The King and the Mockingbird

The King and the Mockingbird (1980) French : Paul Grimault ♥♥♥♥♡

Le Roi et l’oiseau อนิเมชั่น Masterpiece จากฝรั่งเศสของ Paul Grimault -ผู้กำกับที่เป็นแรงบันดาลใจให้ Hayao Miyazaki และ Isao Takahata ก่อตั้งสตูดิโอ Ghibli- ร่วมกับนักเขียนบทชื่อดัง Jacques Prévert ดัดแปลงมาจาก The Shepherdess and the Chimney Sweep (หญิงเลี้ยงแกะกับชายกวาดปล่องไฟ) ของ Hans Christian Andersen, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”

นี่เป็นอนิเมชั่นผมได้รับชมแล้วรู้สึกทึ่งมากๆ มีความแปลกประหลาดพิลึกพิลั่น เทียบกับอนิเมะดูยากๆของญี่ปุ่นอย่าง FLCL (2000), Cat Soup (2001), Mind Game (2004), Paprika (2006) ฯ กลายเป็นเด็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับเรื่องนี้ ความซับซ้อนที่ล้ำลึก แต่… เด็กๆดูได้และเข้าใจด้วย *-*

มันมีเยอะกับอนิเมชั่น ที่กลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เด็กๆดูได้รับความบันเทิง ส่วนผู้ใหญ่เมื่อได้เห็นจะรับรู้อะไรที่แตกต่าง, แต่สำหรับ The King and the Mockingbird มีความประหลาดคือ เด็กๆดูแล้วก็เข้าใจได้ แต่ผู้ใหญ่คิดมากจะดูไม่รู้เรื่อง นี่เป็นเหตุการณ์ประหลาด ที่ก็ไม่รู้เป็นเช่นนั้นไปได้ยังไง? หลังจากผมดูอนิเมะเรื่องนี้จบ เกาหัวส่ายหน้า เรื่องราวมันอะไรกันเนี่ย! ถึงเข้าใจสาเหตุที่ใครต่อใครยกย่องว่ายิ่งใหญ่ แต่กลับไม่สามารถสรุปใจความ หาสาระของมันได้ … ผมใช้เวลาครุ่นคิดทบทวนอยู่หลายวัน ก็คิดไม่ออก จนกระทั่งวันหนึ่งพอแล้วเลิก! เมื่อนั้นความเข้าใจบางอย่างได้เกิดขึ้น อย่างอัศจรรย์ … สรุปแล้วนี่มันอนิเมะบ้าอะไรเนี่ย ที่สามารถตบหัวลูบหลังได้เจ็บแสบขนาดนี้

Paul Grimault (1905 – 1994) ผู้กำกับอนิเมชั่นสัญชาติฝรั่งเศส มีผลงานกำกับอนิเมะขนาดยาวแค่เรื่องเดียวเท่านั้นในชีวิต และถือเป็น Masterpiece, เริ่มมีผลงานเข้าวงการตั้งแต่ปลายยุค 30s ส่วนใหญ่เป็นอนิเมชั่นขนาดสั้น ที่ดังๆ Le petit Soldat (1947) หรือ The Little Solder ได้รางวัล International Prize จากเทศกาลหนังเมือง Venice (Venice Biennale) ปี 1948

เกร็ด: มีผู้กำกับอีกคนที่ทั้งชีวิตกำกับหนังเรื่องเดียวแล้วได้รับการยกย่องว่าคือ Masterpiece คือ Charles Laughton กำกับ The Night of the Hunter (1955)

Jacques Prévert (1900 – 1977) กวีและนักเขียนบทชาวฝรั่งเศส ผมเคยพูดถึงเขาแล้วครั้งหนึ่งใน Children of Paradise (1945) ภาพยนตร์ระดับ Masterpiece ของผู้กำกับ Marcel Carné หรือที่รู้จักในฉายา Gone With the Wind ของฝรั่งเศส, ก่อนหน้านี้ Prévert ได้เคยร่วมงานกับ Grimault ในอนิเมะสั้นเรื่อง Le petit Soldat (1947) ที่ทำให้ Grimault ได้รางวัลความสำเร็จมากมาย การร่วมงานครั้งใหม่นี้ เป็นการทำตามเสียงเรียกร้องของแฟนๆ เพราะวิสัยทัศน์ของทั้งคู่ถือว่าน่าจับตามองอย่างมาก ถ้าได้พัฒนาโปรเจคเป็นอนิเมชั่นขนาดยาว คงมีความต้องโดดเด่น ยิ่งใหญ่ ไม่เหมือนใครแน่

