To Kill a Mockingbird

To Kill a Mockingbird (1962) hollywood : Robert Mulligan ♥♥♥♥◊

It was a sin to kill a mockingbird. มันเป็นบาปถ้าจะฆ่า Mockingbird นกชนิดนี้มันไม่เคยสร้างความเดือนร้อนให้ใคร วันๆเอาแต่ส่งเสียงร้องจนกว่าจะพึงพอใจ, จากนิยายรางวัล Pulitzer Prize ของ Harper Lee ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์โดยผู้กำกับ Robert Mulligan นำแสดงโดย Gregory Peck, เวลานึกถึงหนังแนว Courtroom Drama เมื่อพูดถึง 12 Angry Men ต้องพูดถึง To Kill a Mockingbird ทุกครั้ง สองเรื่องนี้เติมเต็มซึ่งกันและกัน และ “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” ทั้งคู่

ผมคิดอยู่เสมอนะ ถ้าลูกขุนใน 12 Angry Men เป็นคนตัดสินใน To Kill a Mockingbird แล้วละก็ Tom Robinson ไม่มีวันแพ้คดีอย่างแน่นอน การเติมเต็มนี้แน่นอนว่าไม่มีวันเกิดขึ้น แต่ถ้าคุณได้ดูหนัง 2 เรื่องนี้ติดๆกัน ไม่ว่าจะเรื่องไหนก่อนย่อมต้องรู้สึกแบบเดียวกับผม ทั้งๆที่ 12 Angry Men สร้างก่อนหลายปี แต่ช่วงเวลาใน To Kill a Mockingbird เกิดก่อนหลายทศวรรษ เหตุการณ์ลักษณะแบบนี้จึงเกิดขึ้นได้ นี่แหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมหนังแนว Courtroom Drama หนังสองเรื่องนี้ต้องติดทุกชาร์ทและอยู่อันดับ 1 และ 2 คู่กันเสมอ

เวลาที่ใครต่อใครพูดถึงหนังเรื่องนี้ มักจะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการขึ้นศาล ที่มีการให้ทนายซักถามโจทก์ พยาน จำเลย ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อะไรเป็นสาเหตุและแรงบันดาลใจในความผิดที่เกิด ผู้ชมจะได้เห็นกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบของการไต่สวน (เว้นแต่ขณะที่ลูกขุนพูดคุยก่อนการลงมติตัดสิน) และผลการไต่สวนที่ถือใครๆคงรู้ว่าขัดต่อความจริงที่เราเห็น, แต่จริงๆหนังมีเรื่องราวเกี่ยวกับความทรงจำของหญิงสาวที่ชื่อ Scout ตั้งแต่สมัยยังเด็ก ที่ได้พบกับเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตและการเติบโตของเธอ กว่า 70% ของหนังเป็นเรื่องของ Scout และพี่ชาย Jem มีเพียง 40 นาทีเท่านั้น (จาก 129 นาที) ที่เป็นเรื่องราวของพ่อ Atticus ที่ดำเนินเรื่องอยู่ในศาล, ถ้าบอกแบบนี้คนไม่เคยดูอาจจะงง แล้วหนังที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นแนว Courtroom Drama ที่ดีที่สุดในโลกได้ยังไง, ผมเปรียบเวลา 40 นาทีนั้นของหนังคือช่วงเวลาพีคที่สุดของหนัง เปรียบได้กับไคลน์แม็กซ์ เพราะมันคือช่วงเวลาของการพิจารณาตัดสินในความหมายของชื่อหนังที่ว่า ‘เราควรฆ่า Mockingbird หรือไม่?’

I could shoot all the blue jays, but to remember it was a sin to kill a mockingbird. ประโยคนี้ถูกพูดขึ้นกลางเรื่องโดยตัวละครพ่อ Atticus เล่าให้กับ Scout ลูกสาว และ Jem ลูกชาย, Blue Jays เป็นนกที่นิสัยไม่ดี เป็นพวกฉวยโอกาส กินไม่เลือก ตั้งแต่ผลไม้ เศษอาหาร หรือเนื้อสัตว์ ชอบขโมยไข่และกินลูกนกชนิดอื่นด้วย Blue Jays จึงถูกเปรียบเหมือนกับคนนิสัยไม่ดี ทำตัวไม่น่าคบหา, Mockingbird เป็นนกในวงศ์ Mimidae หรือวงศ์นกเลียนเสียง (mimick = เลียนแบบ) นกในวงศ์นี้มีเฉพาะถิ่นของทวีปอเมริกาเนื่องจากสายพันธุ์นี้มีกล่องเสียงที่พัฒนามาก จึงสามารถเลียนเสียงนกชนิดอิ่นๆ ชอบขับร้องเพลง ไม่เคยสร้างความเสียหายให้กับพืชผัก จึงถูกมองเป็นสัญลักษณ์แห่งความความบริสุทธิ์ และไร้เดียงสา, ความหมายในบริบทนี้ก็คือ “ไม่ผิดที่จะยิงคนเลว แต่เป็นบาปที่จะทำร้ายคนที่ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร”

จริงอยู่ที่เราอาจมองว่า การทำร้ายคนที่ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับใครเป็นบาป แต่การฆ่าคนที่รู้ว่าผิดแน่ๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกเช่นกัน, เราชาวพุทธควรมองแบบนี้นะครับ ต่อให้ใครสักคนผิดมากแค่ไหน เขาฆ่าพ่อแม่ ฆ่าเมีย ฆ่าลูกเรา ฟังดูไม่น่าให้อภัยได้ แต่มีแค่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่สอนให้คนอโหสิ, ผมเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่คนอเมริกันไม่เคยสอนลูกหลานตัวเองแน่นอน มีแต่พุทธเท่านั้นแหละที่กล้าสอนแบบนี้ สิ่งที่เราเห็นในหนังมันสะท้อนได้ 2 มุมมองนะครับ
1. ในมุมมองของพระเอก (และคนดู) เราจะเห็น คนผิวสี Tom Robinson เป็น Mockingbird และ Bob Ewell เป็น Blue Jay
2. ในมุมมองของผู้คนสมัยนั้น คนผิวสี Tom Robinson เป็น Blue Jay และ Bob Ewell เป็น Mockingbird

หลายคนคงคิด เห้ย! บ้าน่า มุมมองที่ 2 ใครกันจะไปคิดอย่างนี้ นั่นเพราะคุณกำลังมองโลกในมุมเดียวอยู่นะครับ, ถ้าผมบอกว่าจุดที่น่าตำหนิที่สุดของหนังเรื่องนี้ คือการสร้างมุมมองให้ผู้ชมหรือคนอ่านเห็น มีแค่มุมจำกัดมุมเดียว แต่เรื่องราวมันก็นำเสนอให้เราเห็นอีกมุมด้วย คือมุมที่ 2 อย่างที่ผมบอกไป ในจุดที่ทำไมคนสมัยนั้นมากมายถึงอยากฆ่า Tom Robinson (ถึงขนาดยกพวกไปล้อมหน้าโรงพัก) เหตุผลก็คือพวกเขามองคนผิวสีเป็น Blue Jay และมองพวกเดียวกันเองเป็น Mockingbird

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากความทรงจำวัยเด็กของ Harper Lee ที่ทำให้เธอคว้ารางวัล Pulitzer Prize รางวัลสูงสุดที่มอบให้กับสื่อสิ่งพิมพ์ วรรณกรรม และการประพันธ์เพลงยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปี, สิ่งที่เธอเขียนในนิยายเล่มนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงแทบทั้งหมด ตัวละคร Atticus ก็คือตัวแทนพ่อของเธอ Amasa Coleman Lee ที่เป็นทนายความในเมือง Alabama, ตัวละครอื่นๆก็ล้วนอ้างอิงมาจากบุคคลจริงๆ อาทิ Boo Radley ก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก Truman Capote (นักเขียนนิยายชื่อดัง ที่เคยกลายเป็นหนังเรื่อง Capote), ทั้งชีวิตของ Harper Lee เหมือนเธอตั้งใจจะเขียนนิยายแค่เล่มเดียวนะครับ แต่เมื่อปี 2015 นิยายเรื่องที่สองอยู่ดีๆก็วางจำหน่าย Go Set a Watchman (2015) สร้างความฮือฮาอย่างมาก กลายเป็นนิยายขายดีเรื่องหนึ่งแห่งปีเลย คาดว่ากำลังจะถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในอีกไม่ช้า แต่น่าเสียดายเธอไม่มีโอกาสได้ชมเสียแล้ว เสียชีวิตเมื่อ กุมภาพันธ์ 2016 นี้เอง รวมอายุ 89 ปี

ดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์โดย Horton Foote เจ้าของรางวัล Pulitzer Prize for Drama จากบทละครเรื่อง The Young Man From Atlanta (ละคร Broadways) และได้ Oscar 2 ครั้ง จากบทดัดแปลง To Kill a Mockingbird และบทดั้งเดิม Tender Mercies (1983) นี่น่าจะการันตีได้ว่า Foote เป็นสุดยอดนักเขียนคนหนึ่ง ซึ่งการดัดแปลงของเขานี้เห็นว่าซื่อตรงต่อนิยายมากๆ, กระนั้นมันก็มีจุดที่นักวิจารณ์หลายคนรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ อาทิ การตายของ Tom Robinson ทำไมเขาถึงหนีอย่างบ้าคลั่งและถูกยิงโดยไม่ตั้งใจ, ตอนที่ Ewell เสียชีวิต นายอำเภอกลับพูดประมาณว่า “There’s a black man dead for no reason, and now the man responsible for it is dead. Let the dead bury the dead this time.” ประโยคนี้ก็ดูสมเหตุสมผลดี แต่ก็มีคนมองได้ประมาณว่า Robinson คงไม่อยากฝัง Ewell และ Ewell คงไม่อยากฝัง Robinson แน่ๆ

ผู้กำกับ Robert Mulligan จริงๆเขาควรได้รับเครดิตมากกว่านี้นะครับ แต่เอาจริงๆพอพูดถึง To Kill Mockingbird คนจะนึกถึง Harper Lee กับ Gregory Peck มากกว่า แต่หนังจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีผู้กำกับ Mulligan และโปรดิวเซอร์ Alan J. Pakula ที่เป็นตัวตั้งตัวตีหลักเลย, เพราะแม้นิยายจะเพิ่งได้ Pulitzer Prize มาก็ไม่ได้การันตีว่าจะได้รับดัดแปลงเป็นหนัง สตูดิโอใน hollywood ขณะนั้นก็ไม่มีที่ไหนที่สนใจ เพราะหนังขาด romantic และ action (หนัง drama แนวๆนี้มักจะขายไม่ได้) และ Harper Lee ทีแรกก็ไม่คิดจะขายลิขสิทธิ์ให้ใครด้วย แต่เป็นโปรดิวเซอร์และผู้กำกับ ที่พอพูดคุยกับ Gregory Peck ให้ตกลงรับบทนำได้แล้ว บอกกับ Lee เธอก็ยินดีขายลิขสิทธิ์ให้เลย ด้วยเหตุผลว่า Peck เป็นนักแสดงระดับคุณภาพที่คล้ายกับคุณพ่อของเธออย่างมาก

หลังจากได้โทรศัพท์ติดต่อ Gregory Peck นั่งลงอ่านนิยายจากต้นจนจบรวดเดียว แล้วโทรกลับหาผู้กำกับ ตกลงรับเล่นหนัง, เหตุผลก็คือ เขารู้สึกเหมือนตัวละคร Atticus เป็นเหมือนกับตัวเขาเอง, ในฉาก long-take ความยาว 9 นาที ที่ Peck พูดสรุปคดีต่อหน้าลูกขุนไม่มีตัด นั่นคือตัวของเขาจริงๆ ไม่มีการแสดงเลย เล่น take เดียวไม่มีซ้ำสอง นี่เป็นฉากที่ถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตการแสดงของ Peck เลย, เขาได้ Oscar สาขา Best Actor จากหนังเรื่องนี้ด้วยนะครับ ทั้งๆที่ทีแรกเขาคิดว่าคนที่น่าจะได้รางวัลนี้คือเพื่อนสนิท Jack Lemmon จากหนังเรื่อง Days of Wine and Roses (1962) ซึ่งพอได้ยินประกาศชื่อตัวเองก็ตะลึงไปเลย, ตัวละคร Atticus ได้ถูกจัดอันดับ AFI’s 100 Years…100 Heroes and Villains เป็น Heroes อันดับ 1 แสดงถึงว่าคนมองตัวละครนี้คือ ฮีโร่ของอเมริกันเลย, Peck บอกว่าทั้งชีวิตของเขา ใครๆที่พบเจอมักจะพูดถึงการแสดงในหนังเรื่องนี้มากกว่าหนังเรื่องไหนๆที่เคยเล่นมา, ระหว่างการถ่ายทำ พ่อของ Harper Lee เสียชีวิตก่อนที่หนังจะถ่ายทำเสร็จ และตอนที่หนังฉาย Lee ได้มอบสร้อยและนาฬิกาของพ่อให้กับ Peck เพราะเธอรู้สึกหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะการแสดงของ Peck ทำให้เธอระลึกถึงพ่ออย่างมาก (จึงให้ไว้เพื่อเป็นเครื่องแทนใจ) และเห็นว่า Peck ใส่สร้อยและนาฬิกาในวันที่เขาได้รับ Oscar ด้วย

Brock Peters รับบท Tom Robinson บทของเขามีไม่เยอะ แต่ขณะที่เขาขึ้นพูดให้การในศาล และน้ำตาไหล ฉากนี้จุกมากๆ ในบทไม่มีเขียนไว้ให้ร้องไห้ แต่มันไหลออกมาเอง และ Peck ที่ต้องเผชิญหน้ากับเขาให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่สามารถมองหน้า Peters ได้ ต้องมองไปข้างหลัง ไม่งั้นเขาจะควบคุมตัวเองไม่อยู่

สองนักแสดงเด็กในหนังเรื่องนี้ โตขึ้นมาแม้จะไม่ค่อยมีผลงานเท่าไหร่ แต่นี่ถือว่าเป็น Masterpiece ของพวกเขาเลย Mary Badham ในบท Jean Louise “Scout” Finch และ Phillip Alford ในบท Jeremy Atticus “Jem” Finch, Mary Badham เป็นนักแสดงเด็กที่เข้าชิง Oscar สาขา Best Supporting Actress ที่อายุน้อยที่สุด 9 ขวบ (ณ ขณะนั้น) น่าเสียดายที่แพ้ให้กับ Patty Duke จากหนังเรื่อง  The Miracle Worker (1962) ที่ขณะนั้นอายุ 14, ความไร้เดียงสา อยากรู้อยากเห็นของเด็กๆ ถือเป็นใจความสำคัญหลักของหนังเลย ถ้าไม่ได้แววตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ การกระทำอันไร้เดียงสา คงเปรียบการกระทำของพวกเธอเหมือนกับ Mockingbird ไม่ได้ และการกระทำของ Ewell ในช่วงท้ายจึงเป็นเหมือนการพยายามฆ่า Mockingbird (สะท้อนอีกมุมหนึ่งของหนัง)

