ่งทีเดียวกว่าจะมาถึงหมู่บ้านห่างไกลแห่งนี้, คือมันเป็นการเริ่มต้น/สิ้นสุด เพื่อบ่งบอกความทุ่มเทพยายามของทีมงาน เลือกโลเกชั่นห่างไกลทุรกันดารจริงๆ ก็คิดดูว่าถ้าเดินเท้าคงเป็นวันๆแน่กว่าจะถึง ไหนจะอุปกรณ์โน่นนี่นั่น (ผมว่าคงจะขนส่งผ่านเฮลิคอปเตอร์มากกว่านะ ส่วนการสร้างบ้านก็ตัดไม้เอาบริเวณแถวๆนั้นแหละ)
การปรากฎตัวครั้งแรกของตัวละคร รีบวิ่งออกมาปัสสาวะนอกบ้าน … นี่เป็นการนำเสนออย่างมีนัยยะสำคัญเลยว่า เรื่องราวของหนังต้องเกี่ยวกับ ‘กระเจี้ยว’ แรงขับเคลื่อน สันชาติญาณทางเพศของมนุษย์อย่างแน่นอน
ฉากถัดๆมาคือการยิงกระต่าย (สื่อความหมายไม่ต่างกันเลย!) ดูแล้วน่าจะยิงจริง! ตายจริง! แต่นกอินทรีที่บินมาโฉบ คาดเดาว่าน่าจะผ่านการฝึกฝนจนช้ำชอง มันคงไม่บังเอิญเปะๆขนาดนั้นหรอกนะ
นี่ก็เป็นการสื่อความถึง ‘การดิ้นรนเอาตัวรอด’ ไม่ใช่แค่ของมนุษย์ แต่ทุกสรรพสัตว์มีชีวิต ‘ความตาย’ ถือเป็นเรื่องปกติประจำวัน ใครแข็งแกร่ง ว่องไว ไหวพริบเฉลียวฉลาดกว่า ย่อมคือผู้ชนะคาบอาหารไปแดก ขณะที่เด็ก-แก่ ไร้เรี่ยวแรงย่อมถือเป็นภาระวุ่นวาย
ฉากถัดๆมาระหว่างรอน้ำแข็ง/หิมะละลาย เพราะต้องรีบเร่งปลูกผักทำฟาร์ม จักได้มีอาหารเก็บสะสมกักตุน วิธีการคือเอาน้ำรดเท้าแล้วย้ำเยียบให้จมมิดดิน … อะไรที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต/สังคม สมควรต้องทำลายลงให้หมดสิ้นสภาพไป นี่จะสะท้อนกับเข้าเหตุการณ์ต่อๆไปของหนัง
การมาถึงของ Tamayan (รับบทโดย Aki Takejo) ภรรยาคนใหม่ของ Tatsuhei หนังพยายามนำเสนอให้เธอมีทุกสิ่งอย่างทางร่างกายที่เข้มแข็งแกร่งแรงกว่าคุณยาย Orin เริ่มต้นมาก็แย่งอุ้มทารกน้อยแบกขึ้นหลัง (คือต่อจากนี้ ฉันจะเป็นผู้แบกภาระทุกสิ่งอย่างของครอบครัว)
ช็อตนี้จัดวางองค์ประกอบ ตำแหน่งสูงต่ำ และพื้นหลัง งดงามไม่น้อยทีเดียว แบ่งภาคชัดเจนระหว่าง Tamayan-Orin
– ฝั่งซ้ายหญิงหม้ายนั่งหลังตรงหัวสูงกว่า พื้นหลังคือผนังประตูบ้าน นั่นคือภาระหน้าที่การงาน ความรับผิดชอบใหม่ของเธอ
– ฝั่งขวาคุณยายนั่งหลังค่อมต่ำกว่า พื้นหลังประตูเปิดออกพบเห็นต้นไม้ ธรรมชาติ เฝ้ารอคอยวันออกเดินทางมุ่งสู่ Narayama
สะท้อนกับฉากเอาเท้าย่ำดินที่ผมอธิบายไปก่อนหน้า, การตัดสินลงโทษครอบครัวหัวขโมย สังคมรุมประชาทัณฑ์ด้วยการโยนลงหลุมแล้วกลบฝังดินทั้งเป็น นี่เพื่อเป็นการผลักไส ถีบส่ง เหยียบย่ำให้ตกต่ำจนไม่อาจโงหัวปีนป่าย แหวกว่าย กลับขึ้นมา ขณะเดียวกันคือการปกปิดบัง ซ่อนเร้นความชั่วร้ายไว้ภายใต้ธรณี(จิตใจ) หวังว่าสักวันความชั่วร้ายคงไม่หวนย้อนกลับขึ้นมา
