
The Rocky Horror Picture Show (1975)
,
: Jim Sharman ♥♥
โคตรหนังคัลท์ที่ยังคง(เฉิด)ฉายมาจนถึงปัจจุบัน ชักชวนให้วัยรุ่น คนหนุ่ม-สาว ได้เรียนรู้ เข้าใจตัวตนเอง ค้นพบอัตลักษณ์ทางเพศ ปลดปล่อยน้ำกาม เปียกปอน ชุ่มฉ่ำ ความบันเทิงของชาว LGBTQIAN+
แม้ว่าเมื่อตอนออกฉาย The Rocky Horror Picture Show (1975) จะได้เสียงตอบรับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ขาดทุนย่อยยับเยิน! แต่ปีถัดมาหลังกลายเป็นโปรแกรมรอบดึก (Midnight Movie) ณ โรงภาพยนตร์ Waverly Theater, New York City กระแสปากต่อปาก โดยเฉพาะวัยรุ่น คนหนุ่ม-สาว กอปรกับยุคสมัยที่กำลังเปิดกว้างเรื่องเพศ Sexual Revolution (1960s-70s) ทำให้ปีแล้วปีเล่า ยังมีผู้คนซื้อตั๋วเข้าชม จนกลายเป็นประเพณี วัฒนธรรมที่ชาว LGBTQIAN+ จะมาปลดปล่อย ค้นพบตัวตนเอง จนถึงปัจจุบัน ค.ศ. 2023 ผ่านมา 48 ปี สตูดิโอ 20th Century Fox ขายกิจการให้ Walt Disney ก็ยังคงอนุญาตให้ฉายติดต่อเนื่อง … กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีการฉายติดต่อเนื่อง(แบบจำกัดโรง)ยาวนานที่สุดตลอดกาล!
ผมไม่ได้มีอคติอะไรกับ Transvestite แต่การรับชม The Rocky Horror Picture Show (1975) กลับรู้สึกเหมือนโดนพ่นน้ำกามใส่หน้า ไม่พบเห็นอะไรไปมากกว่าการปลดปล่อย(ทางอารมณ์)ของผู้สร้าง บีบบังคับให้(ผู้ชม)เข้าร่วมลัทธินอกรีต มั่วกาม ชายก็ได้-หญิงก็ดี ขอแค่มีรูให้บดขยี้ ป่นปี้ แม้งโคตรไร้สาระ คุณธรรมต่ำตม ‘bad taste’ ยิ่งเสียกว่าภาพยนตร์ของผกก. John Waters
แต่ผมก็เข้าใจเช่นเดียวกันว่า The Rocky Horror Picture Show (1975) เป็นภาพยนตร์ที่อาจทำให้หลายคนได้เรียนรู้ เข้าใจตัวตนเอง ค้นพบอัตลักษณ์ทางเพศ ก้าวออกมาจากตู้เสื้อผ้า (ตู้เสื้อผ้าคือสัญลักษณ์การปกปิด ซุกซ่อนรสนิยมทางเพศ) ด้วยวิธีการที่ถูกโต้ถกเถียงอย่างกว้างขวางว่า ‘บีบบังคับข่มขืนใจ’ หรือตัวละคร ‘สมยินยอม’ ลองผิดลองถูกในการร่วมเพศสัมพันธ์
ถึงส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบหนัง แต่ก็มีหลายสิ่งอย่างต้องเอ่ยปากชมว่าน่าประทับใจ อาทิ บทเพลงเปิดชื่อว่า Science Fiction/Double Feature (ใครรับรู้จักทั้งหมดถือว่าคอหนังตัวจริง!) และการผสมผสานหนัง Sci-Fi & Horror เกรดบี (B-movie) อาทิ Dracula, Frankenstein, The Invisible Man, It Came From Outer Space, Forbidden Planet, Night of the Demon ฯลฯ สารพัดการอ้างอิงที่ทำให้ดูเพลิดเพลิน สร้างความบันเทิง ตลกขบขัน แม้งครุ่นคิดได้ยังไงกัน!
จุดเริ่มต้นของ The Rocky Horror Picture Show เกิดขึ้นจาก Richard O’Brien (เกิดปี 1942) นักเขียน/นักแสดงสัญชาติอังกฤษ ระหว่างกำลังว่างงานช่วงต้นทศวรรษ 70s ครุ่นคิดเขียนบทละครเวที ที่ได้แรงบันดาลใจจากความชื่นชอบหลงใหลนวนิยาย Science Fiction (Sci-Fi) และภาพยนตร์ Horror เกรด B (B-movie) โดยตั้งใจผสมผสานสไตล์ดนตรี Rock & Roll ทำออกมาในรูปแบบ Musical ตามกระแสนิยม ‘glam rock’ ในประเทศอังกฤษ
เกร็ด: Glam Rock เป็นประเภทหนึ่งของดนตรี Rock พัฒนาขึ้นในสหราชอาณาจักรช่วงต้นทศวรรษ 1970s เกิดจากการผสมคำ Glam หรือ Glamorous แปลว่า มีเสน่ห์ น่ามอง น่าดึงดูดใจ, ซึ่งนักร้องและวงดนตรีมักนิยมการแต่งหน้า ทำผม สวมใส่รองเท้าส้นสูง หรือชุดที่ดูแปลกประหลาด ยกตัวอย่างศิลปิน David Bowie, Gary Glitter, วงดนตรี Mott the Hoople, Sweet, Slade, Mud, Roxy Music ฯ
ในบทสัมภาษณ์ของ O’Brien อธิบายตนเองว่าเป็นคนข้ามเพศ (Transgender) หรือ Third Gender พานผ่านอะไรๆมามากทีเดียวกว่าจะรับรู้จักตัวตนเอง ค้นพบอัตลักษณ์ทางเพศ
There is a continuum between male and female. Some are hard-wired one way or another, I’m in between. Or a third sex, I could see myself as quite easily.
Richard O’Brien
O’Brien นำเอาบทร่างแรก (Treatment) จำนวน 14 หน้ากระดาษส่งให้เพื่อนผู้กำกับ Jim Sharman เคยร่วมงานโปรดักชั่น Jesus Christ Superstar (เมื่อตอนมาเปิดการแสดงยัง London) อ่านแล้วเกิดความชื่นชอบประทับใจ เลยทำการทดลองสร้างเป็นโปรดักชั่นขนาดเล็ก ยังชั้นบนของ Royal Court Theatre (จำนวน 60 ที่นั่ง) ตั้งชื่อโปรเจค They Came from Denton High ก่อนเปลี่ยนเป็น The Rocky Horror Show
การแสดงรอบปฐมทัศน์ยัง Royal Court Theatre ได้เสียงตอบรับอย่างดีล้นหลาม ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนสถานที่สู่ Chelsea Classic Cinema (230 ที่นั่ง) ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1973 ก่อนย้ายมาปักหลัก King’s Road Theatre (500 ที่นั่ง) ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1973 ทำการแสดงติดต่อเนื่องยาวนานกว่า 6 ปี!
ละครเพลงเรื่องนี้ยังเดินทางสู่สหรัฐอเมริกา เริ่มจาก Roxy Theatre, Los Angeles ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1974 ยาวนานถึง 9 เดือน ก่อนไปต่อ Broadway ณ Belasco Theatre, New York City ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1975 แต่กลับเปิดการแสดงได้แค่ 45 รอบ เดือนกว่าๆเท่านั้น
ถึงอย่างนั้นโปรดิวเซอร์ Michael White และ Lou Adler มีโอกาสรับชมโปรดักชั่นละครเพลงเรื่องนี้ตั้งแต่ที่ London ช่วงต้นปี ค.ศ. 1973 เกิดความชื่นชอบประทับใจ ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงโดยทันที (ก่อนหน้าโปรดักชั่นจะเดินทางสู่สหรัฐอเมริกาเสียอีก!) และยังขอให้ Jim Sharman มารับหน้าที่ผู้กำกับภาพยนตร์
James David Sharman (เกิดปี 1945) ผู้กำกับภาพยนตร์/ละครเวที สัญชาติ Australian เกิดที่ Sydney, บิดาเป็นนักมวยโชว์ในคณะละครสัตว์ นั่นทำให้เขามีความสนใจด้านการแสดงตั้งแต่เด็ก โตขึ้นสำเร็จการศึกษา National Institute of Dramatic Art (NIDA) จากนั้นเข้าร่วม Experimental Theatre ยังโรงละคร Old Tote Theatre Company, แจ้งเกิดจากละครเพลง (Rock Musicals) เรื่อง Hair (1969), ติดตามด้วย Jesus Christ Superstar (1972) ทำให้มีโอกาสเดินมากำกับโปรดักชั่นที่ West End, โด่งดังระดับนานาชาติจาก The Rocky Horror Show และภาพยนตร์ The Rocky Horror Picture Show (1975)
เมื่อสองโปรดิวเซอร์ติดต่อเข้าหาผกก. Sharman พูดคุยถึงสองทางเลือก
- ทำออกมาในแบบหนังเพลงทั่วๆไป เลือกศิลปิน/นักแสดงที่พอมีชื่อเสียง ปรับแก้ไขเรื่องราวให้เหมาะสมกับผู้ชมทางบ้าน
- ลดงบประมาณรวมถึงระยะเวลาถ่ายทำ แต่สามารถใช้ทีมงานและนักแสดงจากโปรดักชั่นละครเวที รวมถึงมอบอิสรภาพในการสรรค์สร้างอย่างเต็มที่
คำตอบของ Sharman คือเลือกแบบที่สอง นั่นเพราะเขาและทีมงาน (รวมถึง O’Brien) ภาคภูมิใจในโปรดักชั่นนี้อย่างมากๆ มีความสนิทสนมชิดเชื้อ ไว้เนื้อเชื่อใจ (Camaraderie) เลยต้องการร่วมหัวจมท้าย ไปไหนไปด้วยกันให้ถึงปลายทาง
When Lou Adler and Michael White, the original producers, first invited me to direct the film, they gave me two options. One was a regular movie musical budget and schedule, with the proviso that I cast some established stars – current rock stars, movie stars, whatever; and the other was an essentially B-picture budget and a short 6 week schedule, if I stayed with key members of the original cast and creative team.
Rocky Horror had flouted conventional wisdom from the get-go and the B-picture route seemed truer to its spirit. That spirit was something I wanted to keep alive in the film – more spirit than polish was both the aim and the outcome. There was also a strong sense of camaraderie and like-mindedness amongst the original creative team, so I chose option B and that pretty much governed everything that followed – it created the best and the worst.
Jim Sharman
เรื่องราวของ Brad Majors (รับบทโดย Barry Bostwick) และคู่หมั้น Janet Weiss (รับบทโดย Susan Sarandon) ระหว่างเดินทางกลับจากงานแต่งงานเพื่อนสนิท ยามค่ำคืน ฝนตกหนัก ยางแตก รถเสียข้างทาง พวกเขาจึงจำต้องขอหลบฝน พักค้างแรมยังคฤหาสถ์โกธิคหลังหนึ่ง
เจ้าของคฤหาสถ์แห่งนี้คือ Dr. Frank-N-Furter (รับบทโดย Tim Curry) นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ชื่นชอบแต่งหญิง (Transvestite) อ้างว่าเดินทางมาจากดาวเคราะห์ Transsexual ในแกแลคซี่ Transylvania, ขณะนั้นกำลังทดลองสร้างสิ่งมีชีวิต Rocky Horror (รับบทโดย Peter Hinwood) ด้วยการปลูกถ่ายสมองของเด็กส่งของ Eddie (รับบทโดย Meat Loaf) แล้วใช้สายฟ้าฟาดลงมา (แบบเดียวกับนวนิยาย Frankenstein)
Brad กับ Janet ถูกล่อลวงในความมหัศจรรย์ของ Dr. Frank-N-Furter ทำให้มิอาจหยุดยับยั้ง ปล่อยตัวปล่อยใจ ปลดปล่อยน้ำกาม แต่เมื่อความแตกว่าต่างนอกใจคนรัก Janet จึงเปลี่ยนไปยั่วสวาท ร่วมเพศสัมพันธ์กับ Rocky Horror จนกระทั่งการมาถึงของ Dr. Everett V. Scott (รับบทโดย Jonathan Adams) ต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้หลานชาย Eddie ที่ถูกเข่นฆาตรรมอย่างไร้เยื่อใย
Timothy James Curry (เกิดปี 1946) นักร้อง/นักแสดงสัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Grappenhall, Cheshire โตขึ้นเข้าโรงเรียนประจำ Kingswood School ค้นพบความสามารถด้านการร้องเพลงเสียง Soprano แต่ตัดสินใจเข้าเรียนภาษาอังกฤษและการละคอน University of Birmingham เข้าร่วมโปรดักชั่น Hair ระหว่างทำการแสดงที่ London ทำให้มีโอกาสรับรู้จักเพื่อนนักแสดง Richard O’Brien ได้รับชักชวนให้ไปออดิชั่น The Rocky Horror Show
I’d heard about the play because I lived on Paddington Street, off Baker Street, and there was an old gym a few doors away. I saw Richard O’Brien in the street, and he said he’d just been to the gym to see if he could find a muscleman who could sing. I said, “Why do you need him to sing?” And he told me that his musical was going to be done, and I should talk to Jim Sharman. He gave me the script, and I thought, “Boy, if this works, it’s going to be a smash.”
Tim Curry
รับบทนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง Dr. Frank-N-Furter หลงใหลดนตรีร็อค ชื่นชอบแต่งหญิง (Transvestite) รสนิยมชายก็ได้-หญิงก็ดี ขอแค่มีรูให้บดขยี้ อ้างว่าเดินทางมาจากดาวเคราะห์ Transsexual ในแกแลคซี่ Transylvania จึงสามารถประดิษฐ์อุปกรณ์ไฮเทค ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย และยังให้ชีวิตกับมนุษย์ดัดแปลง Rocky Horror ตั้งใจเอาไว้ปรนเปรอนิบัติตนเอง แต่การฆาตกรรมเด็กส่งของ Eddie และมั่วกามกับ Brand & Janet กำลังก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวาย เหตุการณ์เลวร้าย!
Dr. Frank-N-Furter มีสองลูกน้องคนสนิท หัวหน้าคนใช้หลังค่อม Riff Raff (รับบทโดย Richard O’Brien) และน้องสาวรับใช้ Magenta (รับบทโดย Patricia Quinn) แต่มักใช้งานพวกเขาเยี่ยงทาส พ่นคำดูถูกเหยียดหยาม จนเมื่อทั้งสองถึงจุดแตกหัก จึงเปิดเผยตัวตนแท้จริงว่าเป็นเอเลี่ยนต่างดาว กระทำการก่อกบฎ ข่มขู่ด้วยปืนเลเซอร์ แล้วออกเดินทางกลับดาวเคราะห์บ้านเกิด
ปล. หลายคนน่าจะคาดเดาได้ว่า Dr. Frank-N-Furter นำแรงบันดาลใจจากนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง Victor Frankenstein ที่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิต ฟื้นคืนชีพความตาย ขณะเดียวกันยังมีส่วนผสมของ Count Dracula อาศัยอยู่ในปราสาท Transylvania พร้อมกับลูกน้องคนสนิท Renfield, ขณะที่ Brad & Janet ผมรู้สึกว่าใกล้เคียง Jonathan Harker กับคู่หมั้น Mina Murray (จาก Dracula) หนุ่ม-สาวมีความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา กำลังพานผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาปรับเปลี่ยนแปลงไปชั่วนิรันดร์
I’ve always thought of Frank as a cross between Ivan the Terrible and Cruella de Ville of Walt Disney’s 101 Dalmatians. It’s that sort of evil beauty that’s attractive.
Richard O’Brien
ไม่ใช่แค่ความสามารถด้านการร้อง-เล่น-เต้น Curry ยังทำให้ผู้ชมรับรู้สึกว่าว่าเขาคือเกย์/ชายข้ามเพศ (Transvestite) ตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผม บุคลิกภาพ ท่วงท่าทาง (ตัวจริงไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ เลยบอกไม่ได้ว่าเป็นเกย์หรือชายแท้ แต่รับรู้ว่าสนิทสนมกับ Freddie Mercury นักร้องนำวง Queen) เป็นจอมบงการ ชอบควบคุมครอบงำ เร้าร้อนรุนแรง บางครั้งก็เหี้ยมโหดร้ายทารุณ สามารถได้ทั้งรุก-รับ สนเพียงกระทำสิ่งตอบสนองตัณหาทางเพศ … ถือเป็นบุคคลอันตราย แต่ก็มีทั้งผู้ชมที่หลงใหลคลั่งไคล้ และรังเกียจต่อต้าน
I think Tim’s performance is right up there with Conrad Veidt in ‘The Cabinet of Dr. Caligari.
Jim Sharman
เกร็ด: ในตอนแรก Tim Curry ตั้งใจจะให้ตัวละครย้อมผมบลอนด์ มีสำเนียงเสียง German ฟังดูเย่อหยิ่ง ทะนงตน วางตัวหัวสูงส่ง แต่วันหนึ่งหลังจากได้ยินหญิงชาวอังกฤษพูด(สำเนียงอังกฤษ)ว่า “Do you have a house in town or a house in the country.” นั่นทำให้เขาเกิดความตระหนักว่า ควรให้ตัวละครออกสำเนียงอังกฤษ แบบเดียวกับ Queen Elizabeth II (เพื่อให้สมเกียรติกับตัวละคร Drag Queen)
บทบาทในภาพยนตร์/โปรดักชั่น The Rocky Horror Show แจ้งเกิดให้กับ Curry เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ผลงานถัดจากนี้มีทั้งภาพยนตร์ (ส่วนใหญ่มักได้รับบทตัวร้าย/ชายข้ามเพศ) ละครเวที ซีรีย์โทรทัศน์ ให้เสียงพากย์อนิเมชั่น (Voice Acting) รวมถึงออกอัลบัมเพลง ผลงานเด่นๆ อาทิ Annie (1982), Legend (1985), Pennywise มินิซีรีย์ It (1990), Captain Hook อนิเมชั่น Peter Pan & the Pirates (1990–1991), Chancellor Palpatine/Darth Sidious อนิเมชั่น Star Wars: The Clone Wars (2012–2014) ฯลฯ
Susan Abigail Sarandon (เกิดปี 1946) นักแสดงหญิงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Queens, New York City ลูกคนโตจากพี่น้อง 9 คน บิดาเป็นโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ สำเร็จการศึกษาด้านการแสดงจาก The Catholic University of America เข้าสู่วงการภาพยนตร์ Joe (1970), เริ่มมีชื่อเสียงจาก The Rocky Horror Picture Show (1975), Atlantic City (1981), Bull Durham (1988), Thelma & Louise (1991), Dead Man Walking (1995)**คว้า Oscar: Best Actress
รับบท Janet Weiss คู่หมั้นของ Brad Majors มีความสุภาพอ่อนน้อม ใสซื่อไร้เดียงสา ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง เมื่อพบเจอ Dr. Frank-N-Furter รู้สึกหวาดระแวง วิตกจริต ต้องการหลบหนีไปให้ไกล แต่ก็ไม่สามารถจากไปไหน … หลังจากสูญเสียความบริสุทธิ์ กลายเป็นคนเข้มแข็ง กล้าพูด กล้าแสดงออก เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นใจ โหยหาบุรุษที่สามารถพึ่งพา ตอบสนองความต้องการของตนเอง มองหน้า(อดีต)ชายคนรักไม่ติดอีกต่อไป
Sarandon (และ Bostwick) ไม่ใช่นักแสดงจากโปรดักชั่น The Rocky Horror Show แต่เธอมีโอกาสรับชมละครเพลงที่ Los Angeles แล้วเกิดความประทับใจการแสดงของ Tim Curry วันหนึ่งบังเอิญเข้าไปทักทาย แล้วมีโอกาสทดสอบหน้ากล้อง ทั้งๆขับร้องเพลงไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่จับพลัดจับพลูได้รับเลือกบทนำ
A friend of mine was in the stage show in L.A., so I knew Tim Curry. And one day, I went by, just to say hi, when they happened to be casting. And they asked me to read, because nobody had made Janet very funny, but they were all much better singers. And so, I said, ‘No, I can’t really sing. Actually, I’m kind of phobic about singing.’ And they said, ‘Well, can you sing ‘Happy Birthday?’
So I actually went against my better judgment, thinking that maybe I would finally get over this phobia that I had about singing out loud, because I realized that it was just all ego. And eventually, I did the recording session and I kind of got somewhat over it. But it was just a fluke that I did get cast.
Susan Sarandon
บทบาทของ Sarandon อาจไม่ได้โดดเด่นเทียบเท่า Curry แต่ถือว่ามีวิวัฒนาการอันน่าทึ่ง จากสวยใสไร้เดียงสา กลัวๆกล้าๆ หลังสูญเสียความบริสุทธิ์ กลายมาเป็นสาวมั่น แรดร่านราคะ พร้อมโต้ตอบบุรุษ รับรู้ความต้องการของตนเอง … เสรีภาพทางเพศของตัวละครนี้ ไม่ได้จะสานสัมพันธ์หญิง-หญิง แต่เป็นการเปิดมุมมองต่อบุรุษเพศ ลบล้างค่านิยมรักเดียวใจเดียว ลุกขึ้นมาต่อต้านขัดขืนผู้ชายหลายใจ (รับไม่ได้กับการสูญเสียชายคนรักให้กับชายอีกคน!)
กองถ่ายของหนังใน London สร้างความยากลำบากให้กับสาวน้อย Sarandon ทั้งหนาวเหน็บ ทั้งเปียกปอน ทั้งยังต้องถอดเสื้อผ้า แถมเครื่องทำความร้อนดันไปตั้งใกล้อะไรสักอย่าง ติดไฟลุกไหม้ รถตู้ Trailer ของเธอเลยไม่หลงเหลืออะไร จนในที่สุดก็ล้มป่วยปอดอักเสบ (Pneumonia) แต่ก็เป็นโอกาส ประสบการณ์ไม่รู้ลืม
It was freezing, and then there was no heat in the studio, and we were obviously half-dressed and wet a lot of the time, so I got pneumonia. My trailer also caught fire, [so] I didn’t have anywhere to live. They kept moving me every few weeks. But anyway, it looked like we had fun, right?
Barry Knapp Bostwick (เกิดปี 1945) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ San Mateo, California โตขึ้นเข้าเรียนการแสดงยัง United States International University (USIU) แล้วเข้าร่วมคณะ Hillbarn Theatre ระหว่างนั้นศึกษาต่อ New York University Tisch School of the Arts, เริ่มมีชื่อเสียงจากละครเพลง Off-Broadway เรื่อง Salvation (1969), Rock Opera เรื่อง Soon (1971), โด่งดังกับภาพยนตร์ The Rocky Horror Picture Show (1975)
รับบท Brad Majors คู่หมั้นของ Janet Weiss หนุ่มเนิร์ดที่ดูทึ่มทือเหมือนสากกะเบือ เป็นลักษณะ ‘stereotype’ ของผู้ชายเถรตรงเกินไป (มีคำเรียกว่า ‘square’) แสดงความรังเกียจเดียดฉันท์ พยายามต่อต้านขัดขืน Dr. Frank-N-Furter แต่กลับรู้สึกสดชื่นหลังสูญเสียความบริสุทธิ์ ทำให้เรียนรู้จักตัวตนเอง ค้นพบอัตลักษณ์ทางเพศ เข้าใจความต้องการแท้จริง!
วิวัฒนาการตัวละครของ Bostwick ดูจะสวนทางกับ Sarandon เพราะหลังจากสูญเสียความบริสุทธิ์ แม้สามารถค้นพบอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง แต่บทบาทกลับค่อยๆเลือนลางจางหาย เต็มไปด้วยความสับสน มึนงง โล้เล้ลังเลใจ และกำลังใกล้สูญเสียทุกสิ่งอย่างไป (คู่หมั้นยินยอมรับพฤติกรรมสำส่อนนี้ไม่ได้, อีกทั้ง Dr. Frank-N-Furter ก็พร้อมทรยศหักหลัง ก่อนถูกเข่นฆาตกรรม)
มีผู้ชมบางคนมองว่าตัวละคร Brad คือตัวร้ายของหนัง? เพราะเป็นบุคคลทรยศหักหลัง Janet แถมชอบใช้คำพูดดูถูกเหยียดหยาม ช่วงแรกๆเต็มไปด้วยถ้อยคำต่อต้านพวกลักร่วมเพศ (Homophobia) แต่ทั้งหมดทั้งมวลราวกับกรรมสนองกรรม เคยกล่าวถ้อยคำอะไรไว้ สุดท้ายแล้วมันก็หวนย้อนกลับคืนสนอง
ถ่ายภาพโดย Peter Suschitzky (เกิดปี 1941) สัญชาติอังกฤษ สำเร็จการศึกษาด้านการถ่ายภาพจาก Institut des hautes études cinématographiques (IDHEC) เริ่มงานเป็นเด็กตอกสเลท, ควบคุมกล้อง, ถ่ายภาพเรื่องแรก It Happened Here (1964), มีชื่อเสียงโด่งดังจาก The Rocky Horror Picture Show (1975), Valentino (1977), The Empire Strikes Back (1980), แล้วกลายเป็นขาประจำผู้กำกับ David Cronenberg ตั้งแต่ Dead Ringers (1988), Crash (1996), A History of Violence (2005), Eastern Promises (2007) ฯ
ผกก. Sharman ตัดสินใจเลือกใช้บริการทีมงานยกชุดเดียวมาจากโปรดักชั่นละครเพลง ประกอบด้วยออกแบบงานสร้าง (Production Designer) Brian Thomson, เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (Costume Designer) Sue Blane, รวมถึงผู้กำกับเพลง (Music Director) Richard Hartley, เพื่อให้ร่วมสรรค์สร้างผลงานซื่อตรงต่อจิตวิญญาณ และต้นฉบับมากที่สุด
ด้วยทุนสร้าง $1.4-1.6 ล้านเหรียญ ยุคสมัยนั้นดูเหมือนเยอะ แต่หมดไปกับค่าเช่าสถานที่ ตกแต่งฉาก (รับอิทธิพลมาไม่น้อยจากจาก German Expressionism) เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ซึ่งต้องทำออกมาใหม่หมดให้มีวิวัฒนาการขึ้นจากโปรดักชั่นละครเพลง โดดเด่นด้วยแสงสีสัน สิ่งข้าวของเครื่องใช้ อะไรก็ไม่รู้มากมายจนดูรกๆรุงรัก เพื่อสร้างบรรยากาศ Gothic รู้สึกหลอกหลอน ขนหัวลุกพอง
I was influenced by classic German cinema, also stage derived, and this thinking influenced my approach. There’s a big difference between the film and stage versions.
Jim Sharman
งานภาพของหนังก็มีความโฉบเฉี่ยว ขยับเคลื่อนเลื่อนกล้องอย่างฉวัดเฉวียน … ถ้าเป็นระหว่างพูดคุยสนทนา จะไม่ค่อยพบเห็นกล้องขยับเคลื่อนไหวสักเท่าไหร่ แต่เมื่อบทเพลงดัง ตัวละครกำลังขับร้องเพลง กล้องจะมีความโฉบเฉี่ยวฉวัดเฉวียน ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาโดยทันที!
พื้นหลังของหนังดำเนินเรื่องในเมืองสมมติ Denton แต่ถ่ายทำ(ฉากภายใน)ยังสตูดิโอ Bray Studios และเลือกใช้คฤหาสถ์ Oakley Court ตั้งอยู่ยัง Maidenhead, Berkshire สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1857 ด้วยสถาปัตยกรรม Victorian Gothic ซึ่งเป็นสถานที่เลื่องชื่อเคยถูกใช้ถ่ายทำภาพยนตร์แนว Horror ของ Hammer Film Production ในช่วงทศวรรษ 50s


แผนการดั้งเดิมของ Opening Credit ต้องการนำเอาฟุตเทจนักแสดง/ภาพยนตร์เรื่องนั้นๆที่มีการอ้างอิงถึงในคำร้อง มาร้อยเรียง แปะติดปะต่อเข้าด้วย แต่ประเด็นคือเงินไม่พอจ่ายค่าลิขสิทธิ์! จึงเปลี่ยนมาภาพริมฝีปาก (ของ Patricia Quinn) ทำการลิปซิงค์ (Lipsync) แต่ดูเหมือนพยายามจะกลืนกิน … ริมฝีปากดูยังไงก็เหมือนเพศหญิง แต่กลับได้ยินเสียงร้องของผู้ชาย เป็นการสะท้อนแนวคิดข้ามเพศ (Transvestite)
เกร็ด: ได้แรงบันดาลใจจากภาพวาดริมฝีปากของศิลปินดาด้า Man Ray ชื่อว่า A l’heure de l’observatoire, les Amoureux (1932-34) แปลว่า Observatory Time, the Lovers


หลายคนอาจไม่ทันสังเกตบาทหลวง และคนรับใช้ชาย-หญิง คือนักแสดงคนเดียวกันกับ Dr. Frank-N-Furter และสองคนรับใช้ Riff Riff & Magenta, นอกจากนี้ Riff Riff ยังถือคราดเหล็ก ที่ดูไปดูมามีลักษณะคล้ายปืนเลเซอร์ตอนท้ายเรื่อง
ผมอาจจะจินตนาการไปไกล แต่โบสถ์หลังนี้(กลางวัน)ไม่แน่ว่าอาจคือคฤหาสถ์ลึกลับ(กลางคืน) สถานที่ที่ทำให้คนหนุ่ม-สาว ได้เรียนรู้ เข้าใจตัวตนเอง ค้นพบอัตลักษณ์ทางเพศที่แท้จริง (ตอนกลางวันทำพิธีแต่งงานให้คู่รักชาย-หญิง, ตอนกลางคืนทำให้พวกเขาค้นพบตัวตนเองแท้จริง)


การยื้อๆยักๆ ชักแม่น้ำทั้งห้า ดูเหมือน Brad จะไม่ค่อยอยากสารภาพรักกับ Janet แถมป้ายประกาศด้านหลัง The Home of Happiness! มันช่างล่อตาล่อใจ โจ่งแจ้ง โจ๋งครึ่ม ปักธง ทุกสิ่งอย่างมันดูจอมปลอม ปอกลอก ราวกับภาพลวงหลอกตา? ใครสังเกตได้ตั้งแต่ตอนนี้ ก็อาจสามารถคาดเดาเหตุการณ์บังเกิดขึ้นต่อไป

ระหว่างที่ Brad & Janet เดินมาถึงคฤหาสถ์ลึกลับ ขับร้องเพลงอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ Frankenstein ช็อตนี้มีลางบอกเหตุ กลุ่มแก๊งค์รถมอเตอร์ไซด์พุ่งมาจากด้านหลัง ทำให้ทั้งสองที่กำลังโอบกอด ต้องพลัดพราก แยกจากกัน (รถมอเตอร์ไซด์พุ่งผ่านกึ่งกลางระหว่างพวกเขา)

สิ่งที่ผมสนใจในช็อตนี้ไม่ใช่โครงกระดูกในเรือนนาฬิกา (คงอ้างอิงจากหนัง Horror สักเรื่อง) แต่คือภาพวาดศิลปวะ American Gothic (1930) โดย Grant Wood (1891-1942) จิตรกรชาวอเมริกัน ผู้บุกเบิก American Art ในสไตล์ Regionalism
สำหรับภาพวาด American Gothic (1930) แฝงแนวคิด “the kind of people should live in that house” หลายคนมักเข้าใจผิดว่าบุคคลที่เป็นต้นแบบคือ Grant Wood และภรรยา แต่แท้จริงแล้วคือน้องสาว Nan Wood Graham และหมอฟัน Dr. Byron McKeeby (ไม่ได้แต่งงานกัน) วาดออกมาให้เค้าโครงหน้า แต่งตัวเหมือนชาวนา ดูสอดคล้องกับบ้าน (สไตล์ Gothic) ที่อยู่เบื้องหลัง
ในบริบทของหนัง หลายคนอาจครุ่นคิดว่าเป็นเปรียบเทียบภาพวาดนี้กับ Riff Riff และน้องสาว Magenta (เพราะมีหน้าตาละม้ายคล้ายกันอยู่) แต่เราสามารถเหมาแนวคิด “the kind of people should live in that house” รวมถึง Dr. Frank-N-Furter กับโครงกระดูก (หรือจะมองว่าคือ Rocky Horror ก่อนเป็นมัมมี่ก็ได้เช่นกัน)


ความตั้งใจดั้งเดิมของผกก. Sharman ต้องการให้หนังเริ่มต้นด้วยฟีล์มขาว-ดำ ทำแบบ The Wizard of Oz (1939) จนกระทั่งมาถึงบทเพลง Sweet Transvestite ขับร้องท่อน “I’m just a sweet transvestite from Transsexual, Transylvania.” ค่อยปรับเปลี่ยนมาเป็นฟีล์มสี เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวาของชาว Transvestite แต่เหตุผลที่ไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะงบประมาณไม่เพียงพอ T_T
เกร็ด: DVD ฉบับครบรอบ 25 ปีของหนัง เหมือนว่าจะมีการทำ ‘Easter Egg’ ฉายภาพขาว-ดำ ตั้งแต่ฉากแรก (ยกเว้น Opening Credit) มาจนถึง Riff Riff เปิดประตูเชิญเข้ามาในคฤหาสถ์ … แต่ก็ไม่ได้เสียงตอบรับดีสักเท่าไหร่ มองว่าสตูดิโอ Fox มักง่ายเกินไป

สารพัดเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าหน้าผมของตัวละคร Sue Blane อธิบายว่าเธอไม่ได้นำแรงบันดาลใจจากหนัง Sci-Fi หรือแนว Horror เรื่องไหนๆ แต่ใช้สันชาตญาณเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยรับอิทธิพลจาก ‘punk music style’ (ที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษทศวรรษนั้น)
เกร็ด: งบประมาณในส่วนเครื่องแต่งกาย ฉบับละครเพลงเห็นว่ามีแค่ $400 เหรียญ ส่วนภาพยนตร์เพิ่มขึ้นเป็น $1,600 เหรียญ จึงจำต้องหาซื้อชุดมือสองราคาถูกๆ ตามตลาดนัด (Flea Market) แล้วค่อยมาปรับแก้ไขเอาภายหลัง
When I designed Rocky I never looked at any science fiction movies or comic books. One just automatically knows what spacesuits look like, the same way one intuitively knows how Americans dress. I had never been to the United States, but I had this fixed idea of how people looked there.
I thought Brad and Janet were supposed to be mid-sixties, while Eddie was straight out of the fifties. He was a mixture between a Hell’s Angel and a Teddy Boy, the English equivalent. The narrator was somewhere in the forties and Frank-N-Furter … well, who knows what period he was coming from. I’m not really that interested in recreating a certain era when I design. I like to concentrate on minute details instead, like wondering what type of pen Dr. Scott has in his pocket, whether his tie has stripes or not, or whether he’s got holes in his maroon socks. It also helps the actors tremendously in creating their characters.
Sue Blane


Rocky Horror ถือกำเนิดด้วยวิธีการเดียวกับ The Monster จาก Frankenstein โดยมีส่วนผสมของ The Mummy (ผ้าพันทั่วร่างกาย) สิ่งมีชีวิตนอกโลก (จะมีช็อตที่ห้อยโหนลงมาจากเบื้องบน) และมันสมองส่วนหนึ่งของ Eddie (เลยวิ่งวนไปรอบๆห้อง แบบเดียวกับตอนที่ Eddie ซิ่งมอเตอร์ไซด์ทะลุกำแพง)
ความตั้งใจของ Dr. Frank-N-Furter ต้องการสร้าง Rocky Horror ให้เป็นชายสมบูรณ์แบบ กล้ามใหญ่บึกบึน มีเพศสัมพันธ์ได้ทั้งชาย-หญิง กระทำสิ่งต่างๆตามคำสั่งของตน … แต่ผลลัพท์ Rocky ดูเป็นคนไม่ค่อยเต็มสักเท่าไหร่ แสดงอาการสับสน หวาดกังวล ถูกล่อลวงโดย Janet ทั้งยังต่อต้านขัดขืนคำสั่งบิดา/ผู้ให้กำเนิด ไม่ได้สร้างความ ‘Horror’ ให้ใครนอกจากตัวตนเอง
ผมอ่านพบเจอว่า Richard O’Brien พัฒนาตัวละคร Dr. Frank-N-Furter ให้มีพฤติกรรมจอมบงการไม่ต่างจากมารดา(ของเขาเอง) นี่แปลว่า Rocky Horror ถือเป็นตัวตายตัวแทน หรือก็คือ O’Brien เองนะแหละ! (อ่านชื่อ Richard O’Brien ก็ผันผวนเป็น Rocky Horror ได้กระมัง) ถือกำเนิดด้วยความคาดหวังครอบครัว แต่แสดงพฤติกรรมต่อต้านขัดขืน ไม่ยินยอมรับ ไม่เข้าใจตัวตนเอง เต็มไปด้วยอาการขลาด หวาดกลัว ทึ่มๆทื่อๆ ดื้อรั้น ดึงดัน โหยหาอิสรภาพ พยายามดิ้นหลบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้
เกร็ด: แท้งค์น้ำที่ให้กำเนิด Rocky Horror เห็นว่าเคยถูกใช้ในภาพยนตร์ The Revenge of Frankenstein (1958) ปรับแต่งให้มีสีรุ้งเพื่อสื่อถึงความหลากหลายทางเพศ (แม้ภายนอกจะเป็นเพศชาย แต่ผมครุ่นคิดว่า Rocky Horror ได้หมดถ้าสดชื่น)


ตัวละคร Eddie ดูหลุดมาจากทศวรรษ 50s ขับรถมอเตอร์ไซด์ แต่งตัวสไตล์ Rock & Roll เป่าแซกโซโฟน ตกหลุมรัก Columbia ยินยอมมอบสมองส่วนหนึ่งให้กับ Rocky Horror ก่อนถูกเข่นฆาตกรรมโดย Dr. Frank-N-Furter น่าจะด้วยความอิจฉาริษยา ทนเห็นความสนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้ของอีกฝ่ายไม่ได้!
ผมมองความตายของ Eddie สื่อถึง ‘loss of innocence’ การสูญเสียความสดใส/บริสุทธิ์ทางจิตใจ, ขณะที่ Brad & Janet กำลังจะสูญเสียความบริสุทธิ์ทางร่างกายให้กับ Dr. Frank-N-Furter ในอีกไม่ช้านาน

ผมแอบแปลกใจมากๆที่แสงสีในช็อตสูญเสียความบริสุทธิ์ของ Janet & Brad (ทำออกมาในลักษณะภาพเงา (Silhouette)) ไม่ใช่แดง-น้ำเงิน แต่กลับเป็นแดง-ขาว(ออกเทาๆ) มันอาจเพราะ …
- เวลาหญิงสาวสูญเสียความบริสุทธิ์ย่อมมีเลือดสีแดงไหลออกมา
- ส่วนบุรุษเมื่อถูกเปิดประตูหลัง มันคือคราบเทาๆดำๆ … อย่าไปจินตนาการมันเลยดีกว่า


เกร็ด: Farnese Atlas รูปแกะสลักตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ยุคสมัยโรมัน โดยมีเรื่องราวยักษ์ไททัน Atlas หลังพ่ายแพ้สงครามต่อเหล่าเทพ Olympia ถูกเทพเจ้า Zeus สั่งลงโทษให้เป็นผู้แบกท้องฟ้า (บางตำนานว่าเป็นลูกโลก) ไว้บนบ่า
แม้ว่าช็อตนี้ Rocky Horror จะนอนคว่ำบนเตียง แต่แผ่นหลังเปลือยเปล่า และถูกล่ามโซ่ตรวน ให้ความรู้สึกเหมือนเขากำลังแบกภาระทางโลกเอาไว้ ทั้งๆเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา กลับได้รับการคาดหวังโน่นนี่นั่นจาก(บิดา/ผู้ให้กำเนิด) Dr. Frank-N-Furter ไม่สามารถดิ้นหลุดพ้นพันธนาการดังกล่าว

เกร็ด: David (1501-04) ประติมากรรมชิ้นเอก รูปแกะสลักหินในยุคสมัย Italian Renaissance อีกผลงานมาสเตอร์พีซของ Michelangelo สัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่ง งดงาม และความหนุ่ม-สาวของ(ร่างกาย)มนุษย์
หลังจาก Janet พบเห็นภาพบาดตาบาดใจของคู่หมั้น Brad เธอจึงหันเหความสนใจมายัง Rocky Horror ซึ่งมีรูปร่างลักษณะไม่แตกต่างจากรูปแกะสลัก David เลยตัดสินใจยั่วเย้า อ่อยเหยื่อ ต้องการครอบครองเป็นเจ้าของ ให้อีกฝ่ายร่วมเพศสัมพันธ์กับตนเอง Touch-a, Touch-a, Touch-a, Touch Me

หนังอาจไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่การนำศพของ Eddie ซ่อนไว้ใต้ผ้าคลุม เป็นการบอกใบ้ว่าอาหารมื้อนี้ อาจทำมาจากเนื้อหนัง อวัยวะภายใน (Human Cannibalism) แฝงนัยยะถึงการทรยศหักหลัง กัดกินเนื้อพวกเดียวกัน … สะท้อนได้ทั้งพฤติกรรมนอกใจของ Brad & Janet หรือแม้แต่ Rocky Horror ปฏิเสธทำตามคำสั่งบิดา/ผู้ให้กำเนิด Dr. Frank-N-Furter

Dr. Frank-N-Furter ทำการจู่โจมตี Dr. Scott, Brad, Janet, Rocky และ Columbia ด้วยเครื่อง Medusa Transducer สาปให้พวกเขากลายเป็นรูปปั้นหิน (Medusa ในเทพปกรณัมกรีก เป็นสัตว์ประหลาด Gorgo ใบหน้ามนุษย์ มีงูพิษเป็นผม หากจ้องมองเธอโดยตรงจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นหิน)
ผมอ่านเจอว่า Medusa ในปัจจุบันสามารถมองในเชิง Feminism สัญลักษณ์ความเกรี้ยวกราดของสตรี (female rage) ยุคสมัยก่อนเป็นสิ่งที่สังคมไม่ให้การยินยอมรับ (ผู้หญิงต้องเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้) เลยมีการสร้างปรัมปรา Medusa คือหญิงบ้า บุคคลอันตราย ห้ามชายใดเข้าใกล้
Medusa is widely known as a monstrous creature with snakes in her hair whose gaze turns men to stone. Through the lens of theology, film, art, and feminist literature, my students and I map how her meaning has shifted over time and across cultures. In so doing, we unravel a familiar narrative thread: In Western culture, strong women have historically been imagined as threats requiring male conquest and control, and Medusa herself has long been the go-to figure for those seeking to demonize female authority.
Elizabeth Johnston เขียนบทความ Nasty Woman ตีพิมพ์ลงนิตยสาร Atlantic ฉบับเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2016
ในบริบทของหนัง ผมมองว่าคือการเปลี่ยนแปรสภาพ จากมนุษย์กลายเป็นรูปปั้น ภาพยนตร์ = งานศิลปะ พวกเขาเหล่านี้คือบุคคลผู้เสียสละ เปลือยกาย นึกว่าตาย ก่อนกลายเป็นอมตะนิรันดร์

พวกเขาทั้งสี่ที่โดนสาปเป็นหิน ถูกบีบบังคับให้กลายเป็นนักเต้น เริงระบำ ทำการแสดงคาบาเร่ต์ (แต่ละคนก็จะมีเฉดสีของตนเอง) อารัมบทก่อนเปิดผ้าม่าน นำเข้าสู่การแสดงหลักของ Dr. Frank-N-Furter ปีนป่ายขึ้นเสาส่งสัญญาณ โลโก้สตูดิโอ RKO Picture (สตูดิโอที่สรรค์สร้างภาพยนตร์ Citizen Kane (1942)) แหวกว่ายสระน้ำ Michelangelo: The Creation of Adam
ผมมองการแสดงโชว์ครั้งนี้ มีลักษณะหนังซ้อนละคร (play within film) สรุปย่นย่อเหตุกาณ์บังเกิดขึ้นทั้งหมด ประมวลมาเป็นบทเพลง โลกทั้งใบของ Dr. Frank-N-Furter เลือนลางระหว่างความจริง vs. จินตนาการเพ้อฝัน (หรือจะมองว่า ละครเพลง vs. ภาพยนตร์ ก็ได้เช่นกัน)


ชุดมนุษย์ต่างดาวของ Riff Raff และ Magenta ผมยังนึกไม่ออกว่ามีความละม้ายคล้ายหนังไซไฟเรื่องไหน แต่ทรงผมฝ่ายหญิงมาจากภาพยนตร์ The Bride of Frankenstein (1935) ถืออาวุธปืนเลเซอร์/คราดเหล็กถางหญ้า … สิ่งข้าวของที่ดูสุดแสนธรรมดาๆ มันอาจมีมูลค่ามากมายมหาศาลซ่อนเร้นอยู่!

เอาจริงๆผมไม่ค่อยเข้าใจว่า Dr. Frank-N-Furter หวาดกลัวเกรงอะไรกับ Riff Riff และ Magenta (ต่างก็มาจากดาวเคราะห์ Transsexual เหมือนกันไม่ใช่หรือ?) อาจเพราะอีกฝ่ายมีปืนเลเซอร์ ใช้ข่มขู่ ข่มเหง เลยทำให้เขาหวาดวิตกกังวล ขอทำการแสดงชุดสุดท้าย รำพรรณาครุ่นคิดถึงบ้าน
แต่การแสดงชุดนี้ I’m Going Home ได้ทำการเลือนลางระหว่างความจริง (ไม่มีผู้ชม เก้าอี้ว่างเปล่า) vs. จินตนาการเพ้อฝัน (มีผู้ชมเต็มที่นั่ง หลังเสร็จสิ้นการแสดงลุกขึ้นยืนปรบมือให้) จะมองว่า Dr. Frank-N-Furter มีปัญหาทางจิต เหมือนคนวิกลจริต หรือสะท้อนความต้องการแท้จริง เป้าหมายเดินทางมายังดาวเคราะห์โลก หรือจะเปรียบเทียบในเชิงหนังซ้อนละคร (play within film) … ได้ทำในสิ่งเพ้อใฝ่ฝัน แม้อาจไม่มีใครรับชม แต่สามารถเติมเต็มความรู้สึกภายใน
แซว: ซีเควนซ์นี้ยังแอบพยากรณ์ตัวของหนังด้วยว่า จะมีช่วงที่ขาดทุนย่อยยับ (ไม่มีผู้ชมในโรง) ก่อนได้รับกระแสคัลท์ติดตามมา (ผู้ชมเต็มโรง ยืนปรบมือ ยกย่องสรรเสริญเหนือกาลเวลา)



จริงๆมีหลายช็อตที่พบเห็นภาพวาด Mona Lisa แต่ผมขอกล่าวถึงตรงนี้แล้วกัน ชื่อภาษาอิตาเลี่ยน La Gioconda (1503-07) ผลงานศิลปะ/ภาพวาดสีน้ำมันที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกของ Leonardo da Vinci สุภาพสตรีที่มีรอยยิ้มปริศนา ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่? เพียงรับรู้ว่าหญิงสาวนั่งอยู่คือคือ Lisa Gherardini ภริยาขุนนางนักธุรกิจไหมผู้มั่งคั่ง Francesco del Giocondo
ความงดงาม สมมาตรของใบหน้า อีกทั้งไม่รู้ว่ายิ้ม-หัวเราะ-ร้องไห้ แม้บุคคลต้นแบบคือผู้หญิง แต่ยังมีการโต้ถกเถียง/ทฤษฎีสมคบคิดว่าอาจเป็น da Vinci วาดขึ้นจากภาพสะท้อนตนเองในกระจก (Self-Portrait) นั่นกระมังคือเหตุผลที่ทำให้ภาพวาด Mona Lisa กลายเป็นสัญลักษณ์ของชาว Queer เพราะสามารถมองได้ทั้งบุรุษ-สตรี มีความคลุมเคลือในเพศสภาพ

จุดจบของ Dr. Frank-N-Furter (และ Rocky Horror)ปีนป่ายขึ้นบนเสาอากาศ เหมือนพยายามจะหลบหนีเอาตัวรอด แต่ผมมองในเชิงสัญลักษณ์ถึงสูงสุดหวนกลับสู่สามัญ เมื่อไปถึงยอดบน(เสาอากาศ)นั้น (ความทะเยอทะยาน/มักใหญ่ใฝ่สูง) ก็พลันตกลงมาในสระน้ำ Michelangelo: The Creation of Adam
ตรงข้ามกับตอนถือกำเนิด Rocky Horror (ในแท้งค์น้ำเล็กๆ แล้วปีนป่ายลงมาจากเบื้องบน) ขณะนี้คือความตาย (ตกลงมาจากเบื้องบน จมลงสระน้ำขนาดใหญ่) พระเจ้าสามารถให้กำเนิด และทำลายชีวิตได้เช่นกัน


แท้จริงแล้วคฤหาสถ์ลึกลับหลังนี้ก็คือยานอวกาศ แล้วใครจะไปคาดคิดว่า Dr. Frank-N-Furter เดินทางมาจากดาวเคราะห์ Transsexual ในแกแลคซี่ Transylvania ซึ่งขณะนี้ Riff Raff และ Magenta กำลังเตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน … แต่จะว่าไปสายรุ้งที่พาดผ่าน ชวนให้นึกถึงโลโก้สตูดิโอ Walt Disney

ตัดต่อโดย Graeme Clifford (เกิดปี 1942) ผู้กำกับ/นักตัดต่อ สัญชาติ Australian เกิดที่ Sydney เข้าสู่วงการจากทำงาน Special Effect, ต่อด้วย Sound Recording/Mixing, ผู้ช่วยผู้กำกับ, พอเดินทางสู่ London ทำงานแผนกตัดต่อสถานีโทรทัศน์ BBC แล้วย้ายมาแคนาดาในสังกัด CBS ตัดต่อโฆษณา สารคดี ทำให้มีโอกาสรับรู้จัก Robert Altman กลายเป็นผู้ช่วยตัดต่อ That Cold Day in the Park (1969), จากนั้นมุ่งหน้าสู่ Hollywood แจ้งเกิดกับผลงานตัดต่อ Don’t Look Now (1973), The Man Who Fell to Earth (1973), The Rocky Horror Picture Show (1975), กำกับภาพยนตร์ อาทิ Frances (1982) ฯ
หนังดำเนินเรื่องผ่านการเรื่องเล่าของนักอาชญาวิทยา (Criminologist) รับบทโดย Charles Gray มักปรากฎตัวขึ้นมาอธิบายโน่นนี่ แสดงความครุ่นคิดเห็นโน่นนั่น บอกใบ้เหตุการณ์กำลังบังเกิดขึ้น ไม่ก็ให้คำแนะนำลีลาท่าเต้น โผล่มาอย่างไร้เหตุผล (และไร้ความจำเป็น)
โดยเรื่องเล่าของนักอาชญาวิทยานิรนามนี้ เกี่ยวกับคู่หมั้น Brad Majors และ Janet Weiss ระหว่างทางกลับจากงานแต่งงานเพื่อนสนิท ยามค่ำคืน ฝนตกหนัก ยางแตก รถเสียข้างทาง พวกเขาจึงจำต้องขอหลบฝน พักค้างแรมยังคฤหาสถ์โกธิคหลังหนึ่ง
- อารัมบท
- Opening Credit บทเพลง Science Fiction/Double Feature
- หลังงานแต่งงานของเพื่อนสนิท Brad Majors ประกาศหมั้นหมายกับ Janet Weiss
- นักอาชญากรวิทยา (Criminologist) เล่าเกริ่นเรื่องราวต่อจากนี้
- เหตุการณ์ประหลาดๆในคฤหาสถ์ลึกลับ
- ยามค่ำคืน ฝนตกหนัก ยางแตก รถเสียข้างทาง Brad & Janet จึงจำต้องขอหลบฝน พักค้างแรมยังคฤหาสถ์หลังหนึ่ง
- เมื่อมาถึงได้รับการต้อนรับสุดแปลกประหลาด พอดิบพอดีตรงกับงานวันเกิดของ
- Dr. Frank-N-Furter พา Brad & Janet ขึ้นไปบนห้องทดลอง พบเห็นการถือกำเนิดของ Rocky Horror
- จู่ๆเด็กส่งของ Eddie ขับรถพุ่งผ่านกำแพง เข้ามาก่อกวนความสงบ สร้างความไม่พึงพอใจให้กับ Dr. Frank-N-Furter เลยถูกเข่นฆาตกรรม
- ค่ำคืนแห่งการสูญเสียความบริสุทธิ์
- Brad & Janet ถูกพาไปพักผ่อนคนละห้องพัก
- Dr. Frank-N-Furter แอบเข้าห้องของ Janet
- Dr. Frank-N-Furter แอบเข้าห้องของ Brad
- เรื่องวุ่นๆหลังจาก Rocky Horror หลุดจากพันธนาการ
- Janet พบเห็นภาพบาดตาบาดใจของ Brad เลยตัดสินใจเข้าหา Rocky Horror
- Dr. Frank-N-Furter รับไม่ได้กับภาพบาดตาบาดใจของ Rocky Horror
- ความโฉดชั่วร้ายของ Dr. Frank-N-Furter
- Dr. Scott ออกติดตามหา Eddie มานถึงคฤหาสถ์ของ Dr. Frank-N-Furter
- Dr. Frank-N-Furter เลี้ยงอาหาร(ไม่รู้มื้อดึกหรือมื้อเช้า)กับ Dr. Scott ก่อนเปิดเผยสิ่งบังเกิดขึ้นกับ Eddie
- จากนั้น Dr. Frank-N-Furter ใช้เครื่องแปรสัญญาณ (Medusa Transducer) ทำให้ใครต่อใครกลายร่างเป็นรูปปั้นนู๊ด
- สูงสุดกลับสู่สามัญของ Dr. Frank-N-Furter
- จากนั้นบีบบังคับให้พวกเขาทำการแสดงคาบาเรต์ ยังเสาส่งสัญญาณ RKO และแหวกว่ายอยู่ในสระว่ายน้ำ
- สองคนรับใช้ Riff Raff และ Magenta ตัดสินใจก่อการกบฎ เปิดเผยตัวตน ใช้ปืนเลเซอร์จัดการ Dr. Frank-N-Furter
- หลังเสร็จภารกิจ ทั้งสองเดินทางกลับดาวเคราะห์บ้านเกิด ทอดทิ้ง Brad & Janet และ Dr. Scott หลบหนีหัวซุกหัวซุน
เพลงประกอบโดย Richard Neville Hartley (เกิดปี 1944) สัญชาติอังกฤษ ตั้งแต่เด็กฝึกฝนเปียโน โตขึ้นเป็นสมาชิกวง R&B ที่ Paris ชื่นชอบการแต่งเพลง ครั้งหนึ่งได้รับโอกาสให้มาช่วยคัดเลือกนักแสดงโปรดักชั่น Jesus Christ Superstar ณ กรุง London มีฝีไม้ลายมือเป็นที่ถูกใจผกก. Jim Sharman และ Richard O’Brien เลยชักชวนมาร่วมงาน The Rocky Horror Show
ฉบับละครเพลงเป็นการร้องสดๆระหว่างทำการแสดง จึงไม่มีการบันทึกเสียงไว้ล่วงหน้า ซึ่งแตกต่างจากภาพยนตร์ Hartley จำเป็นต้องเรียบเรียงหลายท่วงทำนองขึ้นใหม่ ปรับเปลี่ยนจังหวะช้า-เร็ว เพิ่มเติม-ตัดออกเนื้อคำร้อง เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งก่อนเข้าห้องอัดเสียง จะมีซักซ้อมการแสดง (เพื่อให้นักแสดงรู้คิวของตนเอง) และพอบันทึกเสียงเสร็จ ค่อยกลับมาถ่ายทำจริงอีกครั้ง
The music for the film was re-arranged by Richard Hartley to suit the musical strengths of the cast. We also rehearsed before we recorded, so the songs were performed with a clear idea of the action involved, allowing the actors to characterize their songs. This resulted in a shift in interpretation between stage and film.
Jim Sharman
เกร็ด: อัลบัมเพลงประกอบ The Rocky Horror Picture Show (1975) ช่วงปีแรกๆขายไม่ออกสักเท่าไหร่ แต่พอหนังได้รับกระแสคัลท์ (Cult Following) จึงค่อยขายดีขึ้นตามลำดับ ตัวอัลบัมเคยทำอันดับสูงสุด 49 ชาร์ท Billboard 200 ประจำปี ค.ศ. 1978, และยอดขายเกิน 500,000 ก็อปปี้ (Gold Certified) เมื่อถึงปี ค.ศ. 1981
ผมจงใจนำ Science Fiction/Double Feature จากละครเพลงต้นฉบับ ขับร้องโดย Patricia Quinn (นักแสดงนำจากโปรดักชั่น London) เพื่อให้ลองเปรียบเทียบกับที่ได้ยินในหนัง ราวกับคนละบทเพลง! ส่วนตัวชื่นชอบฉบับเสียงนางฟ้านี้มากกว่า ฟังดูดัดจริต โรแมนติก กุ๊กกิ๊ก ดึงดูดความสนใจได้โดยทันที
ผิดกับฉบับภาพยนตร์ขับร้องโดย Richard O’Brien ทำเหมือนลิปซิงค์ (Lipsync) ดัดเสียง (ริมฝีปากผู้หญิง แต่เสียงร้องผู้ชาย) มีความเอื่อยๆ เฉื่อยๆ ยั่วเย้า เซ็กซี่ ร่านราคะ ขณะเดียวรู้สึกหลอกหลอน หวาดเสียวประตูหลัง … เพราะผมเป็นชายแท้ๆไง มันเลยแบบว่า !@#$%
Science Fiction onstage is a chirpy, witty, uptempo song – abrasive and attention demanding. It is, after all, the opening number of a stage show. In the film, it’s slow, sinuous and seductive – it draws you in.
Jim Sharman
ความน่าอึ้งทึ่งของบทเพลงนี้ คือการระยำสารพัดหนัง บุคคล แม้แต่ค่ายหนัง นำมาผสมผสานคลุกเคล้า ให้มีคำร้องสอดคล้อง เนื้อหาอะไรก็ไม่รู้ช่างหัวมัน แต่สามารถดึงดูดความน่าสนใจจากผู้ชมได้โดยทันที
Michael Rennie was ill
The day the Earth stood still
But he told us where we stand
And Flash Gordon was there
In silver underwear
Claude Rains was The Invisible ManThen something went wrong
For Fay Wray and King Kong
They got caught in a celluloid jam
Then at a deadly pace
It came from outer Space
And this is how the message ranScience fiction (ooh-ooh-ooh) double feature
Doctor X (ooh-ooh-ooh) will build a creature
See androids fighting (ooh-ooh-ooh) Brad and Janet
Anne Francis stars in (ooh-ooh-ooh) Forbidden Planet
Wo-oh-oh-oh-oh-oh
At the late night, double feature, picture showI knew Leo G. Carroll
Was over a barrel
When Tarantula took to the hills
And I really got hot
When I saw Janette Scott
Fight a Triffid that spits poison and killsDana Andrews said prunes
Gave him the runes
And passing them used lots of skills
But when worlds collide
Said George Pal to his bride
I’m gonna give you some terrible thrills
Like aScience fiction (ooh-ooh-ooh) double feature
Doctor X (ooh-ooh-ooh) will build a creature
See androids fighting (ooh-ooh-ooh) Brad and Janet
Anne Francis stars in (ooh-ooh-ooh) Forbidden Planet
Wo-oh-oh-oh-oh-oh
At the late night, double feature, picture showI wanna go, oh-oh-oh-oh
To the late night, double feature, picture show
By R.K.O., wo-oh-oh-oh
To the late night, double feature, picture show
In the back row, oh-oh-oh-oh
To the late night, double feature, picture show
แม้นี่คือบทเพลงสารภาพรักของ Brad ต่อ Janet แต่ชื่อเพลงคือ Dammit Janet เอ๊ะ? มันยังไง? ขับร้องโดย Barry Bostwick และ Susan Sarandon, นี่เป็นการแอบบอกใบ้สถานการณ์ความรักระหว่างทั้งสองได้อย่างเนียนๆ ทุกสิ่งอย่างในซีเควนซ์นี้ดูปลอมๆ ปอกลอก ฝ่ายชายดูโล้เล้ลังเล เหมือนมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง
[Brad Majors, spoken]
Hey, Janet[Janet Weiss, spoken]
Yes, Brad?[Brad Majors, spoken]
I’ve got something to say[Janet Weiss, spoken]
Uh huh?[Brad Majors, spoken]
I really love the…skillful way
You beat the other girls
To the bride’s bouquet[Janet Weiss, spoken]
Oh…oh, Brad[Brad Majors]
The river was deep but I swam it[Chorus]
JanetYou might also like
Eddie
Richard O’Brien
Sweet Transvestite
Richard O’Brien
Over at the Frankenstein Place
Richard O’Brien[Brad Majors]
The future is ours, so let’s plan it[Chorus]
Janet[Brad Majors]
So please don’t tell me to can it[Chorus]
Janet[Brad Majors]
I’ve one thing to say, and that’s
Dammit Janet, I love you
The road was long but I ran it[Chorus]
Janet[Brad Majors]
There’s a fire in my heart and you fan it[Chorus]
Janet[Brad Majors]
If there’s one fool for you then I am it[Chorus]
Janet[Brad Majors]
I’ve one thing to say, and that’s
Dammit Janet, I love you
Here’s a ring to prove that I’m no joker
There’s three ways that love can grow
That’s good, bad, or mediocre
Oh J-A-N-E-T, I love you so[Janet Weiss]
Oh, it’s nicer than Betty Munroe had[Chorus]
Oh, Brad[Janet Weiss]
Now we’re engaged and I’m so glad[Chorus]
Oh, Brad[Janet Weiss]
That you met Mom and you know Dad[Chorus]
Oh, Brad[Janet Weiss]
I’ve one thing to say, and that’s
Brad, I’m mad, for you too
Oh, Brad[Brad Majors]
Oh, dammit[Janet Weiss]
I’m mad[Brad Majors]
Oh, Janet[Janet Weiss]
For you[Brad Majors]
I love you too[Brad & Janet]
There’s one thing left to do, ah-hoo[Brad Majors]
And that’s go see the man who began it[Chorus]
Janet[Brad Majors]
When we met in his science exam-it[Chorus]
Janet[Brad Majors]
Made me give you the eye and then panic[Chorus]
Janet[Brad Majors]
Now I’ve one thing to say, and that’s
Dammit Janet, I love you
Dammit, Janet[Janet Weiss]
Oh Brad, I’m mad[Brad Majors]
Dammit, Janet[Brad & Janet]
I love you
Time Warp ขับร้องโดย Richard O’Brien & Patricia Quinn & Nell Campbell อีกเพลงฮิตที่ทำการเคารพคารวะ ขณะเดียวกันต้องการล้อเลียนหนังเต้นยุคสมัยก่อน (parody) โดยไฮไลท์ที่ผมชื่นชอบมากๆคือลีลาการตัดต่อ บ่อยครั้งแทรกภาพนักอาชญาวิทยา (Criminologist) พูดสอนท่วงท่าเต้น ขยับเท้าซ้าย-ขวา สร้างความสนุกสนาน อยากลุกขึ้นมาขยับโยกตาม
[Riff Raff]
It’s astounding
Time is fleeting
Madness takes its toll
But listen closely[Magenta]
Not for very much longer[Riff Raff]
I’ve got to keep controlI remember doing the Time Warp
Drinking those moments when
The blackness would hit me[Riff Raff & Magenta]
And the void would be calling[All]
Let’s do the Time Warp again
Let’s do the Time Warp again[The Criminologist]
It’s just a jump to the leftYou might also like
Rich Men North of Richmond
Oliver Anthony Music
Sweet Transvestite
Richard O’Brien
vampire
Olivia Rodrigo
[All]
And then a step to the right[The Criminologist]
With your hands on your hips[All]
You bring your knees in tight
But it’s the pelvic thrust
That really drives you insane[All]
Let’s do the Time Warp again
Let’s do the Time Warp again[Magenta]
It’s so dreamy
Oh, fantasy free me
So you can’t see me
No, not at all
In another dimension
With voyeuristic intention
Well secluded, I see all[Riff Raff]
With a bit of a mind flip[Magenta]
You’re into the time slip[Riff Raff]
And nothing can ever be the same[Magenta]
You’re spaced out on sensation[Riff Raff]
Like you’re under sedation[All]
Let’s do the Time Warp again
Let’s do the Time Warp again[Columbia]
Well I was walking down the street
Just a having a think
When a snake of a guy gave me an evil wink
He shook-a me up, he took me by surprise
He had a pick up truck and the devil’s eyes
He stared at me and I felt a change
Time meant nothing, never would again[All]
Let’s do the Time Warp again
Let’s do the Time Warp again[The Criminologist]
It’s just a jump to the left[All]
With a step to the right[The Criminologist]
Put your hands on your hips[All]
You bring your knees in tight
But it’s the pelvic thrust
That really drives you insaneLet’s do the Time Warp again
Let’s do the Time Warp again
I’m just a sweet transvestite from Transsexual, Transylvania.
นั่นคือประโยคคำร้องที่กลายเป็น ‘Iconic’ ของบทเพลง Sweet Transvestite (ผมถือว่าเป็นเพลงชาติของชาว Transvestite) ขับร้องโดย Tim Curry สำหรับเปิดตัวละคร Dr. Frank-N-Furter ได้อย่างหนักแน่น สุดเหวี่ยง ทรงพลัง ฟังเหมือนบุรุษมาดแมน แต่เสื้อผ้าสวมใส่ชัดเจนว่าคือชายข้ามเพศ … อย่าตัดสินคนแค่เพียงเปลือกภายนอก (Don’t judge a book by its cover)
How d’you do, I
See you’ve met my
Faithful handyman
He’s just a little brought down because
When you knocked
He thought you were the candy manDon’t get strung out by the way that I look
Don’t judge a book by its cover
I’m not much of a man by the light of day
But by night I’m one hell of a loverI’m just a sweet transvestite
From Transexual, Transylvania, ha haLet me show you around, maybe play you a sound
You look like you’re both pretty groovy
Or if you want something visual that’s not too abysmal
We could take in an old Steve Reeves movieI’m glad we caught you at home
Could we use your phone?
We’re both in a bit of a hurry (right!)
We’ll just say where we are, then go back to the car
We don’t want to be any worryWell, you got caught with a flat, well, how about that?
Well, babies, don’t you panic
By the light of the night, it’ll all seem alright
I’ll get you a satanic mechanicI’m just a sweet transvestite
From Transexual, Transylvania, ha haWhy don’t you stay for the night? (night)
Or maybe a bite? (bite)
I could show you my favorite obsession
I’ve been making a man
With blond hair and a tan
And he’s good for relieving my tensionI’m just a sweet transvestite
From Transexual, Transylvania, ha ha
Hit it, hit it, I’m just a sweet transvestite (sweet transvestite)
From Transexual, Transylvania, ha haSo, come up to the lab
And see what’s on the slab
I see you shiver with antici-
-Pation
But maybe the rain
Is really to blame
So I’ll remove the cause
But not the symptom
The Sword of Damocles ขับร้องโดย Peter Hinwood หลังการถือกำเนิดของ Rocky Horror ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้ชม แต่ยังตัวของ Rocky รู้สึกหลอกหลอนในตนเอง ฉันคือใคร? ทำไมมีความทรงจำบางส่วนของ Eddie? เต็มไปด้วยความสับสน หวาดกังวล วิ่งวนไปวนมารอบห้อง ไม่รู้จะทำอะไรยังไง
เกร็ด: The sword of Damocles is hanging over my head. คือสำนวนหมายถึง เหตุการณ์เลวร้ายสามารถทำลายตัวเราได้ทุกนาที (เหมือนมีดาบห้อยอยู่เหนือศีรษะ) ว่ากันว่ามาจากเรื่องเล่าชาวโรมัน กษัตริย์ Dionysius Exiguus แห่ง Syracuse ต้องการดับความอิจฉาของลูกน้องคนสนิท Damocles ที่ชอบเยินยอปอปั้น ลุ่มหลงใหลอำนาจ เงินๆทองๆ ด้วยการอนุญาตให้นั่งบนบัลลังก์ราชาได้หนึ่งวัน ขณะกำลังอิ่มเอมใจอยู่นั้น แหงนเงยหน้าขึ้นเห็นดาบห้อยอยู่เหนือศีรษะ บังเกิดความตระหนักว่าอำนาจ โชคลาภ แม้ทำให้ชีวิตสุขสบาย แต่ซุกซ่อนเร้นด้วยภยันตราย ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม
[Rocky]
The sword of Damocles is hanging over my head
And I’ve got the feeling someone’s going to be cutting the thread
Oh, woe is me
My life is a misery
Oh, can’t you see
that I’m at the start of a pretty big downerI woke up this morning with a start
when I fell out of the bed[Transylvanians]
That ain’t no crime[Rocky]
And left from my dreaming
was a feeling of unamiable dread[Transylvanians]
That ain’t no crime[Rocky]
My high is low
I’m dressed up with no place to go
And all I know is I’m at the start
of a pretty big downer[Transylvanians]
Sha la la la that ain’t no crime[Rocky]
Oh, no no no![Transylvanians]
Sha la la la that ain’t no crime[Rocky]
Oh, no no no![Transylvanians]
Sha la la la that ain’t no crime
That ain’t no crime
Sha la la[Rocky]
The sword of Damocles is hanging over my head[Transylvanians]
That ain’t no crime[Rocky]
And I’ve got the feeling someone’s going to be cutting the thread[All]
That ain’t no crime[Rocky]
Oh woe is me
My life is a mistery
Oh can’t you see
that I’m at the start of apretty big downer[Transylvanians]
Sha la la la that ain’t no crime[Rocky]
Oh, no no no![Transylvanians]
Sha la la la that ain’t no crime[Rocky]
Oh, no no no![Transylvanians]
Sha la la la that ain’t no crime
That ain’t no crime
Sha la la
Touch-A, Touch-A, Touch Me ขับร้องโดย Susan Sarandon, หลังความผิดหวังจากการพบเห็นคู่หมั้น Brad กระทำสิ่งบาดตาบาดใจกับ Dr. Frank-N-Furter จึงเกิดความรังเกียจ ขยะแขยง ยินยอมรับความจริงไม่ได้ จึงหันมายั่วราคะ Rocky Horror เรียกร้องให้สัมผัส จับต้อง ร่วมเพศสัมพันธ์ … จนกลายเป็น Creature of the night
[Janet]
I was feeling done in, couldn’t win,
I’d only ever kissed before,[Columbia]
You mean she[Magenta]
Uhu[Janet]
I thought theres no use getting, into heavy petting,
It only leads to trouble and, seat wetting,
Now all I want to know, is how to go,
I’ve tasted blood and I want more (more, more, more)
I’ll put up no resistance, I want to stay the distance,
I’ve got an itch to scratch, I need assistance,Toucha, toucha, toucha, touch me,
I wanna be dirty,
thrill me, chill me, fullfill me,
Creature of the night[Janet]
Then if anything grows, while you pose,
I’ll oil you up and rub you down (down, down, down),
And thats just one small fraction, of the main attraction,
You need a friendly hand, oh i need action,Toucha, toucha, toucha, touch me,
I wanna be dirty,
thrill me, chill me, fullfill me,
Creature of the night[Columbia]
Toucha, toucha, toucha, touch me[Magenta]
I wanna be dirty[Columbia]
Thrill me, chill me fullfill me[Magenta]
Creature of the night[Janet]
Oh, toucha, toucha, toucha, TOUCH ME,
I wanna be dirty,
Thrill me, chill me, fullfill me,
Creature of the night,[Rocky]
Creature of the night[Brad]
Creature of the night[Dr. Frank-N-Furter]
Creature of the night[Magenta]
Creature of the night[Riff Raff]
Creature of the night[Columbia]
Creature of the night[Rocky]
Creature of the night[Janet]
CREATURE OF THE NIGHT
คลิปที่ผมนำมานี้ทำการรวมสามบทเพลง Rose Tint My World (2.48) Fanfare/Don’t Dream It, Be It (3.38) และ Wild and Untamed Thing (1.53) ประกอบการแสดงโชว์คาบาเร่ต์ ซึ่งมีความสุดเหวี่ยง คลุ้มบ้าคลั่ง นำโดย Dr. Frank-N-Furter และทาสกามทั้งหมาย Brad, Janet, Rocky, Columbia รวมถึง Dr. Scott ก่อนทุกสิ่งอย่างจะสิ้นสุดลงเพราะการมาถึงของ Riff Raff และ Columbia มิอาจอดรนทนได้อีกต่อไป
ทิ้งท้ายกับบทเพลง I’m Going Home ขับร้องโดย Tim Curry รำพันความทรงจำ กำลังจะต้องร่ำจากลาทุกสิ่งอย่าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว Dr. Frank-N-Furter ถูกบีบบังคับให้ต้องเดินทางกลับบ้าน … แต่ไม่ใช่หมายถึงดาวเคราะห์บ้านเกิดหรอกนะครับ
[Verse 1]
On the day I went away (goodbye)
Was all I had to say (now I)
I want to come again and stay (oh my, my)
Smile, and that will mean I may[Chorus]
‘Cause I’ve seen, oh, blue skies
Through the tears in my eyes
And I realise
I’m going home
(I’m going home)[Verse 2]
Everywhere it’s been the same (feeling)
Like I’m outside in the rain (wheeling)
Free, to try and find a game (dealing)
Cards for sorrow, cards for pain[Chorus]
‘Cause I’ve seen, oh, blue skies
Through the tears in my eyes
And I realise
I’m going home[Outro]
I’m going home (I’m going home)
I’m going home (I’m going home)
I’m going home (I’m going home)
มองอย่างผิวเผิน The Rocky Horror Picture Show (1975) ทำการล้อเลียน ปู้ยี่ปู้ยำหนัง Sci-Fi และ Horror เกรด B (B-movie) ในสไตล์หนังเพลง Rock Opera ร้อง-เล่น-เต้น นำแสดงโดยผู้ชายข้ามเพศ แต่งหญิง (Transvestite) มีความเหนือจริง หลอกหลอน หวาดเสียวประตูหลัง
แต่เป้าหมายแท้จริงของหนัง ต้องการนำพาผู้ชมพานผ่านประสบการณ์สุดวิปริต แปลกพิศดาร คฤหาสถ์ลึกลับจากนอกโลก เพื่อเปิดมุมมอง วิถีชายข้ามเพศ (Transvestite) อาจทำให้สามารถเข้าใจตัวตนเอง ค้นพบอัตลักษณ์ทางเพศ และปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ภายในออกมา
- สำหรับคนที่ชื่นชอบหนัง มันไม่จำเป็นว่าต้องมีรสนิยมรักร่วมเพศเท่านั้นนะครับ แต่หมายถึงคุณสามารถเปิดมุมมอง ยินยอมรับ เข้าใจวิถีเพศสภาพที่แตกต่าง
- ส่วนคนที่ไม่ชอบหนัง ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องมีอคติต่อกลุ่มคนรักร่วมเพศเท่านั้นเช่นกัน
- ส่วนตัวผมเองที่ไม่ค่อยชอบหนัง เพราะมองว่าเป็นการบีบบังคับ ‘ข่มขืนใจ’ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับประเด็นรักร่วมเพศ หรือรังเกียจตุ๊ด กะเทย (Drag Queen)
มันเป็นประเด็นปลายเปิดเมื่อ Dr. Frank-N-Furter เข้าไปในห้องของ Brad และ Janet ทั้งๆที่พวกเขาต่างหมั้นหมาย กำลังจะแต่งงาน แต่กลับถูกโน้มน้าว ลวงล่อหลอก ให้กระทำสิ่งขัดต่อหลักศีลธรรมจรรยา ค่านิยมอันดีงามของสังคม … ขึ้นอยู่กับผู้ชมจะมองว่าพวกเขาถูกบีบบังคับ หรือยินยอมพร้อมใจ
แต่พฤติกรรมทั้งหลายของ Dr. Frank-N-Furter สะท้อนแนวคิด วิถีชีวิต ธรรมชาติชาว LGBTQIAN+ ทำไมฉันต้องอดกลั้น ปิดบัง กักขังตนเองอยู่ในตู้เสื้อผ้า ยุคสมัยนี้ถึงเวลาที่ต้องรู้จักปลดปล่อย(น้ำกาม)ตัวตนเอง เลือกใช้ชีวิตด้วยสันชาตญาณ ตอบสนองตัณหาพึงพอใจ โดยไม่ต้องสนห่าเหวอะไรใคร ออกเดินทางสู่จักรวาลกว้างใหญ่
สำหรับ Richard O’Brien เจ้าของบทละครเพลง The Rocky Horror Show เคยพานผ่านการถูกกดขี่ข่มเหง เต็มไปด้วยความสับสน ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง แต่หลังจากค้นพบเสรีภาพทางเพศ เรียนรู้ที่จะปลดปล่อยความต้องการ สรรค์สร้างผลงานเรื่องนี้เพื่อนำทางพวกพ้อง ผองเพื่อน นี่คือช่วงเวลา Sexual Revolution (1960s-70s) ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไป
All my life, I’ve been fighting never belonging, never being male or female, and it got to the stage where I couldn’t deal with it any longer. To feel you don’t belong … to feel insane … to feel perverted and disgusting … you go f***ing nuts.
If society allowed you to grow up feeling it was normal to be what you are, there wouldn’t be a problem. I don’t think the term ‘transvestite’ or ‘transsexual’ would exist: you’d just be another human being.
I’d been fighting, going to therapy, treating what I was as though it were some kind of illness to be cured. But actually, no, I was basically transgender, and just unhappy.
Richard O’Brien
ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับผกก. Jim Sharman ไม่ได้มากนัก! เลยไม่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับ The Rocky Horror Show แต่ความสนใจในละครเวทีแนวทดลอง (Experimental Theatre) บุกเบิกแนว Rock Opera แสดงถึงอุปนิสัยหัวขบถ ชื่นชอบความท้าทาย เปิดกว้างแนวคิดใหม่ๆ … อาจจะมีหรือไม่มีรสนิยมรักร่วมเพศ แต่วิสัยทัศน์ถือว่าลุ่มลึก ล้ำกาลเวลา
กระแสนิยมของ The Rocky Horror Picture Show (1975) ที่ยังคงฉายติดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ. 2023) แสดงว่าเรื่องราวของหนังยังคงสั่นพ้องผู้ชม ตอบสนองความสนใจคนรุ่นใหม่ ยังมีวัยรุ่นหนุ่ม-สาวอีกมากมายที่ไม่รู้จักตัวตนเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ‘พื้นที่’ สำหรับพวกเขาให้ได้เรียนรู้ ค้นพบ และเข้าใจความต้องการแท้จริง
แม้ว่าหนังใช้ทุนสร้างเพียง $1.4-1.6 ล้านเหรียญ แต่ในการออกฉายครั้งแรก ค.ศ. 1975 ด้วยเสียงตอบรับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เลยทำเงินเพียงน้อยนิด ยืนโรงไม่กี่วันก็ถูกถอดรอบออกหมด, ต่อมามีการฉายควบ (Double-Bill) ร่วมกับ Phantom of the Paradise (1974) ของผกก. Brian De Palma แต่ก็ไม่มีอะไรกระเตื้องขึ้นมา
ด้วยความสำเร็จการฉายรอบดึก (Midnight Movie) ของภาพยนตร์ Pink Flamingos (1972) ทำให้โปรดิวเซอร์อยากทำเช่นนั้นดูบ้าง โดยเริ่มจากทดลองฉายค่ำคืน April Fool’s Day วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1976 ตามด้วยทำเป็น ‘Secret Movie’ แอบเข้าฉาย Seattle International Film Festival จากนั้นลงหลักปักฐานยัง Waverly Theater, New York City คำแนะนำปากต่อปาก ทำให้ได้รับกระแสคัลท์ติดตามมาอย่างรวดเร็ว แพร่ระบาดไปตามหัวเมืองต่างๆทั่วสหรัฐอเมริกา จนถึงปัจจุบันหลายโรงภาพยนตร์ยังคงฉายติดต่อเนื่อง(เฉพาะรอบดึก)ยาวนาน 48+ ปี ประเมินรายรับสูงถึง $226 ล้านเหรียญ!
สำหรับฉบับ Home Video เหมือนจะไม่ได้รับกระแสนิยมเทียบเท่า (เพราะหนังเหมาะสำหรับรับชมในโรงภาพยนตร์มากกว่า) แต่ค่ายหนังก็เข็นฉบับครบรอบออกมาแทบจะทุกทศวรรษ
- VHS ในโอกาสครบรอบ 15th Anniversary ค.ศ. 1990
- DVD ในโอกาสครบรอบ 25th Anniversary ค.ศ. 2000
- Blu-Ray (ของสตูดิโอ Fox) ในโอกาสครบรอบ 35th Anniversary ค.ศ. 2010 (ฉบับสแกนใหม่ 4K/2K)
- Blu-Ray (ของสตูดิโอ Fox) ในโอกาสครบรอบ 40th Anniversary ค.ศ. 2015
- Blu-Ray (ของสตูดิโอ Walt Disney) ในโอกาสครบรอบ 45th Anniversary ค.ศ. 2020
ครั้งหนึ่งผมเคยพบเจอชายแปลกหน้า เข้ามาสอบถามทางไปโน่นนี่นั่น ก็ให้คำแนะนำเท่าที่จะช่วยเหลือได้ หลายวันถัดมาบังเอิญพบกันอีก พูดคุยสนทนากันอย่างออกรส ยินยอมแลกเบอร์โทรศัพท์ อีกหลายวันถัดมาอีกฝ่ายโทรชักชวนไปดื่มกิน บอกจะมารับที่ห้อง ชายกับชายคงไม่เป็นอะไรหรอกกระมัง แต่ไปๆมาๆมือของหมอนั่นกลับเริ่มลุกล้ำ เกินเลยความเหมาะสม เห้ยมันไม่ใช่ …
รับชม The Rocky Horror Picture Show (1975) ทำให้ผมหวนระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เหมือนถูกล่อลวง หลอกไปล่วงละเมิด ข่มขืนกระทำชำเรา พ่นน้ำกามใส่หน้า คือถ้าตนเองมีรสนิยมทางนั้นก็คงไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่ความรู้สึกคือต่อต้านขัดขืน ไม่ยินยอมพร้อมใจ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน!
ความชอบ-ไม่ชอบหนังเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของรสนิยมล้วนๆเลยนะ ผมพยายามมองในแง่ความบันเทิง แม้จะมีหลายส่วนที่ประทับใจ บทเพลงไพเราะ ดูสนุกสนาน แต่เพราะความโจ่งแจ้ง โจ๋งครึ่ม ปล่อยตัวปล่อยใจ ไม่รู้จักควบคุมตนเอง นั่นคือเสรีภาพสุดโต่งเกินไป … ภาพยนตร์ลักษณะนี้สนเพียงตอบสนองตัณหาผู้สร้างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ว่ากันตามตรง ผมโคตรอยากนำ The Rocky Horror Picture Show (1975) ใส่ในรายการ “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” เพราะอาจทำให้วัยรุ่น คนหนุ่มสาว ได้มีโอกาสรับเรียนรู้ เข้าใจตัวตนเอง ค้นพบอัตลักษณ์ทางเพศ เปิดมุมมองโลกทัศน์ใหม่ๆ จะสามารถเอาตัวรอดจากบ้านผีสิง/ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้หรือไม่
จัดเรต NC-17 กับความสัปดลเรื่องเพศ
Leave a Reply