James Anderson รับบท Robert E. Lee “Bob” Ewell ได้สถุน ดิบ เถื่อน ใบหน้าและการเคลื่อนไหวของเขาแสดงออกซึ่งความเป็นคนที่มีลับลมคมใน เชื่อใจไม่ได้ อันธพาล ดูแล้ววัยเด็กคงถูกพ่อทำมาเยอะ โตขึ้นจึงกลายเป็นแบบนั้น และพอมีภรรยา/ลูกก็ใช้วิธีปกครองเดียวกัน, Collin Wilcox รับบท Mayella Violet Ewell รับบทลูกสาวของ Bob ความวิปริตผิดปกติของเธอ คงเกิดจากที่ถูกพ่อทำร้ายทุบตี เสี้ยมสอนมาอย่างเจ็บปวดเป็นแน่ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะพ่อถูกข่มขืนตั้งแต่เด็กด้วย โตขึ้นเธอจึงมีสภาพเช่นนั้น และความต้องการสุดประหลาด อย่างต้องการมี Sex กับคนผิวสี คงเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเธอไม่เคยถูกกระทำการกดขี่ทางเพศที่รุนแรงมาตั้งแต่เด็ก จึงเกิดความสนใจอยากลิ้มลองรสชาติที่แปลกประหลาด

ในอดีตนี่เป็นเรื่องที่รับกันไม่ได้ของคนอเมริกา โดยเฉพาะผู้หญิงผิวขาวที่จะลดตัวยอมทอดกายให้ผู้ชายที่เป็นข้าทาสกับชายผิวสี แต่กลับกันดันรับได้เสียอย่างนั้น ผู้ชายมี Sex กับผู้หญิงผิวสีได้, คงต้องร่ายตั้งแต่สมัยอเมริกาสร้างประเทศ แล้วเอาคนผิวสีจากแอฟริกาขึ้นเรือเพื่อเป็นทาสรับใช้ ผมของอ้างประโยคจากหนังเรื่อง Malcom X ที่ว่า “อเมริกาสร้างชาติด้วย ‘ทาส’ ย่อมต้องถูก ‘ทาส’ เอาคืน ยึดครอง” เพราะเหตุนี้อเมริกาจึงยังคงมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ ชนชั้น การเหยียดผิว มาจนถึงปัจจุบันก็แก้ไม่ตก เพราะตั้งแต่สร้างประเทศมา ก็เริ่มต้นด้วยความแตกต่างแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าคงจะเป็นไปอีกนาน, กลับมาที่ผู้หญิงผิวขาวที่มีรสนิยมเป็นชายผิวสี มันชัดเลยว่าใครที่เป็นแบบนี้ยุคสมัยนั้น ย่อมต้องถูกสังคมรังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเหมือนกับลดตัวไปอยู่กับสิ่งสกปรกโสโครก, ผมดูแล้ว การโกหกของ Mayella แสดงถึงจุดยืนของสังคม ที่ถ้าเธอพูดออกไปว่า ‘ฉันชอบของแปลก’ คงไม่มีใครรับเธอได้แน่ๆ ผมไม่คิดว่าชีวิตเธอจะดีไปได้มากกว่านี้หรอกนะ ถึงครั้งนี้สังคมจะเข้าข้างเธอ แต่เจ้าตัวย่อมรู้เองดี ไม่มีวันที่เธอจะหยุดแสวงหาของแปลกได้ และเมื่อใดที่พลาดอีกครั้ง พ่อ/ผัว ตายไปแล้ว คงไม่มีใครช่วยเธอได้แบบครั้งนี้อีกแล้ว, ไม่ใช่คนผิวสี ผมก็เห็นใจเธอได้ “feel sorry about her.”

หนังยังมีนักแสดง Cameo ที่ตอนนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักนัก Robert Duvall กับบท Arthur “Boo” Radley นี่ไม่ใช่หนังเรื่องแรก แต่ถือเป็น Debut ของ Duvall เลย ไม่มีบทพูด แต่ออกมาแย่งซีนตอนจบ, เห็นว่า Duvall ทุ่มเทเพื่อให้เหมือนตัวละครนี้ ขนาดว่าไม่ออกไปโดนแสงอาทิตย์หลายสัปดาห์จนผิวซีดกลายเป็นแบบตัวละครในหนัง

ถ่ายภาพโดย Russell Harlan (Red River-1948,Lust for Life-1956) กับหนังเรื่องนี้ถือว่าโดดเด่นมากๆ แม้จะเป็นภาพขาว-ดำ (ซึ่งจงใจเพื่อนำเสนอเรื่องราวความขัดแย้งของ คนผิวขาว-คนผิวสี) โดยเฉพาะการเคลื่อนกล้องเข้าออกซ้ายขวา มีการใส่อารมณ์เข้าไปขณะซูมเข้าซูมออก รู้สึกหวาดกลัว ตื่นเต้น ตกใจ ฯ, Harlan ได้เข้าชิง Oscar สาขา Best Cinematography ด้วยนะครับ (แพ้ให้กับ The Longest Day ในปีนั้น)

ตัดต่อโดย Aaron Stell, ผมเชื่อว่าคงมีคนที่ไม่เคยอ่านนิยายแล้วดูหนังเรื่องนี้ เพราะได้ยินกิตติศัพท์ว่าเป็นหนังแนว Courtroom Drama ที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ผ่านไป 1 ชั่วโมงแล้วสงสัย อะไรว่ะ! ไม่เห็นมีฉากอะไรในศาลเลย ดูผิดเรื่องหรือเปล่านิ!, ตอนผมดูครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนก็คิดเหมือนกันครับ แต่เพราะรู้สึกว่าเรื่องของเด็กๆก็ยังสนุกอยู่ เลยยังสามารถดูต่อไปเรื่อยๆ และพบว่ามันมีแค่ 40 นาทีกับช่วงเวลาที่รอคอยกับใน Courtroom ตอนนั้นทำเอาผมช็อคไปเลย เห้ย! นี่มันแบบ The Deer Hunter เลยนี่หว่า ที่เอาอะไรมาก็ไม่รู้ แล้วพอถึงช่วงไฮไลท์ ไคลน์แม็กซ์ก็ฮุคหมัดต่อแบบจุกน็อคสลบเลย, สมัยนั้นผมยังไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งหรือละเอียดเหมือนปัจจุบัน รู้แค่ว่า มันคงมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่าง ระหว่างเรื่องของเด็กๆกับเหตุการณ์ในศาลเท่านั้นแหละ แต่ไม่เสียเวลามองหาหรอกว่าคืออะไร, นี่แสดงถึงความยอดเยี่ยมในการเล่าเรื่องและกาตัดต่อ ที่กว่าคุณจะประติดประต่อเรื่องราวให้กลายเป็นรูปเป็นร่างได้ จักต้องดูหนังให้จบ มองให้เห็นภาพรวมจึงจะสามารถเข้าใจองค์ประกอบเล็กๆ ที่ดูไม่น่าเข้ากัน แต่แท้จริงสอดคล้องกลมกลืนได้อย่างลงตัว

เพลงประกอบโดย Elmer Bernstein นี่ผมฟังเสียง Mockingbird ร้องเพลงอยู่หรือไร มันไพเพราะ หวานแหววมากๆ ถ้าปีนั้นไม่มี Lawrence of Arabia เพลงประกอบของ Elmer Bernstein นี่แหละครับที่จะต้องได้ Oscar, ผมไม่เคยได้ยิน Mockingbird ร้องเพลงนะ แต่คิดว่าน่าจะเสียงคล้ายๆแบบนี้แหละ โดยเฉพาะเสียงเปียโน ที่คล้ายกับเสียงจิ๊บๆของนก ลงโน๊ตทีละตัวอย่างชัดถ้อยชัดคำ เสียงฟลุตที่หวานแหวว ร้องรับกับอรุณยามเช้า, มีเกร็ดหนึ่งที่ควรรู้ไว้ คนที่บรรเลงเปียโนให้กับเพลงประกอบหนังเรื่องนี้คือ John Williams สมัยยังหนุ่มๆนะครับ (ถ้าใครฟังเพลงของ John Williams บ่อยๆ จะรู้ว่าเขาได้อิทธิพลมาจาก Elmer Bernstein พอสมควรเลยละครับ)

ชื่อไทยของ To Kill a Mockingbird คือ ‘ผู้บริสุทธิ์’ เพื่อนผมที่เรียนคณะอักษรฯ ตอนเห็นผมรีวิวหนังเรื่องนี้ครั้งแรกก็บอกว่า อาจารย์เพิ่งสั่งให้ไปอ่านนิยายเล่มนี้ ผมลองถามเพื่อนที่มหาวิทยาลัยอื่นดูก็พบมีหลายแห่งเหมือนกันที่ให้นักศึกษาไปอ่านนิยายเล่มนี้แล้วเขียนวิเคราะห์ บอกเลยว่าผมไม่เคยอ่านนิยายนะครับ เพื่อนคนที่เคยอ่านนิยายและดูหนังมักจะเลือกไม่ถูกว่าแบบไหนดีกว่า (แต่ก็เอนเอียงไปทางนิยาย) ผมชอบดูหนัง ถึงไม่ได้อ่านนิยาย ก็ต้องบอกว่าชอบหนังมากกว่า (ยกเว้นแต่ Shakespeare ที่ไม่มีหนังเรื่องใดในโลกเทียบได้กับ 1 ใน 10 ความยอดเยี่ยมในนิยายของเขา), ผมคงไม่ขอพูดจุดแตกต่างระหว่างหนังกับนิยาย แต่เชื่อว่าคนชอบหนังน่าจะชอบนิยาย คนชอบนิยายน่าจะชอบหนัง ขนาดนักเขียน Harper Lee ยังชอบหนังมากๆ และ Gregory Peck บอกว่า นี่คือหนังเรื่องโปรดของเขา

ผมเคยพูดไว้กับหนังเรื่อง My Left Foot ที่เป็นเรื่องของชายพิการทางสมอง ขยับได้แค่ขาซ้าย แต่นิสัยอันบัดซบของเขา ที่ชอบพูดจาถากถางดูถูกคนที่ตั้งใจจะช่วยเหลือเขา ข้อคิดที่ผมได้จากหนังเรื่องนั้นคือ “อย่าเป็นคนเหย่อหยิ่งถือตัว ทั้งโลกอาจไม่มีใครเข้าใจคุณ แต่อย่าได้ดูถูกคนอื่น” เช่นกับกับ To Kill a Mockingbird ผมมองนิสัยเหยียดผิวของคนอเมริกาคือความเหย่อหยิ่งถือตัว ตัวละครของ Gregory Peck ถือว่าฮีโร่มากๆ เขามีความเข้าใจคนในทุกระดับ ไม่แบ่งว่าคนผิวสี ชาวนา ยากจน เป็นคนเหมือนกัน ระดับเท่ากัน ผมทึ่งมากๆตอนที่เขาสอนลูก หลายครั้งเป็นอะไรที่น่าคิด และไม่ได้พยายามยัดเยียดความเข้าใจบางอย่าง

Atticus: Do you know what a compromise is?
Scout: Bendin’ the law?
Atticus: Uh, no. It’s an agreement reached by mutual consent.

ประโยคนี้สอนอะไรหลายๆอย่างนะครับ ความเป็นกลางในการตัดสินคนอื่น, การเข้าใจซึ่งสิทธิ, ความเสมอภาพ, การปฏิบัติตัวต่อผู้อื่น, วิธีการที่จะทำให้คนอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข ฯ และประโยคนี้ยังมีความหมายเท่ากับ ‘You never really knew a man until you stood in his shoes and walked around in them.’ แปลได้คือ ‘ถ้าเราต้องการเข้าใจผู้อื่น ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา’

ประเทศไทยเราเป็นเมืองพุทธ โชคดีที่ไม่ค่อยมีประเด็นเรื่องความแตกต่าง แตกแยกทางชนชั้นให้เห็นมากนั้น แต่ไม่ใช่ว่าเมืองไทยเราไม่มีระบบชนชั้นหรือการเหยียด (racist) นะครับ มีอยู่เยอะ ยังเห็นได้เรื่อยๆ แต่คนส่วนใหญ่ ผมเชื่อว่าน่าจะรู้อยู่ในใจ ‘เหยียดไปแล้วยังไง’ มันไม่ได้ทำให้คุณมีสิทธิพิเศษอะไรมากกว่าคนอื่นนักหรอก, ถ้ารู้ตัวเองว่าชอบเหยียด ต้องรีบมองหาสาเหตุนะครับ ว่าเหยียดอะไร? เพราะอะไร? แล้วแก้ที่ต้นเหตุ สังคมสมัยนี้ ผู้คนรับกันไม่ได้แล้ว ถ้าคุณแสดงอาการแบบนั้นออกมาอย่างชัดเจน เก็บมันไว้ลึกๆ อย่าให้ใครรู้เห็น ไม่เช่นนั้นคุณอาจถูกกระทำแบบ 12 Angry Men ที่คน racist พ่ายแพ้ด้วยการลุกขึ้นยืนหันหลัง พูดไปไม่มีใครฟัง สังคมรังเกียจเดียดฉันท์ ไม่มีใครยอมรับ จนกลายเป็นไม่มีที่ยืนในสังคม

ข้อคิดของหนังเรื่องนี้คือ ‘คนทุกคนมือความเสมอภาค เท่าเทียม’ แม้ในโลกอาจจะไม่มีสิ่งนี้อยู่มากนัก แต่ถ้า ‘คุณไม่ดูถูกคนอื่น สังคมก็จะไม่ดูถูกคุณ’ และที่สำคัญที่สุด อย่าสมน้ำหน้า Bob Ewell นะครับ โทษสังคมดีกว่าที่ทำให้เขากลายเป็นคนแบบนั้น

เข้าชิง 8 Oscar ได้มา 3 คือ Best Actor, Best Adapt Screenplay, Best Art Direction,
AFI’s 100 Years…100 Movies จัดอันดับหนังเรื่องนี้ที่ 34 (ของปี 1998) และอันดับ 25 (ของปี 2007)
AFI’s 100 Years…100 Cheers อันดับ 2
AFI’s 100 Years of Film Scores (เพลงเพราะ) อันดับ 17

แนะนำหนังเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ทุกคน โดยเฉพาะนักกฎหมาย ทนายความ ลูกขุน ฯ นักจิตวิทยา, นักเขียน, นักทำหนัง ฯ, คนชอบหนังเก่าๆ คลาสสิค ภาพขาว-ดำ อาจดูยากหน่อย แต่การันตีว่าคุ้มค่า แฟนหนังสือไม่น่าพลาด, ผมจัดเรต 13+ นิยายเรื่องนี้บางประเทศจัดเรต 15+, 18+ ประเด็นเรื่องเหยียดถือว่ารุนแรงมากๆ เพราะมันเป็นการปลูกฝังความคิดและความเชื่อบางอย่าง ซึ่งเหรียญมันมีสองด้านเสมอ ดู/อ่านเรื่องนี้แล้วเกิดความต่อต้านการเหยียดก็ดีไป แต่ถ้ายิ่งดูยิ่งเหยียด มันจะได้ไม่คุ้มเสีย

TAGLINE | “To Kill a Mockingbird มันบาปที่จะฆ่าคนบริสุทธิ์ แต่ไม่ว่าคุณจะรู้หรือไม่ว่าใครบริสุทธิ์ ก็ไม่ควรฆ่าใครทั้งนั้น เพราะมันเป็นบาป สุดยอดการแสดงของ Gregory Peck ที่คุณจะไม่มีวันลืมฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่นี้”
QUALITY | RARE-GENDARY
MY SCORE | LOVE 

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: