The Wind That Shakes the Barley (2006)
: Ken Loach ♥♥♥
ในปีที่ Wong Kar-wai เป็นประธานกรรมการเทศกาลหนังเมือง Cannes เลือกมอบรางวัล Palme d’Or ให้กับ The Wind That Shakes the Barley ตัดหน้าภาพยนตร์โดดเดนกว่าอย่าง Babel, Pan’s Labyrinth, Volver ทำไมกันนะ?
ใครเคยรับชมผลงานของ Wong Kar-wai ผู้กำกับหัวใจเหงาๆ ที่มักสร้างภาพยนตร์สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับเกาะฮ่องกง ทั้งๆก็ชนชาติพันธุ์เดียวกัน ห่างแค่ข้ามสะพานแต่ไกลเกินลิบโลก! … เฉกเช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ อังกฤษ-ไอร์แลนด์ ต่างอยู่ในเครือสหราชอาณาจักรเดียวกันแท้ๆ กลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ลุกลามบานปลายเป็นสงครามเรียกร้องอิสรภาพ
ประเด็นคือเมื่อตอนประกาศรางวัล Palme d’Or ปีนั้นออกมา ผู้ชม/นักวิจารณ์ ต่างเกาหัว มึนตึบ ผู้กำกับระดับโคตรอาร์ทอย่าง Wong Kar-wai เนี่ยนะ! กลับเลือกผู้ชนะคือ The Wind That Shakes the Barley (2006) ที่ไม่ได้ดูยาก ซับซ้อน หรือนำเสนอเทคนิคตื่นตระการตาใด มันเลยเป็นความโคตรฉงนสงสัยที่คนส่วนใหญ่ใคร่อยากรับรู้คำตอบ สมมติฐานที่ผมยกมา น่าจะถือว่าใกล้เคียงสุดแล้วกระมัง
บอกไว้ก่อนว่า ส่วนตัวไม่ค่อยประทับใจ The Wind That Shakes the Barley (2006) สักเท่าไหร่! รำคาญดราม่าสุดโต่ง ขยี้อารมณ์แบบไม่ยับยั้งชั่งใจ และเนื้อหาประวัติศาสตร์ชาตินิยม ต่างชาติอย่างเราๆอาจเข้าไม่ถึงความใน
Kenneth Charles Loach (เกิดปี 1939) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษ เกิดที่ Nuneaton, Warwickshire บรรพบุรุษเป็นคนงานเหมือง พ่อทำงานช่างไฟ ตัวเขาร่ำเรียนกฎหมายยัง St Peter’s College, Oxford จบออกมาสมัครทหารอากาศสังกัด Royal Air Force แต่กลับเลือกทำงานเป็นนักแสดงละครเวที ตามด้วยฝึกงานกำกับสถานีโทรทัศน์ BBC กำกับเรื่องแรก Catherine (1964) สูญหายไปแล้ว ผลงานเด่นๆช่วงนี้อาทิ Up the Junction (1965), Cathy Come Home (1966), In Two Minds (1967) ฯ หลงใหลประเด็นปัญหาสังคม สะท้อนความยากจน คนไร้บ้าน สิทธิ์แรงงาน จากนั้นมีโอกาสกำกับภาพยนตร์ Poor Cow (1967), Kes (1969), Riff-Raff (1991), The Navigators (2001), สามารถคว้ารางวัล Palme d’Or ได้ถึงสองครั้งจาก The Wind That Shakes the Barley (2006) และ I, Daniel Blake (2016)
Loach เป็นผู้กำกับที่มีมุมมองทัศนคติด้านการเมืองสุดโต่งคนหนึ่ง ชอบวิพากย์วิจารณ์ แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงถ่ายทอดความครุ่นคิดเห็นสู่เนื้อหาภาพยนตร์ ทำให้บ่อยครั้งถูกกองเซ็นเซอร์(ที่มีความหัวโบราณ/อนุรักษ์นิยม)กีดกันห้ามฉาย แต่ต้องยินยอมรับว่าคือบุคคลสำคัญแห่งวงการหนังอังกฤษ
สำหรับ The Wind That Shakes the Barley พัฒนาบทโดย Paul Laverty นักเขียนขาประจำของ Loach ร่วมงานกันมาตั้งแต่ Carla’s Song (1996) รวบรวมแรงบันดาลใจจากหลากหลายแหล่ง
– หลักๆคือนวนิยาย The Scorching Wind (1964) แต่งโดย Walter Macken (1915 – 1967) นักเขียนสัญชาติ Irish เรื่องราวของสองพี่น้องอาศัยอยู่เมือง Dublin พานพบเห็น Anglo-Irish War (1919 – 1921) สงครามเรียกร้องอิสรภาพของ Irish Republican Army (IRA) กับสหราชอาณาจักร เมื่อได้รับชัยชนะติดตามด้วย Irish Civil War (1922 – 23) ระหว่างฝ่ายสนับสนุนสนธิสัญญาสันติภาพ (Irish Free State/Pro-Treaty) ปะทะฝั่งต่อต้าน (Irish Republic/Anti-Treaty) ซึ่งผู้ชนะรอบหลังคือ Irish Free State
– ตัวละคร Damien O’Donovan ได้แรงบันดาลใจจาก Ernie O’Malley (1897 – 1957) สมาชิก IRA ช่วงระหว่าง Anglo-Irish War ต่อมากลายเป็นผู้บัญชาการฝ่ายต่อต้าน (Anti-Treaty) ใน Irish Civil War
– สำหรับชื่อหนัง ได้แรงบันดาลใจจากบทเพลง The Wind That Shakes the Barley แต่งโดย Robert Dwyer Joyce (1836–1883) นักกวีสัญชาติ Irish อุทิศให้หนุ่มๆชาว Wexford ตัดสินใจเลือกทอดทิ้งคนรัก เพื่อเข้าร่วมฝ่ายกบฎเหตุการณ์ Irish Rebellion (1798) ต่อสู้รบสหราชอาณาจักร ผลลัพท์คือพ่ายแพ้ย่อยยับเยิน
But blood for blood without remorse,
I’ve ta’en at Oulart Hollow
And placed my true love’s clay-cold corpse
Where I full soon will follow;
And round her grave I wander drear,
Noon, night and morning early,
With breaking heart whene’er I hear
The wind that shakes the barley!
พื้นหลัง County Cork, Ireland ค.ศ. 1920, เรื่องราวของ Damien O’Donovan (รับบทโดย Cillian Murphy) หมอหนุ่มกำลังเตรียมตัวออกเดินทางไปทำงานยังกรุง London แต่พานพบเห็นการกระทำอันเหี้ยมโหดร้ายต่อประชาชน ของกองทัพทหารอังกฤษ Black and Tans ช่วงระหว่าง Anglo-Irish War ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่ม IRA ของพี่ชาย Teddy O’Donovan (รับบทโดย Pádraic Delaney) ปฏิบัติภารกิจมากมาย ดักปล้นสะดมกลางทาง เอาตัวรอดจากคุกคุมขัง เข่นฆ่าคนทรยศหักหลัง ในที่สุดประเทศก็ได้รับสนธิสัญญาสันติภาพจากสหราชอาณาจักร แต่แล้วความขัดแย้งภายใน Irish Civil War ก็บังเกิดติดตามมา ซึ่งสองพี่น้องต่างมีมุมมองทัศนคติคนละฝั่งฝ่าย
– Damien เข้าร่วมฝ่ายต่อต้าน (Anti-Treaty) ต้องการเรียกร้องอิสรภาพแท้จริงให้กับประเทศ
– Teddy ส่งเสริมสนับสนุน (Pro-Treaty) แค่ต่อรองได้รับสนธิสัญญาสันติภาพเท่านี้ก่อนก็เพียงพอแล้ว
สุดท้ายหนทางออกของปัญหา กลับมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!
