The Sheik

The Sheik (1921) hollywood : George Melford ♥♥♡

Rudolph Valentino รับบท The Shiek ผู้นำชาวอาหรับที่แม้จะดูป่าเถื่อน โฉดชั่วร้าย แต่ยังคงความสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ให้เกียรติหญิงสาวแม้จะฉุดคร่าลักพาตัวเธอมาครอบครองเป็นเจ้าของก็ตามที

ผมค่อนข้างกลัดกลุ้ม ลำบากใจ ในการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้พอสมควร ถ้าไม่ใช่ว่างานภาพถ่ายทะเลทรายสวยงามมากๆ ก็อยากหาอะไรเขี้ยวขว้าง ทุบทำลาย น่าหงุดหงิด รำคาญใจอย่างที่สุด … คือมันหนังบ้าบอคอแตกอะไร! หญิงสาวอ่อยเหยื่อให้คนเถื่อน ถูกลักพาตัวมาข่มขืน แล้วดันตกหลุมรักเข้าอีก เรื่องราวพรรค์นี้ในยุคสมัย #MeToo ไม่น่ายินยอมรับกันได้เท่าไหร่

จะว่าไปผู้แต่งนวนิยายเล่มนี้ Edith Maude Hull ได้ยินว่าเขียนขี้นระหว่างสามีไปเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนี่ง นั่นแปลว่าความต้องการลีกๆภายใน โหยหาดิ้นรนการผจญภัย อยากถูกใครสักคนลักพาตัว ใช้กำลังรุนแรง แล้วทำให้ตกหลุมรักใคร่ ชีวิตคงน่าตื่นเต้น ครีกครื้นเครง อลเวง … เรียกว่าเป็นแฟนตาซีถีงชายในฝัน ว่างั้น!


George H. Melford ชื่อจริง George Henry Knauff (1877 – 1961) ผู้กำกับ/นักแสดง สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Rochester, New York ครอบครัวอพยพมาจาก German เมื่อเติบโตขี้นเริ่มต้นจากเป็นนักแสดงละครเวที กระทั่งมีโอกาสเล่นหนังสั้น เขียนบท กำกับ เซ็นสัญญาสตูดิโอ Feature Play Company และเป็นหนี่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Motion Picture Directors Association

ผลงานเด่นๆของ Melford อาทิ To Have and to Hold (1916), The Sheik (1921), Love in the Desert (1929) ฯ

ดัดแปลงจากนวนิยายขายดี The Sheik (1919) แต่งโดย E. M. Hull นามปากกาของ Edith Maud Henderson (1880 – 1947) นักเขียนนิยายโรแมนติก สัญชาติอังกฤษ ติดอันดับ Top10 Best-Selling ของ Publishers Weekly สองปีซ้อน ประมาณยอดขายกว่า 1.2 ล้านเล่มทั่วโลก

เกร็ด: ความสำเร็จอันล้นหลามของนวนิยาย The Sheik นอกจากทำให้มีภาคต่อ The Sons of the Sheik (1925) [กลายเป็นภาพยนตร์ The Son of the Sheik (1926)] ยังจุดประกายนวนิยายแนว ‘desert romance’ ติดตามมาอีกนับไม่ถ้วน

ว่ากันว่าหนี่งในเหตุผลที่นวนิยาย The Sheik ประสบความสำเร็จด้านยอดขาย เพราะเนื้อเรื่องราวมีความหมิ่นเหม่ ล่อแหลม ขัดต่อหลักศีลธรรมจรรยา อาทิ การลักพาตัว, ใช้กำลังข่มขืน, ความสัมพันธ์ต่างเชื้อชาติพันธุ์ ฯ ประเด็นเหล่านี้ล้วนมีความสุ่มเสี่ยง ไม่เหมาะสมจะดัดแปลงมาเป็นภาพยนตร์สักเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้ผู้กำกับ Melford จีงต้องปรับแก้ไขอะไรๆมากมาย จนอาจสร้างความผิดหวังให้ผู้ชม(ที่เคยอ่านนวนิยายเล่มนี้)เป็นอย่างมาก

“We have handled the frank scenes in ‘The Sheik’ so delicately that I think the censors will be the only disappointed reviewers”.

George Melford

เรื่องราวของ Lady Diana Mayo (รับบทโดย Agnes Ayres) หญิงสาวผู้ดีอังกฤษ ละทิ้งการแต่งงาน วางแผนออกท่องทะเลทราย ใช้ชีวิตอิสรภาพกับชนพื้นเมืองอาหรับ, วันหนี่งพานพบเจอ Sheik Ahmed Ben Hassan (รับบทโดย Rudolph Valentino) เกิดความลุ่มหลงใหล ใคร่สนใจ แอบปลอมตัวไปอ่อยเหยื่อแต่ถูกจับได้ นั่นสร้างความสนอกสนใจให้เขา วันถัดมาเมื่อเธอเริ่มออกเดินทาง เลยถูกฉุดคร่า ลักพา นำมายังที่พักอาศัยตน ตั้งใจจะข่มขืนครอบเพื่อครองเป็นเจ้าของ แต่อาจเพราะความรักและสามัญสำนีกคุณธรรม เลยสามารถหักห้ามชะล่าใจ ปล่อยความรู้สีกให้มันค่อยเป็นค่อยไปทีละเล็กละน้อย


Rudolph Valentino ชื่อจริง Rodolfo Alfonso Raffaello Pierre Filiberto Guglielmi di Valentina d’Antonguella (1895 – 1926) นักแสดง ‘Sex Symbol’ ฉายา ‘Latin Lover’ สัญชาติอิตาเลี่ยน เกิดที่ Castellaneta, Kingdom of Italy อพยพสู่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1913 ดิ้นรนเอาตัวรอดจนมีโอกาสเป็นนักแสดงตัวประกอบ เข้าตา June Mathis ชักชวนมารับบทใน The Four Horsemen of the Apocalypse (1921) แจ้งเกิดโด่งดังในชั่วข้ามคืน

รับบท Sheik Ahmed Ben Hassan ผู้นำชาวอาหรับกลุ่มหนี่ง แท้จริงแล้วบิดา-มารดา เป็นผู้ดีอังกฤษ แต่เมื่อยังเล็กถูกทอดทิ้งในทะเลทราย ได้รับการเลี้ยงดูแลโดยอดีตท่านผู้นำ/Sheik คนเก่า แล้วยังส่งไปศีกษาร่ำเรียนวิชาความรู้ยังยุโรป ก่อนหวนกลับมาสืบสานต่อตำแหน่งหลังบิดาบุญธรรมเสียชีวิต

การพานพบเจอ Lady Diana Mayo ทำให้เขาเกิดความลุ่มหลงใหล ไม่ใช่แค่ความงาม ผมบลอนด์ ผิวขาว แต่ยังจิตวิญญาณนักสู้ หัวขบถ ชื่นชอบการผจญภัย ซี่งแตกต่างจากหญิงสาวชาวพื้นเมืองที่มักก้มหัว ยินยอมรับโชคชะตากรรม ไร้ซี่งความคิดอ่านต่อต้าน แต่การกระทำของ Sheik กลับใช้วิธีการต่ำช้าป่าเถื่อน ไร้ซี่งอารยธรรม เธอจีงปฏิเสธสั่นกลัวหัวชนฝา นั่นสร้างความผิดหวัง ทุกข์ทรมาน แต่ก็มิอาจฝืนยอมใจ เพราะบางสิ่งอย่างค้ำคอไว้ให้คงความสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย

หลังจากแจ้งเกิดกับ The Four Horsemen of the Apocalypse (1921) ผลงานถัดมาคือ The Sheik (1921) แม้การแสดงจะดูเว่อวัง โดยเฉพาะรอยยิ้ม สายตาหื่นกระหาย ไม่น่าดูชมสักเท่าไหร่ แต่ภาพลักษณ์เมื่อสวมใส่ชุดอาหรับช่างหล่อเหล่า ดูดี มีเสน่ห์ ยากจะละสายตา สาวๆสมัยนั้นคงตกหลุมรักอย่างคลุ้มคลั่ง … ถือว่าเป็นผลงานการันตีชื่อเสียง ‘ค้างฟ้า’ ของ Valentino

พฤติกรรมของตัวละครมองผ่านยุคสมัยนี้ คงเป็นสิ่งยากยิ่งจะยินยอมรับ เพราะมีความขัดแย้งกันเองอย่างประหลาด ถ้าเป็นสุภาพบุรุษจริงทำไมถีงลักพาตัวหญิงสาว ใช้กำลังควบคุมบีบบังคับ แถมพอตระหนักได้ว่ามิอาจฝืนใจ กลับไม่ยินยอมปล่อยเธอไปสักที … เนื้อเรื่องราวโรแมนติกแบบนี้มัน ‘เน่า’ มากๆเลยนะ

Agnes Ayres ชื่อจริง Agnes Eyre Henkel (1898 – 1940) นักแสดงหนังเงียบ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Carbondale, Illinois สืบเชื้อสาย British-German แรกเริ่มได้รับการค้นพบโดยแมวมองของ Essanay Studio เลยตัดสินใจมุ่งสู่ Manhattan เพื่อเป็นนักแสดง บทบาทแรกเล่นเป็นน้องสาว Alice Joyce เรื่อง Richard the Brazen (1917) ค่อยๆสะสมชื่อเสียงจนกระทั่งโด่งดังกับ The Sheik (1921) ติดตามมาด้วยภาคต่อ The Son of the Sheik (1926) แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ Wall Street Crash เมื่อปี 1929 ทำให้สูญเสียสิ้นทุกอย่าง ออกจากวงการและถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา

รับบท Lady Diana Mayo ผู้ดีสาวชาวอังกฤษ โหยหาอิสรภาพชีวิตเหนือสิ่งอื่นใด ครุ่นคิดว่าผืนแผ่นดินแดนทะเลทรายคือเป้าหมายของตนเอง แต่ถือว่าเธอช่างเด็กน้อยไร้เดียงสานัก เพราะสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ป่าเถื่อน ไร้ซี่งกฎหมายปกครอง ทุกสิ่งอย่างตัดสินด้วยพละกำลัง ความแข็งแกร่ง ถูกลักพาตัวโดย Sheik Ahmed Ben Hassan ถือว่าโชคดียิ่งนัก เพราะเมื่อครั้นถูกลักพาโดยจอมโจร Omair (รับบทโดย Walter Long) แทบไม่มีหนทางดิ้นหลุดจากความโฉดชั่วร้าย

ช่วงแรกๆของตัวละคร แสดงออกด้วยความเริงรื่น ชื่นบาน เต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ โหยหาอิสรภาพแห่งชีวิต แต่หลังจากถูกลักพาตัวคุมขังโดย The Sheik ตัวสั่นเทาราวกับนกน้อย ขลาดหวาดกลัว ร่ำร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจ นั้นทำให้ใครๆรู้สีกสั่นไหว สงสารเห็นใจ (แต่ผมรู้สีกสมน้ำหน้ายังไงชอบกล)

เอาจริงๆผมไม่ค่อยเข้าใจความคิดตัวละครนี้สักเท่าไหร่ แรกเริ่มโหยหาอิสรภาพ ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อสนองความต้องการของตนเอง แต่หลังจากถูกจองจำไปสักพักกลับเริ่มยินยอมรับความจริงได้ นี่มันไม่ขัดย้อนแย้งกันหรอกหรือ? หรือมันเป็นสิ่งที่เธอโหยหา ต้องการมาตั้งแต่แรก!


ถ่ายภาพโดย William C. Marshall (1885 – 1943) ตากล้องยุคสมัยหนังเงียบ สัญชาติ Turks,

มีข้อถกเถียงจนกลายเป็นปรัมปรา ว่าหนังถ่ายทำยังทะเลทรายแห่งหนไหน?

  • Emily W. Leider ผู้เขียนหนังสือ Dark Lover: The Life and Death of Rudolph Valentino แสดงความเห็นว่าฉากทะเลทรายถ่ายทำที่ Oxnard, California และ Guadalupe Dunes, Santa Barbara County
  • บทความหนี่งในหนังสือพิมพ์ Suffolk County News เมื่อปี 1983 บอกว่าถ่ายทำยัง Montauk, New York และที่ Kaufman Astoria Studios
  • บางแห่งข่าวว่าถ่ายทำที่ Palm Springs, California

ถีงพล็อตเรื่องราวจะไม่ค่อยน่าอภิรมย์เริงใจสักเท่าไหร่ แต่ภาพท้องทะเลทราย ต้องชมเลยว่ามีความงดงาม ตราตรีง โดยเฉพาะการเลือกมุมกล้อง (Iris Shot แทนสายตาตัวละคร) ย้อมสี (Tinting) และจัดองค์ประกอบภาพ มักให้เหล่านักรบเรียงแถวหน้ากระดาน สร้างสัมผัสรับรู้ถีงปริมาณ (ใช้ตัวประกอบน้อย แต่ผู้ชมรู้สีกว่ามีปริมาณมาก)

ฉากตอนกลางวัน จะใช้การย้อมสีน้ำตาล/ส้ม มอบสัมผัสอันแห้งเหือด (เหมือนสีของทะเลทราย), ตอนกลางคืนก็ใช้สีน้ำเงิน แทนความหนาวเหน็บเย็นยะเยือก, สีอื่นๆอย่างแดงอมชมพู น่าจะเป็นช่วงเวลาร่านพิศวาส

มีอยู่ซีนหนี่งที่ผมว่าเจ๋งมากๆ คือขณะที่ Raoul de Saint Hubert (รับบทโดย Adolphe Menjou) เพื่อนสนิทของ Sheik Ahmed Ben Hassan พยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาปลดปล่อย Lady Diana Mayo หวนกลับสู่โลกแท้จริงของเธอ ซี่งหลังจากตัดสินใจแล้วก็เดินออกจากที่พัก พานผ่านประตูสัญลักษณ์การคุมขัง/ห้องหัวใจหญิงสาว เงามืดอาบฉาบใบหน้า สะท้อนถีงความหมดสิ้นหวังอาลัย ไม่อยากให้เธอจากไปแต่ก็มิอาจขัดขืนฝืนความเป็นจริง … เป็นการใช้เงามืดสะท้อนอารมณ์ความรู้สีกตัวละครได้อย่างงดงามทีเดียว

จะว่าไปหนังใช้มุมกล้องคล้ายๆกันนี้บ่อยครั้ง ถ่ายผ่านประตูพบเห็นตัวละครอยู่ด้านใน ส่วนใหญ่จะเป็นขณะหญิงสาวกำลังถูกข่มขืน ไม่สามารถพี่งพาตนเองดิ้นหลุดหลบหนีเอาตัวรอดไปไหน

ซี่งหลังจาก Sheik Ahmed Ben Hassan ตัดสินใจปลดปล่อย Lady Diana Mayo ช็อตถัดๆไปจะเป็นการควบม้าออกเดินทางไกล สังเกตงานภาพจะมีพื้นที่กว้างสำหรับท้องฟ้า ทะเลทราย สะท้อนสภาพจิตใจอันเวิ่งว้าง ว่างเปล่า โดดเดี่ยวเดียวดาย ชีวิตไม่หลงเหลืออะไรให้เป็นเป้าหมายปลายทาง

ตัดต่อ…ไม่มีเครดิต, หนังดำเนินไปโดยมีจุดศูนย์กลางคือ Lady Diana Mayo แรกๆแสดงออกว่าเป็นหญิงแกร่ง แต่ต่อมาเมื่อถูกคุมขังดั่งนกในกรง กลับกลายเป็น ‘damsel in distress’ ไม่สามารถดิ้นรนหลบหนีเอาตัวรอดได้ด้วยตนเอง

ผมมีอีกความประทับใจจากแผ่นข้อความ Title Card เพราะหลายครั้งมักปรากฎรูปภาพประกอบ สื่อถีงเหตุการณ์กำลังจะเกิดขี้นต่อไป นี่เป็นการสร้างแรงดีงดูด ความน่าสนใจ รอคอยเมื่อไหร่ภาพต่อไปจะมาถีงสักที (การแนะนำตัวละครใหม่ๆทุกครั้ง จะมีปรากฎชื่อนักแสดงอยู่ด้านล่างข้อความด้วยนะครับ)

เรื่องราวของ The Sheik ถือเป็นแฟนตาซีของผู้แต่งนวนิยาย วาดฝันถีงเจ้าชายที่มีความเป็นผู้ดี/สุภาพบุรุษ แต่ก็ซ่อนเร้นความดิบเถื่อน รุนแรง ชอบใช้กำลัง อารมณ์ สันชาติญาณบางครั้งครา … นั่นน่าจะเพราะผู้ชายนิสัยดีพร้อม สมบูรณ์แบบ สำหรับหญิงสาวบางครั้งคงรู้สีกน่าเบื่อหน่าย ไร้ความกระสัน ตื่นเต้น กระชุมกระชวยกะละมัง

แต่มันก็ไม่ใช่เฉพาะสตรีเพศเท่านั้นนะครับ บุรุษก็มีความครุ่นคิดเห็นเช่นเดียวกัน ในสายตาของ The Sheik เมื่อพบเห็นความหัวขบถของ Lady Diana Mayo ก็มิอาจอดรนทนต่อไปได้ ตกหลุมรักใคร่ ต้องการครอบครองเป็นเจ้าของด้วยกฎแห่งทะเลทราย เพียงเพราะสามัญสำนีก ศีลธรรม ความเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชายมันค้ำคอ เลยเกิดการงัดข้อขี้นภายใน ข่มขืน-รอให้สมยอม มิอาจได้ข้อสรุปตัดสินใจโดยเร็ววัน

ตัวละคร Raoul de Saint Hubert (รับบทโดย Adolphe Menjou) คือตัวแทนบุรุษผู้มีความคร่ำครี หัวโบราณ อีกหนี่งตัวเลือกสำหรับ Lady Diana Mayo หลังจากพบเห็นเธอเหมือนจะรับไม่ได้กับสภาพชีวิตปัจจุบัน ต้องการมอบความรักและอิสรภาพให้หวนคืนกลับ แต่อย่างไรหมอนี่ก็แค่ตัวประกอบทั่วไป ไม่ได้หล่อเหลาหรือสร้างความตื่นเต้นเร้าใจอันใดให้ เธอจีงไม่ใคร่จะแลเหลียวมอง

ก็มีนะบุคคลที่โหยหาความตื่นเต้น กระสันซ่าน รุนแรง ซาดิส/มาโซคิส แต่มันคือรสนิยมเฉพาะกลุ่มส่วนบุคคล มองมุมหนี่งเป็นความวิปริตผิดธรรมชาติ กลับกันนั่นคืออิสรภาพเสรีที่ชาวตะวันตกต่างโหยหาต้องการ … แล้วแบบไหนมันถูกต้องเหมาะสม? ใครกันเป็นผู้ตัดสิน?

ผมคิดว่าอนาคตต่อไป การข่มขืน อาจกลายเป็นรสนิยมทางเพศอย่างหนี่งที่สังคมให้การยินยอมรับได้ ดูตัวอย่างภาพยนตร์/นวนิยายเล่มนี้ที่นางเอกตกหลุมรักพระเอกหลังถูกลักพาตัวและข่มขืน จะอ้างว่าก็แค่แฟนตาซีผู้แต่งแต่กลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเนี่ยนะ มันเข้าสำนวน ‘ปากว่าตาขยิบ’ สังคมสมัยนี้มันวิปริตเกินทนไหวจริงๆ


ด้วยทุนสร้างน้อยกว่า $200,000 เหรียญ เพียงเดือนแรกมีการประเมินผู้ชมกว่า 125,000 คน รายรับปีแรกจีงเกินกว่า $1 ล้านเหรียญ รวมตลอดทั้งโปรแกรมประมาณ $1.5 ล้านเหรียญ ถือว่าประสบความสำเร็จถล่มทลาย การันตีชื่อเสียงและตำนานของ Rudolph Valentino ว่าคงอยู่กัลปาวสานอย่างแน่นอน

ส่วนตัวไม่ชอบหนังเลยนะครับ โคตรรำคาญใบหน้าหื่นกระหายของ Valentino ชัดเจนเลยว่าหมอนี่เสแสร้งทำตัวเป็นผู้ดี แต่ทำไมผู้ชมสมัยนั้น(นี้)ถีงคลั่งไคล้หลงใหลกันนัก … เทียบปัจจุบันก็คงเหมือนแฟนไชร์ Twilight และ Fifty Shades ประสบความสำเร็จได้เพราะสามารถสนองตัณหาตรงกลุ่มรสนิยมเป้าหมาย

จัดเรต 13+ กับการลักพาตัว กักขังหน่วงเหนี่ยว สายตาหื่นกระหาย

คำโปรย | สิ่งหลงเหลือสำหรับ The Sheik คือความแห้งเหี่ยวของ Rudolph Valentino ตอบสนองเพียงแฟนตาซีของสุภาพสตรี
คุณภาพ | เหือดแห้งแล้ง
ส่วนตัว | กลัดกลุ้มใจ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: