Tomboy (2011) French : Céline Sciamma ♥♥♥♥

เด็กอายุสิบขวบ อยู่ในช่วงวัยแห่งการค้นหาอัตลักษณ์ทางเพศ ‘sexual identity’ แม้กายวิภาคจะคือหญิง แต่รูปลักษณะภายนอก ความแข็งแกร่งของร่างกาย จิตใจอยากได้รับการยินยอมรับจากเพื่อนชาย สรุปแล้วฉันเพศอะไรกันแน่? จะมีสิทธิ์เลือกได้หรือเปล่า?

ความอ่อนเยาว์วัยของเด็กๆ ทำให้ผู้ชมไม่สามารถบังเกิดอคติใดๆต่อหนัง เพราะใครๆย่อมตระหนักว่าเขา-เธอยังใสซื่อบริสุทธิ์ แสดงออกพฤติกรรมเบี่ยงเบนด้วยความไร้เดียงสา ยังมีอะไรๆอีกมากมายที่เด็กวัยนี้ยังไม่สามารถรับรู้เข้าใจ ฉงนสงสัยในอัตลักษณ์ทางเพศ ทำไมมนุษย์ถึงมีการแบ่งแยกชาย-หญิง? คำถามนี้แม้แต่ผู้ใหญ่บางคนก็อาจตอบไม่ได้

พัฒนาการของผู้กำกับ Céline Sciamma ก้าวกระโดดจาก Water Lilies (2007) อย่างไม่เห็นฝุ่น! เธอมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องราว ตัวละคร ไดเรคชั่นนำเสนอทีละลำดับขั้นตอน ใช้เทคนิคภาษาภาพยนตร์ได้ลื่นไหล เป็นธรรมชาติกว่าผลงานก่อน และทิ้งประเด็นคำถามที่สร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อ-แม่ ผู้ปกครอง จะสามารถยินยอมรับถ้าลูกๆ ถ้าพวกเขาเติบโตมาเป็น LGBT+ ได้หรือยัง?

และสิ่งที่ต้องชื่นชมสุดๆก็คือ Zoé Héran มองมุมหนึ่งเหมือนเด็กชาย มองอีกมุมเหมือนเด็กหญิง ทั้งยังการแสดงที่ถ่ายทอดความซับซ้อนของตัวละครออกมาอย่างโคตรเป็นธรรมชาติ ตราตรึงระดับเดียวกับ Ana Torrent เรื่อง The Spirit of the Beehive (1973)


Céline Sciamma (เกิดปี 1978) ผู้กำกับ/นักเขียนบทภาพยนตร์ สัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Pontoise, Val-d’Oise วัยเด็กชื่นชอบการอ่าน-เขียน หลงใหลในภาพยนตร์เพราะคุณย่ามักเปิดหนัง Hollywood ยุคเก่าๆให้รับชม, พอช่วงวัยรุ่นก็แวะเวียนเข้าโรงหนัง Art House สัปดาห์ละสามวัน, คลั่งไคล้ผลงานของ Chantal Akerman และ David Lynch, ศึกษาต่อยัง École Nationale Supérieure des Métiers de l’Image et du Son (เรียกสั้นๆว่า La Fémis) พัฒนาบทโปรเจคจบ Naissance des Pieuvres ไม่เคยคาดหวังจะเป็นผู้กำกับ แต่หลังจากนำบทดัวกล่าวไปพูดคุยโปรดิวเซอร์ ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างเต็มที่จนได้แจ้งเกิดกลายมาเป็น Water Lilies (2007)

หลังเสร็จจากผลงานแรก Sciamma ก็ได้เปลี่ยนบรรยากาศไปสร้างหนังสั้น Pauline (2009) และร่วมเขียนบท Ivory Tower (2010) เพื่อสะสมประสบการณ์ เปิดมุมมองใหม่ๆ เรียนรู้วิธีการทำงาน จนมีความเข้าใจต่อสื่อภาพยนตร์มากขึ้น

สำหรับผลงานภาพยนตร์ขนาดยาวลำดับสอง Sciamma ต้องการทำสิ่งแตกต่างตรงกันข้ามกับ Water Lilies (2007) นำเสนอเรื่องราวที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง (Energy) ด้านสว่างสดใส และใช้เวลาให้น้อยที่สุด, หวนระลึกถึงช่วงเวลาวัยเด็กของตนเองที่นิสัยแก่นแก้ว ทอมบอยอยู่เล็กๆ เลยบังเกิดแนวคิด ‘เด็กหญิงปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชาย’

I had the storyline in mind for a while, as a pitch: “a little girl pretending to be a little boy”. When I decided I wanted to make a second film I was looking for a very simple and catchy story, that I could write and direct very fast. I wanted to make a movie in a crazy energy, as free as possible. I thought that story would be perfect, because it’s about childhood, the rush of emotions, the energy.

Céline Sciamma

หลายคนอาจครุ่นคิดว่าหนังเรื่องนี้คืออัตชีวประวัติ (Auto-biographical) แต่ Sciamma ให้สัมภาษณ์ว่า แม้ตอนเด็กๆตัดผมสั้นจะดูเหมือนทอมบอย แต่ก็ไม่เคยคิดจะปลอมตัวเป็นผู้ชาย (เธอเป็นเลสเบี้ยนนะครับ จะอยากเป็นผู้ชายทำไม?) ส่วนที่มาจากชีวิตจริงมีเพียงพื้นหลังครอบครัว (พ่อไม่ค่อยอยู่บ้าน แม่กำลังตั้งครรภ์น้องชายคนสุดท้อง) และความสัมพันธ์พี่-น้อง (สะท้อนความอยากเป็นพี่สาวที่เข้มแข็งแกร่ง ปกป้องน้องรักไม่ให้ใครมารังแก)

At some points it’s autobiographical but it’s not my story. I didn’t pretend I was a little boy when I was a little girl. I was kind of boyish when I was the character’s age but that was because it was the 80s and girls had short hair at the time. Sometimes people might have thought I was a boy but it wasn’t something I wanted to happen. The parts that really belong to my own story are the family interactions and the sisterhood.

เกร็ด: Céline Sciamma ใช้เวลาพัฒนาบท Tomboy (2011) เพียง 3 สัปดาห์ แต่ก็เต็มไปด้วยรายละเอียด บทพูด มีส่วนน้อยที่ปรับแก้ ‘Improvised’ ระหว่างถ่ายทำ

เรื่องราวของ Laure (รับบทโดย Zoé Héran) เด็กหญิงวัยสิบขวบ มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเด็กผู้ชาย เมื่อย้ายมาอยู่อพาร์ทเม้นท์หลังใหม่ เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Mickaël แล้วถอดเสื้อเล่นฟุตบอล สวมใส่เพียงกางเกงว่ายน้ำ (แล้วยัดดินน้ำมันแทนไอ้จ้อน) แต่หลังเกิดเหตุทะเลาะชกต่อยเพราะน้องสาว Jeanne (รับบทโดย Malonn Lévana) ถูกกระทำร้าย ความจริงเรื่องที่เธอเป็นเด็กหญิงเลยได้รับการเปิดเผยออกมา


Sciamma มีเวลาคัดเลือกนักแสดงเพียง 2-3 สัปดาห์ ก่อนเริ่มถ่ายทำเดือนถัดไป ซี่งแทบไม่หลงเหลือเวลาให้ซักซ้อมเตรียมตัวสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้วิธีการง่ายสุดก็คือติดต่อเอเจนซี่ที่มีนักแสดงเด็กๆในสังกัด โดยให้คีย์เวิร์ด ‘Tomboy’ แค่เพียงวันแรกเท่านั้นก็ได้พบเจอ Zoé Héran ไม่เพียงรูปร่าง/ใบหน้าเหมือนเด็กผู้ชาย แต่ยังสายตาดูเคร่งขรีม ครุ่นคิดมาก เอาจริงเอาจังกับชีวิต เฉลียวฉลาดเกินวัย

I headed straight to the acting children agencies, spreading the word I was looking for a Tomboy. Quickly the word came back that there was this girl, Zoé, who had what it took. I met her on the first day of casting, and was amazed. Of course she had the looks, but mostly she had such an intense face, and incredibly photogenic. We didn’t have the time to rehearse as we were shooting a month later. I just cut her hair as a preparation for the part, and then all the work was on the set.

Zoé Héran (เกิดปี 1999, ที่ Seine-et-Marne) มีความสนใจด้านการแสดงตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ ได้เล่นตัวประกอบซีรีย์ ภาพยนตร์โทรทัศน์ แม้เป็นเด็กมีความสามารถ แต่เพราะขาดบทบาทเหมาะสมบุคลิกภาพของเธอ จีงไม่ค่อยพบเจอโอกาสใดๆ จนกระทั่ง Tomboy (2011) ถีงอย่างนั้นก็ใช่ว่าหนทางอนาคตจะสดใส ต้องรอคอยจนเติบโตเป็นสาว (ตัวจริงไม่ได้เบี่ยงเบนเหมือนตัวละครนะครับ) ค่อยได้รับโอกาสครั้งใหม่ๆ

ด้วยความที่ Laure มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเด็กชาย (ยกเว้นอวัยวะเพศหญิง) ชื่นชอบการวิ่งเล่น ใช้พละกำลัง แข็งแกร่งกว่าเพื่อน(ชาย)บางคนเสียอีก เลยโหยหาอยากได้รับการยินยอมรับ (จากเพื่อนชาย) เลยตัดสินใจใช้ชื่อ Mickaël และพยายามพิสูจน์ตนเองด้วยการถอดเสื้อเตะฟุตบอล สวมใส่เพียงกางเกงว่ายน้ำ (แล้วยัดดินน้ำมันแทนไอ้จ้อน) ทั้งรู้ว่าการกระทำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดเรื่องร้ายๆ แต่เพราะฉันอยากเป็นเหมือนเด็กผู้ชาย มันผิดตรงไหนกัน?

คนส่วนใหญ่มักมีความเข้าใจว่า พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศมักเกิดจากอิทธิพล/ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมรอบข้าง การเลี้ยงดูของครอบครัว ญาติ-พี่น้อง เพื่อนฝูง หรือสภาพสังคมที่เติบโตขี้นมา แต่น้อยนักอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ที่พยายามทำให้ทุกสิ่งอย่างรอบข้างเด็กหญิงดูเป็นปกติทั่วไป เว้นเพียงลักษณะภายนอกรูปร่างหน้าที่เหมือนเด็กชาย นั่นทำให้เธอบังเกิดความฉงนสงสัยในอัตลักษณ์ทางเพศ ฉันสามารถเลือกได้เองหรือเปล่าว่าโตขี้นอยากเป็นหญิงหรือชาย?

เนื่องด้วยความเร่งรีบในโปรดักชั่นหนัง ทำให้ไม่มีเวลาซักซ้อม เตรียมตัวนักแสดงมากนัก Sciamma เลยเข้าหาเด็กๆ พูดคุยอย่าง(นักแสดง)มืออาชีพ อธิบายสิ่งที่เธอต้องการอย่างตรงไปตรงมา สื่อสารแบบผู้ใหญ่ และทุกครั้งระหว่างเทคก็จะเข้าไปแสดงความคิดเห็น ให้คำชี้แนะนำว่าต้องทำอะไรเพิ่มเติมบ้าง

To get a performance from such a young actress, I really considered her as an actress. Being very direct, very accurate about the character state of mind and attitudes. I made her commit to the part, and tried never to be in the position of a thief. During the takes, I am constantly talking to her, creating the rhythm of the scene with her. Directing kids is a lot about the trust, and the relationship you build.

ความที่ตัวละคร Laure ต้องเปลือยหน้าอก พบเห็นอวัยวะเพศ ผู้กำกับ Sciamma จีงขอให้ผู้ปกครองของ Zoé Héran เข้าร่วมอยู่ในทุกฉากสำคัญๆ เพื่อไม่ให้เธอเหนียงอาย รู้สีกปลอดภัย กล้าทุ่มเทใจให้บทบาท นั่นให้ผลลัพท์การแสดงออกมาลุ่มลีก ตราตรีง โดยเฉพาะสายตาโหยหาการยินยอมรับ พยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้กลายเป็นเด็กชาย ค่อยๆบังเกิดความเชื่อมั่นใจ ภาคภูมิในตนเอง จนเมื่อความจริงถูกเปิดเผย ทุกสิ่งอย่างก็พลันล่มสลายในพริบตา

