Touki Bouki (1973) : Djibril Diop Mambéty ♥♥♥♥
การเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนเองของผู้กำกับ Djibril Diop Mambéty ในสไตล์ Bonnie and Clyde ปล้น-ฆ่า(วัว) ก่ออาชญากรรม เป้าหมายปลายทางคือฝรั่งเศส ดินแดนแห่งความเพ้อฝัน ‘The Wizard of Oz’ แต่แท้จริงแล้วปารี่ ปารีส ไม่ต่างอะไรจากปาหี่
Touki Bouki (1973) ไม่ใช่แค่หมุดหมายสำคัญต่อวงการภาพยนตร์แอฟริกัน แต่ยังคือมาสเตอร์พีซแห่งวงการภาพยนตร์โลก! ทุกสิ่งอย่างล้วนเกิดจากการลองผิดลองถูกของผกก. Mambéty ไม่เคยร่ำเรียน(ภาพยนตร์)จากแห่งหนไหน ทำการผสมผสานวิถีชีวิต แนวคิด ศิลปะ(แอฟริกัน) พัฒนาสไตล์ลายเซ็นต์ในรูปแบบของตนเอง แปลกใหม่ ไม่ซ้ำแบบใคร อาจต้องดูหลายครั้งหน่อยถึงสามารถทำความเข้าใจ
Djibril Diop Mambéty’s ‘Touki Bouki’ is a landmark of world cinema, a bold and inventive work that challenges narrative conventions and offers a powerful exploration of cultural identity.
Richard Brody นักวิจารณ์จากนิตยสาร The New Yorker
Touki Bouki is an explosion of filmic energy. It announces the arrival of a new cinema language with its breathless fusion of African, European, and American sensibilities.
ผู้กำกับ Bong Joon-ho
ในขณะที่ผู้กำกับแอฟริกันร่วมรุ่นอย่าง Ousmane Sembène (ฺBlack Girl), Med Hondo (Soleil Ô) มักสรรค์สร้างผลงานต่อต้านลัทธิอาณานิคม (Anti-Colonialism), ผกก. Mambéty ได้ทำสิ่งแตกต่างออกไป นั่นคือการเดินทางเพื่อออกค้นหาอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ ความหมายชีวิต ตอนจบแทนที่ตัวละครจะขึ้นเรือมุ่งสู่ฝรั่งเศส กลับเลือกปักหลักใช้ชีวิตใน Senegal ทำไมฉันต้องดำเนินรอยตามอุดมคติเพ้อฝันที่ถูกปลูกฝัง/ล้างสมองโดยพวกจักรวรรดินิยม
Touki Bouki is an African film made by an African for Africans. It is a call to Africans to take their destiny into their own hands, to stop being the victims of colonization and become masters of their own lives.
Djibril Diop Mambéty
ผมรู้สึกว่าการรับชม Touki Bouki (1973) ต่อเนื่องจาก Black Girl (1966) และ Soleil Ô (1970) มีความจำเป็นอย่างมากๆสำหรับคนที่ไม่รับรู้ประวัติศาสตร์แอฟริกัน เพราะทำให้ตระหนักถึงสันดานธาตุแท้ฝรั่งเศส เพราะเคยเป็นเจ้าของอาณานิคม Senegal (และอีกหลายๆประเทศในแอฟริกา) จึงพยายามปลูกฝังแนวคิด เสี้ยมสอนอุดมคติ ชวนเชื่อว่าฝรั่งเศสคือสรวงสวรรค์ ดินแดนแห่งความเพ้อฝัน (ไม่ต่างสหรัฐอเมริกาพยายามสร้างค่านิยมชวนเชื่อ ‘American Dream’) แต่ในความเป็นจริงนั้น …
Over the Rainbow ของ Judy Garland ชิดซ้ายไปเลยเมื่อเทียบกับบทเพลง Paris, Paris, Paris ของ Joséphine Baker ถึงรับฟังภาษาฝรั่งเศสไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อไหร่ได้ยินท่อนฮุค ปารี่ ปารี ปารีส มันสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจ สัมผัสได้ถึงความฟ่อนเฟะ เน่าเละเทะ ชวนเชื่อจอมปลอม เต็มไปด้วยคำกลับกลอก ลวงหลอก นั่นคือสภาพเป็นจริง ขุมนรกบนดิน ทำลายภาพจำสวยหรูที่ Amélie (2001) เคยปลูกฝังไว้ในจิตวิญญาณ
Djibril Diop Mambéty (1945-1998) นักกวี นักแสดง ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติ Senegalese เกิดที่ Colobane ชานเมืองหลวง Dakar, Senegal ในครอบครัวมุสลิม ชนเผ่า Lebou แม้ฐานะยากจนแต่มักหาโอกาสรับชมภาพยนตร์ฉายกลางแจ้ง บางครั้งไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปข้างใน แค่เพียงฟังเสียงอยู่ข้างนอกก็ยังดี (นั่นคือหนึ่งในอิทธิพลที่ทำให้เสียงในผลงานของ Mambéty มีความสำคัญอย่างมากๆ) โตขึ้นเข้าร่วมคณะการแสดง Théâtre National Daniel-Sorano แต่ไม่ทันไรกลับถูกไล่ออกเพราะทำผิดวินัยร้ายแรง
แม้ไม่เคยร่ำเรียนอะไรเกี่ยวกับภาพยนตร์ ด้วยความหลงใหลใน Italian Neorealist และ French New Wave เมื่อตอนอายุ 21 ปี ขอหยิบยืมกล้อง 16mm จาก French Cultural Centre ร่วมกับผองเพื่อนถ่ายทำหนังสั้น Badou Boy (1966) [แล้วรีเมค Badou Boy (1970)] บันทึกการเดินทางของชายหนุ่ม Badou Boy ตามท้องถนนหนทางเมือง Dakar [น่าจะได้แรงบันดาลใจจาก Borom Sarret (1963) ของ Ousmane Sembène] เข้าฉายเทศกาลหนัง Mondial des Arts Nègres (จัดที่ Dakar) ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม
โปรเจคถัดไปคือหนังสั้น Contras’ City (1968) แปลว่า City of Contrasts ด้วยลักษณะ “City Symphony” ร้อยเรียงภาพทิวทัศน์ ท้องถนน ตลาด มัสยิดเมือง Dakar เกือบทศวรรษภายหลังการได้รับอิสรภาพเมื่อปี ค.ศ. 1960 เก็บบันทึกไว้เป็น ‘Time Capsule’
เมื่อเริ่มมีประสบการณ์ทำงาน ก็ถึงเวลาที่ผกก. Mambéty ครุ่นคิดสรรค์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Touki Bouki (1973) นำเอาส่วนผสมจากทั้ง Badou Boy และ Contras’ City มาพัฒนาต่อยอด ขยับขยายเรื่องราว นำเสนอการเดินทางของหนุ่ม-สาว ร่วมก่ออาชญากรรม ปล้น-ฆ่า(วัว) เป้าหมายปลายทางเพื่อหาเงินขึ้นเรือสู่ฝรั่งเศส ดินแดนแห่งความเพ้อฝัน อุดมคติที่ถูกปลูกฝัง
With ‘Touki Bouki,’ I wanted to capture the essence of the youth in Dakar at that time, their desires, their dreams, and their frustrations. It was important for me to portray the struggles and contradictions of post-colonial Africa.
Djibril Diop Mambéty
หนังใช้งบประมาณเพียง $30,000 เหรียญ สนับสนุนจากกระทรวงสารสนเทศ (Senegalese Ministry of Information) และสถานีวิทยุและโทรทัศน์ (Senegalese Radio and Television) ปฏิเสธความร่วมมือใดๆจาก Bureau du Cinéma และ Centre national du cinema (CNC) องค์กรภาพยนตร์ที่ฝรั่งเศสจัดตั้งทิ้งไว้(ตั้งแต่ก่อนปลดแอก)สำหรับให้ความช่วยเหลือวงการภาพยนตร์ (แต่แท้จริงแล้วคอยตรวจสอบ คัดกรอง เซนเซอร์ ปฏิเสธผลงานที่เป็นภัยคุกคาม)
เรื่องราวของ Mory ไอ้หนุ่มเลี้ยงวัว ขับมอเตอร์ไซค์ฮ่าง แขวนกระโหลกศีรษะกระทิงไว้หน้ารถ (คาราบาวชัดๆเลยนะ) นัดพบเจอ Anta นักศึกษาสาว พรอดรักหลับนอน วาดฝันต้องการออกไปจากถิ่นทุรกันดาร ทวีปแอฟริกาแห่งนี้ มุ่งหน้าสู่ฝรั่งเศส ดินแดนแห่งความเพ้อฝัน
แต่การจะขึ้นเรือไปยังดินแดนหลังสายรุ้ง จำต้องใช้เงินมหาศาล พวกเขาจึงพยายามหาวิธีการ เล่นพนัน ลักขโมย ในที่สุดสามารถล่อหลอกเศรษฐีเกย์ Charlie เปลี่ยนมาแต่งหรู ขับรถเปิดประทุน หลังซื้อตั๋วขึ้นเรือ ใกล้ถึงเวลาออกเดินทาง Mory กลับเกิดอาการโล้เลลังเล ก่อนตัดสินใจทอดทิ้ง Anta เลือกปักหลักอาศัยอยู่เซเนกัล ไม่รู้เหมือนกันอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น
สำหรับสองนักแสดงนำหลัก Magaye Niang (รับบท Mory) และ Mareme Niang (รับบท Anta) ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกันนะครับ ฝ่ายชายคือไอ้หนุ่มเลี้ยงวัว ฝ่ายหญิงเป็นนักศึกษาสาว ตามบทบาทของพวกเขา ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการแสดง (Non-Professional) ซึ่งเอาจริงๆก็แทบไม่ได้ต้องใช้ความสามารถใดๆ เพียงขยับเคลื่อนไหว กระทำสิ่งต่างๆตามคำแนะนำผู้กำกับเท่านั้นเอง … ผกก. Mambéty เพียงต้องการความเป็นธรรมชาติ และจับต้องได้ของนักแสดง เพื่อให้ทั้งสองเป็นตัวแทนคนหนุ่ม-สาว ชาวแอฟริกัน ที่ยังถูกครอบงำโดยอิทธิพลจากลัทธิอาณานิคม แต่ก็พยายามหาหนทางดิ้นหลุดพ้น ค้นหาอัตลักษณ์ของตัวตนเอง
แม้คู่พระนางอาจไม่มีอะไรให้น่าจดจำ แต่ผกก. Mambéty ก็แทรกสองตัวละครสมทบ Aunt Oumy และเศรษฐีเกย์ Charlie สามารถแย่งซีน สร้างสีสันให้หนังได้ไม่น้อย
- Aunt Oumy (รับบทโดย Aminata Fall) ป้าของ Anta เป็นคนปากเปียกปากแฉะ ไม่ชอบขี้หน้าพบเห็น Mory ทำตัวไม่เอาอ่าวก็ตำหนิต่อว่าต่อขาน แต่หลังจากแต่งตัวโก้ ขับรถหรู พร้อมแจกเงิน เลยเปลี่ยนมาสรรเสริญเยินยอ ขับร้องเพลงเชิดหน้าชูตา มันช่างกลับกลอกปอกลอกเกินเยียวยา
- Aminata Fall (1930-2002) คือนักร้อง/นักแสดงชาว Senegalese รับรู้จัก Mambéty ตั้งแต่ตอนเข้าร่วมคณะการแสดง Théâtre National Daniel-Sorano ประทับใจในความสามารถโดยเฉพาะการขับร้องเพลง เมื่อมีโอกาสเลยชักชวนมาร่วมงานภาพยนตร์ บทบาทที่ต้องถือว่าเต็มไปด้วยสีสัน ‘กิ้งก่าเปลี่ยนสี’ สะท้อนเสียดสีพฤติกรรมชาวแอฟริกันได้อย่างแสบสันต์
- Charlie (รับบทโดย Ousseynou Diop) เศรษฐีเกย์ เจ้าของคฤหาสถ์หรู เหมือนจะเคยรับรู้จัก Mory พอสบโอกาสเมื่ออีกฝ่ายมาขอความช่วยเหลือด้านการเงิน จึงฉุดกระชากลากพาเข้าห้อง ระหว่างกำลังอาบน้ำเตรียมพร้อม กลับออกมาตัวเปล่าล่อนจ้อน ทำได้เพียงโทรศัพท์ของความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งล้วนเป็นอดีตคู่ขาของเธอแทบทั้งนั้น
- ตัวละครนี้แม้เป็นชาว Senegalese/แอฟริกัน แต่กลับมีพฤติกรรมไม่แตกต่างจากฝรั่งเศส/ลัทธิอาณานิคม คือสนเพียงจะครอบครอง เป็นเจ้าของ เอาได้กระทั่งพวกพ้อง (ร่วมรักกับ)เพศเดียวกัน
- บางคนอาจตีความตัวละครนี้ สื่อแทนความคอรัปชั่นภายในของแอฟริกัน ที่ยังได้รับอิทธิพล ถูกควบคุมครอบงำโดยอดีตจักรวรรดิอาณานิคม/ฝรั่งเศส ชักใยบงการอยู่เบื้องหลัง
เกร็ด: ใครอยากรับชมความเป็นไปของนักแสดง 40 ปีให้หลัง ลองหารับชมสารคดี Mille Soleils (2013) แปลว่า A Thousand Suns กำกับโดย Mati Diop หลานสาวผกก. Djibril Diop Mambéty จะพบเห็น Magaye Niang ยังคงเป็นคนเลี้ยงวัวอยู่ Dakar, ส่วน Mareme Niang ไม่ได้ปรากฏตัวแต่เห็นว่าอพยพย้ายสู่ยุโรปแบบเดียวกับตัวละคร
ถ่ายภาพโดย Pap Samba Sow, Georges Bracher
งานภาพของหนังเต็มไปด้วยเทคนิค ลวดลีลา ภาษาภาพยนตร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เริ่มตั้งแต่เฉดสีสันเหลือง-ส้ม ดูคล้ายสีลูกรัง-ดินแดง แทนผืนแผ่นดินแอฟริกัน, ลีลาขยับเคลื่อนเลื่อนกล้อง แพนนิ่ง ซูมมิ่ง มุมก้ม-เงย ดูผิดแผกแตกต่าง แสดงความเป็นวัยสะรุ่น คนหนุ่มสาว เอ่อล้นพลังงาน เต็มเปี่ยมชีวิตชีวา
สิ่งน่าสนใจที่สุดก็คือการร้อยเรียงวิถีชีวิต กิจวัตรประจำวัน ผู้คนในเมือง Dakar, Senegal รวมถึงภาพเชิงสัญลักษณ์ เกือบๆจะเรียกว่าเหนือจริง (Surrealist) มีทั้งปรากฎพบเห็นซ้ำๆ อาทิ เชือดวัว หัวกระโหลก ขับขี่รถมอเตอร์ไซด์, หรือใช้แทนเหตุการณ์บังเกิดขึ้นอย่าง คลื่นลมซัดกระแทกเข้าหาฝั่ง (ระหว่างหนุ่ม-สาว กำลังร่วมเพศสัมพันธ์)
นักวิจารณ์แทบทั้งนั้นให้คำชื่นชมงานภาพของหนัง เป็นสิ่งที่ผู้ชม(ชาวตะวันตก)สมัยก่อนแทบไม่เคยพบเห็น [ฟังดูคล้ายๆ The River (1951) ของผกก. Jean Renoir] สามารถแปรสภาพ Dakar ให้กลายเป็นดินแดนลึกลับ แต่มีความโรแมนติก ชวนให้ลุ่มหลงใหล แบบเดียวกับ Casablanca และ Algiers
The dazzling visuals feature a smorgasbord of disorienting, poetic, and symbolic images that look like nothing you’ve ever seen before.
นักวิจารณ์ Jonathan Rosenbaum
แค่ฉากแรกหลายคนก็อาจทนดูไม่ไหวแล้ว! เราสามารถเปรียบเทียบเจ้าวัวเขาแหลมยาวใหญ่ (สายพันธุ์ Ankole-Watusi หรือ Watisu Cow) คือตัวแทนชาวแอฟริกัน ถูกลากเข้าโรงเชือด สามารถสื่อถึงพฤติกรรมจักรวรรดิอาณานิคม /ฝรั่งเศส เลี้ยงเพาะพันธุ์(ชาวแอฟริกัน)ไว้สำหรับทำประโยชน์ใช้สอย
เกร็ด: การมีเขาแหลมยาวใหญ่ (ภายในมีลักษณะกลวงเป็นโพรง แต่มีโครงสร้างแบบรังผึ้ง ไว้สำหรับต่อสู้และระบายความร้อน) ถือเป็นลักษณะเด่นของวัวสายพันธุ์ Watisu พบเฉพาะในทวีปแอฟริกา มีความทนทรหด สามารถอดน้ำ กินหญ้าคุณภาพต่ำ ชาวอียิปต์โบราณนิยมเลี้ยงไว้เพื่อการบริโภคเนิ้อและนมมาแต่ตั้งแต่โบราณกาล
การนำเสนอฉากเชือดวัว เป็นลักษณะของการยั่วยุ (provocation) ในเชิงสัญลักษณ์ ปลุกเร้าความรู้สึกชาวแอฟริกัน (ที่สามารถครุ่นคิดทำความเข้าใจ) ให้เกิดความเกรี้ยวกราด หวาดระแวง สั่นสะพรึงกลัว ตระหนักว่าตนเองมีสภาพไม่ต่างจากเจ้าวัว ปฏิเสธก้มหัวศิโรราบให้พวก(อดีต)จักรวรรดิอาณานิคมอีกต่อไป
และสังเกตว่าขณะลากจูงวัว จะได้ยินเสียงขลุ่ย Fula flute แทนวิถีธรรมชาติของชาวแอฟริกัน แต่พอตัดเข้ามาในโรงฆ่าสัตว์ กลับเป็นเสียงจักรกล ผู้คน วัวกรีดร้อง อะไรก็ไม่รู้แสบแก้วหูไปหมด มันช่างมีความแตกต่างตรงกันข้าม ราวกับโลกคนละใบ … เหมือนเป็นการบอกใบ้ด้วยว่าโรงเชือดแห่งนี้คือสภาพเป็นจริงของฝรั่งเศส สถานที่ใครๆขวนขวายไขว่คว้า อุดมคติที่ใครๆต่างเพ้อใฝ่ฝัน
ช็อตสวยๆนำเสนอความเหลื่อมล้ำในประเทศเซเนกัล กำลังพบเห็นได้อย่างชัดเจนหลังการประกาศอิสรภาพ (post-independence) ระหว่างสลัมเบื้องล่าง vs. ตึกระฟ้าสูงใหญ่กำลังก่อสร้าง
นอกจากภาพในช็อตเดียว ช่วงกลางเรื่องหลังจาก Mory & Anta ลักขโมยหีบสมบัติ แท็กซี่ขับผ่านคฤหาสถ์หรู สถานที่อยู่ของคนมีเงิน แต่บ้านพักแท้จริงของพวกเขาเมื่อขับเลยมา พบเห็นทุ่งหญ้ารกร้าง อาคารสร้างไม่เสร็จ ถูกทอดทิ้งขว้าง นี่ก็แสดงให้ถึงความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น ช่องว่างกำลังขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
บางคนอาจมองว่าพฤติกรรมของ Anta คือความเห็นแก่ตัว แต่การซื้อของแล้วไม่จ่ายเงิน นั่นก็ไม่ใช่สิ่งถูกต้องเช่นเดียวกัน … ซีนเล็กๆนี้สะท้อนอิทธิพลของลัทธิอาณานิคมได้ชัดเจนทีเดียว กล่าวคือ
- ชาวแอฟริกันดั้งเดิมนั้นมีมิตรไมตรี หยิบยืม ติดหนี้เล็กๆน้อยๆ ก็ไม่ติดใจอะไรว่าความ
- Anta คือหญิงสาวที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิอาณานิคม เงินทองคือเรื่องสลักสำคัญ (รวมถึงฝรั่งเศสคือดินแดนแห่งความเพ้อฝัน) เล็กๆน้อยๆเลยยินยอมความกันไม่ได้
ลามปามไปถึงฉากถัดมา ผมไม่แน่ใจว่าป้า Oumy ตบตีแย่งน้ำกับเพื่อนคนนี้เลยหรือเปล่า รายละเอียดเล็กๆน้อยๆนี้สะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางจิตสามัญสำนึกของชาวเซเนกัล ตั้งแต่หลังประกาศอิสรภาพ (post-independence)
ระหว่างรับชม ผมครุ่นคิดว่าการถูกเชือกคล้องคอของ Mory สามารถเปรียบเทียบเหมือนวัวที่กำลังจะถูกเชือด (แบบเดียวกับฉากโรงเชือดก่อนหน้านี้) รวมถึงการโดนจับมัด พาขึ้นรถ แห่รอบเมือง มีการตัดสลับกับป้า Oumy กำลังเชือดวัวทำอาหารกลางวัน เป็นการนำเสนอคู่ขนานล่อหลอกผู้ชมได้อย่างแนบเนียนฉะมัด!
แต่หลังจากดูหนังจบ ฉากนี้ยังสามารถมองเป็นคำพยากรณ์ ลางสังหรณ์ บอกใบ้อนาคตของ Mory ถ้าตัดสินใจขึ้นเรือออกเดินทางสู่ฝรั่งเศส อาจประสบโชคชะตากรรมลักษณะนี้ … ตลอดทั้งเรื่องจะมีหลายๆเหตุการณ์ดูคล้ายนิมิต ลางบางเหตุเกิดขึ้นกับ Mory ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจไม่ขึ้นเรือออกเดินทางสู่ฝรั่งเศส
กระโหลกเขาวัวติดตั้งไว้บริเวณหน้ารถมอเตอร์ไซด์ฮ่าง (เพื่อสื่อถึงการเดินทางของ Mory = ชาวแอฟริกัน = วัวสายพันธุ์ Watisu) เบาะด้านหลังมีพนักทำจากเสาอากาศ ลักษณะคล้าย Dogon cross (หรือ Nommo cross) ของชนเผ่าชาว Malian ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ภาวะเจริญพันธุ์ (fertility) ด้วยเหตุนี้การที่ Anta เอื้อมมือจับ ย่อมสื่อถึงกำลังร่วมเพศสัมพันธ์
ไฮไลท์ของซีเควนซ์นี้คือภาพคลื่นซัดชายฝั่ง มันจะมีขณะหนึ่งที่โขดหินดูเหมือนปากอ่าว/ช่องคลอด น้ำทะเล(อสุจิ)กำลังเคลื่อนไหล กระแทกกระทั้นเข้าไป … พอจินตนาการออกไหมว่าสามารถสื่อถึงการร่วมเพศสัมพันธ์!
Mory เตรียมจะโยนบ่วงคล้อง หนังตัดภาพฝูงวัว นั่นทำให้ผู้ชมครุ่นคิดว่าเขาคงกำลังจะลักขโมยวัวไปขาย แต่ที่ไหนได้กลับคล้องคอรถมอเตอร์ไซด์ฮ่าง (ที่มีกระโหลกเขาวัวแขวนอยู่เบื้องหน้า) … หลายต่อหลายครั้งที่หนังพยายามล่อหลอกผู้ชมด้วยลีลาภาษาภาพยนตร์ แต่ความจริงกลับเป็นคนละสิ่งอย่าง ผมครุ่นคิดว่าสามารถเหมารวมถึงการชวนเชื่อปลูกฝังจากจักรวรรดิอาณานิคม ฝรั่งเศสคือดินแดนแห่งความเพ้อฝัน (ความจริงนั้นมันอาจคือขุมนรก โรงเชือด คำโป้ปดหลอกลวงเท่านั้นเอง)
พนันขันต่อ คือวิธีรวยทางลัด ง่ายที่สุดในการหาเงิน แต่เหมือนว่าโชคชะตาของ Mory จะพยายามบอกใบ้ จงใจให้เขาไม่สามารถเอาชนะ จึงต้องออกวิ่งหลบหนี(เจ้าหนี้)หัวซุกหัวซุน เอาตัวรอดได้อย่างหวุดหวิด … ฉากนี้สามารถตีความได้ทั้งรูปธรรม-นามธรรม นำเสนอหนึ่งในอุปนิสัยเสียของชาวแอฟริกัน(ทั้งๆไม่มีเงินแต่กลับ)ชื่นชอบพนันขันต่อ ขณะเดียวกันยังแฝงนัยยะถึงการเดินทางสู่ฝรั่งเศส เชื่อว่าจะประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง แต่ในความเป็นจริงเพียงการเสี่ยงโชค ไปตายเอาดาบหน้า ไม่ต่างจากการวัดดวง/พนันขันต่อนี้สักเท่าไหร่
แซว: การเปิดไพ่ Queen แล้วหมายถึงผู้แพ้ มันแอบสื่อนัยยะถึง …
เจ้าหน้าที่รับสินบท นี่เป็นสิ่งพบเห็นอยู่สองสามครั้งในหนัง แสดงว่ามันเป็นสิ่งฝังรากลึกในจิตวิญญาณชาว Senegalese/แอฟริกันไปแล้วละ ซึ่งก็ได้รับอิทธิพลจากลัทธิอาณานิคม ความมีอภิสิทธิ์ชนของพวกฝรั่งเศส เป็นต้นแบบอย่างความคอรัปชั่นได้อย่างชัดเจน
Where’s Wally? หากันพบเจอไหมเอ่ยคู่พระนาง Mory & Anta นั่งอยู่แห่งหนไหนกัน?
นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ Mory & Anta ลักขโมยหีบสมบัติจากสนามมวยปล้ำ Iba Mar Diop Stadium แต่เมื่อเปิดออกมากลับพบเห็นโครงกระดูก กระโหลกศีรษะ พร้อมได้ยินเสียงอีแร้งกา เหล่านี้ล้วนสัญลักษณ์ความตาย ลางบอกเหตุร้าย ให้ทั้งสอดหยุดความพยายามหาเงินออกเดินทางสู่ฝรั่งเศส … เพราะอาจถูกเชือด และหลงเหลือสภาพเหมือนบุคคลนี้
หนังแอบแทรกคำอธิบายไว้เล็กๆผ่านเสียงอ่านข่าวจากวิทยุ ว่าชนเผ่า Lebou จัดกิจกรรมมวยปล้ำครั้งนี้เพื่อเป็นการระดมทุนสร้างอนุสรณ์สถานให้กับ Charles de Gaulle (1890-1970) อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส เพิ่งเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1970 … นี่อาจเป็นกระโหลกศีรษะของ de Gaulle กระมัง??
เกร็ด: เมื่อตอนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี Charles de Gaulle คือบุคคลลงนามมอบอิสรภาพให้เซเนกัล และหลายๆประเทศในทวีปแอฟริกา
วินาทีที่ Mory เหม่อมองเห็นประภาคาร (ใครเคยรับชม The Lighthouse (2019) น่าจะตระหนักถึงนัยยะเชิงสัญลักษณ์ ตั้งตระหง่านโด่เด่เหมือนลึงค์/อวัยวะเพศชาย) จากนั้นฝูงนกโบยบินขึ้นท้องฟ้า (สัญลักษณ์ของการปลดปล่อยอิสรภาพ/น้ำกาม) เสียง Sound Effect ดังระยิบระยับ (ราวกับเสียงสวรรค์ ถึงจุดสูงสุด ไคลน์แม็กซ์)
เหล่านั้นเองทำให้เขาหวนนึกถึงเศรษฐี(เกย์)คนหนึ่ง มีคฤหาสถ์หรูอยู่ไม่ไกล ครุ่นคิดวางแผนการชั่วร้าย แต่ก่อนจะออกเดินทางไป ขอแวะถ่ายท้องสักแปป แล้วภาพตัดมาโขดหินท่ามกลางคลื่นซัดพา (ลักษณะของโขดหิน ช่างดูละม้ายคล้ายก้อนอุจจาระ) จากนั้นกล้องค่อยๆซูมถอยหลังออกมา … ทั้งหมดนี้ล้วนบอกใบ้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับประตูหลัง
ท่วงท่าการโยนช่างมีความละม้ายคล้ายกันยิ่งนัก แต่เปลี่ยนจากบ่วงคล้องคอวัว มาทอดแหดักปลา นี่คือลักษณะการแปรสภาพของสิ่งสัญลักษณ์ แต่เคลือบแฝงนัยยะเดียวกัน
- โยนบ่วงคล้องคอวัว เปรียบดั่งฝรั่งเศสล่าอาณานิคมเซเนกัล/ชาวแอฟริกัน
- ส่วนการทอดแห สามารถสื่อถึงเศรษฐีเกย์ Charlie พยายามล่อหลอก ดักจับ Mory ร่วมรักประตูหลัง
พฤติกรรมของเศรษฐีเกย์ Charlie อย่างที่ผมเปรียบเทียบไปแล้วว่าไม่แตกต่างจากพวกลัทธิอาณานิคม เป้าหมายคือครอบครอง เป็นเจ้าของ เอาได้กระทั่งพวกพ้อง ฉันท์ใดฉันท์นั้น โยนบ่วง=ทอดแห สังเกตว่าช็อตถัดๆมา Mory ราวกับติดอยู่ในบ่วงแห่
น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถหารายละเอียดภาพวาดในห้องของ Charlie แต่มีลักษณะของ African Art และสังเกตว่าทั้งหมดล้วนเป็นภาพนู้ด สื่อถึงรสนิยมทางเพศตัวละครได้อย่างชัดเจน
เสื้อผ้าคือสิ่งแสดงวิทยฐานะบุคคล นั่นน่าจะเป็นเหตุผลให้ Mory ตัดสินใจลักขโมยเครื่องแต่งกายของ Charlie ซึ่งมีความหรูหรา เทรนด์แฟชั่น น่าจะราคาแพง ระหว่างเดินทางกลับเข้าเมือง ก็ปลดเปลื้องเปลือยกายล่อนจ้อน ป่าวประกาศให้โลกรับรู้ถึงอิสรภาพชีวิต
พอดิบพอดีกับการตัดสลับเคียงคู่ขนาน Anta ขับรถมอเตอร์ไซด์ฮ้างไปจอดทิ้งไว้ข้างทาง (มีคนป่ามารับช่วงต่อ) ไม่เอาอีกแล้ววิถีแอฟริกัน เตรียมพร้อมออกเดินทางมุ่งสู่ดินแดนแห่งความเพ้อฝัน
ผมหาข้อมูลไม่ได้ว่ามีใครเดินทางมาเยี่ยมเยียนเซเนกัลช่วงปีนั้น เพราะนี่ดูเหมือนขบวนต้อนรับมากกว่าพิธีไว้อาลัย Memorial ให้ประธานาธิบดี Charles de Gaulle และลีลาการตัดต่อที่นำเสนอคู่ขนานกับ Mory & Anta แต่งตัวหรู โบกไม้โบกมือ ทำตัวราวกับพระราชา
นี่ไม่ใช่แค่การเสียดสีนิสัยแย่ๆ สันดานเสียๆ ของชาวแอฟริกันเท่านั้นนะครับ แต่ใครกันละที่เข้ามาปลูกฝังความคิด สร้างค่านิยมอุดมคติ ล้างสมองชวนเชื่อ เงินทองสามารถซื้อความสุขสบาย ร่ำรวยคือทุกสิ่งอย่าง ไม่ต่างจากฝรั่งเศสคือดินแดนแห่งความเพ้อฝัน … มันขำออกเสียที่ไหนกัน
ลวดลายทางขาว-ดำ ของรูปภาพสรรพสัตว์บนฝาผนัง น่าจะสื่อถึงความกลับกลอกสองหน้าของชนชั้นผู้นำแอฟริกัน ซึ่งการที่เศรษฐีเกย์ Charlie โทรศัพท์ติดต่อหาตำรวจ แทนที่จะแจ้งความกับเจ้าหน้าที่รับสาย กลับพยายามขอคุยกับหัวหน้า/คนเคยค้าม้าเคยขี่ สารพัดรายชื่อเอ่ยมาน่าจะเคยร่วมเพศสัมพันธ์กัน … แฝงนัยยะอ้อมๆถึงบรรดารัฐบาลบริหารประเทศ ทั้งๆได้รับการปลดแอก กลับยังคอยเลียแข้งเลียขาฝรั่งเศส
แซว: หัวหน้าแผนก Djibril Diop เสียงปลายสายที่ได้ยินก็คือ ผกก. Mambéty
ผมอ่านพบเจอว่าระหว่างโปรดักชั่น ผกก. Mambéty ถูกตำรวจจับกุมที่กรุง Rome ข้อหาเข้าร่วมเดินขบวนต่อต้านการเหยียดผิว (Anti-Racism) ได้รับการประกันตัวโดยทนายจาก Italian Communist Party ซึ่งมีเพื่อนร่วมวงการอย่าง Bernardo Bertolucci และ Sophia Loren ให้การค้ำประกัน … นี่กระมังคือเหตุผลการกล่าวอ้างถึง Italian Communist Party
จริงๆฉากนี้ชาวฝรั่งเศสทั้งสองถกเถียงกันเรื่องทั่วๆไป ค่าจ้าง ค่าแรง ความล้าหลัง ศิลปะแอฟริกัน ฯ มันมีความจำเป็นอะไรในการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในเซเนกัล … เป็นวิธีพูดขับไล่พวกฝรั่งเศส โดยคนฝรั่งเศสด้วยกันเอง ได้อย่างแนบเนียนโคตรๆ
วินาทีที่กำลังจะก้าวขึ้นเรือ Mory เกิดอาการหยุดชะงักหลังได้ยินเสียงหวูดเรือ สัญญาณเตือนให้เร่งรีบขึ้นเรือ แต่พอหนังตัดภาพให้เห็นเจ้าวัวกำลังถูกลากเข้าโรงเชือด ผมเกิดความตระหนักว่า เสียงหวูดเรือมันช่างละม้ายเสียงร้องของเจ้าวัว นี่กระมังคือสาเหตุผล/ลางสังหรณ์/สัญญาณเตือนครั้งสุดท้าย ให้เขาเกิดความตระหนักว่า ‘อย่าลงเรือ’ เพราะโชคชะตาหลังจากนี้อาจลงเอยแบบเจ้าวัว ฝรั่งเศส=โรงเชือดสัตว์
Mory ตัดสินใจละทอดทิ้ง Anta แล้วออกวิ่งติดตามหามอเตอร์ไซด์ฮ้างคันโปรด ก่อนพบเจอประสบอุบัติเหตุอยู่กลางถนน กระโหลกเขาวัวแตกละเอียด ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพท้อแท้สิ้นหวัง นั่งลงกึ่งกลางบันได ไม่รู้จะครุ่นคิดทำอะไรต่อไป … ผมตีความซีเควนซ์นี้ถึงการหวนกลับหารากเหง้า ตัวตนเอง หรืออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม แต่สิ่งที่เขาพบเจอกลับคือ Senegalese/แอฟริกันที่เกือบจะล่มสลาย (คนป่าประสบอุบัติเหตุปางตาย) เนื่องจากถูกกลืนกินโดยจักรวรรดิอาณานิคม จนแทบไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตนเองสักเท่าไหร่
ช่วงท้ายของหนังโดยเฉพาะช็อตนี้ มันมีความโคตรๆคลุมเคลือ เพราะผู้ชมสามารถวิเคราะห์ว่า
- หนังต้องการร้อยเรียงชุดภาพที่เป็นการหวนกลับหาจุดเริ่มต้น จึงพบเห็น Mory & Anta พรอดรักริมหน้าผา และเด็กๆต้อนฝูงวัวผ่านหน้ากล้อง (แบบเดียวกับที่เคยนำเสนอมาก่อนหน้า) … นี่จะทำให้เราสามารถตีความว่า Anta อาจจะออกเดินทางสู่ฝรั่งเศสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
- ขณะเดียวกันยังสามารถมองว่า Anta ตัดสินใจขนของลงจากเรือ หวนกลับหา Mory แล้วมาพรอดรักริมหน้าผา ปลดเปลื้องเสื้อผ้าหรูหรา ระหว่างจับจ้องมองเรือโดยสารแล่นออกจากท่า
ผู้ชม/นักวิจารณ์ส่วนใหญ่มักชื่นชอบการตีความแบบแรก เพราะมันแสดงให้เห็นถึงหนทางแยกของ Mory ปักหลังอยู่เซเนกัล ขณะที่ Anta เลือกออกเดินทางสู่ฝรั่งเศส, แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่าความตั้งใจผกก. Mambéty น่าจะเป็นอย่างหลัง หนุ่ม-สาวต่างตัดสินใจละทอดทิ้งความเพ้อฝัน เนื่องจากฝ่ายชายเกิดความตระหนักถึงความจริงบางสิ่งอย่าง ส่วนฝ่ายหญิงก็เลือกติดตามชายคนรัก ไม่รู้จะเดินทางไปตายเอาดาบหน้าทำไม สอดคล้องวัตถุประสงค์ของหนังที่ต้องการหวนหารากเหง้า
แต่ยังไม่จบเท่านั้น ผกก. Mambéty ยังทอดทิ้งอีกปมปริศนากับภาพช็อตนี้ เรือลำเล็กกำลังแล่นออกจากฝั่ง หรือว่า Mory & Anta เกิดการเปลี่ยนใจ แล้วร่วมกันออกเดินทางสู่ฝรั่งเศสอีกครั้ง … นี่อาจฟังดูไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ แต่อย่างที่ผมอธิบายไปแล้วว่าผกก. Mambéty ต้องการสร้างความโคตรๆคลุมเคลือ ให้อิสระผู้ชมในการขบครุ่นคิด ค้นหาบทสรุปหนังด้วยตัวคุณเอง
ตัดต่อโดย Siro Asteni, Emma Mennenti
หนังดำเนินเรื่องโดยใช้มุมมองของสองหนุ่มสาว Mory และ Anta ร่วมกันออกเดินทางผจญภัย ทำตัวเหมือนไฮยีน่า (Hyena) ก่ออาชญากรรม ปล้น-ฆ่า(วัว) เพื่อสรรหาเงินมาซื้อตั๋วลงเรือ มุ่งสู่เป้าหมายปลายทางฝรั่งเศส ดินแดนแห่งความเพ้อฝัน
- Mory และ Anta
- Mory นำพาฝูงวัวมาขายให้โรงเชือด
- จากนั้น Mory สร้างความวุ่นวายให้ Aunt Oumy ตบตีลูกค้าขาประจำระหว่างเดินทางไปตักน้ำ
- ถูกผองเพื่อนกระทำร้ายร่างกาย จับมัดมือ พาขึ้นรถ
- Anta เดินทางมาหา Mory ถูกป้า Oumy ล่อหลอกว่าหลานชายฆ่าตัวตาย
- จากนั้น Mory และ Anta ร่วมรักกันบริเวณหน้าผา เพ้อใฝ่ฝันถึงอนาคต
- การเดินทางโดยมอเตอร์ไซด์ฮ้างของ Mory และ Anta
- ในตอนแรก Mory เหมือนจะครุ่นคิดลักขโมยฝูงวัว แต่ตัดสินใจทำไม่สำเร็จ
- พบเห็นคนรับพนัน ลงเงินหลักพัน แพ้แล้ววิ่งหลบหนี
- วางแผนปล้นสนามมวยปล้ำ แม้ทำสำเร็จแต่ของในกล่องกลับมีเพียงโครงกระดูก
- Mory เดินทางไปหาเศรษฐีเกย์ Charlie ถูกพาตัวขึ้นห้อง เลยโจรกรรมเสื้อผ้า เงินทอง และรถหรูกลับบ้าน
- มุ่งสู่เป้าหมายปลายทางของ Mory และ Anta
- ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งตัวโก้หรู แวะกลับหาป้า Oumy
- จากนั้นซื้อตั๋วเรือโดยสาร เตรียมตัวออกเดินทางขึ้นเรือ
- แต่แล้ว Mory ตัดสินใจวิ่งกลับมา หวนกลับหามอเตอร์ไซด์ฮ้าง ราวกับตระหนักถึงบางสิ่งอย่าง
ลีลาการตัดต่อรับอิทธิพลเต็มๆจาก ‘Soviet Montage’ พบเห็นเทคนิคอย่าง Quick Cuts, Dynamic Cut, Jump Cut, นำเสนอคู่ขนาน (Juxtaposition) ตัดสลับไปมาระหว่างสองเหตุการณ์, บางครั้งก็พยายามล่อหลอกผู้ชมให้เกิดความเข้าใจผิด ด้วยภาพเชิงสัญลักษณ์บางอย่าง
ซีเควนซ์ที่ผมรู้สึกว่าโคตรๆน่าอึ่งทึ่ง คือฉากที่ Mory ถูกผองเพื่อนรุมกระทำร้ายร่างกาย จัดมัดพาขึ้นรถ ตัดสลับคู่ขนานป้า Oumy กำลังเชือดวัว (เหมือนจะสื่อว่า Mory กำลังถูกเข่นฆาตกรรม) จากนั้นพูดบอก Anta กล่าวอ้างว่าหลานชายกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย หญิงสาวจึงรีบวิ่งตรงไปบริเวณริมหน้าผา ทำท่าเหมือนกำลังจะกระโดดลงมา แล้วตัดภาพคลื่นกระทบชายฝั่ง (ชวนให้ครุ่นคิดว่าเธอคงฆ่าตัวตายตาม) สุดท้ายค่อยเฉลยว่าไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายอะไร เป็นภาษาภาพยนตร์ที่ล่อหลอกผู้ชมได้อย่างสนิทใจ! … ล้อกับการชวนเชื่อฝรั่งเศสคือดินแดนแห่งความเพ้อฝัน แท้จริงแล้วหาก็แค่ปาหี่เท่านั้นเอง
ในส่วนของเสียงและเพลงประกอบ ต้องชมเลยว่ามีความละเมียด ละเอียดอ่อน เต็มไปด้วยรายละเอียดที่แทบสามารถหลับตาฟังก็ยังดูหนังรู้เรื่อง! (อย่างที่บอกไปว่าตั้งแต่สมัยเด็ก ผกก. Mambéty บางครั้งไม่มีโอกาสเข้าดูหนังกลางแจ้ง เพียงสดับรับฟังเสียง นั่นคือแรงบันดาลใจให้เขามีความละเอียดอ่อนต่อการใช้เสียงและเพลงประกอบอย่างมากๆ)
I am deeply inspired by the power of music in storytelling. Music has a way of transcending language and connecting people on a universal level. In my films, I carefully select music that not only complements the narrative but also reflects the cultural and emotional landscapes of the characters.
Djibril Diop Mambéty
หนังไม่มีเครดิตเพลงประกอบ เพราะทุกบทเพลงถ้าไม่มาจากศิลปินมีชื่อ (Josephine Baker, Mado Robin, Aminata Fall) ก็ท่วงทำนอง/ดนตรีพื้นบ้านแอฟริกัน (หลักๆคือเครื่องดนตรี Peul flute/Fula flute และกลอง Sabra Drum) ผสมผสานคลุกเคล้าให้เข้ากับ ‘Sound Effect’ เสียงรถรา แร้งกา คลื่นลม ผู้คน โรงฆ่าสัตว์ ฯ เพื่อให้เกิดมิติเกี่ยวกับเสียง สามารถเพิ่มประสบการณ์ กระตุ้นเร้าอารมณ์ ราวกับผู้ชมเข้าไปอยู่ในโลกภาพยนตร์ที่ถูกสร้างขึ้น
Whether it’s traditional African rhythms, contemporary sounds, or a fusion of both, I believe that music can bring an added dimension to the cinematic experience, evoking emotions and immersing the audience in the world I am creating.
Music has a unique power to evoke emotions, memories, and cultural connections. In my films, I strive to find the right balance between traditional Senegalese music and contemporary sounds, to reflect the complexities of our society and the tensions between the past and the present.
เริ่มต้นขอกล่าวถึงอีกสักครั้ง Paris, Paris, Paris (1949) แต่งทำนองโดย Agustín Lara, คำร้องโดย Georges Tabet, ขับร้อง/กลายเป็น ‘Signature’s Song’ ของ Joséphine Baker ชื่อจริง Freda Josephine Baker (1906-75) เกิดที่สหรัฐอเมริกา บิดา-มารดาต่างเคยเป็นทาสคนดำ/อินเดียนแดง สมัยเด็กเลยโดนดูถูกเหยียดผิวบ่อยครั้ง โตขึ้นเลยตัดสินใจอพยพสู่ Paris กลายเป็นนักร้อง-นักแสดงชาวอเมริกันประสบความสำเร็จสูงสุดในฝรั่งเศส
อ่านจากประวัติก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ Baker จะมีมุมมองต่อฝรั่งเศส ประเทศทำให้เธอประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงโด่งดัง ราวกับดินแดนแห่งความเพ้อฝัน สรวงสวรรค์ พาราไดซ์ เหมือนดั่งบทเพลง Paris, Paris, Paris
ต้นฉบับฝรั่งเศส | แปลอังกฤษ |
---|---|
Ne me demandez pas si j’aime la grâce Ne me demandez pas si j’aime Paris Autant demander à un oiseau dans l’espace S’il aime le ciel ou s’il aime son nid Autant demander au marin qui voyage S’il peut vivre sans la mer et le beau temps Autant demander à une fleur sauvage Si l’on peut vraiment se passer de printemps Paris, Paris, Paris C’est sur la Terre un coin de paradis Paris, Paris, Paris, De mes amours c’est lui le favori Mais oui, mais oui, pardi Ce que j’en dis on vous l’a déjà dit Et c’est Paris, qui fait la parisienne Qu’importe, qu’elle vienne du nord ou bien du midi Et c’est aussi le charme et l’élégance Et l’âme de la France Tout cela, mais c’est Paris Madame c’est votre Louvre si joli (Paris, Paris, Paris) C’est votre beau bijou d’un goût exquis Mais oui, mais oui, pardi C’est aussi votre généreux mari Mais oui, Paris, c’est votre boucle blonde Qu’on sait le mieux du monde coiffer avec fantaisie Mais oui, Paris, c’est votre beau sourire C’est tout ce qu’on désire Tout cela, mais c’est Paris Et c’est aussi le charme et l’élégance Et l’âme de la France Tout cela, mais c’est Paris | Don’t ask me if I love grace Don’t ask me if I love Paris It’s like asking a bird in space If it loves the sky or its nest It’s like asking a traveling sailor If he can live without the sea and good weather It’s like asking a wild flower If one can truly do without spring Paris, Paris, Paris On Earth, it’s a corner of paradise Paris, Paris, Paris Of my loves, it’s the favorite one Yes, indeed, of course What I’m saying has already been said to you And it’s Paris that makes the Parisian No matter if she comes from the north or the south And it’s also the charm and elegance And the soul of France All of that, but it’s Paris Madam, it’s your beautiful Louvre (Paris, Paris, Paris) It’s your exquisite jewel Yes, indeed, of course It’s also your generous husband Yes, indeed, Paris, it’s your golden curl That is known as the best in the world, styled with fantasy Yes, Paris, it’s your beautiful smile It’s all that one desires All of that, but it’s Paris And it’s also the charm and elegance And the soul of France All of that, but it’s Paris |
การรับชม Touki Bouki (1973) อาจทำให้มุมมองของคุณต่อ Paris, Paris, Paris ปรับเปลี่ยนแปลงไป เพราะถูกใช้เป็นบทเพลงชวนเชื่อฝรั่งเศสที่ดังขึ้นบ่อยครั้ง จนสร้างความตะหงิดๆ หงุดหงิด รำคาญใจ เหมือนมันมีลับเลศลมคมในอะไรบางอย่าง ซึ่งผมค่อยข้างเชื่อว่าผู้ชมจะเกิดความตระหนัก Paris แท้จริงแล้วเป็นเพียงคำลวงล่อหลอก หาใช่ดินแดนอุดมคติอย่างที่ใครต่อใครวาดฝันไว้
ยิ่งถ้าคุณเคยรับชม Black Girl (1966) จะพบเห็นสภาพความเป็นจริงของฝรั่งเศส ที่หญิงชาว Senegalese เดินทางไปปักหลักอาศัย กลายเป็นสาวรับใช้ มันหาใช่ดินแดนหลังสายรุ้งแบบ ‘The Wizard of Oz’ เลยสักกะนิด!
ระหว่างที่ Mory เดินทางมายังคฤหาสถ์หรูของเศรษฐีเกย์ Charlie ได้ยินบทเพลงคลอประกอบพื้นหลัง Plaisir d’amour (Pleasure of Love) เป็นบทเพลงรักคลาสสิก แต่งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1784 โดย Jean-Paul-Égide Martini (1741–1816) นำคำร้องจากบทกวี Célestine ของ Jean-Pierre Claris de Florian (1755–1794)
ฉบับที่ใช้ในหนังขับร้องโดย Mado Robin ชื่อจริง Madeleine Marie Robin (1918-60) นักร้องเสียงโซปราโน สัญชาติฝรั่งเศส บันทึกเสียงบทเพลงนี้เมื่อปี ค.ศ. 1952
ผมครุ่นคิดว่าการเลือกบทเพลง Plaisir d’amour ไม่ใช่แค่บอกใบ้รสนิยมทางเพศของ Charlie แต่ยังอธิบายเหตุผลที่ Mory ไม่ได้ขึ้นเรือเดินทางสู่ Paris พร้อมกับ Anta เพราะหมดรัก หมดศรัทธา ทำลายคำสัญญาเคยให้ไว้ สายน้ำยังคงเคลื่อนไหล แต่จิตใจกลับผันแปรเปลี่ยนไป
ต้นฉบับฝรั่งเศส | แปลอังกฤษ |
---|---|
Plaisir d’amour ne dure qu’un moment, chagrin d’amour dure toute la vie. J’ai tout quitté pour l’ingrate Sylvie, Elle me quitte et prend un autre amant. Plaisir d’amour ne dure qu’un moment, chagrin d’amour dure toute la vie. “Tant que cette eau coulera doucement vers ce ruisseau qui borde la prairie, je t’aimerai”, me répétait Sylvie, l’eau coule encor, elle a changé pourtant. Plaisir d’amour ne dure qu’un moment, chagrin d’amour dure toute la vie. | The pleasure of love lasts only a moment, The grief of love lasts a lifetime. I gave up everything for ungrateful Sylvia, She is leaving me for another lover. The pleasure of love lasts only a moment, The grief of love lasts a lifetime. “As long as this water will run gently Towards this brook which borders the meadow, I will love you”, Sylvia told me repeatedly. The water still runs, but she has changed. The pleasure of love lasts only a moment, The grief of love lasts a lifetime. |
ตอนจบของหนังมีการเลือกบทเพลงที่เกินความคาดหมายมากๆๆ น่าเสียดายผมหาชื่อบทเพลงและศิลปินไม่ได้ แต่ครุ่นคิดว่าน่าจะสไตล์ดนตรี Funk เพื่อสะท้อนสภาวะทางอารมณ์ ความคิดฟุ้งๆของตัวละคร ร้อยเรียงชุดภาพที่มอบสัมผัสเวิ้งว่างเปล่า ก้าวเดินอย่างเคว้งคว้าง สื่อถึงชีวิตได้สูญเสียเป้าหมายปลายทาง ทุกสิ่งอย่างวาดฝันไว้พังทลายลง (ทอดทิ้ง)คนรักเคยครองคู่กัน ต่อจากนี้เลยยังไม่รู้โชคชะตาจะดำเนินไปเช่นไร
สองหนุ่มสาว Mory และ Anta ต่างมีความเพ้อใฝ่ฝัน ครุ่นคิดอยากไปจากถิ่นทุรกันดาร ทวีปแอฟริกาแห่งนี้ ด้วยการมุ่งหน้าสู่ฝรั่งเศส ดินแดนแห่งความเพ้อฝัน (ที่ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เมื่อครั้น Senegal ยังเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส) จึงร่วมกันผจญภัย ออกเดินทาง ขับมอเตอร์ไซด์ฮ่าง ใช้สารพัดวิธีลักขโมยเงิน ซื้อตั๋วโดยสาร แต่ระหว่างกำลังขึ้นเรือเตรียมออกเดินทาง … กลับแยกย้ายไปตามทิศทางใครทางมัน
หลายคนอาจรับรู้สึกว่ามันช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย อุตส่าห์เปลืองเนื้อเปลืองตัว ก่ออาชญากรรม ปล้น-ฆ่า(วัว) เกือบสูญเสียความบริสุทธิ์ประตูหลัง แล้วเหตุไฉน Mory ถึงไม่ขึ้นเรือออกเดินทาง กลับมาจมปลักสถานที่แห่งนี้ทำไมกัน? นี่เป็นสิ่งที่ผู้กำกับต้องการให้อิสระผู้ชมในการขบครุ่นคิดตีความ มันเหมือนตัวละคร (อวตารของผกก. Mambéty) ตระหนักข้อเท็จจริงบางสิ่งอย่าง ฝรั่งเศสอาจไม่ใช่ดินแดนแห่งความเพ้อฝัน สรวงสวรรค์อย่างที่ใครต่อใครเคยวาดฝัน
เป้าหมายของผกก. Mambéty ต้องการให้ชาว Senegalese/แอฟริกัน (โดยเฉพาะบรรดาพวกผู้สร้างภาพยนตร์) ละเลิกทำตัวเหมือนผู้เคราะห์ร้าย ตกเป็นเหยื่อ เอาแต่(สร้างภาพยนตร์)ต่อต้านลัทธิอาณานิคม ทำไมเราไม่หันมาย้อนมองกลับมาดูตนเอง ค้นหาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ‘ความเป็นแอฟริกัน’ นั่นต่างหากจักทำให้เรามีตัวตน ความเป็นตัวของตนเอง
I try to demystify and decolonize the image of Africa. We have been the victims of colonization for too long. It’s time for us to become the masters of our own lives, to write our own stories, and to redefine our identities on our own terms.
Djibril Diop Mambéty
ผมมองเหตุผลที่ Mory (และผกก. Mambéty) ตัดสินใจหวนกลับขึ้นฝั่งในมุมสุดโต่งสักนิด คืออาการหวาดระแวง สั่นสะพรึงกลัว ไม่กล้าออกจาก ‘Safe Zone’ นั่นเพราะยุคสมัยนั้นมีภาพยนตร์ต่อต้านลัทธิอาณานิคม (Anti-Colonialism) ผุดขึ้นมากมายยังกะดอกเห็น ทำให้ชาว Senegalese/แอฟริกัน ตระหนักรับรู้ธาตุแท้ตัวตนฝรั่งเศส/จักรวรรดิอาณานิคม สรวงสวรรค์ที่เคยกล่าวอ้างไม่เคยมีอยู่จริง แล้วทำไมเรายังขวนขวายไขว่คว้า ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อออกเดินทางสู่ดินแดนแห่งนั้นอยู่อีก! … การถือกำเนิดขึ้นของ Touki Bouki (1973) และผกก. Mambéty ถือว่าสะท้อนอิทธิพลภาพยนตร์แอฟริกันยุคหลังประกาศอิสรภาพ (post-independence) ได้อย่างชัดเจน
สำหรับ Anta การออกเดินทางสู่ฝรั่งเศสของเธอนั้น หลายคนอาจมองว่าเป็นการนำเสนอมุมมองตรงกันข้ามกับ Mory ลุ่มหลงงมงาย ยึดถือมั่นในมายาคติ แต่ขณะเดียวกันยังสามารถตีความถึงการปลดแอก ได้รับอิสรภาพ เพราะสถานะสตรีเพศในทวีปแอฟริกา ไม่แตกต่างจากแนวคิดอาณานิคม (มีคำเรียกปิตาธิปไตย, Patriarchy สังคมชายเป็นใหญ่) ยังคงถูกกดขี่ข่มเหง ควบคุมครอบงำ ไร้ซึ่งสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคเท่าเทียมบุรุษ … การเดินทางของเธอจึงแม้อาจเป็นการมุ่งสู่ขุมนรก แต่คือการดิ้นหลุดพ้นจากพันธนาการทางวัฒนธรรม/ชาติพันธุ์
แนวคิดของผกก. Mambéty ในแง่ศิลปะวัฒนธรรม มันคือการอนุรักษ์ รักษาอัตลักษณ์ ความเป็นชนเผ่า-ชุมชน-ประเทศ-ทวีป แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค สามารถสร้างความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น สืบสานต่อยอดให้มั่นคงยั่งยืน และได้รับการยอมรับจากนานาอารยะ
แต่ในแง่มุมอื่นๆผมว่าไม่ใช่สิ่งถูกต้องเสมอไป จนถึงปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่ในแอฟริกายังคงล้าหลัง ทุรกันดาร ห่างไกลความเจริญ ประชาชนอดอยากปากแห้ง ขาดแคลนอาหาร-น้ำดื่ม-ยารักษาโรค เครื่องอุปโภค-บริโภค ไร้งานไร้เงิน ไร้การเหลียวแลจากนานาอารยะ เฉกเช่นนั้นแล้วการแสวงหาโอกาสต่างแดน ขึ้นเรือออกเดินทางสู่ฝรั่งเศส มันอาจเป็นสรวงสวรรค์ที่จับต้องได้มากกว่า!
ชื่อหนัง Touki Bouki เป็นภาษา Wolof แปลว่า The Journey of the Hyena สำหรับคนที่รับรู้จักเจ้าไฮยีน่า มันคือศัตรูตัวฉกาจของฝูงวัว เอาจริงๆควรสื่อถึงฝรั่งเศส/จักรวรรดิอาณานิคม แต่ผกก. Mambéty กลับเปรียบเทียบการผจญภัยของคู่รักหนุ่ม-สาว Mory & Anta พฤติกรรมพวกเขาไม่แตกต่างจากเจ้าหมาล่าเศษเนื้อ มันช่างขัดย้อนแย้งสัญญะที่ปรากฎอยู่ในหนังอย่างสิ้นเชิง! … แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผกก. Mambéty ทำการล่อหลอกผู้ชมนะครับ ตลอดทั้งเรื่องก็มีการใช้ภาษาภาพยนตร์อย่างหนึ่ง แต่นัยยะความหมายอีกอย่างหนึ่ง นับครั้งไม่ถ้วน!
The hyena is an African animal. It never kills. The hyena is falsehood, a caricature of man. The hyena comes out only at night; he is afraid of daylight, like the hero of Touki Bouki-he does not want to see daylight, he does not want to see himself by daylight, so he always travels at night. He is a liar, the hyena. The hyena is a permanent presence in humans, and that is why man will never be perfect. The hyena has no sense of shame, but it represents nudity, which is the shame of human beings.
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ Directors’ Fortnight เทศกาลหนังเมือง Cannes แม้เสียงตอบรับจะผสมๆ คงเพราะผู้ชมส่วนใหญ่คงดูไม่รู้เรื่อง แต่หลังจากติดตามต่อด้วยเทศกาล Moscow International Film Festival คว้ารางวัลนักวิจารณ์ FIPRESCI Prize นี่ก็แสดงว่าชาวรัสเซีย สามารถเข้าถึงความลุ่มลึกล้ำ ตระหนักถึงอัจฉริยภาพผกก. Mambéty
(สำหรับหนังที่มีลีลาตัดต่อมึนๆเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจจะสามารถเข้าถึงผู้ชมชาวรัสเซีย ประเทศต้นกำเนิดทฤษฎี ‘Montage’)
- Sight & Sound: Critic’s Poll 2012 อันดับ 90 (ร่วม)
- Sight & Sound: Critic’s Poll 2022 อันดับ 66
- Sight & Sound: Director’s Poll 2012 อันดับ 72 (ร่วม)
- Empire: The 100 Best Films Of World Cinema 2010 ติดอันดับ 52
ปัจจุบัน Contras’city (1968), Badou Boy (1970) และ Touki Bouki (1973) ต่างได้รับการบูรณะด้วยทุนสนับสนุนจาก World Cinema Foundation ของผู้กำกับ Martin Socrsese ทั้งหมดคุณภาพ 2K สามารถหาซื้อ DVD/Blu-Ray หรือรับชมออนไลน์ได้ทาง Criterion Channel
หลายคนอาจรู้สึกว่าหนังเข้าถึงยาก มีความสลับซับซ้อน แต่ให้มองเป็นความท้าทาย ค่อยๆขบครุ่นคิด ทบทวนสิ่งต่างๆ เมื่อพบเจอคำตอบ ตระหนักเหตุผลที่ตัวละครปฏิเสธขึ้นเรือออกเดินทางสู่ฝรั่งเศส นั่นเป็นสิ่งน่ายกย่องสรรเสริญ กล้าท้าทายขนบวิถีที่ถูกปลูกฝัง เสี้ยมสั่งสอน ล้างสมองโดยจักรวรรดิอาณานิคม … เป็นภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ทรงคุณค่า อันดับหนึ่งของชาวแอฟริกันอย่างไร้ข้อกังขา!
จัดเรต 18+ กับภาพเชือดวัว การลักขโมย
หนังคนผิวดำที่เหมาะสมในการติด Top 100 Sight & Sound