
Mr. Thank You (1936)
: Hiroshi Shimizu ♥♥♥♥♡
มองผิวเผินอาจเป็นแค่หนัง Road Movie ดำเนินไปอย่างเอื่อยๆเฉื่อยๆ (Slow Life) ไม่ได้มีเรื่องราวน่าตื่นตาตื่นใจอะไร แต่เบื้องลึกกลับซุกซ่อนผลกระทบจาก Shōwa Depression (1930-32) คำขอบคุณเล็กๆระหว่างการเดินทาง สามารถสร้างพลังชีวิตอย่างล้นหลาม, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
สิ่งแรกที่ผมครุ่นคิดถึงระหว่างรับชม Mr. Thank You (1936) คือภาพยนตร์ Stagecoach (1939) ต่างมีเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทาง รถเมล์/รถม้ารับส่งผู้โดยสาร แต่ความแตกต่างของทั้งสองเรื่องราวฟ้ากับเหว! ขณะที่หนังของ John Ford คือหนัง Western เต็มไปด้วยฉากแอ๊คชั่นอลังการ อะดรีนาลีนหลั่งคลั่ง, Hiroshi Shimizu มีความเรียบง่าย บรรยากาศเพลิดเพลินผ่อนคลาย อมยิ้มกริ่มตลอดการขึ้นเขาลงห้วย
ด้วยระยะทางเพียงยี่สิบกว่าไมล์ (ประมาณ 32 กิโลเมตร) ถ้าเป็นยุคสมัยนี้ประมาณครึ่งชั่วโมงก็คงถึงที่หมาย แต่ยุคสมัยนั้นถนนหนทางยังเป็นดินลูกรัง มีเพียงเลนเดียวเลี้ยวลดคดเคี้ยว ทั้งรถทั้งผู้คนสัญจรสวนไปมา บางครั้งแวะหยุดจอดพูดคุย ฝากให้คนขับรถช่วยทำโน่นนี่นั่น … คนสมัยก่อนช่างมีอัธยาศัย น้ำใจดีงาม
เมื่อหลายสิบปีก่อนตอนสมัยผมยังวัยรุ่น เคยมีประสบการณ์คล้ายๆเดียวกับหนังเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง ตอนออกค่ายอาสาต่างจังหวัดห่างไกล ผู้คนยังมีอัธยาศัยไมตรี ยินดีต้อนรับคนแปลกหน้า มันเหมือนว่าทุกคนรับรู้จักกันหมดทั้งรถ! ปัจจุบันคงหาไม่ได้แล้วกระมัง เพราะใครต่อใครต่างมีรถส่วนตัว ถนนหนทางก็เทปูนราดยาง ความเจริญแพร่ขยายสู่ชนบท แถมคนสมัยนี้พอขึ้นรถก็เสียบหูฟัง ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์มือถือ แทบไม่เคยสนใจอะไรรอบข้าง … เทคโนโลยีสร้างความสุขสบายให้มนุษย์ แต่ก็แลกมากับการปิดกั้น เห็นแก่ตัว มิตรไมตรีที่ค่อยๆเลือนหายไป
Hiroshi Shimizu, 清水宏 (1903-66) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Yamaka, Shizuoka บิดาเป็นพนักงานบริษัทเหมือง Furukawa Mining Company ส่วนมารดาคือทายาทตระกูล Ohashi เจ้าของธุรกิจป่าไม้ ฐานะครอบครัวถือว่าร่ำรวย กินหรูอยู่สบาย แต่บุตรชายไม่ชอบเรียนหนังสือ ทำตัวเป็นนักเลงรีดไถเงินเพื่อนฝูงไปเที่ยวเกอิชา ถูกบังคับให้เข้าศึกษาคณะวนศาสตร์ Hokkaido University ทนอยู่เพียงปีเดียวก็ลาออก เดินทางสู่กรุง Tokyo เข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku ฝึกงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Yoshinobu Ikeda สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องแรกเมื่อปี ค.ศ. 1924 ขณะอายุเพียง 21 ปี!
有りがたうさん อ่านว่า Arigatō-san แปลตรงตัว Mr. Thank You ดัดแปลงจากเรื่องสั้นชื่อเดียวกัน ตีพิมพ์ลงนิตยสาร Bungei Jidai, 文藝時代 (แปลว่า The Literary Age) เมื่อปี ค.ศ. 1925 ประพันธ์โดย Yasunari Kawabata, 川端 康成 (1899-72) นักเขียนรางวัล Nobel Prize สาขาวรรณกรรม (คนแรกของญี่ปุ่น)
บทภาพยนตร์โดยผกก. Shimizu จริงๆแล้วมีเพียงเค้าโครงคร่าวๆ เพราะระหว่างการถ่ายทำเขาจะโยนบทหนังทิ้งไป ให้ความสนใจกับสิ่งต่างๆรอบข้าง ทิวทัศน์ธรรมชาติ สถานที่ถ่ายทำ พบเจออะไรก็ถ่ายทำเช่นนั้น ไม่ได้ต้องตระเตรียมการอะไรมาก “I can’t shoot films like Shimizu.” – Yasujirô Ozu
People like me and Ozu get films made by hard work, but Shimizu is a genius.
Kenji Mizoguchi
เรื่องราวของพนักงานขับรถโดยสารได้รับฉายา Mr. Thank You (รับบทโดย Ken Uehara) เพราะระหว่างเส้นทางคดเคี้ยวเลี้ยวลดของ Amagi Road (Izu, Shizuoka) เมื่อขับสวนทางกับใคร จักกล่าวคำขอบคุณที่หลีกทางให้ จนเป็นที่รักใคร่ของบรรดาผู้คนละแวกนั้น โบกให้จอด ชวนพูดคุย ฝากทำธุระโน่นนี่นั่น แม้ระยะทางแค่ยี่สิบกว่าไมล์ แต่มีเรื่องราวเยอะแยะมากมายบังเกิดขึ้น
Ken Uehara, 上原謙 ชื่อจริง Ikebata Seiryo, 池端清武 (1909-91) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo ในครอบครัวทหาร บิดาประดับยศพันเอก (Colonel) สำเร็จการศึกษาจาก Rikkyo University จากนั้นเข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 มีผลงานเด่นๆ อาทิ Mr. Thank You (1936) What Did the Lady Forget? (1937) A Brother and His Younger Sister (1939), ช่วงสงครามโลกกลายเป็นฟรีแลนซ์ ไม่ค่อยมีงานสักเท่าไหร่ ก่อนย้ายมาลงหลักปักฐานสตูดิโอ Toho ร่วมงานขาประจำผกก. Mikio Naruse อาทิ Repast (1951), Wife (1953), Husband and Wife (1953), Sound of the Mountain (1954), Late Chrysanthemums (1954) ฯ
รับบทพนักงานขับรถโดยสารได้รับฉายา Mr. Thank You แม้ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร แต่เป็นคนมีอัธยาศัยไมตรี สุภาพอ่อนน้อม ชอบให้ความช่วยเหลือผู้อื่น พอได้ยินเรื่องราวของหญิงสาวกำลังจะถูกขายเป็นโสเภณี ก็เต็มไปด้วยสงสารเห็นใจ ไม่รู้จะทำอะไรยังไง ระหว่างแวะจอดข้างทางพยายามพูดปลอบประโลม ให้กำลังใจ
(หนังไม่ได้เปิดเผยว่าตอนจบเกิดเหตุการณ์ขึ้น แต่ต้นฉบับเรื่องสั้น ค่ำคืนนั้น Mr. Thank You ตอบตกลงที่จะให้การช่วยเหลือ ไม่แน่ใจว่าแต่งงานหรือเปล่า? เลยเอาตัวรอดจากการถูกขายเป็นโสเภณี)
น่าจะถือได้ว่า Mr. Thank You คือบทบาทแจ้งเกิด Uehara ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย เพียงขับรถ ยกมือกล่าวขอบคุณ พูดคุยกับผู้โดยสาร แต่ความสุภาพอ่อนน้อม รวมถึงการแสดงความเป็นห่วงเป็นใย สงสารเห็นใจผู้อื่น เลยสามารถซื้อใจผู้ชม ต้นแบบอย่างคนดีของสังคม
แซว: ตัวจริงของ Uehara ก็ไม่แตกต่างจากตัวละครสักเท่าไหร่ บรรดานักแสดงหญิงรุ่นพี่ที่สตูดิโอ Shōchiku ต่างตั้งฉายา Silver Fox, Ken the Hostess, Ken the Doorman จากความเป็นสุภาพบุรุษ ชอบให้ความช่วยเหลือผู้อื่น
ถ่ายภาพโดย Isamu Aoki, 青木勇 ตากล้องในสังกัด Shōchiku มีผลงานเด่นๆ อาทิ Sword of Penitence (1927), Mr. Thank You (1935) ฯ
แตกต่างจากยุคหนังเงียบที่ ‘สไตล์ Shimizu’ มีการแทรกใส่สารพัดลูกเล่นภาพยนตร์ รวมถึงประดิษฐ์ประดอยการแสดงออกทางภาษากาย แต่สิ่งยังหลงเหลือมาถึงยุคหนังพูด ก็คือการร้อยเรียงภาพทิวทัศน์ธรรมชาติ เดินทางไปถ่ายทำยังสถานที่จริง สร้างบรรยากาศเพลิดเพลิน เหมือนกำลังท่องเที่ยวพักผ่อนคลาย
ด้วยความที่อุปกรณ์บันทึกเสียงสมัยนั้นเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย มีความอ่อนไหว (Sensitive) ต่อสรรพเสียงรอบข้าง มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งกล้อง+ไมค์บนรถ บันทึกภาพและเสียงไปพร้อมๆกัน วิธีแก้ปัญหาก็คือถ่ายอย่างเดียว แล้วใช้การพากย์เสียงที่ห้องอัดเอาภายหลัง … บ่อยครั้งสามารถพบเห็นปากขยับไม่ตรงกับน้ำเสียงได้ยิน
ปล. ผมลองใช้ Google Maps ลากเส้นทางโดยคร่าวๆผ่านเทือกเขา Amagi (Izu, Shizuoka) แค่ให้พอเห็นภาพว่าหนังถ่ายทำตรงไหนของประเทศญี่ปุ่น

ตำแหน่งที่นั่งในรถโดยสาร แรกเริ่มต้นเหมือนจะสามารถใช้บ่งบอกสถานะทางสังคม ด้วยความที่เบาะหน้ารถนั่งสบายสุด Mr. Thank You จึงตั้งใจจะเชื้อเชิญแม่-ลูก(ที่จะพาไปขายตัว Tokyo) ให้มานั่งสงบสติอารมณ์ แต่กลับถูกแก่งแย่งโดยชายหนวดเขี้ยว (ตัวแทนชาวเมือง Tokyo) ทำให้พวกเธอต้องหวนกลับไปนั่งเบาะหลังที่มีความสั่นสะเทือนที่สุด … เบาะหน้ากลายเป็นที่นั่งของพวกผู้ดีชาวกรุง เบาะหลังของชาวบ้านนอกคอกนา
แต่ระหว่างทางเมื่อชายหนวดเขี้ยวแสดงสารพัดพฤติกรรมเห็นแก่ตัวออกมา หญิงสวมผ้าพันคอสีดำ (รับบทโดย Michiko Kuwano) จึงเชื้อเชิญสองแม่-ลูกย้ายมานั่งเบาะหน้า แล้วขับไล่ผู้ดีจอมปลอมให้ไปนั่งหลังรถ สถานที่ที่สามารถสะท้อนสันดานธาตุแท้ตัวตนของเขาได้เป็นอย่างดี
แซว: การที่ชายหนวดเขี้ยวรับไม่ได้กับการถูกแซวเรื่องหนวด ผมคิดว่าสะท้อนถึงอัตตา (Ego) ทางชนชั้น คล้ายๆวิถีบูชิโด/ซามูไร ยึดถือมั่นในเกียรติ ศักดิ์ศรีค้ำคอ ฆ่าได้หยามไม่ได้ ทั้งๆที่ถูกแซวในเรื่องไร้สาระทั้งเพ

ซีเควนซ์ที่มีความน่าจดจำที่สุดของหนังคือตอนแจกขนม + ก๊งสุรา, สังเกตว่าตอนมารดา(ที่พาบุตรสาวไปขายตัว Tokyo) แบ่งปันขนมได้รับจากร้านค้าสถานีต้นทาง กล้องถ่ายจากด้านหน้ารถ ทุกคนต่างน้อมรับ ไม่มีใครตอบปฏิเสธ แต่เธอตั้งใจจะไม่หยิบยื่นให้ชายหนวดเขวี้ยว อีกฝ่ายกลับเอ่ยปาก-หน้าด้าน-พูดขอออกมาตรงๆ
แล้วพอหญิงสวมผ้าพันคอสีดำ หยิบสุราขึ้นมาแจกจ่าย มุมกล้องมีการสลับตำแหน่ง ถ่ายจากด้านหลังรถ (เพื่อสื่อถึงสิ่งไม่ดีงาม ด้านมืดสังคม) ในตอนแรกทุกคนต่างตอบปฏิเสธ เพราะความเกรงใจที่เพิ่งรับขนมมา แต่หลังจากเธอพูดแทงใจดำ พวกเขาทั้งหลายต่างเปิดเผยตัวตนแท้จริง ไม่เว้นชายหนวดเขวี้ยวผู้ไม่เกรงใจฟ้าดิน
จุดโฟกัสของซีเควนซ์นี้คือชายหนวดเขวี้ยว จากกรุง Tokyo น่าจะเป็นบุคคลมีเงินมีทอง มีสถานะทางสังคมสูงสุดในผู้โดยสารรถคันนี้ แต่แทนที่จะสำแดงน้ำใจไมตรี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กลับพูดเร่งคนขับรถอยู่นั่น ใครแบ่งปันอะไรก็แบมือขอรับ สำแดงความละโมบโลภมาก เห็นแก่ตัว สนเพียงผลประโยชน์ส่วนตน … ก็เหมือนหนวดปลอมๆสำแดงวิทยฐานะทางสังคม


หลายคนอาจสงสัยว่าญี่ปุ่นไม่มีคนใช้แรงงานหรือไร ยุคสมัยนั้นคนตกงานมากมาย เหตุไฉนถึงว่าจ้างผู้หญิงมาขุดอุโมงค์? คำตอบคือเธอเป็นชาวเกาหลี สังเกตจากชุดสวมใส่(ฮันบก) ยุคสมัยนั้นเกาหลียังเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1910-45) เลยไม่แปลกจะมีการนำเข้าแรงงาน ทาส โสเภณี ฯ ซึ่งผกก. Shimizu นำเสนอซีเควนซ์นี้ได้อย่างน่าสงสารเห็นใจ (เธอวิ่งติดตามรถโดยสารมาไกลมาพอสมควร)

ตัดต่อไม่มีเครดิต, หนังดำเนินเรื่องผ่านการเดินทางโดยรถโดยสารของ Mr. Thank You ตลอดเส้นทาง Amagi Road (Izu, Shizuoka) เมื่อขับสวนทางกับใคร จักกล่าวคำขอบคุณที่หลีกทางให้ จนเป็นที่รักใคร่ของบรรดาผู้คนละแวกนั้น โบกให้จอด ชวนพูดคุย ฝากทำธุระโน่นนี่นั่น แม้ระยะทางแค่ยี่สิบกว่าไมล์ แต่มีเรื่องราวเยอะแยะมากมายบังเกิดขึ้น
การเดินทางของหนังจะให้แบ่งเป็นตอนๆยังยาก เพราะระหว่างทางพานผ่านผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน บางคนแค่เพียงทักทาย บางคนมีพูดเล่ารายละเอียดพื้นหลัง ผู้โดยสารขึ้น-ลง ผมขอเลือกเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆก็แล้วกัน
- รถโดยสารเดินทางมาถึงสถานีต้นทาง
- ณ สถานีต้นทาง, มารดาเล่าว่าจะพาบุตรสาวไปขายต่อที่กรุง Tokyo
- เริ่มต้นออกเดินทาง พานผ่านผู้คนเดินทางกลับบ้าน
- รถคันหนึ่งขับแซงหน้า แต่ไม่นานถูกแซงกลับเพราะยางแตก
- จอดพักสถานีถัดไป
- ระหว่างจอดพักอีกสถานีถัดไป มีรถโดยสารอีกคันสวนมา หยุดจอดคุยกับผู้โดยสาร
- Mr. Thank You รับฝากข้อความจากไปบอกกล่าวคนรู้จักปลายทาง
- รับส่งหมอไปทำคลอดลูกแฝด
- หญิงสาวฝากซื้อแผ่นเสียง
- Mr. Thank You เกือบจะขับรถตกเหว
- แวะคุยกับสองสาวนักดนตรี
- สมาชิกในรถโดยสารมีการแบ่งปันขนมและสุรา
- จอดพักรถก่อนเข้าอุโมงค์
- Mr. Thank You พยายามปลอบประโลมหญิงสาวที่กำลังจะถูกขายต่อ
- ก่อนจะเดินทางต่อพบเจอหญิงชาวเกาหลี เข้ามากล่าวคำร่ำลา
- ชายหนวดเขี้ยวรับไม่ได้กับคำดูถูกเลยขอลงจากรถ
- ชายคนหนึ่งเดินทางไปเข้าร่วมงาน แต่พอชายอีกคนไปร่วมงานศพขึ้นรถ จึงต่างขอลงด้วยกันทั้งคู่
- หยุดรอคณะการแสดงคาบูกิ
- หญิงสาวสวมผ้าพันคอสีดำ กระซิบกระซาบ Mr. Thank You พูดบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับหญิงสาวที่กำลังจะถูกขายต่อ
- วันถัดมา Mr. Thank You ออกเดินทางกลับพร้อมหญิงสาวที่ไม่ได้ถูกขายตต่อ
ตลอดการเดินทางมันจะมีพิธีกรรม (Ritual) เริ่มจากกล้องตั้งหน้ารถพบเห็นใครบางคน/บางสิ่งอย่างขวางทางอยู่เบื้องหน้า ได้ยินเสียงบีบแตร แล้วเกิดการ Cross-Cutting สลับเปลี่ยนตำแหน่งกล้องตั้งหลังรถพบเห็นบุคคล/สิ่งเหล่านั้นค่อยๆเคลื่อนถอยห่างออกไปด้านหลัง พร้อมเสียงกล่าวขอบคุณ Arigatō … เวลาผมเห็นพิธีกรรมลักษณะนี้ ชวนหนึกถึง In the Mood for Love (2000) ขึ้นมาทุกที



เพลงประกอบโดย Keizô Horiuchi, 堀内敬三 (1897-1983) สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Tokyo ตั้งแต่เด็กมีความหลงใหลด้านดนตรี พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้รวมกลุ่มเพื่อนสนิทก่อตั้งนิตยสาร 音楽と文学, Ongaku to Bungaku (แปลว่า Music and Literature) จากนั้นเดินทางสู่สหรัฐอเมริกา เรียนคณะวิศกรรมศาสตร์ University of Michigan ต่อด้วยปริญญาโท Massachusetts Institute of Technology กลับมาทำงานช่างกลอยู่สักพัก จนมีโอกาสแต่งเพลง 若き血 (1926), Wakakichi แปลว่า Young Blood ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม เลยตัดสินใจเข้าสู่วงการเพลง และเมื่อปี ค.ศ. 1935 กลายเป็นหัวหน้าแผนกดนตรีสตูดิโอ Shōchiku
งานเพลงถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญมากๆของหนัง ดังขึ้นตลอดทั้งการเดินทาง ช่วยสร้างบรรยากาศกินลมชมวิว เพลิดเพลินผ่อนคลาย หลงลืมความทุกข์ไปชั่วขณะ ทำออกมาในลักษณะเหมือนสร้อยบทกวี แทรกแซมอยู่ตามช่องว่างของหนัง … อาจไม่ได้มีท่วงทำนองเดิมซ้ำๆจนติดหูเหมือน Stagecoach (1939) แต่แต่ละบทเพลงล้วนมีสัมผัสทางอารมณ์ เชื่อมต่อเข้ากับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
เริ่มต้นการเดินทาง บทเพลงนี้อาจเริ่มต้นด้วยท่วงทำนองสั้นๆที่ราวกับลางบอกเหตุร้าย แต่หลังจากเสียงบีบแตรดังขึ้น การผจญภัยจึงเริ่มต้น ผันแปรสู่ท่วงทำนองสนุกสนาน ครึกครื้นเครง สองข้างทางช่างมีทิวทัศน์น่าตื่นตาตื่นใจ พานผ่านผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ … เสียงบีบแตรและคำขอบคุณพนักงานขับรถโดยสาร ‘Arigatō’ มันช่างกลมกลืนเข้ากับบทเพลงได้อย่างกลมกล่อม
ครั้งหนึ่งระหว่างการเดินทาง Mr. Thank You เกือบขับรถตกเหว เพราะเขามัวแต่จับจ้องมองหญิงสาวที่กำลังจะถูกขายเป็นโสเภณีจนไม่ได้มองเส้นทางเบื้องหน้า บทเพลงดังขึ้นหลังจากการเดินทางดำเนินต่อ แต่ท่วงทำนองเพลงบรรเลงอย่างเชื่องช้า ช่างมีความเศร้าๆ เหงาๆ ฟังดูเจ็บปวดรวดร้าว สงสารเห็นใจ ไม่รู้จะให้ความช่วยเหลืออะไรยังไง
เบื้องหน้าของ Mr. Thank You (1936) นำเสนอความสนุกสนานเพลิดเพลิดของการเดินทางบนรถโดยสาร พานผ่านเส้นทางชนบท คดเคี้ยวเลี้ยวลด ขึ้นเขาลงห้วย พบเจอผู้คนมากมาย ชาวญี่ปุ่นสมัยนั้นยังมีน้ำใจไม่ตรี อัธยาศัยดีงาม พึ่งพาอาศัยแม้ในวันทุกข์ยากลำบาก
แต่การเดินทางครั้งนี้แอบซุกซ่อนผลกระทบจาก Shōwa Depression (1930-32) เศรษฐกิจย่ำแย่ ผู้คนอดอยากปากแห้ง ชาวชนบทเดินทางเข้าเมืองหวังจะหาการหางาน ชาวเมืองไร้การไร้งานก็เดินทางกลับชนบท ลูกเต้ากลายเป็นภาระ หญิงสาวอายุบรรลุนิติภาวะ ถ้าโชคดีอาจได้แต่งงาน โชคร้ายก็อาจถูกขายต่อกลายเป็นโสเภณี … ชีวิตของพวกเขาและเธอช่างมืดหม่น ไร้หนทางออก
ในมุมของหญิงสาวที่กำลังจะถูกมารดานำไปขายต่อ การเดินทางครั้งนี้คือช่วงเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ หมดสิ้นหวังอาลัย คล้ายๆนักโทษเดินผ่าน Green Mile สู่ลานประหารชีวิต! บ่อยครั้งร่ำร้องไห้ออกมาจน Mr. Thank You รู้สึกสงสารเห็นใจ พยายามหาโอกาสเข้าไปพูดคุย ปลอบประโลม อนาคตมันอาจไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
เอาจริงๆผมอยากให้หนังจบลงแค่ถึงสถานีปลายทาง Mr. Thank You กล่าวคำอำลาหญิงสาวคนนั้น อำนวยอวยพรขอให้เธออย่าย่นย่อท้อแท้ต่อความทุกข์ยากลำบาก แค่นี้ก็เหลือเฟือเพียงพอจะสร้างประกายความหวัง ไม่จำเป็นต้องลงเอยอย่าง Happy Ending ก็มีความสุขได้!
ตอนจบของต้นฉบับเรื่องสั้น มันมีคำอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในค่ำคืนนั้น หญิงสาวอ้อนวอนร้องขอ จนท้ายที่สุด Mr. Thank You ตอบตกลงเป็นผู้ดูแล น่าจะได้แต่งงานกันกระมัง? แต่หนังจงใจปลายเปิด ไม่บอกกล่าวอะไร แค่เพียงร่วมเดินทางกลับ แล้วให้อิสระผู้ชมค้นหาคำตอบด้วยตนเอง … มีคนใจบุญสุนทนาให้ความช่วยเหลือ? ประสบโชคลาภอะไรบางอย่าง?
ผกก. Shimizu ชื่นชอบการเดินทาง ใช้ชีวิตเที่ยวเตร่ สำมะเลเทเมา ย่านที่ไปถ่ายทำน่าจะเคยพานผ่าน สงสัยมีออนเซนตั้งอยู่บนเขากระมัง? บันทึกภาพทิวทัศน์สวยๆ ผู้คนสัญจรไปมา ดินแดนเหล่านี้ความเจริญยังเข้าไม่ถึง พวกเขาจึงยังมีน้ำใจไม่ตรี อัธยาศัยดีงาม พึ่งพาอาศัยกันและกัน ผิดกับชายไว้หนวดเฟี้ยว ทำตัวเขี้ยวลากดิน ชาวเมืองที่มีความเย่อหยิ่ง เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม แต่หน้าด้านขอส่วนแบ่งขนม ถูกเยาะเย้ยนิดหน่อยขอลงเดิน ไม่รีบไปขึ้นรถไฟแล้วเหรอ?
คำกล่าวขอบคุณ Arigatō อาจไม่มีความจำเป็น สุภาพอ่อนน้อม อุดมคติเกินไปไหม? แต่สิ่งที่ผู้สร้างพยายามนำเสนอคือการสร้างมารยาทสังคม สำแดงความเป็นญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อในความนอบน้อมถ่อมตน ผู้ชมเกิดความรู้สึกแช่มชื่น ประทับใจ ภาคภูมิใจ(ในความความเป็นญี่ปุ่น) บังเกิดขวัญกำลังใจในชีวิต พานผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบาก
ปัจจุบันหนังน่าจะยังไม่ได้รับการบูรณะ แต่ดีวีดีบ็อกเซ็ต Travels with Hiroshi Shimizu (2009) ของค่าย Criterion Collection ประกอบด้วย Japanese Girls at the Harbor (1933), Mr. Thank You (1936), The Masseurs and a Woman (1938), Ornamental Hairpin (1941) ทำการแสกนใหม่ มันอาจยังมีริ้วรอยขีดข่วนอยู่บ้าง คุณภาพโดยรวมถือว่าใช้ได้เลยละ
ในบรรดา Travels with Hiroshi Shimizu ส่วนตัวหลงใหลหลั่งไคล้ Mr. Thank You (1936) เป็นหนังที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ รอยยิ้ม อิ่มหัวใจ เหมือนไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แต่ซุกซ่อนด้วยอะไรมากมาย ภาพสวย เพลงเพราะ ผ่อนคลาย และคำขอบคุณเล็กๆในโลกแห่งความสิ้นหวัง สามารถสร้างพลังในการมีชีวิตอย่างล้นหลาม
“ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” ย้อนเวลากลับไปรับชมวิถีชีวิตคนยุคก่อน การจะเดินทางแต่ละครั้งมันช่างวุ่นๆวายๆ แต่เต็มไปด้วยอัธยาศัยไม่ตรี คำขอบคุณที่เหมือนจะไม่จำเป็น ไม่มีใครพูดกันในยุคสมัยนี้ กลับสร้างความอิ่มเอม เบิกบานหฤทัย ขวัญกำลังใจให้คนกำลังซึมเศร้า วิตกกังวล ก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบาก
จัดเรตทั่วไป รับชมได้ทุกเพศวัย
Leave a Reply