ผมประทับใจการแสดงของ Zoé Héran เรียกได้ว่า ‘ช้างเผือก’ เพราะสามารถถ่ายทอดความสลับซับซ้อนทางอารมณ์ (ไม่น่าเชื่อว่านักแสดงเด็กก็เล่นบทบาทลักษณะนี้ได้) ฉันอยากเป็นผู้ชายแต่ร่างกายคือเด็กหญิง พยายามครุ่นคิดสรรหาวิธีการ ก้าวข้ามผ่านทีละเรื่อง ละขั้นตอน กระทั่งถีงขณะตัดชุดว่ายน้ำให้เหลือเพียงกางเกงตัวเดียว (One Piece) โห! มันต้องใช้ความมุ่งมั่น หาญกล้าสักเพียงไหนกัน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ใหญ่จะมาตัดสินใจแทนเด็กๆอีกต่อไปแล้วนะ


ถ่ายภาพโดย Crystel Fournier สัญชาติฝรั่งเศส เริ่มต้นมีผลงานหนังสั้นตั้งแต่ปี 1998 กระทั่งมีโอกาสกลายเป็นตากล้องขาประจำ Céline Sciamma ตั้งแต่ Water Lilies (2007)

หนังถ่ายทำยัง Seine-et-Marne ชานเมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุง Paris ช่วงเดือนสิงหาคม 2010 ด้วยระยะเวลาเพียง 20 วัน ซึ่งการถ่ายทำจะไม่ถ่ายเป็นช็อตๆ แต่ใช้กล้อง(ดิจิทอล)บันทึกภาพไปเรื่อยๆ ไม่มีสั่งคัท หรือแม้แต่ตอนผู้กำกับ Sciamma เข้าไปพูดคุยให้คำแนะนำนักแสดง เพราะจะเป็นการเสียสมาธิ/แย่งความสนใจจากเด็กๆ ปล่อยให้พวกเขาแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ไม่เร่งรีบ ไม่กดดัน (ผมรู้สึกว่านี่อาจเป็นวิธีการทำงานกับนักแสดงเด็กที่น่าจะได้ผลสัมฤทธิ์มากที่สุดแล้วนะ)

ไดเรคชั่นของหนัง เหมือนจะได้แรงบันดาลใจจาก Dardenne brothers นิยมใช้ระยะภาพ Close-Up จับจ้องใบหน้า ปฏิกิริยาแสดงออกของตัวละคร แตกต่างที่มุมมองของผู้กำกับ Sciamma มีความเป็น ‘female gaze’ ทำให้ผู้ชายขณะรับชมเกิดความกระอักอ่วนไม่น้อยเลยละ

ผมเชื่อว่าคนสมัยนี้ต่างรับรู้เข้าใจ Tomboy สื่อถึงผู้หญิงที่มีภาพลักษณ์/การแสดงออกเหมือนผู้ชาย แต่หนังยังคงเลือกจะสร้างความคลุมเคลือให้ตัวละครในช่วงแรกๆ เพียงแค่ตัดผมสั้น เชื่อว่าบางคนอาจแยกแยะไม่ออกด้วยซ้ำ เพศชายหรือหญิง? (มันเลยต้องมีฉากที่พบเห็นอวัยวะเพศ ถึงสามารถยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ากายวิภาคของเด็กคนนี้เพศอะไร)

ระหว่างการเดินทางสู่อพาร์ทเมนท์หลังใหม่ นี่เป็นฉากเล็กๆที่แฝงนัยยะอย่างลุ่มลึกล้ำมากๆว่า ถึงเด็กๆจะได้รับโอกาสให้ควบคุมพวงมาลัย แต่ยังต้องมีบิดา ใครบางคนอยู่เบื้องหลัง คอยให้คำชี้แนะนำ เหยียบคันเร่ง กำหนดทิศทาง(ในการเลือกเพศ)ของบุตร เพราะเขายังไม่เติบโตพอจะครุ่นคิดตัดสินใจอะไรๆด้วยตนเอง

มีอยู่ 2-3 ฉากที่พื้นหลังพยายามแบ่งแบกเด็กๆออกจากกัน สื่อตรงๆถึงความแตกต่างบางอย่าง เพศสภาพ ความต้องการของจิตใจ ฯ รวมไปถึงการใช้สี/เสื้อผ้า แต่มันไม่ถึงขั้นเจาะจงลงไปว่า น้ำเงิน=ชาย, แดง=หญิง ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจตัวละครและบริบทรอบข้างขณะนั้นๆมากกว่า

อีกสัญลักษณ์ที่พบบ่อยครั้งคือส่องกระจก คือการตั้งคำถามกายวิภาคกับตนเอง นี่ฉันเพศอะไร? ทำไมถึงเกิดมามีรูปร่างหน้าตาแบบนี้? สามารถปรับเปลี่ยนแปลงมันได้ไหม? เลยครุ่นคิดหาวิธีปลอมตัวเป็นผู้ชาย เพื่อให้ได้รับการยินยอมยอมรับจากใครๆ … กระจกสะท้อนความต้องการจากภายใน

กิจกรรมที่เด็กๆละเล่นกัน ไล่จับ, เตะฟุตบอล, ประลองกำลัง, สาดน้ำ ฯ แทบทั้งนั้นล้วนมีลักษณะแบ่งออกเป็นสองฝั่งฝ่าย (ไม่จำเป็นว่า ชาย vs. หญิง) มักต้องต่อสู้ แข่งขัน ชิงไหวชิงพริบ เพื่อเอาชนะอีกฝั่งฝ่าย

แซว: เด็กๆยังสมัยนี้น่าจะติดมือถือ เกมคอมพิวเตอร์ มากกว่าเกมที่ต้องกำลัง ความรุนแรงต่อสู้กันแบบในหนังนะ (การไม่มีเทคโนโลยีเหล่านั้น ทำให้หนังค่อนข้าง ‘timeless’ ทีเดียว)

ช่วงท้ายของหนัง Lisa ยินยอมคืนดีกับ Laure สอบถามว่าเธอชื่ออะไร? สำหรับเด็กๆ ความเข้าใจผิดเหล่านั้นมันให้อภัยกันได้ ไม่นานเดี๋ยวก็หลงลืม สามารถเริ่มต้นใหม่ และลึกๆผมก็แอบรู้สึกว่า Lisa สามารถเปิดใจเรื่องเพศได้ด้วยเช่นกัน มีความเป็นไปได้สูงมากว่าโตขึ้นเธอจะกลายเป็นไบหรือเลสเบี้ยน (ส่วน Laure ค่อนข้างชัดเจนสำหรับผมว่าเธอจะกลายเป็นทอม)

ตัดต่อโดย Julien Lacheray สัญชาติฝรั่งเศส เริ่มจากมีผลงานหนังสั้นอีกเช่นกัน แล้วกลายเป็นนักตัดต่อขาประจำ Céline Sciamma ตั้งแต่ Water Lilies (2007)

หนังดำเนินเรื่องโดยใช้มุมมองสายตาของ Laure/Mickaël เริ่มต้นช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่อพาร์ทเม้นท์ พบปะเพื่อนใหม่ เที่ยวเล่นสนุกสนาน ท้าพิสูจน์ความเป็นชาย สิ้นสุดลงก่อนวันเปิดภาคการศึกษาใหม่

  • แนะนำตัวละคร: เดินทางมาถึงอพาร์ทเม้นท์ และพบปะเพื่อนใหม่
  • ตั้งคำถามในอัตลักษณ์ทางเพศ:
    • เริ่มเล่นเกมวิ่งไล่จับ
    • Laure ตัดสินใจถอดเสื้อเตะฟุตบอล
    • ถูก Lisa แต่งหน้าทาแก้มให้ดูเหมือนหญิงสาว
    • สวมใส่เพียงกางเกงว่ายน้ำ (แล้วยัดดินน้ำมันแทนไอ้จ้อน)
  • เมื่อความจริงได้รับการเปิดเผย
    • เริ่มจากน้องสาว Jeanne หลังรับรู้ว่า Laure หลอกลวงคนอื่นว่าเป็นผู้ชาย จึงใช้เป็นข้อต่อรองเพื่อให้ตนเองได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้าง
    • เมื่อ Jeanne ถูกกลั่นแกล้ง Laure เลยเข้าไปช่วยเหลือ ปกป้อง ชกต่อยตี
    • หลังจากแม่รับรู้ว่า Laure ไม่ยินยอมรับเพศสภาพตนเอง จึงให้เธอแต่งตัวเป็นหญิงแล้วไปขอโทษขอโพยเด็กๆคนอื่น
    • สุดท้ายเธอจะยังได้รับการยินยอมรับจากผองเพื่อนหรือไม่?