สังเกตการรวมตัวรุมประชาทัณฑ์ของคนในหมู่บ้าน พวกเขาล้อมวงกลมกันเข้ามา เดี๋ยวมันจะสะท้อนบางสิ่งอย่างในฉากถัดๆไป
ณ สถานที่ที่ Tatsuhei กลบฝังร่างของพ่อ ที่ตนเองพลั้งเผลอด้วยอารมณ์เข่นฆ่าเขาตาย ฉากนี้สังเกตว่ามีการปรับโทนสีภาพ ให้ได้สัมผัสอันแห้งแล้ง ซีดเซียว พร้อมด้วย Special Effect ลมพัดรุนแรงผิดปกติ กิ่งก้านใบโยกพริ้วไหว ราวกับว่าสิ่งเหนือธรรมชาติทำการดลบันดาลใจ
ฉากนี้ถือว่าเป็นการสารภาพผิดของ Tatsuhei ต่อแม่ Orin ที่ตนปกปิดบังความจริงเกี่ยวกับพ่อมายาวนานไม่รู้กี่ปี ซึ่งเธอก็เหมือนจะให้อภัยเขา ไม่ถือโทษโกรธเคืองใดๆ
เรื่องราวของหญิงสาวที่เชื่อคำของสามี (หรือพ่อของหล่อนก็ไม่รู้นะ) ก็ไม่รู้วิปริตอะไรถึงสั่งให้เธอร่วมรักหลับนอนกับผู้ชายทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้เพื่อเป็นการแก้เคล็ดต่อเจ้าป่าเจ้าเขาที่ศรัทธา
การกระทำของบุรุษสูงวัยผู้นี้แม้ง! ช่างตรงใจเสียเหลือเกิน กราบไหว้บูชาจิมิ ยกย่องเทิดทูนเหนือเกล้า สวมใส่เข้าไปแล้วสามารถล่องลองถึงสรวงสวรรค์
ค่ำคืนของการส่งคุณยาย Orin มุ่งสู่ Narayama ตรงกันข้ามกับต้นฉบับ 1958 ที่บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่จะนั่งเรียงแถวยาวหน้ากระดานเหมือนพระสวดมนต์ แต่เรื่องนี้นั่งล้อมวงสี่เหลี่ยม/วงกลม แทบไม่ต่างอะไรช่วงขณะรุมทึ้งกลบฝังดินครอบครัวหัวขโมย … เพราะนี่ก็เป็นการส่งคุณยายให้ไปตายเช่นกัน แตกต่างที่มีพิธีรีตรอง เวียนวนไหสุราให้เมามาย และอธิบายกฎกติกา ธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติที่เคยมีมา
ว่าด้วยเรื่องของการแบกขึ้นหลัง นี่เป็นการสะท้อนถึง ‘ภาระ’ ส่วนเกินของมนุษย์ที่ต้องรับผิดชอบ แค่แม่คนเดียวกว่าจะพาขึ้นถึงยอดเขา Narayama ยังเหน็ดเหนื่อยลากเลือด … แต่ลองครุ่นคิดนึกย้อนกลับดู 9 เดือนที่แม่อุ้มครรภ์ทารก ไม่ใช่ว่าเธอต้องทนทุกข์ทรมานหนักยิ่งกว่าหรอกหรือ?
หนังให้เวลากับการเดินทางครั้งนี้อย่างยาวนาน (จริงๆถ้าเทียบสัดส่วนถือว่าพอๆกับต้นฉบับ 1958 แต่เรื่องนั้นความยาวหนังสั้นกว่าครึ่งชั่วโมง เรื่องนี้เลยโคตรยาวกินเวลาเฉพาะฉากนี้ครึ่งชั่วโมงเต็มๆ) คงเพื่อให้ผู้ชมสามารถสัมผัสถึงความเหน็ดเหนื่อย ยากลำบาก แค่ตาดูเฉยๆยังทรมานขนาดนี้ แล้วตัวละครแบกแม่ทั้งคนไว้บนหลังจะขนาดไหนกัน!
วินาทีก่อนที่ Tatsuhei ข้ามแม่น้ำ อยู่ดีๆลมพัดแรง ภาพสโลโมชั่นแบบกระตุกๆ นั่นย่อมสื่อถึงจุดสุดท้ายที่มิอาจหวนย้อนกลับคืน ราวกับกำลังจะก้าวข้ามผ่านความเป็น-ตาย โลกนี้-โลกหน้า จินตนาการ-พบเจอข้อเท็จจริง เกี่ยวกับ Narayama สรวงสวรรค์-ขุมนรก อะไรกันแน่?
ตัดต่อโดย Hajime Okayasu หนึ่งในขาประจำของ Imamura และชอบรับงานตัดต่ออนิเมชั่นฉายโทรทัศน์เสียมากกว่า
หนังไม่ได้ใช้มุมมองของตัวละครหนึ่งใดเป็นพิเศษ สามารถเหมารวมได้คือคนในครอบครัว Orin ซึ่งก็จะมีทั้ง Tatsuhei, Risuke และ Kesakichi ขณะที่ช่วงท้ายไคลน์แม็กซ์จะหลงเหลือเพียงมุมมองของ Tatsuhei
ความโดดเด่นในการตัดต่อ หลายครั้งมีการแทรกภาพ Montage สรรพสัตว์กำลังจับจ้องมอง หรือกระทำอะไรบางอย่างเคียงคู่กับตัวละคร เช่นว่า
– Risuke กำลังกอดรัดพลันวันกับ Matsuyan ตัดมาเป็นภาพงูสองตัวกำลังถูกไถร่วมรัก มี Sex … ผมว่าภาพนี้เจ๋งสุดในหนังเลยนะ ไม่รู้ไปซุ่มถ่ายมาได้อย่างไร!
– ขณะสองหนุ่มสาวกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม มีการปรับโฟกัสมาที่นกฮูก (สื่อถึงการจับจ้องมอง)
ฯลฯ
นัยยะของการแทรกภาพ Montage สรรพสัตว์เหล่านี้เข้ามา เพื่อเป็นการสะท้อนการกระทำของมนุษย์ ไม่มีอะไรแตกต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉาน
เพลงประกอบโดย Shinichirô Ikebe นักแต่งเพลงยอดฝีมือ ที่มีความหลงใหลใน Contemporary Classical Music มีผลงานร่วมกับ Akira Kurosawa ในช่วงท้ายๆหลายเรื่อง อาทิ Kagemusha (1980), MacArthur’s Children (1984), Kurosawa’s Dreams (1990), Rhapsody in August (1991), Madadayo (1993), Warm Water Under a Red Bridge (2001) ฯ และยังเคยทำเพลงให้อนิเมะซีรีย์ Future Boy Conan (1978) ของ Hayao Miyazaki ด้วยนะครับ
แน่นอนว่าเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ย่อมคือ Contemporary Classical ส่วนผสมของเครื่องดนตรีพื้นบ้านญี่ปุ่น และวงออเครสต้าคลาสสิกตะวันตก, ส่วนตัวรู้สึกว่าบทเพลงมอบสัมผัสที่แปลกประหลาด ฟังไม่ค่อยลื่นหูสักเท่าไหร่ ขัดแย้งกับลักษณะของหนังที่พยายามให้ทุกอย่างดูกลมกลืนเป็นธรรมชาติมากสุด
ผมครุ่นคิดว่าความขัดแย้งดังกล่าว อาจเป็นความพยายามสื่อถึงการต่อสู้กับธรรมชาติของมนุษย์ ทั้งๆที่ควรอาศัยอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งอย่างกลมเกลียว กลับต้องการเอาชนะเหนือกว่า ควบคุมทุกสิ่งอย่างให้อยู่ในกำมือของตนเอง ผลลัพท์เลยมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือความตาย
The Ballad of Narayama ฉบับของผู้กำกับ Shōhei Imamura มอบเหตุผลการเกิดขึ้นของวิถีประเพณี ความเชื่อเรื่อง Obasute/Narayama ว่าจาก ‘สันชาติญาณ’ การเอาตัวรอดของมนุษย์/สิ่งมีชีวิต ผู้แข็งแกร่ง ว่องไว ไหวพริบเฉลียวฉลาดกว่า ย่อมสามารถดำรงชีพอยู่บนโลกใบนี้ได้
