The Witcher 3: Wild Hunt
ผมเพิ่งเล่นเกมนี้จบสดๆร้อนๆเลย ใช้เวลาไป 120+ ชั่วโมง ครึ่งเดือนกว่าจะเล่นจบ เพิ่งถอย notebook มาใหม่เมื่อสิ้นปี เน้นสเป็คเล่นเกม AAA โดยเฉพาะ สอย The Witcher 3: Wild Hunt มาตอน New Year Sales ได้ลด 50% คงต้องเขียนรีวิวสักหน่อยนะครับ ให้เวลากับเกมนี้นานทีเดียว
CD Projekt RED ณ วินาทีนี้คอเกมคงไม่มีใครไม่รู้จักค่ายเกมค่ายนี้เป็นแน่ ก่อตั้งเมื่อ 1994 ที่ Warsaw ประเทศ Poland ผลงานค่ายนี้มีแต่ The Witcher Series ที่ใครๆคงรู้จักกัน แต่ก่อนที่ The Witcher ภาคแรกจะวางขายเมื่อปี 2007 นั้น CD Projekt RED เคยเป็นค่ายท้องถิ่นที่แปลภาษาจากต้นฉบับมาเป็นภาษา Poland และจัดจำหน่ายในประเทศ เกม Baldur’s Gate แต่เหมือนจะไม่คุ้มทุนเท่าไหร่เลยหันมาสร้างเกม
ผมชอบปรัชญาการทำเกมของ CD Projekt RED นะครับ พวกเขาให้ความสำคัญกับผู้เล่นอย่างมาก เรียกว่าผู้เล่นขออะไรก็แทบจะจัดให้เลย โดยพวกเขาเชื่อว่าถ้าคุณผลิตเกมที่มีคุณภาพ ผู้เล่นก็อยากสนับสนุนเกม ขนาดว่าทีมงานทำให้ The Witcher 3 เป็น DRM-free คือไม่กำหนดสิทธิ์การใช้งาน คุณอยากจะโหลดเถื่อนก็ทำได้ Crack ง่ายด้วย แต่มันจะไปกวนตรีนคุณในเกม เช่นว่า ถ้าคุณไม่ได้ซื้อเกมของแท้ มันจะเกิดบั๊คบางอย่างที่ทำให้คนเล่นรู้สึกรำคาญ ถ้าไม่รอให้ทีม Crack ออก Patch แก้ ไปสนับสนุนของแท้ดีกว่าไหมครับแบบนั้นนะ
ผมเคยเล่นภาคแรกไปได้นิดนึงแล้วก็ถอยออกมา ยังไม่ได้เล่นต่อจนจบ ภาคแรกนี่เล่นยากทีเดียว Gameplay ค่อนข้างยุ่งยากมาก ผิดกับตอนภาคสองที่ผมเล่นจนจบแล้วก็ชอบมากๆ เล่นเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นภาค 3 เริ่มโปรโมทแล้วอยากเล่นต่อมากๆ แต่ก็โดนโรคเลื่อนไปสองรอบ พอตอนเกมวางขายก็เล่นไม่ได้สเป็คคอมไม่ถึง ทรมานมากครับกว่าจะได้เล่นเกมนี้ แต่เล่นแล้วก็มีความสุขมากๆ แทบจะไม่ผิดหวังเลย (แต่ก็มีแอบผิดหวังนิดๆนะ)
ผมขอพูดถึงภาค 2 หน่อยแล้วกัน เป็นเกม RPG Open-World ที่แปลกๆทีเดียว คือมันไม่เชิง Open-World เสียเท่าไหร่ แบบว่าเราเดินทางไปเมืองๆหนึ่ง แล้วก็ทำภาระกิจเรื่องราว แก้ปัญหา ผจญภัย ภายในแผนที่ของเมืองและบริเวณโดยรอบ ต้องทำให้จนครบและเสร็จก่อนถึงจะเดินทางไปเมืองถัดไปได้ แล้วก็จะไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก แบบนี้มันก็ไม่เชิงเรียกว่า Open-World นะครับ มันเป็น Story-Driven ไปเลย สิ่งที่เด่นมากๆใน The Witcher 2 คือ การเลือกที่ส่งผลต่อตัวละครและเนื้อเรื่องตลอดทั้งเรื่อง คำว่าส่งผลนี้เกมอื่นๆที่มีเส้นเรื่องเดียว อาจจะมีผลแค่ตอนจบเปลี่ยนไป แต่กับเกมนี้คือ เนื้อเรื่องเปลี่ยนไปเลย เรียกว่าเล่นรอบ 2 ถ้าเลือกคำตอบต่างกัน จะได้เนื้อเรื่องไปคนละแบบ เห็นว่าตอนเกมนี้วางขายสร้างความฮือฮามากๆ เพราะมันต่างจากเกมอื่นๆที่เคยมีมาก่อนปี 2011 และอีกหนึ่งจุดเด่นที่ผมชอบมากๆคือ เกมนี้มันดิบเถื่อนและเข้าถึงสันดานมนุษย์มากๆ ว่าไปนี่เป็นเกมเรต Mature ที่ไม่ยั้งเรื่องคำหยาบคาย Sex Scene และการฆ่าฟันตัดคอที่สมจริงสุดๆ นี่คงเป็นเกมแนว Fantasy Open-World เกมเดียวในโลกละมั้งที่กล้าทำแบบนี้
มาที่ภาค 3 ได้ดูตัวอย่างเกมกันหรือยัง นี่เป็นเวอร์ชั่น Trailer ที่ผมชอบที่สุดนะครับ
ตอนดูครั้งแรกนี่ขนลุกเลย นี่ตัวอย่างหนังหรือตัวอย่างเกมกันเนี่ย เส้นแบ่งบางๆระหว่างเกมกับหนังมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว มาดูตัวอย่างรอบนี้เห็นหลายฉากเลยที่ไม่เหมือนในเกม น่าเสียดายที่ตัวเกมถูกลดคุณภาพลงพอสมควร ผมเชื่อว่าถ้าเกมนี้ออกอีกสัก 1-2 ปีหลังจากนี้ เราอาจจะได้คุณภาพเกมที่เท่ากับตัวอย่างนี้ แต่เพราะมันออก 2015 (ตอนแรกวางแผนไว้ปลายปี 2014 ด้วยซ้ำ) ตอนนั้น Windows 10 ยังไม่วางขาย DirectX 12 ยังไม่ support เครื่อง pc เลยนะครับ ผู้กำกับเกมก็ออกมาพูด ถ้าเกมรันบน DirectX 12 จะได้ภาพสวยขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่าเลย
คอมใหม่ ทำให้ผมสามารถเลือกที่เป็น Highly Recommend Setting ในเกมได้ ซึ่งสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือแสงและความละเอียด ซึ่งบอกว่าเกมนี้มีการเล่นกับแสงได้สมจริงมากๆ (จนอาจจะเกินจริงไปหน่อย) ถ้าท่านได้ดูคลิปของนักแคสเกม ผมเห็นความต่างชัดเจนเลย คือความสว่าง เกมระดับ Minimum กับ Medium Setting มักจะตัดการเรนเดอร์แสงทิ้งไป ทำให้เห็นภาพในเกมเป็นเฉดสีเดียว ตอนผมเล่นเดินเข้าถ้ำแบบว่ามืดแทบจะสนิท ถ้าไม่ได้จุดไฟช่วยมองอะไรไม่เห็น กลางวันก็มีทั้งแดดแรง ตอนเช้าเย็นแดดสลัวๆ ตอนกลางคืนไม่ค่อยอยากไปไหน มองอะไรไม่ค่อยเห็น ก่อนฝนจะตกนี่เห็นเมฆมาไกลๆ ลมพัดแรง ต้นไม้ไหว ฝนตกก็พื้นแฉะวิสัยทัศน์มองอะไรไม่ค่อยเห็น เจ๋งมากๆเลย ถ้ามีโอกาสอีกสัก 2-3 ปีข้างหน้าซื้อคอมใหม่ ผมแนะนำให้กลับมาเล่นเกมนี้แล้วปรับ Highly Setting หรือ Ultra Setting ดูนะครับ จะเห็นความสวยงามที่น่าทึ่งทีเดียว