ฉากที่เด็กๆทำกิจกรรม เล่นสนุกสนาน สังเกตว่าการตัดต่อจะสลับสับเปลี่ยนทิศทาง มุมมอง เก็บรายละเอียดโดยรอบ ซึ่งวิธีดังกล่าวช่วยสร้าง ‘พลัง’ (Energy) ในการดำเนินเรื่อง ให้ผู้ชมรู้สึกกระฉับเฉง มีชีวิตชีวา ผิดกับเมื่อตัวละครอยู่ในห้องพัก/อพาร์ทเม้นท์ ส่วนใหญ่มักเป็น Long Take แต่ไม่ได้แช่ภาพค้างไว้นานจนน่าเบื่อหน่ายนะครับ ต้องมีอะไรสักอย่างขยับเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา (เป็นหนังที่แทบหาวินาทีหยุดนิ่งไม่ได้จริงๆ มีเพียงตอน Laure เป็นนาย-นางแบบวาดรูป แต่ก็ไม่กี่เสี้ยวอึดใจเท่านั้นแหละ)


หนังถือว่าไม่มีเพลงประกอบ ทั้งหมดคือ Sound Effect และ Diegetic Music ต้องมีแหล่งกำเนิดเสียงที่พบเห็นอยู่ในฉาก ซึ่ง Para One ก็ได้เขียนบทเพลง Always สำหรับเด็กๆได้กระโดดโลดเต้น (ในห้องของ Lisa) และ Ending Credit

แซว: บทเพลงนี้มีคำร้องเพียง I love you, always วนไปวนมาซ้ำๆ นอกจากนั้นก็จะเป็นการเล่นเสียง ปั๊ป ปา ดู อา อ้า อา (อะไรสักอย่าง)

กลไกธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่มีความสลับซับซ้อนทางชีวภาพ จำเป็นต้องมีการแบ่งเพศชาย-หญิง เพื่อให้เกิดความหลากหลายในการสืบพงศ์เผ่าพันธุ์ ใครอ่อนแอก็พ่ายแพ้สูญพันธุ์ แม้แต่มนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน

แต่พัฒนาการของมนุษย์ไม่ใช่แค่ชีวภาพทางกาย แต่ยังวิวัฒนาการทางความคิด จิตใจ สามารถที่จะ ‘เลือก’ ทำในสิ่งตรงกันข้ามความต้องการ/สันชาตญาณเดรัจฉาน นั่นรวมถึงเพศสภาพของตนเอง ชายไม่จำเป็นต้องเป็นชาย หญิงไม่จำเป็นต้องเป็นหญิง … เรื่องของเพศไม่ใช่แค่การสืบพงศ์เผ่าพันธุ์อีกต่อไป

ในทางพุทธศาสนา บุคคลผู้ยังมีความลุ่มหลงใหล มักมากในกามคุณ แม้บนสรวงสวรรค์ทั้ง ๖ ก็ยังพบเจอเพศชาย-หญิง กะเทย ตามบุญกรรมและความต้องการของบุคคลนั้น (การที่มนุษย์บนโลกเบี่ยงเบนทางเพศ เพราะร่างกาย-จิตใจ มีความต้องการไม่ตรงกัน เกิดเป็นชายแต่จิตใจเป็นหญิง หรือเกิดเป็นหญิงแต่รักใคร่ชอบพอเพศเดียวกัน ฯ บนสรวงสวรรค์ในรูปของจิต อยากเป็นเพศไหนก็เป็นได้ จึงมักไม่จำเป็นต้องมีความเบี่ยงเบนใดๆ) ยกเว้นชั้นพรหมเป็นต้นไป เพราะสามารถลดละกามคุณ จึงไม่ยึดติดเพศสภาพใดๆ ไร้รูป ไร้ลักษณ์ เสพเสวยสุขในฌาน

คนที่ศึกษาพุทธศาสนาควรต้องรับรู้ว่า เราทุกคนล้วนเคยเกิดเป็นมนุษย์และสัตว์ เพศชาย-หญิง หรือแม้แต่กะเทย เพศ 3-4-5-6 LGBTQrstuvwxyz+ ถ้ามัวแต่ยึดติดในเพศสภาพปัจจุบัน แล้วไปดูถูกเหยียดหยามบุคคลอื่นที่มีความแตกต่างจากเรานั้น อนาคตถัดๆไป การกระทำกรรมทั้งหลายเหล่านั้นจักหวนย้อนกลับคืนสนอง ทั้งหมดทั้งสิ้น!

ความเบี่ยงเบนของ Laure ถูกนำเสนอในลักษณะธรรมชาติชีวิต ไม่ใช่จากอิทธิพลหรือผลกระทบจากสภาพแวดล้อมรอบข้างกาย จิตใจของเธอโหยหาต้องการได้รับการยินยอมรับจากเพื่อนชาย จริงอยู่นั่นไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง สักวันความจริงย่อมถูกเปิดโปง แต่ปัญหาดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้ว พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ควรเริ่มจากพูดคุยปรับความเข้าใจ ไม่ใช่ใช้ความรุนแรง แสดงปฏิกิริยาต่อต้านโดยทันที ตบหน้า บีบบังคับให้สวมใส่เสื้อผ้าผู้หญิง แล้วพาไปขอโทษ/ประจานต่อเด็กๆคนอื่น นี่มันรุนแรงเกินกว่าเหตุไปหรือเปล่า?

ปฏิกิริยาของครอบครัวนี้ สะท้อนว่าคนส่วนใหญ่ยังยินยอมรับความเบี่ยงเบนทางเพศไม่ได้ ปากอ้างให้การสนับสนุน LGBT+ แต่ถ้าบุตรหลานของตนเองแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ ก็หัวร้อน กีดกัน ต่อต้านขึ้นมาทันที แถมบีบบังคับให้พวกเขาต้องแสดงออกตามเพศสภาพของตนเอง ไร้สิทธิ์เสียงในการเลือกตัดสินใจ ไว้โตเป็นผู้ใหญ่เมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที! (เพราะถึงตอนนั้น พ่อ-แม่ก็จะไม่มีสิทธิ์เสียงในตัวลูกหลานของตนเองอีกต่อไป)

ความตั้งใจของ Céline Sciamma สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ให้พรรคพวกเพื่อนที่มีความเบี่ยงเบน สามารถหวนระลึกนึกถึงอดีต กว่าตนเองจะเติบโต ได้รับอิสรภาพทางเพศสภาพในทุกวันนี้ ต้องพานผ่านความขัดแย้งอะไรๆมานักต่อนัก ‘นั่นคือวัยเด็กของฉัน’ ไม่เว้นแม้แต่คนที่โตมาเป็นปกติด้วยเช่นกัน

I made it with several layers, so that a transexual person can say ‘that was my childhood’ and so that a heterosexual woman can also say it.

Céline Sciamma

ความเบี่ยงเบนในช่วงวัยเด็ก ไม่จำเป็นว่าพอเติบโตขึ้นจักต้องมีเพศสภาพเช่นนั้นตลอดไป (เกย์บางคนก็แต่งงานกับผู้หญิง, เลสบางคนพอได้ลิ้มลองดุ้นอันนั้นก็เปลี่ยนมาคลั่งไคล้ผู้ชาย) อนาคตไม่มีทางคาดเดาไม่ได้ แต่การได้รับอิสรภาพทางความคิด-พูด-กระทำ และการสนทนาพูดคุยด้วยเหตุผล ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ หรือหักดิบอย่างรุนแรง นั่นต่างหากคือสิ่งสามารถทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างมีความสุข สงบ และสันติสุข

เกร็ด: ผู้กำกับ Céline Sciamma จงใจเลือกใช้ชื่อหนัง Tomboy ไม่เว้นแม้ในฝรั่งเศส เพราะถ้าคำในภาษาบ้านเกิด garçon manqué ความหมายแท้จริงจะคือ failed boy (บุคคลที่ล้มเหลวในความเป็นชาย) ซี่งเหมือนการดูถูกเหยียดหยามเด็กที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน (คำเรียกดังกล่าวสะท้อนค่านิยมชาวฝรั่งเศสในอดีต แม้ปัจจุบัน LGBT+ จะเปิดกว้างมากขี้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครต่อใครจะยินยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้)

In french tomboy is “garçon manqué”, which means “failed boy”. I don’t need to comment, you can see how bad it is. That’s why I used the english word even for the french title. Because “garçon manqué” is kind of an insult in french. I didn’t like the notion in failure in the french expression, because it is something you can be very successful at!


หนังฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Berlin แม้ได้เสียงตอบรับดีล้นหลาม กลับเพียงคว้ารางวัล Teddy Jury Award (มอบให้หนัง LGBT+) เท่านั้นเอง แถมช่วงปลายปียังถูกมองข้ามโดยสิ้นเชิงจาก César Awards (ไม่ได้เข้าชิงสักสาขาเดียว!)

ประเด็นความเบี่ยงเบน/ลักร่วมเพศ ยังคงมีความละเอียดอ่อนไหว หลายๆประเทศไม่ให้การยินยอมรับ LGBT+ คนไทยเองก็ไม่แตกต่าง โดยเฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่ยังคงยึดถือมั่น ชาย-หญิง เพียงสองเพศสำหรับสืบพงศ์เผ่าพันธุ์ คงอีกยาวนานกว่ามนุษย์จะสามารถเข้าใจหลักเสมอภาคเทียมอย่างแท้จริง

ไดเรคชั่นของ Tomboy (2011) อาจไม่ได้มีความแปลกใหม่ แต่เนื้อหาสาระ และมุมมองการนำเสนอของ Céline Sciamma สร้างความสดใหม่ สามารถเปิดโลกทัศน์ให้ผู้ชม ไม่ใช่แค่ชาว LGBT+ แต่คนตรงๆอย่างผมก็ยังรู้สึกว่า เราไม่ควรไปปิดกั้น/กีดกันอิสรภาพการแสดงออกทางเพศของเด็กๆ ความเบี่ยงเบน/ลักร่วมเพศไม่ใช่อาการป่วย ความผิดปกติใดๆ ธรรมชาติของชีวิตไม่ได้มีแค่ชาย-หญิง (มนุษย์ทุกคนล้วนเคยเกิดเป็นชาย-หญิง กะเทย มาแล้วทั้งนั้น!)

ลองนำเอาความรู้สึกที่คุณสัมผัสได้เมื่อเทียบแทนตนเองกับตัวละคร แล้วพานผ่านเหตุการณ์เหล่านั้น อยากให้พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง แสดงออกมาเช่นไร แล้วชีวิตจริงถ้าบังเกิดเหตุการณ์คล้ายๆกัน ก็ขอให้แสดงออกตามสิ่งที่เคยครุ่นคิดนั้น

คำแนะนำของผมอาจจะหัวก้าวหน้าไปสักนิด คืออย่าไปปิดกั้น กีดกัน บีบบังคับเด็กๆให้ต้องแสดงออกตรงตามเพศกายวิภาค ถ้าเขาอยากเป็นชายก็ชาย หญิงก็หญิง ชายเป็นหญิง หญิงเป็นชาย ไม่ว่าเพศอะไรก็ลูกเราคนเดิม อคติไปก็เจ็บตัวเองเสียเปล่าๆ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำเมื่อพวกเขาโตพอจะตัดสินใจอะไรๆด้วยตนเอง “ถ้าเรารักเขา ก็ควรยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น”

จัดเรต 13+ กับการค้นหาอัตลักษณ์ทางเพศ โป๊เปลือย ถูกกลั่นแกล้ง

คำโปรย | Tomboy นำเสนอการค้นหาอัตลักษณ์ทางเพศของ Céline Sciamma ได้เรียบง่าย ตราตรึง สร้างความประทับใจให้ใครหลายๆคน
คุณภาพ | เรียบง่าย-รึ
ส่วนตัว | ชื่นชอบ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: