
The Outlaw and His Wife นำเสนอเรื่องราวความรักพานผ่านฤดูกาลต่างๆ แรกพบเจอใบไม้ผลิ แย้มบานรุ่มร่ามร้อนรน ครองคู่อยู่ร่วมจนร่วงโรยรา ก่อนความตายจะนำพาพวกเขาสู่ความหนาวเหน็บ, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
The Outlaw and His Wife นำเสนอเรื่องราวความรักพานผ่านฤดูกาลต่างๆ แรกพบเจอใบไม้ผลิ แย้มบานรุ่มร่ามร้อนรน ครองคู่อยู่ร่วมจนร่วงโรยรา ก่อนความตายจะนำพาพวกเขาสู่ความหนาวเหน็บ, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
หนังเงียบรายเดือนเรื่องนี้ (Serial Film) ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผีดิบ/ค้างคาว/แวมไพร์ คือชื่อองค์กรชั่วร้ายก่อการปล้น/ฆ่า กำลังถูกไล่ล่าติดตามโดยยอดนักข่าว Philippe Guérande (รับบทโดย Édouard Mathé) สุดท้ายจะถูกจับกุมตัวได้หรือไม่
Filibus (1915) : Mario Roncoroni ♥♥♥
Filibus คือชื่อจอมโจรสาว จ้าวแห่งการปลอมตัว และมีเรือเหาะเป็นยานพาหนะ … หนังเงียบที่คือจินตนาการอนาคตของประเทศอิตาลี เพราะยุคสมัยนั้นอิสตรียังมิได้รับสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมใดๆ เมื่อแต่งงานไปต้องก้มหัวให้ผู้ชาย ไม่มีสิทธิ์เสียงขอหย่า หรือแค่เพียงสมัครสมาชิกนิตยสาร/หนังสือพิมพ์ใดๆ
L’Enfant (2005) : Dardenne brothers ♥♥♥♥
Jérémie Renier รับบทหัวขโมยกระจอก ได้เงินมา ใช้จ่ายไป ไม่เคยครุ่นคิดอะไรถึงอนาคต หรือสนศีลธรรมจรรยา หลังจากแฟนสาวคลอดลูก กำลังลุ่มร้อนต้องการเงิน เลยลักพาตัวไปขาย, คว้ารางวัล Palme d’Or “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
Shoplifters (2018) : Hirokazu Kore-eda ♥♥♥♥
วัตถุสิ่งของทุกชนิดในโลกสามารถลักขโมยครอบครองเป็นเจ้าของได้ แต่ไม่ใช่จิตใจที่ต้องใช้เวลาศึกษาเรียนรู้ ฟูมฟักเฝ้าทะนุถนอมเอ็นดู แม้มิได้มีสัมพันธ์ทางกายสายเลือด ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งครอบครัวเดียวกันได้, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
Thief (1981) : Michael Mann ♥♥♥♥
ในยุคสมัยที่การโจรกรรมพัฒนามาถึงระดับอุตสาหกรรม ตู้เซฟทำจากเหล็กหนากี่ชั้นก็ไม่รู้ แต่มิอาจรอดพ้นเงื้อมมือหัวขโมยมืออาชีพ อุปกรณ์เครื่องมือจัดเต็ม ไม่มีอะไรในโลกที่จะงัดปล้นไม่ได้ ด้วยงานภาพสวยล้ำสัมผัส Neo-Noir เพลงประกอบ Electronic แจ้งเกิดผู้กำกับ Michael Mann ขึ้นมาโดยทันที
The Asphalt Jungle (1950) : John Huston ♥♥♥♥
จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์แนวโจรกรรมสมัยใหม่ (Modern Heist) นำเสนอรายละเอียดวิธีการ ขั้นตอนตั้งแต่วางแผน-ลงมือปล้น-และหลังจากนั้น ด้วยบรรยากาศหนังนัวร์ สะท้อนด้านมืดของป่าคอนกรีต ถ้าไม่อยากถูกปล้นก็ควรเรียนรู้จักวิธีการของพวกอาชญากร, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
Bob le flambeur (1956) : Jean-Pierre Melville ♥♥♥♥
คงไม่มีการปล้นคาสิโนครั้งไหน จบแบบคาดเดาไม่ได้เหมือน Bob the Gambler ชายสูงวัยสุด ‘cool’ ที่ใช้เวลา 20 ปี หลังออกจากคุกไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับโจรกรรมใดๆ เว้นเพียงนิสัยติดการพนันเข้าสายเลือด แต่เงินทองไม่เคยหมดตัวเพราะนิสัยชอบช่วยเหลือเอื้อเฟื้อมากด้วยน้ำใจ วันหนึ่งหูผึ่งเมื่อได้ยินจำนวนเงินมหาศาลในตู้เซฟ รวบรวมสมัครพรรคพวกอีก 8 คน (รวมตัวเองเป็น 9) ต้องการปล้นครั้งสุดท้ายทิ้งทวน แต่แล้ว…
Rififi (1955) : Jules Dassin ♥♥♥♥
แม่พิมพ์ของภาพยนตร์แนวโจรกรรมสมัยใหม่ (Modern Heist) แบ่งเรื่องราวออกเป็นสามองก์ วางแผน-ลงมือ-หลังจากนั้น ไฮไลท์อยู่ที่ครึ่งชั่วโมงการปล้น ไร้เสียงพูดคุยสนทนาและเพลงประกอบ จัดได้ว่าเป็น Masterpiece
L’Argent (1983) : Robert Bresson ♥♥♥♥
L’Argent แปลว่า Money, เมื่อเงินปลอมอยู่ในมือคนชั่วก็หาทางส่งต่ออย่างแนบเนียน แต่พอตกอยู่ในมือผู้บริสุทธิ์นำไปใช้ กลับถูกจับ ตกงาน ติดคุก ภรรยาบอกเลิก ลูกสาวเสียชีวิต เก็บสะสมความเกรี้ยวกราดโกรธ พ้นโทษออกมาทำการ … เสร็จแล้วยินยอมมอบตัวสารภาพผิดกับตำรวจ, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
Time Bandits (1981) : Terry Gilliam ♥♡
(mini Review) สิ่งที่จอมโจร Time Bandits ขโมยจากผมไป คือเวลา 113 นาทีที่สูญสิ้นเสียเปล่าโดยไร้ค่า แม้หนังจะมากด้วยนักแสดงสมทบเลื่องชื่อ Sean Connery, Shelley Duvall, Ian Holm, Ralph Richardson ฯ และเรื่องราวเพ้อฝันแฟนตาซีที่เด็กๆน่าจะดูสนุก แต่ถ้าผู้ใหญ่เบือนหน้าหนี เราจะวัดคุณค่าของงานศิลปะชิ้นนี้ได้อย่างไรกัน?
The Wild Bunch (1969) : Sam Peckinpah ♥♥♥♡
ทศวรรษแห่ง New Hollywood เริ่มต้นที่ Bonnie and Clyde (1967) แล้วถึงจุดสูงสุดที่ The Wild Bunch (1969) เมื่อผู้กำกับขี้เมา Sam Peckinpah ใช้กระสุนปืนกว่า 90,000 นัด ผ่านการตัดต่อกว่า 3,500 คัท กราดยิงฝูงชนผู้บริสุทธิ์ตาดำๆ ตายเกลื่อนแทบยกเมือง แต่ใครจะไปคิดว่าฝูงอมนุษย์เดนคนพวกนี้ยังมีจิตสำนึกรับไม่ได้ต่อความไร้อายธรรมของพวกเม็กซิกัน
Butch Cassidy and the Sundance Kid (1969) : George Roy Hill ♥♥♥♡
คู่หูมหาโจรโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ Western รับบทโดยสองตำนาน Paul Newman กับ Robert Redford เพราะความสำเร็จในการปล้นรถไฟหลายครั้ง ทำให้ถูกไล่ล่าโดยโคตรนายอำเภอ และกองกำลังชุดติดตามพิเศษ ต้องหลบลี้หนีภัยไปยังประเทศ Bolivia เหมือนการได้รับโอกาสครั้งที่ 2 แต่กลับเอาเวลาไปออกปล้นธนาคารอีก ครานี้ยกกำลังมาล้อมทั้งกองทัพ จะยังสามารถเอาตัวรอดพ้นได้อีกหรือเปล่า, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
Bonnie and Clyde (1967) : Arthur Penn ♥♥♥♡
ภาพยนตร์ที่เป็นจุดเปลี่ยน New Hollywood หรือ American New Wave เปิดประตูสู่อิสรภาพอันไร้กฎกรอบของ Hays Code ให้พบความรุ่งโรจน์และตกต่ำที่สุดไปพร้อมๆกัน เฉกเช่นเดียวกับสองนักแสดงนำ Warren Beatty และ Faye Dunaway ในอดีตเคยยิ่งใหญ่สุดๆ ปีก่อนไม่น่ามาพลาดท่าเสียแก่เลย
For a Few Dollars More (1965) : Sergio Leone ♥♥♥♥
การได้ Lee Van Cleef มาเสริมทัพ Clint Eastwood เป็นคู่หูใน ‘นักล่าเพชรตัดเพชร’ ภาคสองของ Dollars Trilogy ทำให้ Spaghetti Western เรื่องนี้มีเสน่ห์ โคตรเท่ห์ยิ่งขึ้นกว่าเดิม, เรื่องราวของสองนักล่าค่าหัวที่ไม่ได้อยากร่วมงาน แค่บังเอิญมีเป้าหมายเดียวกัน กระนั้นก่อนที่พวกเขาจะจับมือเป็นพันธมิตร ก็ต้องจ้องหน้าท้าประลอง ดวลปืนยิงหมวกกันเสียก่อน
To Catch a Thief (1955) : Alfred Hitchcock ♥♥♥♥♡
แมวเดินเข้ามา มือลึกลับกำลังหยิบจับสร้อยเพชรของมีค่า แล้วแมวก็เดินจากไป, จะมีใครที่ไหนสามารถนำเสนอฉากเปิดหนังสุดคลาสสิกได้เท่า Alfred Hitchcock แถมไปลาก Cary Grant กลับจากรีไทร์ และ Grace Kelly เจิดจรัสเฉิดฉาย สง่างามราวกับเจ้าหญิง (ตอนนั้นยังไม่ได้แต่งงาน)
Kismet (1943) Bollywood : Gyan Mukherjee ♥♥♥♡
ภาพยนตร์ bollywood เรื่องแรกที่ทำเงินเกิน ₹1 ล้าน crore (>10 ล้านรูปี) จัดว่าเป็น Blockbuster เรื่องแรก ยืนโรงฉายยาวนานกว่า 3 ปี (นานที่สุดขณะนั้น) และยังส่งให้ Ashok Kumar กลายเป็นดาวดาราค้างฟ้า Superstar คนแรกของอินเดีย
The Great Train Robbery (1903) hollywood : Edwin S. Porter ♠♠♠♠♠
(mini-Review) ด้วยทุนสร้างเพียง $150 เหรียญสมัยก่อน ภาพยนตร์ลำดับที่ 201 ของ Edison Studios ไม่มีใครรู้รายรับเป็นตัวเลขจริงๆเท่าไหร่ แต่ถือกันว่าเป็นภาพยนตร์ Western ที่เป็น Blockbuster เรื่องแรกของโลก
The Thief of Bagdad (1924) hollywood : Raoul Walsh ♥♥♥♥
ดัดแปลงจากนิทานอาหรับราตรี สู่ภาพยนตร์แฟนตาซีสุดอลังการทุนสร้างสูงสุดแห่งปี นำแสดงโดย Douglas Fairbanks รับบท Ahmed หัวขโมยจอมเจ้าเล่ห์ ที่ตกหลุมรักแรกพบธิดาสุดสวยของเจ้าเมือง Bagdad ปลอมตัวเป็นเจ้าชายขอเธอแต่งงาน และพิสูจน์ตัวเองด้วยการนำสิ่งของมีค่าที่สุดในโลกมามอบให้
W. C. Fields ได้รับยกย่องวีรบุรุษหลังช่วยจับโจรปล้นธนาคาร เลยมีโอกาสเข้าทำงานเป็นนักสืบ ‘The Bank Detective’ แต่กลับทำตัวเหมือน ‘The Bank Dick’ กะล่อน-ปลิ้นปล้อน-หลอกลวง (Lie, Cheat & Steal) สุดท้ายได้ดิบได้ดีจนกลายเป็นมหาเศรษฐี นี่มันเกิดอัปรีย์อะไรขึ้นในสังคม!