พูดถึง Gameplay ถือว่าง่ายกว่า The Witcher ทั้งสองภาคก่อนหน้ามาก ตอนภาค 2 นี่กระโดดไม่ได้ วิ่งไปมาติดกำแพง invincible แอบเซ็งมาก ซึ่งพอภาคนี้กระโดดได้ เอาละครับ สไตล์ Elder Scroll ได้เวลาสำรวจยอดเขา วิ่งขึ้นดอยไปเลย เกมนี้ถึงจะไม่มี Invincible Wall แต่ถ้าวิ่งไปเกินเขต มันจะพูดเตือนแล้ว Warp เรากลับเข้ามาในพื้นที่เกมปกติเลย (ชั่วร้ายกว่ามากๆ) การควบคุมทำได้ง่ายขึ้น เหมือนเกม RPG ทั่วไป แค่ปุ่มเยอะหน่อย การอัพสกิลก็เข้าใจง่ายนะครับ คงเพราะผมเคยเล่นภาค 2 มาแล้วเลยเข้าในละมั้งว่าคำนี้หมายถึงอะไร ศัพท์ในเกมมันค่อนข้างเฉพาะทางสักหน่อย น่าจะเป็นภาษา Poland นะแหละ พวก Axii, Yrden, Igne ฯ เล่นไปเรื่อยๆก็คงจะคุ้นได้เองนะครับ … ลืมบอกไปว่าเกมนี้ใช้ศัพท์ที่แบบว่า Games of Throne มาก คือไม่ใช่แค่ยาก แต่คุณต้องเก่งภาษาอังกฤษพอสมควรถึงจะเข้าใจบทสนทนาทั้งหมด ผมเองเจอศัพท์ที่แบบว่า อะไรว่ะ อยู่หลายครั้งทีเดียว แถมบริบทมันก็ไม่ช่วยให้เราเข้าใจเท่าไหร่ว่าคำนั้นแปลว่าอะไร แต่ผมก็ไม่ใช้ Dict ช่วยนะครับ เล่นไปเรื่อยๆก็จะเข้าใจเอาว่าต้องทำอะไร
จุดเด่นมากๆถึงมากที่สุดของเกมนี้ คือการต่อสู้ที่มีการเคลื่อนไหวพริ้วมากๆ ซึ่งพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจากภาคแรกและภาคสอง ในภาคนี้ก็สมจริงสุดๆ เห็นว่าใช้ Motion Capture จากการเคลื่อนไหวจริงๆเลย เมื่อเทียบกับเกม Elder Scroll ที่ฟันทื่อๆ ฉับๆ แล้ว The Witcher Series เหนือกว่ามาก ไม่ใช่แค่อาวุธนะครับ เวทย์ต่างๆก็มีผลต่อสภาพแวดล้อม ใช้ไฟเผาต้นหญ้าตาย ใช้ Arad พื้นน้ำพริ้วไหว หรือแม้แต่ Object อย่าง ฟันหินงอกพัง ฟันกล่องไม้แตก
ข้อตำหนิแรกเลยของเกมนี้คือเลเวลขึ้นยาก อาจจะเฉพาะแค่ผมละมั้ง เห็นว่า max Level ที่ 70 แต่ผมเล่นเต็มที่ได้แค่ 30 เอง จบเกมที่เลเวล 35 เปะๆเลย ตอนภาค 2 max Level ที่ 35 นี่ไปถึงไม่ยากนะครับ คงเพราะภาคนี้ exp ที่ได้จากตี monster มันน้อยมากๆ น้อยจนแทบไม่มีค่าเลย ไปเก็บจาก Quest ยังดีกว่ามาก ผมเพิ่งไปเจอทริคในการเก็บ Level เมื่อตอนสายไปแล้ว คือเราต้อง Craft Witcher Gear ตั้งแต่ต้นๆเกมเลยซึ่งมันจะมี 5-20% exp bonus from human/non-human/monster ให้ด้วย ซึ่งกว่าที่ผมจะเริ่ม Craft Witcher Gear ก็สายไปแล้ว คือเก็บ ? (Side Quest) หมดเกลี้ยงแล้ว ก็แปลกใจว่า Side Quest เยอะแยะ แต่ทำ EXP ได้น้อยเหลือเกิน monster ในเกมก็ไม่ได้จับกลุ่มอยู่มากมายอะไร อีกทั้ง level monster ก็ไม่ได้อัพขึ้นตามเลเวลเรา เมื่อเราเลเวลสูงขึ้นก็ไม่ค่อยมีกลุ่มของ monster ที่ให้เราฟาร์มได้เรื่อยๆ ส่วน mini Boss ตาม Guarded Treasure/Monster Nest นั้น ตายแล้วตายเลยจบกัน
ตอนผมไล่เก็บ ? (Side Quest) ผมรู้สึกค่อนข้างหงุดหงิดนะครับเพราะมันเยอะ น่าจะเกือบ 3-4 วันเต็มๆ (ไม่ต่ำกว่า 20-30) ชั่วโมง มันไปเสียเวลามากตอน map Skellige ที่ต้องล่องเรือไป ไอ้ผมก็บ้าจี้เกมมีอะไรให้เราก็ต้องเก็บมันให้หมด ผมว่ามันเยอะเกินไปหน่อย และมันมีข้อจำกัดเยอะด้วย เช่นว่าถ้าเรือโดน damage ก็จะไม่สามารถ full-speed ได้เลย การต่อสู้ใต้น้ำก็มีแต่ Crossbow ที่ใช้ได้ ก็ถือว่าจำกัดมากๆ แต่ก็แปลกที่พวก monster ใต้น้ำโดนธนูดอกเดียวตาย แต่สู้บนบกนี่ฟันอยู่หลายรอบ เจอ bug แปลกๆอย่าง ผมทิ้งอาวุธเพราะมันหนักบนเรือ แต่กลับเป็นว่าพอล่องเรือแล้ว ของมันลอยอยู่บนผิวน้ำนั้นแหละ ไม่เคลื่อนไปกับเรือและไม่จมด้วย ลอยค้างอยู่แบบนั้น ผมไม่ได้นับนะครับว่ามี Side Quest อยู่เท่าไหร่ น่าจะเกิน 100 แน่ๆ (ผมไม่แน่ใจด้วยนะครับว่าไปไล่เก็บ Side Quest พวกนี้มันจะมี EXP ให้ด้วยหรือเปล่า แต่เอาของมาขายก็ทำเงินได้เยอะอยู่ แต่ให้แนะนำ ถ้ามันทำแล้วไม่ได้ exp ก็ไม่ต้องไปเก็บหมดก็ได้นะครับ เสียเวลาและเสียกำลังใจเล่นด้วย)
มาที่เนื้อเรื่องของเกมบ้าง นี่เป็นเกมที่มีการเล่าเรื่องหลากหลายและครอบคลุมแทบทุกอย่าง มันมีเรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกดี และเรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกจุก ผมชอบ Quest Lady in the Wood มาก ถ้าใครหลงดูในตัวอย่าง Gameplay ขอให้จงลืมมันไปเสียนะครับ เพราะในเกมจริงๆมันมี impact ที่แรงมากๆ ถึงขนาดว่าเล่นเอาผมหลอนเลย คลิกที่ Save File เพื่อจะกลับไปลองเลือกอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ผมก็กลับมาใช้ Save แรกเล่นต่อ เพราะรู้สึกว่ามันอาจมีอะไรที่น่าสนใจกว่า ซึ่งก็จริง การเสียสละใน Quest: Lady in the Wood มีผลต่อ Quest: Lady in the Wood (Return) จะบอกว่าอารมณ์มันต่อเนื่องก็ว่าได้ ถ้าเราเจ็บในตอนแรก เควส return จะไม่เจ็บมาก แต่ถ้าเราเลือกไม่เจ็บมากในตอนแรก เควส return จะเจ็บหนัก … บอกตามตรงเลือกไม่ถูกครับ มือผมสั่นมากตอนเห็นผลลัพท์ของเควสแรก มันขยี้หัวใจแรงมากๆ นี่เป็นเนื้อเรื่องช่วงที่ผมชอบที่สุดแล้ว
มันก็มีช่วงพีคๆอื่นๆอีกหลายช่วงนะครับ แต่ผมคงขอไม่พูดถึงมัน (ทั้งๆที่คันปากอยากเล่าจะตาย) ขอข้ามไปตอนจบเลย นี่เป็นเกมที่โฆษณาว่ามีตอนจบ 30 กว่าแบบ ว่ะ อะไรมันจะเยอะขนาดนั้น ในความจริงแล้วหลังเควสสู้กับ Wild Hunt จบลง มันจะมีอีกเควสหนึ่ง ซึ่งมีแค่ 3 แบบเท่านั้นที่เป็นตอนจบจริงๆ แล้วที่ว่ามี 30 แบบ มันคือการนับจำนวนการไขว้ของผลลัพท์ของแต่ละตัวละครในแต่ละเควสที่เราเล่นผ่านมา เช่นว่า สงครามระหว่างแต่ละประเทศจบยังไง ใครจะได้ครองประเทศ ชะตากรรมของพระเอกจะเป็นยังไง นับรวมๆกันได้ 30 แบบ … แอบรู้สึกเหมือนโดนหลอก แต่เราก็จะไปโทษว่ากล่าวเขาไม่ได้นะครับเพราะมัน 30 กว่าแบบจริงๆ ตอนจบที่ผมได้ถือว่ากลางๆ แต่สำหรับผมมันคือ happy end ที่ผมชอบมากๆ คือมันทำเอาน้ำตาคลอได้นิดๆเลยละ ผมไปตามหา Ending อื่นๆหลังเกมจบ ก็พบว่าปัจจัยที่จะส่งถึงตอนจบนั้นอยู่ไกลมาก ตั้งแต่กลางเรื่องเลย ผมชอบวิธีการนี้มาก เพราะจุดเปลี่ยนของเกมมันอยู่ ณ ขณะต่างๆที่เราคิดไม่ถึงว่ามันจะมีผลไปถึงตอนจบ เหมือนเกมมันตัดสินให้เราว่า ทำแบบนั้น ตอนนั้นผลลัพท์ในระยะยาวมันจะเกิดอะไรขึ้น ผมดูตอนจบครบทั้ง 3 แบบแล้ว พบว่ามันสมเหตุสมผล ลงตัวมากๆ เป็นตอนจบที่ทำให้คนพูดถึง เชื่อว่าถ้าไม่จบแบบ Bad Ending ในการเล่นครั้งแรก ทุกคนจะรู้สึกอิ่มเอิบ ชื่นชมเกมนี้ว่าทำออกมาได้สวยงามมากๆ ตอนจบของ Bad Ending เหมือนมันจะค้างคา แต่ผมว่ามันอธิบายความรู้สึกของตัวละครในเกมได้เป็นอย่างดีที่สุดเลยละครับ
เพลงประกอบ สุดยอดครับ คนแรก Marcin Przybyłowicz และ Mikolai Stroinski เป็น Composer และ Music Direction มาช่วยทำเพลงให้ตอนภาค 2 ด้วยนิดนึง และก็เคยทำเพลงให้ The Vanishing of Ethan Carter ในเกมมีเพลงบรรเลงและเสียงขับร้อง โดยวง Percival เป็นวง folk song ของ poland นะครับ นิยมเล่น Tradition Song ของประเทศกลุ่ม Scandinavian ตั้งแต่ยุค Vikings โน่น เราจะได้ยินเสียงเครื่องดนตรีแปลกๆหูมากมาย ประกอบไปด้ว long-necked lute (saz or Bağlama), byzantine lyra (rebec), drums และ flutes ผมก็ไม่รู้จักหรอกนะครับ แต่ก็ต้องถือว่าสร้างความแตกต่างให้กับเกมสมัยนี้ อีกทั้งเป็นการนำเสนอวัฒนธรรมประจำชาติของตัวเองให้เป็นที่รู้จักของชาวโลก นายกรัฐมนตรี Poland ถึงขนาดมอบเกม The Witcher 2 ให้กับประธานาธิบดี Barack Obama ตอนมาเยือน Poland เมื่อหลายปีก่อนนะครับ
ลองฟังหนึ่งในเพลงที่เราจะได้ยินในเกมด้วยนะครับ บรรเลงโดยวง Percival
ผมชอบช่วงนี้มากๆนะ Dandelion กับ Priscilla เป็นตัวละครที่ทำให้เกมนี้ไม่เครียดจนเกินไป ผมชอบชุดของ Dandelion มาก เด่น แนว stylish มากๆ ตอนภาค 2 ผมไม่ได้ชอบตัวละครนี้เท่าไหร่ แต่ภาค 3 นี่เหมือนออกมาแย่งซีนเลย จากบรรยากาศเครียดๆหลัง Quest: Lady in the Wood นี่เป็น Moment ที่ต้องการจริงๆ … มันมีอีกช่วงหนึ่งที่เป็นช่วงคั่นแบบนี้คือ ช่วง Geralt ขี้เมา ใครกด That’s a bad idea. นี่พลาดมากๆนะครับ ผมกด That’s a good idea. ได้เห็นอะไรที่ … lol
ผมสังเกตเห็นหลายฉากมีการใส่งานศิลปะที่เป็นเชิงสัญลักษณ์เข้าไป ตอนเควสที่ Geralt ต้องเดินทางไปยังโลกต่างๆ 5 โลก นี่ก็ชัดเจนมากๆ โลกทะเลทราย, โลกสีแดงแห่งควันพิษ, โลกใต้น้ำ, โลกหิมะ ที่ผมชอบที่สุดคือโลกของ Elvish น่าเสียดายที่ลงไปสำรวจไม่ได้ ที่จี้ดสุดๆคือภาพวาดหญิงสาวอันบิดเบี้ยวของ Ge’els มันชัดเจนมากๆถึงข้างในจิตใจที่มันเป็นเหมือนในรูป ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ ภาพวาดนี้เป็นตัวแทนนำเสนอจิตวิทยาของ Elvish เชิงสัญลักษณ์ได้สุดยอดมากๆ
ตอน Geralt หา Ciri เจอมีคนแคระ 7 คนในกระท่อม โดย Ciri หลับหมดสติปลุกไม่ตื่นอยู่ เอะ… นี่มันแอบจงใจหรือเปล่าเนี่ย Snow White ผมขาวด้วย เรารู้มาว่า The Witcher นำตำนานของ Viking มาผสมเข้าไปด้วยมากมาย อย่าง monster นี่คงชัดสุด สัตว์ทั้งหลายในเทพนิยาย griffin, troll, goblin ฯลฯ ที่อาจจะไม่เหมือนภาพคุ้นเคยที่เราเคยเห็นเท่าไหร่ ผมไม่มีปัญหาในการสู้กับ monster พวกนี้เลย คงเพราะผมเคยเล่น The Witcher 2 มา เลยรู้ว่ามันมีเทคนิคบางอย่างที่เราใช้ได้ คือการผสมผสานระหว่างเวทย์กับการกระโดดหลบ ผมไม่ได้อัพสายปรุงยาเลย แต่ผมใช้ Oil ในการเพิ่ม Damage แทบจะทุกครั้งที่ไปเจอ monster ใหม่ๆ มันจะมีคู่มือ(ในเกม) ที่อธิบายว่า monster ตัวนั้นแพ้ทางอะไร เช่น สัตว์ปีกจะใช้เวทย์ Arad หรือถ้าเป็น monster element จะใช้ Quen คู่กับ Monster Oil ผมเคยเป็นผู้เล่นที่เอาแต่ฟันๆๆๆ ตอน The Witcher 2 ผมก็เล่นแบบนั้นครับ และก็ตายแทบทุกที ตอนสู้กับ Boss ตัวแรกที่เป็น Kraken ไม่รู้เล่นไปกี่รอบ จนเข้าใจว่า เล่นเกมมันไม่ใช่แค่ฟันๆ มันต้องมีการวางแผนและ Tactic พอสมควร … แต่กระนั้นผมก็ยังเอาชนะ Archgriffin เลเวล 49 ไม่ได้ … ลองอยู่หลายรอบ เป็น monster ที่เลเวลสูงที่สุดในเกม เพราะมันโจมตีเราครั้งเดียวตาย และฟันครั้งนึงเลือดไม่ขยับเลย ถ้าใช้ธนูนี่คงเกิน 10 นาทีแน่ๆ เลยช่างมันครับ มีตัวเดียวในเกม ถ้าใครชอบ Challenge ก็ลองไปหาดูนะครับ อยู่ที่เกาะแห่งหนึ่งใน Skellige
ข้อเสียอีกจุดหนึ่งที่ผมเจอในเกมนี้ คือ มันมีบางเรื่องราวที่จุดฉนวนเรื่องขึ้นมา แต่ก็หายไป คิดว่าหลายคนคงเดาได้ King of Begger กับ House of Fire ผมแอบคาดหวังว่าจะมีสองเรื่องราวนี้ใน Main Quest แต่ก็หายจ๋อมไปเลย (หรือว่าผมหาไม่เจอเองหว่า?) แบบว่าไอ้วิหารสูงๆใน Novigard ทำมาเพื่อ… แค่นั้นเองเหรอ น่าจะมีอะไรเสียหน่อย หรือจะมี Expansion … ไม่รู้สิครับ
ผมโดนเกมนี้หลอกไปรอบหนึ่ง ตอน Act2 ที่พระเอกต้องไปรวบรวมพรรคพวกจากเมืองต่างๆเพื่อมาร่วมสู้กับ Wild Hunt ตอนแรกผมคิดว่าจะจบแล้วเหรอ เห้ยมันสั้นไปนะ ผมเลยเร่งเก็บเควสทั่วเกมจนครบเลย ตอนนั้นเลเวล 26 เท่านั้น ปกติถ้ามันต้องรวมเพื่อนที่เคยช่วยไว้ แบบใน Mass Effect แสดงว่าเรื่องใกล้จบแล้ว และตอนที่ไปหา Ciri มันก็มีคำเตือนขึ้นให้ Save เพราะมันเป็นจุดที่ย้อนกลับไม่ได้ แหม่… โดนหลอกครับ พอจบสงครามที่ Kaer Morhen แล้วยังมี Act3 ต่อ Shit! ผมโดนหลอกเต็มๆ จุดนี้ความผิดผมเองล้วนๆ เชื่อว่าอาจจะมีคนโดนหลอกแบบผมบ้าง Act 3 เป็นช่วงบทสรุปของหลายตัวละคร และเรื่องราวที่เปิดไว้ใน Act 2 เอาจริงผมรู้สึกเรื่องราวมันไม่พีคเท่าตอน Act 2 แต่ข้อสงสัยอะไรต่างๆก็เคลียร์หมดใน Act นี้ ณ จุดนั้นผมเล่นต่ออีก 2 วัน ถึงจะจบ Act 3 นะครับ เป็นเกมที่ Story ยาวมากๆ
ใครชอบ mini Game คงติดใจ Gwent Card แน่ๆ ผมไล่เก็บ Card ยังได้ไม่ครบเลย แต่ Card จาก Quest ก็เก็บครบแล้ว คู่แข่งที่ผมคิดว่าเก่งที่สุดแล้วในเกมคือ Sasha ตอน Quest: High Stakes Gwent ผมเล่นซ้ำอยู่เกือบ 10 รอบได้มั้งกว่าเธอจะได้ Card ไม่ดีที่ทำให้ผมชนะได้ เทคนิคที่ผมเจอบ่อยๆในเกม Card คือ Spy ผมว่า Gwent เนี่ย ใครมี Card ในมือมากกว่า โอกาสจะชนะสูงมาก ผมไปเห็น Archivement หนึ่งของ Gwent Card ที่คุณต้องทำแต้ม 187 แต้มในเกมเดียว … ทำยังไงฟร่ะ! คิดแล้วไม่ง่ายเลยนะ เพราะเราจะมี Special Card ได้ 10 ใบเท่านั้น ในขณะที่ Unit Card คงต้องมีแต่ 8-10 Point ขึ้นไป มี Spy Card หลายใบ และที่สำคัญคือ Decoy และต้องลุ้นให้คู่ต่อสู้เรามี Spy และ Decoy เยอะๆด้วย ถึงจะมีโอกาสทำแต้มได้สูงขนาดนั้น ผมเคยทำได้สูงสุดประมาณ 100 แต้มเองนะ (ไม่ใช่ 3 รอบรวมนะ รอบเดียว 100 แต้ม) ใช้ Horn 2 ตัว ที่เหลืออัด Unit Card จนล้น ไพ่คู่จับมือก็อีกหลายคู่ เห็นว่ามีคลิปของคนที่ทำแต้มแข่งกันใน Youtube อยู่นะครับ ลองหาดูได้เลย
ผมพิมพ์รีวิวนี้อยู่ 2 วันกว่าจะเสร็จ น่าจะยาวที่สุดที่ผมเคยพิมพ์รีวิวแล้ว ก็สมควรละครับ เล่นเป็นร้อยชั่วโมงจะไม่ให้รีวิวยาวได้ยังไง เกมนี้เรต Mature คือ 18+ ที่รุนแรงมากๆ แต่ถ้าคุณโตพอแล้วผมก็แนะนำให้เล่นเลยนะครับ รออีก 2 ปีก็ได้ที่สเป็คคอมธรรมดาจะเล่นเกมนี้ได้ แต่ถ้ามีเงินซื้อสเป็คแรงๆ แนะนำให้เลือกอย่างน้อย High Resolution นะครับ เกมไม่ใช่แค่ภาพสวย แต่เนื้อเรื่องเจ๋งมากๆ ใครชอบดูหรืออ่าน Games of Throne แนะนำเกมนี้เลย ความดิบ เถื่อน สมจริง เนื้อเรื่องที่ทำให้คุณปวดร้าว จี๊ด เจ็บแสบ ผมว่าพอๆกันเลย Games of Throne ยังไม่จบ แต่ The Witcher 3 ตอนจบเป็นอะไรที่สวยงามมากๆไม่ว่าจะได้จบแบบได้ นี่กลายเป็นเกมโปรดของผมตั้งแต่ยังไม่ได้เล่น เล่นแล้วก็ไม่ผิดหวังใดๆครับ ให้เวลากับมันเกิน 100 ชั่วโมงจนไม่อยากให้มันจบ อาจจะมีเบื่อๆบ้าง แต่ไม่มีเสียดายแน่นอน มีคนกล่าวไว้ว่า “เล่น The Witcher 3 จบ อารมณ์เหมือนอกหักเพิ่งเลิกกับแฟน” จริงครับ เกือบครึ่งเดือนที่ผมใช้ชีวิตกับมัน เล่นจบเมื่อวานนี่ใจหวิวๆเลย รอ Expansion ออกให้ครบก่อนค่อยสอยมาเล่นต่อ
คำโปรย : “The Witcher3: Wild Hunt เกม masterpiece จาก CD Projekt RED การผจญภัยครั้งใหม่ของ Geralt of Rivia ที่จะทำให้คุณหลงรักทุกอย่างของเกมนี้ นี่คือ Games of Throne เวอร์ชั่นเกม ที่มีความดิบ เถื่อน เนื้อเรื่องที่ทำให้คุณเจ็บช้ำ แต่จะอิ่มเอิบกับตอนจบที่สวยงามที่สุด”
คุณภาพ : LEGENDARY
ความชอบ : FAVORI
Leave a Reply