Cillian Murphy (เกิดปี 1976) นักแสดงสัญชาติ Irish เกิดที่ Douglas, County Cork ทั้งพ่อแม่เป็นครูสอนหนังสือ แต่ตัวเขากลับเรียนไม่เก่งเท่าไหร่ ชื่นชอบการแสดงและเล่นดนตรี เริ่มต้นจากเป็นนักแสดงละครเวที แสดงในภาพยนตร์อินดี้หลายเรื่อง อาทิ Sunburn (1999), The Trench (1999), On the Edge (2001), 28 Days Later … (2002), เริ่มโด่งดังระดับนานาชาติกับ Batman Begins (2005), The Wind That Shakes the Barley (2006), Sunshine (2007) ฯ
รับบท Damien O’Donovan เพิ่งเรียนจบแพทย์กำลังตระเตรียมออกเดินทางไปทำงานยังกรุงลอนดอน แต่พานพบเห็นการกระทำอันเหี้ยมโหดร้ายของกองทัพทหารอังกฤษ ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่ม IRA แม้ร่างกายไม่เข้มแข็งแรงเท่าไหร่ แต่คือสติปัญญาของกลุ่มที่สามารถนำพาให้เพื่อนๆสามารถเอาตัวรอด ขณะเดียวกันเขาก็ต้องพิสูจน์ตนเองต่ออุดมการณ์ ทั้งๆสองมือนี้สำหรับช่วยเหลือผู้อื่นก็จำต้องเข่นฆ่าคนทรยศ เมื่อสงครามเรียกร้องอิสรภาพสิ้นสุด พานพบเห็นความตกทุกข์ยากลำบากของประชาชน กลายเป็นสมาชิกฝ่ายต่อต้าน ไม่ยินยอมรับสนธิสัญญาสันติภาพชั่วคราว ก็แค่ฉากบังหน้าเพื่อลดมูลค่าความขัดแย้งลง
ขณะนั้น Murphy กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง เมื่อได้ยินว่าจะมีหนังมาถ่ายทำยัง Country Cork พยายามแสวงหาหนทาง เข้าร่วมคัดเลือกนักแสดงถึงหกครั้ง พูดคุยผู้กำกับอยู่หลายครา กระทั่งได้เซ็นสัญญาโดยที่ Loach อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนพื้นเพจากแถวนั้น
“It was during the summer months; I was living at home with my folks; my wife was pregnant with our son; and we were running around the hills of west Cork shooting up Black and Tans. Fantastic!”
– Cillian Murphy
Murphy เป็นนักแสดงประเภทสันชาตญาณ สามารถแสดงออกทุกปฏิกิริยาอารมณ์ได้โดยอัตโนมัติ แค่เทคแรกก็ยอดเยี่ยมแล้ว ซึ่งสอดคล้องรับไดเรคชั่นผู้กำกับ Loach ที่ไม่ชอบให้นักแสดงอ่านบททำการบ้านก่อนล่วงหน้า วันจริงพบเจอยังกองถ่าย เล่นอะไรก็ค่อยบอกกล่าวตรงนั้น
ฉากตราตรึงมากๆคือขณะตัวละครต้องเข่นฆ่าคนทรยศ, Murphy ให้สัมภาษณ์ว่า ก็เพิ่งรู้สดๆตรงนั้นว่าต้องเข้าฉากทำอะไร นำเอาความตื่นตกใจ อกสั่นขวัญหาย ถ่ายทอดออกมาพร้อมๆตัวละครได้อย่างเจ็บปวดรวดร้าวราน
“It was a beautiful shoot, absolutely beautiful. Easily my best experience in terms of the process of acting”.
Pádraic Delaney (เกิดปี 1977) นักแสดงสัญชาติ Irish เกิดที่ Adamstown, County Wexford, โตขึ้นตั้งใจเรียนวิศวกรรม แต่ตัดสินใจดรอปเรียนสี่เดือนหลังจากนั้น เปลี่ยนมาสาขาการแสดงและละครเวทีศึกษายัง Beckett Centre, Trinity College จบปริญญาโทออกมาเป็นนักแสดงละครเวที ซีรีย์โทรทัศน์ ได้รับคัดเลือกแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก The Wind That Shakes the Barley (2006) แจ้งเกิดโด่งดังพลุแตกทันที
รับบท Teddy O’Donovan พี่ชายผู้มีร่างกายบึกบึนกำยำ สมกับได้สมัครเข้าร่วม IRA สร้างชื่อให้ตนเองจนกลายเป็นที่หวาดสะพรึงกลัวต่อทหารอังกฤษ Black and Tans ครั้งหนึ่งโดนจับกุมคุมขัง ถูกถอด(เขี้ยว)เล็บแต่ได้รับความช่วยเหลือจากน้องชาย ส่งเสริมกันและกันอย่างดีจนกระทั่งสงครามสิ้นสุด กลายเป็นความบาดหมางเพราะครุ่นคิดเห็นแตกต่าง จำต้องกระทำบางสิ่งอย่างที่เขาจะสูญเสียใจไปตลอดชีวิต
สไตล์การแสดงของ Delaney รับอิทธิพลจากละครเวทีมาเต็มๆ (ก็แน่ละมาจากสายนั้น) และยังรูปลักษณะแตกต่างตรงกันข้ามกับ Cillian Murphy ราวกับไม่ใช่พี่น้อง แต่ถือว่าถูกต้องแล้วละ เพราะครึ่งค่อนหลังเมื่อพวกเขาเผชิญหน้าขัดแย้งกันเอง จักสามารถอยู่คนละขั้วฝั่งฝ่าย
ขณะที่ไฮไลท์การแสดง อยู่เกือบนาทีสุดท้ายของหนังเมื่อต้องตะโกนออกคำสั่งด้วยน้ำตาไหลพรากๆ … คือผมชมชอบในการแสดงนะ แต่ไม่ชอบไดเรคชั่นที่พยายามบีบเค้นคะยั้น ปั้นอารมณ์ดราม่านี้สักเท่าไหร่
ถ่ายภาพโดย Barry Ackroyd สัญชาติอังกฤษ ขาประจำผู้กำกับ Ken Loach และ Paul Greengrass ผลงานเด่นๆ อาทิ The Wind That Shakes the Barley (2006), United 93 (2006), The Hurt Locker (2008), Captain Phillips (2013)
สถานที่ถ่ายทำอยู่บริเวณโดยรอบ Country Cork ทั้งหมด อาทิ Ballyvourney, Timoleague, Bandon, เทือกเขา Ballyvourney, บ้านฟาร์ม Coolea, ฉากเข่นฆ่าคนทรยศ Kilmainham Gaol, Dublin
ลักษณะของงานภาพมอบสัมผัสคลาสสิก (ยุค 60s) กล้องจะตั้งอยู่กับที่แล้วขยับหมุน Panning, Tilt Up ไปมาโดยรอบ ไม่มีเคลื่อนติดตาม Tracking Shot ใช้การตัดต่อสำหรับปรับเปลี่ยนมุมมองเท่านั้น ซึ่งเทคนิคนี้แลดูคล้ายการตวัดพู่กันไปมาลงบนฉากตั้งอยู่กับที่ หรือเปรียบกับสายลมพัดโบกโชยไปมา (ตามชื่อหนัง)
เริ่มต้นฉากแรกของหนัง Hurling หรือ Gaelic football กีฬาพื้นบ้านเก่าแก่ของชาว Irish ว่ากันว่าถือกำเนิดตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ 4,000 ปีที่แล้ว อุปกรณ์ไม้มีคำเรียกว่า Hurl สำหรับตีลูกบอลเล็กๆ Sliotar เพื่อให้เข้าประตูฝั่งตรงข้าม ผู้เล่นฝั่งละ 15 คน, การเริ่มต้นหนังด้วยกีฬาเก่าแก่ขนาดนี้ สะท้อนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับสงคราม สองฝั่งฝ่ายต่อสู้ ห่ำหั่น เข่นฆ่าแกงกัน นอก-ในกติกา เพื่อให้ฝั่งฝ่ายตนเองได้รับชัยชนะ
การเลือกโทนสี Color Palette ต้องชมเลยว่ามีความสดชื่นสบายตา แลดูเก่าๆสักนิดเพื่อสร้างสัมผัสหนังแนว Period มีนักวิจารณ์เปรียบเทียบกับภาพ The Potato Eaters (1885) ของ Vincent Van Gogh เน้นสีเทา น้ำตาล เขียว แทบจะไม่เห็นน้ำเงินปรากฎนอกจากแสงสาดส่องยามค่ำคืน
การจัดแสง-ความมืด ก็พอพบเห็นมีนัยยะสำคัญอยู่บ้าง อย่างช็อตนี้ที่เด็กชายคนหนึ่งกำลังจะกระทำการทรยศหักหลังพรรคพวกพ้อง ถ่ายย้อนแสงพบเห็นเรือนร่างกายปกคลุมด้วยความมืดมิดสนิท!
บ้าน สามารถเทียบแทนสัญลักษณ์ของประเทศชาติ, ประมาณกลางๆเรื่องๆ เมื่อกองกำลัง IRA และสองพี่น้อง O’Donovan หลังปล้นสะดมแวะกลับมาบ้านของ Sinéad Ní Shúilleabháin (รับบทโดย Orla Fitzgerald) พบเห็นทหารอังกฤษกำลังจุดไปเผาบ้าน (ถูกต่างชาติเข้ามาทำลายประเทศไอร์แลนด์) หญิงสาวถูกจับโกนศีรษะ (ครอบงำ/ล้างสมอง) ได้แต่จับจ้องมองไม่สามารถกระทำอะไรได้ หลงเหลือเพียงปรักหักพัง (สภาพประเทศไอร์แลนด์ หลังทหารอังกฤษจากไป)
เมื่อสงครามกับสหราชอาณาจักรสิ้นสุดลง จะมีช็อตนี้ที่ทหารอังกฤษเดินทางกลับ พบเห็นสองกลุ่มคน
– ฝั่ง Damien นั่งอยู่ในเงาของตึก พูดพร่ำ ล้อเลียน ด่ากราด
– ขณะที่ Teddy สวมเครื่องแบบ National Army เดินอยู่ท่ามกลางแสงส่องสว่างด้านหลัง (แบบเดียวกับกองทหารอังกฤษเดินทางกลับไป)
นัยยะของฉากนี้คือการแบ่งแยกระหว่าง กลุ่มต่อต้าน-ส่งเสริมสนับสนุน, พวกแรกเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืดมิด ขณะที่ฝ่ายหลังอยู่ที่แจ้ง ได้รับการหนุนหลังโดยสหราชอาณาจักร (จักรวรรดิที่ได้รับฉายา ‘พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน’)
ตัดต่อโดย Jonathan Morris ขาประจำหนึ่งเดียวของผู้กำกับ Loach,
ดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของ Damien O’Donovan (และบางครั้ง Teddy O’Donovan) ซึ่งเป็นตัวละครที่มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปมากสุด จากไม่เคยต้องการเป็นทหาร -> ฝึกซ้อมรบ ปฏิบัติภารกิจ เข่นฆ่าคนทรยศ -> พอสงครามสิ้นสุดพบเห็นวิถีชีวิตผู้คนยากลำบาก เลือกฝั่งฝ่าย ต่อต้าน (Anti-Treaty) ต้องการเรียกร้องอิสรภาพแท้จริงให้กับประเทศ
หลายครั้งของหนังมีการ Fade-In Black และ Fade-Out Black (ต่อเนื่องกันไป) มักในช่วงขณะอารมณ์วูบวาบใจหาย หลังจากเข่นฆ่าคนทรยศตาย, กำลังจะ Love Scene, หรือเมื่อต้องการ Time Skip เวลาเคลื่อนผ่านไป
เพลงประกอบโดย George Fenton สัญชาติอังกฤษ ขาประจำผู้กำกับ Loach ตั้งแต่ Ladybird, Ladybird (1994) ผลงานเด่นๆ อาทิ Gandhi (1982), Cry Freedom (1987), Dangerous Liaisons (1989), The Fisher King (1992), แต่โด่งดังสุดคือสารคดี The Blue Planet (2001) และ Planet Earth (2006)
นอกจากสามสี่บทเพลงพื้นบ้าน Irish ที่ได้ยินขับร้องเล่นเต้นในหนัง, Soundtrack จะเน้นสร้างสัมผัสบรรยากาศ มีทั้งซึมเศร้าหดหู่ รายล้อมด้วยภยันตราย ขณะเดียวกันก็แฝงเร้นด้วยประกายความหวัง สักวันความสงบสุขจะหวนกลับคืนมาสู่บ้านของเรา
Sound Effect ก็ถือว่าแต่งแต้มสร้างบรรยากาศ แฝงนัยยะได้อย่างลุ่มลึก อาทิ
– ฉากที่สถานีรถไฟ ใช้เสียงหม้อน้ำเดือดสะท้อนจุดแตกหักของ Damien O’Donovan อดรนทนไม่ได้อีกต่อไป
– สายลมพัด คือสภาพจิตใจที่ Damien ต้องเข่นฆ่าคนทรยศ เพื่ออุดมการณ์อิสรภาพของประเทศชาติ
– ไฟไหม้บ้าน จิตใจของตัวละครก็กำลังมอดไหม้ไปด้วยเช่นกัน
– ตอนยิงเป้าประหารชีวิต ถัดจากเสียงหัวใจ ปืนดัง ก็คือแร้งกา จ้องคอยกัดกินซากศพคนตาย
ฯลฯ
สายลมที่พัดพาต้นข้าวบาร์เลย์ให้สั่นไหว เป็นคำเปรียบเปรยถึงเหตุการณ์/การกระทำ อันทำให้อารมณ์ความรู้สึก สภาพจิตใจของมนุษย์นั้น ตกอยู่ในความทุกข์เศร้าโศก เจ็บปวดรวดร้าว สั่นสะท้านถึงขั้วหัวใจ
เชื่อว่าหลายคนคงไม่ทันสังเกต ‘เสียงสายลม’ ที่แม้ดังขึ้นหลายครั้งเมื่อตัวละครอยู่ท่ามกลางทุ่งกว้าง เนินเขาสูง แต่เพียงหนึ่งที่โคตรตราตรึง และตรงนัยยะชื่อหนัง เมื่อครั้น Damien O’Donovan ต้องเข่นฆ่าคนทรยศด้วยเงื้อมมือตนเอง แสดงออกด้วยอาการสั่นสะท้านทั้งร่างกายและจิตใจ
สองสงครามที่หนังนำเสนอ Anglo-Irish War ตามด้วย Irish Civil War มีลักษณะสะท้อน สอดคล้อง ผูกมัดกับความสัมพันธ์ตัวละครพี่น้อง
– Anglo-Irish War เป็นสงครามต่อสู้คนนอก/สหราชอาณาจักร, Irish Civil War คือสงครามภายใน/กับชาวไอริชด้วยกันแต่มีความครุ่นคิดเห็นต่าง
– Damien กับ Teddy เริ่มต้นด้วยความสมัครสมานฉันท์ พร้อมสู้รบศัตรูตายแทนกัน, แต่เมื่อสงครามสงบ พี่น้องกลับมองโลกในมุมแตกต่าง ก่อเกิดการขัดแย้ง จนเป็นให้…
แซว: ว่าไปวิถีเมืองไทยก็คล้ายกันนะ เวลาสู้รบศัตรูภายนอกต่างสมัครสมานฉันท์ กลมกลืนน้ำหนึ่งใจเดียว แต่พอยุคสมัยสันติสุขกลับทะเลาะเบาะแว้ง กัดกันเองภายใน … สงสัยมันจะคือสัจธรรมสากล มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่โหยหาความขัดแย้ง
“Every time a colony wants independence, the questions on the agenda are:
a) how do you get the imperialists out,
b) what kind of society do you build?There are usually the bourgeois nationalists who say, ‘Let’s just change the flag and keep everything as it was.’ Then there are the revolutionaries who say, ‘Let’s change the property laws.’ It’s always a critical moment”.
– Ken Loach
ผู้กำกับ Ken Loach ขณะนำเสนอ Anglo-Irish War ทำให้กองทัพทหารอังกฤษ/สหราชอาณาจักร ดูยังไงก็เป็นตัวร้ายโคตรโหดโฉดชั่วอย่างไม่บันยะบันยัง แต่พอพี่-น้องชาวไอริช แบ่งฝั่งฝ่ายขัดแย้งกันเองภายใน Irish Civil War กลับวางตัวเป็นกลาง ไม่ชี้ชักนำเข้าข้าง แสดงความครุ่นคิดเห็นฝั่งฝ่ายไหนถูก-ผิด
นั่นสร้างข้อคำถามให้ใครหลายๆคน ทำไมผู้กำกับ Loach ถึงสร้างภาพยนตร์ราวกับโกรธเกลียดประเทศบ้านเกิดตนเองขนาดนั้น?
“And what does that even mean? Am I supposed to hate my town, am I supposed to hate all English people, or my government? And if I do hate my government, does that mean I hate my country? It’s a democratic duty to criticise the government.“
วิธีการของผู้กำกับ Loach ถือว่าสุดโต่งไปสักหน่อย ถึงขนาดมีบทความ “Why does Ken Loach loathe his country so much?” ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ The Daily Mail
LINK: https://www.dailymail.co.uk/news/article-388256/Why-does-Ken-Loach-loathe-country-much.html
คำโต้ตอบกลับของ Loach ก็รุนแรงใช่เล่น เรียกคนเขียนว่าเป็นพวก Fascism นิยมการควบคุมครอบงำ กุมอำนาจไว้ในมือ ใช้มันในทางเผด็จการ ไม่ยินยอมรับสภาพเป็นจริง/โลกเสรีในปัจจุบัน ปฏิเสธจะพูด ‘ขอโทษ’ ต่อประวัติศาสตร์อันโฉดชั่วร้ายของชาติตนเอง
“I know from these attacks that we’ve really hit home. It is personally abusive, but I know where these people are coming from. It shows that if you attack their notion of the British empire as a charitable institution, then they foam at the mouth and bite the carpet.”
จุดประสงค์หลักๆของการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นการตอบโต้ Iraq War (2003 – 2011) ที่กำลังปะทุระเบิดกราดยิงกันอย่างมัวเมามัน หนึ่งในพันธมิตรสหรัฐอเมริกาก็ไม่ใช่ใครอื่น ประเทศอังกฤษ (ออสเตรเลีย, โปแลนด์, และ Peshmerga) ได้ส่งกำลังทหารเข้าร่วม 45,000 นาย … มันใช่เรื่องไหมที่จะไปยึดครอบครองเป็นเจ้าของ ทำตัวเป็นจักรวรรดินิยมในโลกยุคสมัยนี้อยู่อีกหรือ?
ผู้กำกับ Loach คงคาดหวังให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เปรียบดั่งสายลม ที่สามารถสั่นคลอนจิตใจผู้ชม ให้เกิดสำนึกต่อสงคราม/ความขัดแย้ง นั่นเป็นสิ่งไม่ควรถือกำเนิดขึ้นอีกแล้วในยุคสมัยนี้ เจ็บปวดรวดร้าวไหมเมื่อพบเห็นพี่น้องต้องเข่นฆ่าฟัน โศกนาฎกรรมเท่านั้นคือผลลัพท์สุดท้าย
เพราะใจความต่อต้าน anti-Brit ผู้จัดจำหน่ายเลยไม่คิดนำฉายวงกว้างในประเทศอังกฤษ แต่พอไปคว้ารางวัล Palme d’Or จากเทศกาลหนังเมือง Cannes จาก 30 ก็อปปี้เพิ่มขึ้นมาหลักร้อย ทำเงินไปไม่น้อยถึง $7.5 ล้านเหรียญ
ด้วยทุนสร้าง €6.5 ล้านปอนด์ (=$8.3 ล้านเหรียญ) รวมรายรับทั่วโลก $25.7 ล้านเหรียญ กลายเป็นผลงานประสบความสำเร็จสุดขณะนั้นของผู้กำกับ Ken Loach โดยปริยาย
ส่วนตัวไม่ชอบหนังสักเท่าไหร่ แม้เนื้อเรื่องราวสะท้อนนัยยะสองสงครามได้ลุ่มลึกตรึงใจ แต่ความดราม่าสุดโต่งหลายๆด้าน ขยี้บีบคั้นอารมณ์เกินไป หาความเหมาะสมเพียงพอดีไม่ได้สักเท่าไหร่
แนะนำคอหนัง Wars Drama ชื่นชอบเรื่องราวโศกนาฎกรรม เสียดบาดแทงหัวใจ, บุคคลกำลังศึกษาประวัติศาสตร์ ยุคสมัยล่าอาณานิคมของสหราชอาณาจักร สงครามอังกฤษ-ไอร์แลนด์, แฟนๆผู้กำกับ Ken Loach และนักแสดงนำ Cillian Murphy ไม่ควรพลาด
จัดเรต 18+ กับความสุดโต่ง สงคราม ขัดแย้งภายใน
Leave a Reply