ซึ่งแรงขับเคลื่อนของสันชาติญาณดังกล่าวก็คือ ความต้องการทางเพศ ‘Sexual Driven’ สำหรับวัยรุ่น หนุ่มสาว ผู้ใหญ่กลางคน นั่นคือพลังกระตุ้นแห่งชีวิต ร่วมรักแล้วสุขสำราญได้ไปถึงสรวงสวรรค์ แต่เมื่ออายุมากเข้าก็เริ่มโรยรา 69-70 ปี เมื่อไหร่หมดสิ้นอารมณ์ทางเพศ ก็ถึงคราออกเดินทางมุ่งสู่สรวงสวรรค์ที่มันจับต้องได้จริงๆขึ้นมา
ผมไปอ่านเจอบทความหนึ่งพูดถึง พัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก (Kohlberg) มีทั้งหมด 3 ระดับ
– ระดับหนึ่ง: ก่อนมีจริยธรรมหรือก่อนกฎเกณฑ์สังคม (Pre-Conventional Morality Level) ช่วงนี้คือการเรียนรู้ ดี-ไม่ดี สังเกตศึกษาลอกเลียนแบบอย่าง ถ้าเปรียบเทียบก็จะตรงกับตัวละครลูกคนเล็ก Kesakichi ร่างกายโตเป็นผู้ใหญ่ แต่จิตใจยังเด็กน้อย ไม่ประสีประสาอะไรถูกผิด
– ระดับสอง: จริยธรรมตามกฎเกณฑ์ทางสังคม (Conventional Morality Level) ช่วงเวลาสนองความคาดหวังของผู้อื่น ทำตามกฎระเบียบข้อบังคับหน้าที่ เทียบแล้วก็ลูกคนกลาง Risuke กำลังยึดถือมั่นในขนบวิถีประเพณี ใครว่าอะไรก็เฮโลตามไปหมด อยากให้แม่ไปสู่ Narayama เร็วๆ โดยไม่ครุ่นคิดหน้าหลังให้ดี
– ระดับสาม: จริยธรรมตามหลักการด้วยวิจารณญาณ เหนือกฎเกณฑ์สังคม (Post-Conventional Morality Level) ช่วงนี้คือการครุ่นคิดไตร่ตรองตัดสินด้วยวิจารณญาณ สติปัญญา บนหลักพื้นฐานความเข้าใจตนเอง เทียบกับพี่คนโต Tatsuhei เกิดความสงสัยถึงการเดินทางสู่ Narayama ตั้งคำถามขึ้นในใจมันเป็นสิ่งถูกต้องเหมาะสมควรแล้วหรือ
ถึงกระนั้น Tatsuhei ก็ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปสู่การครุ่นคิดตัดสินใจในสิ่งถูกต้องเหมาะสมควรตามหลักศีลธรรมจรรยา นั่นเพราะตัวเขาถูกครอบงำยึดติดกับขนบวิถีทางสังคม และมีตัวแบบอย่างอันน่าหวาดสะพรึงกลัว จากครอบครัวหัวขโมยทำผิดกฎ ถูกชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์กลบฝังตายหมู่ทั้งครอบครัว ถ้าเฉพาะตนเองเป็นผู้รับผิดคงไม่อะไรหรอก แต่ที่บ้านยังมีภรรยา น้องชาย และลูกหลาน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะโลกทัศนคติกะลาครอบของสังคมนี้ไปได้
เรื่องของการแบกก็เช่นกัน มองในเชิงนามธรรมคือสิ่งที่มนุษย์ยึดถือมั่นภายในจิตใจของตนเอง ในบริบทของหนังประกอบด้วยสองสิ่ง
– ความต้องการทางกาย กิน-ขี้-ปี้-นอน พึงพอใจส่วนตน
– โลกทัศนคติความเชื่อส่วนตัว อิทธิพลจากกรอบวิถีทางสังคม, พออายุ 70 ปี ต้องออกเดินทางมุ่งสู่ Narayama
บุคคลที่ยังคงมีความต้องการ หลงใหล ยึดติดเหล่านี้อยู่ จำต้องแบกทุกสิ่งอย่างในชีวิตไว้เบื้องหลัง แต่ตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นจักค่อยๆทำให้อะไรๆเบาลงเรื่อยๆ กระทั่งคุณยาย Orin ส่งต่อทารกน้อยที่แบกอยู่ให้กับ Tamayan ปลดเปลื้องภาระจนแทบไม่หลงเหลืออะไรนอกจากเสื่อผืนหมอนใบ สุดท้ายให้ลูกชายเป็นผู้แบกตนเองมุ่งสู่ยอดเขา Narayama ปลดปล่อยวางไว้ตรงนั้น เฝ้ารอคอยวันตายหมดสิ้นลมหายใจ
เมื่อความเพ้อฝันจินตนาการของมนุษย์ พังทลายลงเพราะการรับรู้สัจธรรมเท็จจริง ผิดแผกจากที่ตนเองครุ่นคิดยึดถือมั่นโดยตลอดมา นั่นสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวฉาน หมดสิ้นหวังหดหู่เสียยิ่งกว่าการถูกทำร้ายเจ็บปวดทางกาย บาดแผลที่เกิดขึ้นในจิตใจไม่อาจเยียวยารักษาหาย ยังส่งผลกระทบถึงภายนอกมิให้สามารถขยับเคลื่อนไหวทำอะไร … วินาทีนี้ของ Orin เรียกว่าการ ‘ตายทั้งเป็น’ พบเห็นแล้วมันช่างหนาวเหน็บเย็นยะเยือก ยิ่งกว่าหิมะที่ตกลงใส่เนื้อหนังเรือนร่างกายเสียอีก!
เข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Cannes ทีแรกก็ไม่ได้เป็นตัวเต็งอะไร Imamura ยังคาดหวังให้ Merry Christmas Mr. Lawrence (1983) ของ Nagisa Oshima คงสามารถคว้ารางวัลใหญ่ ตัวเองนั่งเครื่องบินชั้นประหยัดไปร่วมกับ Sumiko Sakamoto (ขณะที่ทีมผู้สร้าง/นักแสดงของ Merry Christmas Mr. Lawrence นั่ง First Class ไปร่วมงาน) ปรากฎว่าพลิกล็อกถล่มทลาย คว้ารางวัล Palme d’Or เป็นเรื่องที่สามของญี่ปุ่นถัดจาก Gate of Hell (1954) และ Kagemusha (1980)
เข้าชิง 11 สาขา คว้ามา 3 รางวัล Japanese Academy Award
– Best Film ** คว้ารางวัล
– Best Director
– Best Actor (Ken Ogata) ** คว้ารางวัล
– Best Actress (Sumiko Sakamoto)
– Best Supporting Actress (Mitsuko Baishô)
– Best Screenplay
– Best Cinematography
– Best Lighting
– Best Art Direction
– Best Music Score
– Best Sound ** คว้ารางวัล
คงเพราะความที่หนังได้รับ Palme d’Or เลยสามารถคว้ารางวัลใหญ่ปีนี้ไปครอง ส่วนคู่แข่งสำคัญคือ Merry Christmas Mr. Lawrence (1983) กลับได้เพียง Most Popular Film ส่วน The Geisha (1983) กับ The Ninja Wars (1983) กวาดรางวัลด้านเทคนิคไปแทบทั้งหมด
ถึงส่วนตัวจะไม่คลุ้มคลั่งไคล้หนังเท่าครั้งแรกที่รับชม และพบเห็นความคล้ายคลึงกว่า 90% เทียบกับต้นฉบับ แต่ก็มีหลากหลายมุมมองใหม่ครุ่นคิดได้เพิ่มเติม สานต่อเรื่องราวของ The Ballad of Narayama ให้ทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น
ถ้าคุณชื่นชอบหนังเรื่องนี้แต่ยังไม่เคยรับชมต้นฉบับ 1958 ห้ามพลาดเลยนะครับ ทิ้งเวลาผ่านไปสักพักก่อนก็ได้ ให้ค่อยๆหลงลืมเนื้อเรื่องราวบางส่วนไปก่อนค่อยหามาดู แล้วอาจเลือกไม่ได้จะประทับใจฉบับไหนมากกว่า
จัดเรต 18+ กับภาพโป๊เปลือย ประชาทัณฑ์หมู่ ทอดทิ้งผู้สูงอายุ
คำโปรย | “The Ballad of Narayama ฉบับสร้างใหม่ของ Shōhei Imamura ทรงคุณค่าไม่ด้อยกว่าต้นฉบับ ในนมุมสะท้อนสันชาตญาณมนุษย์ได้อย่างถึงกึ๋น”
คุณภาพ | ทรงคุณค่า!
ส่วนตัว | ประทับใจ
The Ballad of Narayama (1983)
(28/12/2015) นี่คือหนัง Palme d’Or อีกเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่น ผมมารู้เอาทีหลังว่านี่คือหนัง remake จากต้นหนังชื่อเดียวกัน The Ballad of Narayama ปี 1958 โดยผู้กำกับรุ่นเดียวกับ Akira Kurosawa ที่น้อยคนอาจจะรู้จัก Keisuke Kinoshita โดยเวอร์ชั่นต้นฉบับนั้นถ่ายกันในสตูดิโอ สร้างฉากขึ้นมาทั้งหมด โดยเนื้อเรื่อง Keisuke เขียนออกมาเองทั้งหมด ผมยังไม่มีโอกาสได้ดูต้นฉบับนะครับ ผมไปเห็นรูปใน google พบว่าภาพมันคล้ายๆกันมาก คิดว่าคงจะ remake ด้วยเรื่องเดิมเปะๆ เพียงแต่เวอร์ชั่น 1983 ไปถ่ายกันในภูเขาจริงๆ ซึ่งผมคงจะวิจารณ์โดยไม่พูดถึงต้นฉบับมากนะครับ
Shōhei Imamura ผู้กำกับในเวอร์ชั่น remake เขาเป็นผู้กำกับญี่ปุ่นเพียงคนเดียวที่ได้ Palme d’Or 2 ครั้ง จากเรื่องนี้และหนังเรื่อง The Eel (1997) เห็นว่า Shōhei เคยเป็นผู้ช่วยของ Yasujirō Ozu ด้วย แต่เขาไม่ชอบสไตล์การเล่าเรื่องของ Ozu ที่มักจะเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น แต่เขาก็แปลกใจที่คนทั่วโลกกลับชื่นชอบหนังของ Ozu ผู้กำกับที่เขาชอบพูดถึงคือ Akira Kurosawa กับ Rashomon ที่เป็นหนังเรื่องโปรดสุดๆของเขา ใน The Ballad of Narayama เขาต้องการนำเสนอการเอาตัวรอดระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ โดยทำสิ่งที่แตกต่างคือ ไปถ่ายในสถานที่จริง เห็นว่ากว่าจะเข้าไปถึงหมู่บ้านที่ถ่ายทำ ถ้าเดินไปก็ใช้เวลาพอสมควร ขนาดว่าฉากเปิดเรื่องที่เป็นการถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ เรายังรู้สึกได้ว่าระยะทางมันไกลมากๆจริงๆ
หนังเรื่องนี้มีความ “ดิบ” มากๆ คือทุกคนทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรอด พวกเขาจะสนใจแค่คนในครอบครัวของเขาเท่านั้น แต่กับคนนอกพวกเขาอาจกลายเป็นศัตรู กฎของหมู่บ้านคือกฎของธรรมชาติ ใครแข็งแกร่งก็เอาตัวรอด ใครอ่อนแอก็จะถูกฆ่า ไม่มีประณีประนอมแม้แต่น้อย ผมทึ่งในการนำเสนอมากนะ ในสภาพแวดล้อมที่โหดเหี้ยม ถ้าไม่ใช้กฏที่เรียกว่า “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ก็จะอยู่กันไม่ได้ ผมไม่อยากยกฉากไหนๆในเรื่องมาพูดเลยนะครับ เพราะมันเป็นการสปอยที่รุนแรงมากๆ (แม้แต่โปสเตอร์ยังสปอยเลย) ผมเพิ่งดูเรื่องนี้เมื่อวานเอง ตัดหน้าหนังเรื่องอื่นเขียนรีวิวเลย ผมอยากจะแนะนำให้ดูหนังเรื่องนี้ก่อน The Revenant สองเรื่องนี้มีความคล้ายกันอย่างหนึ่งคือ หนังใช้แสงธรรมชาติ ถ่ายทำกันในป่าเขา เนื้อเรื่องมีความดิบ เถื่อน สมจริง การต่อสู้กับสภาพแวดล้อมแบบนั้น ผมเห็นความตั้งใจของทีมผู้สร้างมากๆ ที่กล้าทำอะไรแบบนี้
ตากล้อง Hiroyuki Kusuda ใช้แสงธรรมชาติล้วนๆ ถ้าผมไม่เห็นตัวอย่าง The Revenant มาก่อนคงไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่แน่นอนครับ หนังเรื่องนี้นำเสนอภาพจริงล้วนๆ ไม่มีการแต่งด้วยแสงสี (คงไม่อยากขนไฟ ฉากไปด้วยละมั้ง) ผลลัพธ์ก็สุดยอดครับ ในหนังอาจจะมีช่วงเวลาฤดูหนาวไม่มาก แต่ความพยายามในการหาสถานที่ถ่ายทำ มันทรมานมากๆ ฉากช่วงท้ายที่เดิน เดิน เดิน เห้ย! มันยังเดินอยู่ ทางเดินก็ลำบากมาก ทำไมหนังมันนำฉากการเดินใส่มายาวนานขนาดนี้ จนในที่สุดก็เดินไปถึง… คือเราลุ้นไปกับการเดินอันแสนยาวนาน มาเจอแบบนี้พูดไม่ออกครับ ช็อค (จริงๆผมก็พอเดาได้นะว่าจะไปเจอกันอะไร แต่หนังนำเสนอภาพนั้นในระดับที่ผมเองก็คาดไม่ถึง!)
นักแสดงชุดนี้ผมไม่รู้จักเลยนะครับ แต่ที่ต้องชื่นชมมากๆคือบทยาย กับบทลูกคนโต (2 คนในโปสเตอร์) Ken Ogata ในบทลูกคนโต เขาได้ Best Actor ของ Japan Academy Prize จากหนังเรื่องนี้ด้วย หนังเรื่องนี้ใช้พลังกายมากกว่าพลังการแสดงนะครับ ซึ่งไม่ใช่แค่ความแข็งแรงของร่างกาย แต่รวมถึงจิตใจ ความตั้งใจที่ต้องถึงขีดสุดเลยถึงจะเล่นบทนี้ได้ (เทียบกันผมก็เชื่อว่า พอๆกับ Leo ใน The Revenant แน่ๆครับ) สำหรับบทยาย Sumiko Sakamoto เธอเป็นนักแสดงที่เล่นบทแม่ได้ดีมากๆ โดยเฉพาะในหนังเรื่องนี้ Orson Welles ถึงอดใจไม่ได้ ส่งจูบให้เธอเมื่อตอนเจอกัน ปัจจุบันเธอยังมีชีวิตอยู่นะครับ ปัจจุบันก็ 79 แล้ว ในหนังตอนนั้นเธอเพิ่งจะ 47 เท่านั้น แต่ก็แต่งหน้าให้ดูแก่มากๆ (ถ้าเอาคนอายุ 70 มาเล่นจริงๆนี่คงเดินขึ้นเขาไม่ไหวแน่ๆ) ผมชอบการแสดงของเธอมากนะ สมกับฉายาที่พูดในหนัง Oni-baba จริงๆ
ตัดต่อโดย Hajime Okayasu ผมไม่รู้ว่าผู้กำกับไปสรรหาภาพสรรพสัตว์มาจากไหนไม่รู้ มีหลายชนิดมาก ยังกะดู National Geography เลย แต่ละภาพมันก็หายากๆทั้งนั้น ผมไม่สปอยนะครับว่ามีภาพอะไรบ้าง ซึ่งการตัดสลับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คู่กับภาพของสรรพสัตว์ มันมีความหมายที่ตรงมาก “ไม่ต่างกันเลย จะมนุษย์หรือสัตว์”
เพลงประกอบ ประพันธ์โดย Shinichirô Ikebe คนนี้ถือเป็นขาประจำของ Akira Kurosawa ในยุคหลัง 1980 เป็นต้นไปนะครับ เพลงตอนเปิดเรื่องผมชอบมากนะ มันมีเครื่องดนตรีที่คอยดีดคลอไปเรื่อยๆด้วย เพลงประกอบอื่นๆก็สร้างบรรยากาศให้หนังได้อลังการ หนักแน่นและสมจริงมาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมข้องใจมากๆ คือ เขาใช้เครื่องดนตรีคลาสิคของฝั่งยุโรป ผมได้ยินเสียงกีตาร์ไฟฟ้าด้วย คงเพราะผู้กำกับต้องการนำเสนอหนังเรื่องนี้ในแนวทางของหนังยุคใหม่ แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องที่มีเนื้อหาเฉพาะเจาะจงขนาดนี้ ควรจะใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านไม่ดีกว่าเหรอ โดยรวมถือว่าเพลงเพราะครับ มีขัดใจแค่การเลือกใช้เครื่องดนตรีนิดเดียวเท่านั้น
หนังเรื่องนอกจากได้ Best Film และ Best Actor จาก Japan Academy Prize แล้ว ยังมีอีกสาขาหนึ่งคือ Best Sound โดย Kenichi Benitani ไม่ใช่เพลงประกอบนะครับ แต่เป็นเสียงที่เกิดจากในหนัง ผมไม่แน่ใจว่านี่คือสาขาอัดเสียง หรือผสมเสียง (อาจจะเหมารวมไป เพราะ JAP มีรางวัล Sound สาขาเดียว) เสียงธรรมชาติในหนังเรื่องนี้ สมจริงสุดเลยๆ คงเพราะอารมณ์ดิบๆในหนังที่ต้องการเสียงที่สมจริง ซึ่งการผสมเสียงก็สุดยอดครับ ฉากเดินตอนท้าย รู้สึกเหมือนเรากำลังเดินในป่าจริงๆเลยละ
ผมแซงคิวพูดถึงหนังเรื่องนี้ก่อน เพราะผมชอบความดิบๆ สมจริงของหนังเรื่องนี้มาก เนื้อเรื่องมันอาจจะขัดต่อศีลธรรมบ้าง (เยอะเลยละ) แต่หนังนำเสนอการต่อสู้ที่ ถ้าไม่ทำแบบนี้ ก็คงเอาตัวกันไม่รอด ผมมองเห็นอีกอย่างหนึ่งด้วยนะ จุดเฉลย McGaffin ในหนังเป็นการสะท้อนผลลัพธ์ของการใช้ชีวิตแบบนี้ได้เจ็บปวดมากๆ ผมมองไม่เห็นเป้าหมายชีวิตอื่นเลยของคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น คนที่อยู่กับธรรมชาติ ต่อสู้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน แค่นี้มันก็มากเกินที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถคิดอะไรนอกกรอบได้เลย ในขณะเดียวกันคำถามหนึ่งก็เกิดขึ้น “เราจำแนกความเป็น ‘มนุษย์’ ที่ตรงไหน” หน้าตาเหมือนมนุษย์ พูดภาษาได้ คุยกันเข้าใจ หรืออะไร ในหนังเราจะหาจุดแตกต่างระหว่าง “มนุษย์” กับ “สัตว์” ไม่ได้เลย จะมีก็แต่หนังแบบนี้ที่สามารถนำเสนอจุดนี้ได้ สำหรับคำตอบของคำถามที่ผมถามไป ไม่มีคำตอบในหนังนะครับ
แนะนำให้หาดู แต่ไม่แนะนำให้เด็กดูนะครับ หนังมีความรุนแรง มี sex ที่โจ่งแจ้ง มีการใช้คำพูดหยาบคาย ถ้าเป็นคนไทยก็ กู มึง เหี้ย เลยละ แต่เพราะเป็นภาษาญี่ปุ่นเราอาจจะฟังไม่เข้าใจ ซับก็เลือกใช้คำที่ไม่รุนแรงเกินไป ผมพอฟังญี่ปุ่นรู้เรื่องก็เลยรู้นะครับ อยู่ในป่าลึกขนาดนั้นเขาไม่พูด ค่ะ ขา คุณ เธอ กันนะครับ
คำโปรย : “The Ballad of Narayama หนัง Palme d’Or remake โดย Shōhei Imamura นี่คือหนังที่ดิบ เถื่อน ถ่ายทำกันในสภาพแวดล้อมจริง นี่คือหนังที่ตั้งคำถามว่าเราจำแนกความเป็น ‘มนุษย์’ ที่ตรงไหน”
คุณภาพ : SUPERB
ความชอบ : LOVE
Leave a Reply