เริ่มต้นพัฒนาโปรดักชั่นในปี 1948 นำแรงบันดาลใจมาจาก The Shepherdess and the Chimney Sweep หญิงเลี้ยงแกะกับชายกวาดปล่องไฟ วรรณกรรมเทพนิยาย เขึยนโดย Hans Christian Andersen (1805–1875) นักเขียนชาว Danish, เรื่องราวความรักระหว่างหุ่นรูปปั้นหญิงเลี้ยงแกะ (shepherdess) กับหุ่นรูปปั้นชายกวาดปล่องไฟ (chimney sweep) ที่ถูกข่มขู่โดยเทพารักษ์แกะสลักไม้ฮอกกานี ผู้ต้องการแต่งงานกับหญิงเลี้ยงแกะ จึงพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้ทั้งสองได้ครองคู่กัน, หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในเดือน เมษายนปี 1845

ในหญิงเลี้ยงแกะกับชายกวาดปล่องไฟ มีช่วงหนึ่งที่หญิงเลี้ยงและและชายกวาดปล่องไฟ ปีนขึ้นไปอยู่บนหลังคา (ดังรูป) กำลังเหม่อมอง รำพัน ใคร่ครวญถึงความฝัน ความรักของทั้งคู่จะลงเอย เเป็นจริงได้หรือเปล่า (เราจะเห็นฉากนี้ในอนิเมะด้วยนะครับ)

การดัดแปลงบทอนิเมชั่นของ Prévert ใช้การ loose base คือนำโครงสร้าง มาดัดแปลงเขียนเรื่องราวขึ้นใหม่ ซึ่งถ้าจะให้หญิงเลี้ยงแกะกับชายกวาดปล่องไฟเป็นตัวเอก อนิเมะเรื่องนี้คงจะกลายรักโรแมนติกหวานเจี้ยบ ไม่ได้แฝงข้อคิดอะไร, Prévert ได้ลดฐานะของทั้งคู่กลายเป็นตัวประกอบ แล้วสร้างพระราชากับนกม็อกกิ้ง (The King and the Mockingbird) เพื่อเป็นคู่สะท้อนนิสัย แนวคิดมีความตรงข้ามกับสองหญิงเลี้ยงแกะกับชายกวาดปล่องไฟ และยังเปลี่ยนให้พระราชามีความสนใจ ต้องการแต่งงานกับหญิงเลี้ยงแกะ ตัดเทพารักษ์แกะสลักไม้ฮอกกานีทิ้งไปเลย

ระหว่างที่ La Bergère et le Ramoneur (The Shepherdess and the Chimneysweep) [ชื่อ Working Title] กำลังไปได้สวย ปี 1950 สตูดิโอที่ออกทุนสร้าง Les Gémeaux เกิดล้มละลาย และโปรดิวเซอร์ André Sarrut ได้นำอนิเมะออกฉายในปี 1952 ทั้งๆที่ยังไม่เสร็จ ขัดกับความประสงค์ของ Grimault และ Prévert ทำให้ทั้งเกิดควาวมคู่ไม่พอใจอย่างมาก จึงเดินออกจากโปรเจค ทำให้ทุกสิ่งอย่างค้างคาไว้เช่นนั้น ยังไม่เสร็จสำเร็จ

แต่ Grimault ก็ตัดใจทิ้งโปรเจคนี้ไม่ลง พยายามยื้อแย่งลิขสิทธิ์กับโปรดิวเซอร์และสตูดิโออยู่หลายปี จนกระทั่ง 1977 เขาถึงได้ครอบครองลิขสิทธิ์หนัง และสรรหาทุนเพิ่มนำมาพัฒนาอนิเมะเรื่องนี้ต่อได้ (แต่ตอนนั้น Prévert ได้เสียชีวิตไปแล้ว) ใช้เวลาสร้างต่ออีก 2 ปี เปลี่ยนชื่อเป็น Le Roi et l’Oiseau (The King and the Bird) ได้ออกฉายในปี 1980

ตัวละคร King Charles V + III = VIII + VIII = XVI (นั่นชื่อเต็มๆเขานะครับ) กษัตริย์ผู้มีความเย่อหยิ่งทะนงตน เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ ไม่สนใจคนอื่น, ปราสาทของพระราชาแสดงถึง Ego ได้ชัดเจน มีความสูงเสียดฟ้า และตนเองอาศัยอยู่ชั้นบนสุด (ต้องเหนือกว่าคนอื่น), เวลาไม่พอใจใคร ก็จะกดปุ่มเปิดพื้นมหัศจรรย์ ที่ไม่ว่าใครยืนอยู่ตรงไหนต้องตกลงไป (ถูกกำจัด)

ปกติแล้ว ภาพวาดเสมือน มักแทนด้วยจิตใจ ตัวตนของคนที่เป็นแบบ ศิลปินเก่งๆ จะสามารถวาดภาพที่อยู่ข้างในของคนที่แบบออกมาได้ นี่กระมังคือเหตุผลทำให้ภาพวาดเปรียบเสมือนว่ามีชีวิตได้ (เพราะบรรจุจิตวิญญาณของคนที่เป็นแบบ), การที่ภาพวาดสามารถกำจัดตัวจริงของ King Charles ได้ นี่เป็นความหมายเชิงนามธรรม ในลักษณะที่ว่าจิตอันชั่วร้ายสามารถกลืนกินครอบงำมนุษย์ (จิตใจฝั่งเลวเอาชนะจิตใจฝั่งดี)

*** ฉากนี้เริ่มต้นตอนกลางคืน ถ้าเด็กๆดูคงจะเข้าใจว่า นี่คือความฝันแฟนตาซี คนในรูปภาพจึงมีชีวิตได้

สำหรับ Mockingbird ถ้าใครเคยดู To Kill a Mockingbird (1962) จะจดจำคำพูดหนึ่งได้ว่า ‘อย่าทำร้ายนกม็อกกิ้ง เพราะมันไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใคร’ การฆ่านกม็อกกิ้งเปรียบเสมือนการใส่ร้ายป้ายสี ฆ่าผู้บริสุทธิ์ (King Charles ยิงนกม็อกกิ้งเล่น แสดงถึงจิตใจอันชั่วร้ายของเขา) การพูดได้ของนกม็อกกิ้ง ถือเป็นการล้อเลียน (Satire) ตัวแทนปากเสียงของคนทั่วไป ที่ปกติมักจะไม่ค่อยพูดอะไร ก้มหน้าก้มตา ยอมรับชะตากรรมของชีวิต, เราจะเห็นว่าคำพูดของนกตัวนี้ มันเสียดสี เสียดแทงใจดำ ชอบพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ชอบคือชอบ ด่าคือด่า นี่ทำให้ King Charles ไม่ชอบขี้หน้านกตัวนี้อย่างยิ่ง (เพราะพูดความจริงในสิ่งตนไม่อยากได้ยิน)

ความสัมพันธ์ระหว่าง King กับ Mockingbird ถึงจะอยู่จุดสูงสุดของปราสาทเหมือนกัน แต่นิสัย ทัศนคติ ความต้องการตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง และสะท้อนกับ ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงเลี้ยงแกะกับชายกวาดปล่องไฟ, คู่แรกเกลียดกันเข้ากระดูกดำ คู่หลังรักกันปานจะกลืนกิน, ความต้องการของ King Charles คือครอบครอง แต่งงานกับหญิงเลี้ยงแกะ ส่วน Mockingbird ต้องการตอบแทนหญิงเลี้ยงแกะ ที่ได้เคยช่วยชีวิตลูกของตนเอาไว้ ฯ

สิ่งเดียวที่หญิงเลี้ยงแกะและชายกวาดปล่องไฟจะทำได้ คือหนีไปให้ไกลจากอาณาเขตของ King Charles แต่ปราสาทแห่งนี้มันใหญ่โตเหลือเกิน จากชั้นบนสุดกว่าจะลงไปถึงชั้นล่าง มีความสลับซับซ้อน ยุ่งยากวุ่นวาย สับสนอลม่าน นั่นทำให้พวกเขาได้ค้นพบกับความจริง ภายใต้ความยิ่งใหญ่ ยังมีบางสิ่งบางอย่างแอบซ่อนอยู่ (แบบเดียวกับหนัง Metropolis-1927) คือ มีคนรวยก็ต้องมีคนจน, มีคนสะดวกสบายต้องมีคนทุกข์ยาก ฯ ซึ่งเมื่อทั้ง 2 และนกม็อกกิ้งได้หลงเข้าไปในจุดต่ำสุดของปราสาท King Charles จึงได้แสดงธาตุแท้ พลังอำนาจ (Ego) ที่ใหญ่ที่สุดของตนออกมา หุ่นยนต์ยักษ์ที่จักทำลายทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้า ไม่มีใครสามารถหลบหนีได้พ้น, King Charles จับชายกวาดปล่องไฟเป็นตัวประกัน ทำให้หญิงเลี้ยงแกะต้องยอมตกลงใจแต่งงานกันเขา

แต่ ณ สถานที่มืดมิด ต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่สุดนี้ ยังคงมีประกายความหวัง นักเล่นหีบเพลงตาบอด สามารถขับกล่อมราชสีห์ทั้งหลายให้เชื่องเชื่อฟัง (ราชสีห์ แสดงถึงผู้มีพลังอำนาจ น่าเกรงกลัว เกรงขาม ถูกจับขังให้หิว ก็เหมือนอยู่ในกรงขัดต่อสัญชาติญาณแท้จริงของตน) พวกเขาร่วมกันต่อสู้เพื่อเอาชนะคนคอรัปชั่น โดยการสร้างความวุ่นวายระหว่างงานเลี้ยงแต่งงาน

ความพ่ายแพ้ของ King Charles คือการแพ้ภัยตัวเอง ด้วยหุ่นยักษ์ที่ตนเคยใช้เพื่อจัดการกับคนอื่น กลับเป็นเจ้าหุ่นนี้ที่ถูกนกม็อกกิ้งใช้ทำลายปราสาทอันยิ่งใหญ่ จนถล่มพังพับย่อยยับไม่เหลือซากอะไร (พระราชาสร้าง นกม็อกกิ้งทำลาย)

ฉบับที่ออกฉายปี 1952 ความยาว 62 นาที ยังถือว่าไม่สมบูรณ์นะครับ ผู้กำกับ Grimault นำฟุตเทจเก่ามาใช้ 42 นาที และวาดเพิ่มเรื่องราว ฉากใหม่ ปรับปรุง remaster ของเดิม เปลี่ยนแปลงเพลงประกอบและอะไรหลายๆอย่าง, ฉบับใหม่ที่ฉายปี 1980 มีความยาว 87 นาที, กับคนช่างสังเกต บางฉากจะมีความแตกต่างชัดเจนในงานภาพ ระหว่างการวาดภาพสไตล์เก่า/ใหม่ เช่น ฉากสิงโต จะเห็นความแตกต่างกันพอสมควร (ถ้าสังเกตดีๆ บางช็อตสิงโตจะวาดไม่เหมือนกัน)

การดำเนินเรื่อง ถือว่ามีความยากในการรับชมพอสมควร ไม่เน้นบทสนทนา แต่เน้นการกระทำ ภาพเคลื่อนไหว สีหน้า ดวงตาของตัวละคร ผู้ชมต้องสังเกตให้ดี เพราะไม่มีคำบรรยายใดๆแทรกไว้ นี่เรียกว่าภาษาภาพยนตร์ และอนิเมะเรื่องนี้ถือว่ามีความเป็น Poetic Film สูงมากๆ

เพลงประกอบโดย Wojciech Kilar คีตกวียอดฝีมือชาวโปแลนด์ ที่เคยทำเพลงให้ The Pianist (2002), เริ่มต้นจากฮาร์ปซิคอร์ด (Harpsichord) ฟังแล้วรู้สึกเหงาๆ แล้วเพิ่มเติมใส่เสียงฟลุต ไวโอลิน พิณ ประสานเสียงเพิ่มความอลังการด้วย Orchestra มีความไพเราะอย่างยิ่ง

การแปรเปลี่ยนเครื่องดนตรีจาก ฮาร์ปซิคอร์ด เป็นเปียโน จากเสียงแหลมกลายเป็นเสียงทุ้มหวาน มีนัยยะถึงการเปลี่ยนผ่าน จากตัวละครเป็นภาพวาดของอนิเมะด้วยนะครับ (เผื่อคนไม่รู้จัก Harpsichord ก็คล้ายๆเปียโน หน้าตาเหมือนกัน แต่เสียงต่างกัน)

การใช้เสียงเครื่องเป่าก็มีนัยยะแฝงเช่นกัน เพราะมันแสดงถึงพลังอำนาจ Ego ของตัวละครได้เด่นชัด แถมการเป่าได้เสียงเพี้ยน แสดงถึงความไม่สมประกอบของจิตใจ, หยิบเพลง La Marche nuptiale มาให้ลองฟัง หลายคนได้ยินแล้วอาจคุ้นๆ เพราะมันคือทำนอง The Wedding March ของ Felix Mendelssohn (แต่งไว้ตั้งแต่ปี 1842) ฟังแล้วรู้สึกถึงความประหลาด

ใจความของอนิเมะเรื่องนี้ คือการปลูกฝังแนวคิด (ให้กับเด็ก) และนำเสนอนิสัยของคนสองประเภท ที่อยู่สูงเหมือนกัน แต่พฤติกรรม การแสดงออกตรงข้ามโดยสิ้นเชิง, หนึ่งคือ King ผู้มีอำนาจ ลาภ ยศ บริวารเพียบพร้อม แต่กลับมีทัศนคติที่ผิดเพี้ยน แปลกประหลาด ชอบดูถูก ข่มเหง รังแก เหยียดหยามผู้อื่น ไม่เคยสนใจคนที่ต่ำต้อยกว่าตน, ตรงกันข้ามกับ Mockingbird ที่แทบไม่มีอะไรเลย (มีลูกอยู่ 4 ตัว หนึ่งก็ไร้เดียงสาชอบหลงกลถูกจับ) แต่มีจิตใจดีงาม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อารี รู้จักบุญคุณ ชอบช่วยเหลือคนอื่น (กระนั้นปากของนกม็อกกิ้งก็เลวร้ายนัก)

เด็กๆที่ได้ดูอนิเมะเรื่องนี้ คงจะจดจำบทเรียนที่ว่า คนนิสัยอย่าง King ไม่น่าคบ แบบ Mockingbird ปากร้ายแต่ใจดีนี่สิน่าคบกว่า, และยังเป็นการปลูกฝังการพูดแสดงความเห็นออกมาด้วย (แบบนกม็อกกิ้ง) ว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจตนออกมา

อนิเมชั่นเรื่องนี้ ถือว่ามีอิทธิพลต่อ Hayao Miyazaki และ Isao Takahata เป็นอย่างมาก, Miyazaki เคยให้สัมภาษณ์ว่า ‘เมื่อยุค 50s ตอนที่ผมเริ่มดูหนังเยอะๆ เก็บประสบการณ์เพื่อหาแรงบันดาลใจ ผลงานของ Paul Grimault ถือว่ามีอิทธิพลต่อผมอย่างมาก โดยเฉพาะ Le Roi et l’Oiseau ที่ทำให้เข้าใจถึงความจำเป็นในการใช้พื้นที่ภาพวาด (โดยเฉพาะความสูง) ให้คุ้มค่าที่สุด’

“We were formed by the films and filmmakers of the 1950s. At that time I started watching a lot of films. One filmmaker who really influenced me was the French animator Paul Grimault.It was through watching Le Roi et l’Oiseau by Paul Grimault that I understood how it was necessary to use space in a vertical manner.”

Hayao Miyazaki

ส่วน Takahata บอกว่า ‘ความชื่นชอบของผมต่อ Paul Grimault และ Le Roi et l’Oiseau คือผลงานของเขาสามารถผสมผสาน เข้าถึงความสัมพันธ์ระหว่างวรรณกรรมและอนิเมชั่นได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด’

“My admiration towards Paul Grimault and Le Roi et l’Oiseau has always been the same, probably because he achieved better than anyone else a union between literature and animation.”

Isao Takahata

กับคนที่เคยดู The Castle of Cagliostro (1979) จะเห็นว่าปราสาท Cagliostro มีความคล้ายคลึงกับ ปราสาทของ The King and the Mockingbird เป็นอย่างยิ่ง

ตอนแรกผมก็ไม่ได้ชอบอนิเมะเรื่องนี้เท่าไหร่นะครับ เวลาเราไม่เข้าใจอะไรคงไม่แปลกที่จะเกิดอคติไว้ก่อน แต่พอได้ครุ่นคิดทบทวนจนค้นพบคำตอบ ก็เริ่มชื่นชอบหลงใหล ปัจจุบันก็หลงรักเลย แม้นี่ไม่ได้กลายเป็นอนิเมะเรื่องโปรด แต่ถือว่ามีความสวยงามที่สุดลึกล้ำ อึ้งทึ่ง คิดไปได้ยังไง นิทานก่อนนอนของ Hans Christian Andersen คงน่าจะไม่ลึกซึ้งเท่านี้เป็นแน่

กับความสวยงามที่ผมเห็นตั้งแต่ครั้งแรก (แม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราวเท่าไหร่) ไม่ใช่งานภาพหรือเรื่องราวที่แปลกประหลาด แต่คือบรรยากาศของการเล่าเรื่อง ที่ให้ความรู้สึกกับผู้ชม เหมือนกำลังหายใจเข้าออก ทำสมาธิ คือมันมีจังหวะ ช่องว่าง ที่บางครั้งตัวละครไม่พูดอะไรเลยอยู่หลายนาที เรื่องราวดำเนินไป ภาพ ตัวละครเคลื่อนไหว แสดงออกทางการกระทำ สีหน้ากิริยาท่าทาง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าภาษาหนัง เปรียบความงดงามนี้ได้ดังบทกลอน มีทำนองสัมผัส พรรณาถึงตัวตนของมนุษย์, ถ้าคุณสัมผัสบรรยากาศ ความรู้สึกพวกนี้ได้ ก็สามารถมองเห็นจิตวิญญาณที่เรียกว่าเป็น Masterpiece

แนะนำกับคอหนังฝรั่งเศส, คออนิเมะ, ผู้ชื่นชอบนิทานหลอกเด็กของ Hans Christian Andersen, รู้จักนักกวีชื่อดัง Jacques Prévert และอยากเห็นอนิเมะที่เป็นแรงบันดาลใจ (อาจเป็นหนึ่งในเรื่องโปรดของทั้ง) Hayao Miyazaki และ Isao Takahata

โดยเฉพาะเด็กๆ ความบันเทิงเรียบง่ายที่แฝงอยู่ในอนิเมะเรื่องนี้ ไม่ต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งก็สามารถชื่นชม เข้าใจ จดจำ เรียนรู้ใจความสำคัญของมันได้ นี่คือเหตุผลที่ผมจัดให้ “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”

ผมจัดความยากในการรับชมอยู่ที่ Professional แต่เด็กๆหรือคนไม่เคยมีประสบการณ์รับชมภาพยนตร์ (Beginner) ก็สามารถดูได้นะครับ แต่จะมีความเข้าใจ มองเห็นอนิเมชั่นเรื่องนี้คนละอย่างกันเลย

จัดเรตทั่วไป มีความรุนแรงที่นุ่มนวลจนไม่รู้สึกถึงความรุนแรง

TAGLINE | “The King and the Mockingbird อนิเมชั่น Masterpiece จากฝรั่งเศส ที่มีความสวยงามดังบทกวี มีความพิศดารที่เด็กดูดี ผู้ใหญ่ดูแล้วจะทึ่ง”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | LOVE

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: