
The Devil’s Backbone (2001)
,
: Guillermo del Toro ♥♥♥♥
หลังจากโปรดิวเซอร์แทรกแซง Mimic (1997) และบิดาถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ เป็นเหตุให้ผู้กำกับ Guillermo del Toro จำต้องหวนกลับหารากเหง้า สรรค์สร้างภาพยนตร์ภาษา Spanish เพื่อระบายอารมณ์อัดอั้น ฉันทำผิดอะไรถึงโดนกลั่นแกล้งสารพัด เคียดแค้นฝังหุ่นตราบจนวันตาย!
The Devil’s Backbone (2001) คือหนึ่งในสองโปรเจค (อีกเรื่องคือ Cronos) ที่ผกก. del Toro พัฒนาบทหนังไว้ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทีแรกคงตั้งใจจะสร้างต่อจาก Cronos (1992) ก่อนได้รับโอกาสโกอินเตอร์ Mimic (1997) ถึงอย่างนั้นการแทรกแซงโดยโปรดิวเซอร์ Bob & Harvey Weinstein และปีเดียวกันบิดายังถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ นั่นกลายเป็นช่วงเวลาอันเลวร้าย “the worst experience of my life” ประสบการณ์ย่ำแย่ที่สุดในชีวิต!
Guillermo had been through a terrible time on Mimic. I knew Cronos and was very, very impressed by it—it was a truly original horror movie. So my brother, Agustín, and I contacted him, and he told us about his experience with Miramax: how awful it was in terms of freedom; how he really needed to get back to his own language, and above all to be able to shoot with complete freedom. So we took advantage of that.
ผู้กำกับ Pedro Almodóvar ช่วยหาทุนสร้างให้ The Devil’s Backbone (2001)
Pedro Almodóvar แรกพบเจอผกก. del Toro เมื่อตอน Cronos (1992) เข้าฉายเทศกาลหนัง 1994 Miami Film Festival หลายปีถัดมาเมื่อรับทราบข่าวคราวปัญหาในการสรรค์สร้าง Mimic (1997) เลยขันอาสาช่วยหาทุนสร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่ในสังกัด El Deseo (สตูดิโอโปรดักชั่นของพี่น้อง Pedro & Agustín Almodóvar) ด้วยการมอบอิสรภาพในการทำงานอย่างเต็มที่!
สิ่งสร้างความประหลาดใจให้มากที่สุดระหว่างรับชม The Devil’s Backbone (2001) คือความละม้ายคล้ายคลึง Pan’s Labyrinth (2006) ผมสัมผัสได้ตั้งแต่ประมาณสิบนาทีแรก มันจึงเกิดความคาดหวัง แม้ผลลัพท์อาจไม่ถึงฝั่งฝัน แต่ก็รู้สึกถึงความเป็นพี่น้อง (Brother-Sister film) เหมาะแก่การรับชมเคียงคู่กันยิ่งนัก!
Guillermo del Toro Gómez (เกิดปี ค.ศ. 1964) ผู้กำกับภาพยนตร์สัญชาติ Mexican เกิดที่ Guadalajara, Jalisco ในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัด ตั้งแต่เด็กชื่นชอบหยิบกล้อง Super 8 ของบิดามาถ่ายทำหนังสั้นจากของเล่น มักเกี่ยวกับสัตว์ประหลาด สร้างหนังสั้นเป็นสิบเรื่องๆมักเกี่ยวกับสัตว์ประหลาด Fantasy Horror, โตขึ้นเข้าเรียน University of Guadalajara จบออกมาทำงาน Special Make-Up Effect ได้เป็นลูกศิษย์ของ Dick Smith (เจ้าของฉายา The Godfather of Make-Up) สะสมประสบการณ์นับสิบๆปี ระหว่างนั้นก็ยังคงทำหนังสั้นออกมาเรื่อยๆ จนมีโอกาสกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Cronos (1992) แล้วโกอินเตอร์กับ Mimic (1997)
ช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1997 (ไม่มีระบุวัน-เดือน) Federico del Toro Torres บิดาของผกก. del Toro ถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ $1 ล้านเหรียญ เห็นว่าเพื่อนผู้กำกับ James Cameron ขันอาสาเข้ามาช่วยเหลือ ให้หยิบยืมเงินจ่ายไปก่อน รวมระยะเวลา 72 วันถึงได้รับการปล่อยตัว ทางการไม่สามารถติดตามตัวคนร้าย เลยตัดสินใจพาครอบครัวอพยพย้ายสู่สหรัฐอเมริกา
หลังหมดหน้าที่กับ Mimic (1997) ผกก. del Toro ทุ่มเทเวลาให้กับการพัฒนาสองโปรเจคที่อยู่ในความสนใจ
- Mephisto’s Bridge จากนวนิยาย Spanky (1994) ของ Christopher Fowler
- The List of Seven (1993) นวนิยายของ Mark Frost
แต่ไม่มีโปรเจคไหนได้รับการตอบอนุมัติ ว่ากันว่าเนื่องจากคำสาดสีเทสีของโปรดิวเซอร์ Bob & Harvey Weinstein ไม่พึงพอใจผลลัพท์ Mimic (1997) จึงทำการล็อบบี้สตูดิโออื่นๆไม่ให้สนับสนุนทุนสร้างหนังเรื่องใหม่ จนกระทั่งได้รับการติดต่อจาก Pedro Almodóvar เลยตัดสินใจเดินทางสู่ประเทศ Spain
I was sick of Hollywood politics by that point, and I wanted to direct my personal movie that I’d had on the back burner for sixteen years. Doing that would give me room and breathing space to realize I did have a career away from the Hollywood studio system. I was stubborn, but it paid off, and I regained my independence.
Guillermo del Toro
บทร่างแรกของ The Devil’s Backbone ได้รับการพัฒนาขึ้นตั้งแต่ผกก. del Toro ยังเป็นนักศึกษาอยู่ University of Guadalajara แรงบันดาลใจหลักๆมาจากนวนิยายเรื่องผี/โกธิคของ M. R. James (1862-1936), Sheridan Le Fanu (1814-73) และ Arthur Machen (1863-1947) โดยพื้นหลังดำเนินเรื่องในช่วง Mexican Revolution (1910-20) และผีที่พบเห็นแท้จริงแล้วคือ “Christ with three arms”
ชื่อหนัง The Devil’s Backbone ดั้งเดิมต้องการอ้างอิงชื่อเทือกเขาในประเทศ Mexico (ที่คณะปฏิบัติทำการหลบซ่อนตัวกระมัง) แต่พอปรับเปลี่ยนสถานที่พื้นหลังมาเป็น Spain และ Spanish Civil War (1936-39) เลยพยายามมองหาความหมายอื่น ก่อนพบเจอคำเรียกเหล้าหมักจากเด็กทารกที่ล้มป่วยภาวะกระดูกสันหลังแยก (Spina Bifida) เชื่อกันว่าคือน้ำอมฤต (Limbo water) ดื่มแล้วสามารถรักษาอาการเจ็บป่วย
เกร็ด: เมื่อตอนผกก. del Toro ปรับเปลี่ยนพื้นหลังเรื่องราวจาก Mexican Revolution มาเป็น Spanish Civil War จึงตัดสินใจว่าจ้างสองนักเขียนชาวสเปน David Muñoz และ Antonio Trashorras มาช่วยขัดเกลาเรื่องราวให้สามารถกลายเป็นภาพสะท้อนประวัติศาสตร์
Dr. Casares (รับบทโดย Federico Luppi) และ Carmen (รับบทโดย Marisa Paredes) ร่วมกันเปิดโรงเรียน Santa Lucía School สำหรับรับเลี้ยงดูแลลูกๆหลานๆของสมาชิกฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ (Republicans) ที่เสียสละชีพสู้รบกับฝ่ายชาตินิยม (Nationalists) ระหว่างสงครามกลางเมืองสเปน ค.ศ. 1936-39 (Spanish Civil War)
การมาถึงของเด็กชาย Carlos (รับบทโดย Fernando Tielve) ไม่รับรู้ตัวว่าบิดาเสียชีวิต ถูกหมอบหมายให้หลับนอนเตียงหมายเลข 12 เดิมเป็นของ Santi เด็กชายที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน, ค่ำคืนแรกถูกท้าทายโดยคู่อริ Jaime ด้วยการแอบเข้าไปเติมน้ำในห้องครัวหลังช่วงเวลาเคอร์ฟิว เกือบถูกจับได้โดยผู้ดูแลสุดโหด Jacinto (รับบทโดย Eduardo Noriega) คือบุคคลฆาตกรรม Santi แล้วโยนศพทิ้งลงบ่อน้ำใต้ดิน
เหตุการณ์วุ่นๆเกิดขึ้นจากความละโมบของ Jacinto ต้องการทองคำแท่งของฝ่ายนิยมสาธารณรัฐที่ซุกซ่อนอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งเมื่อความจริงถูกเปิดเผย ทำให้เขาถูกขับไล่ ก่อนหวนกลับมาวางระเบิด เข่นฆ่า Dr. Casares และ Carmen จากนั้นนำพาพวกพ้องเข้ามาค้นหาทองคำแท่ง ก่อนที่เด็กๆจะช่วยกันล้างแค้นแทน Santi โยนศพทิ้งลงบ่อน้ำใต้ดิน
Federico Luppi (1936-2017) นักแสดงสัญชาติ Argentine เกิดที่ Ramallo, Argentina ในครอบครัวเชื้อสายอิตาเลียน ช่วงวัยรุ่นรับจ้างทำงานหลากหลาย พ่อค้าขายเนื้อ โรงงานบรรจุภัณฑ์ เสมียนธนาคาร ขายประกัน ด้วยความชื่นชอบการวาดรูป เคยเข้าเรียนวิจิตรศิลป์ ก่อนหันเหความสนใจสู่วงการแสดง ภาพยนตร์เรื่องแรก Pajarito Gómez (1965), ผลงานเด่นๆ อาทิ Time for Revenge (1981), Last Days of the Victim (1982), A Place in the World (1992), Common Ground (2002), ร่วมงานผกก. Guillermo del Toro ทั้งหมดสามครั้ง Cronos (1992), The Devil’s Backbone (2001) และ Pan’s Labyrinth (2006)
รับบท Dr. Casares หมอประจำโรงเรียน Santa Lucía School เป็นคนอ่อนโยน จิตใจดีงาม มีความเฉลียวฉลาด เชื่อในวิทยาศาสตร์ (Man of Science) พยายามขายขนมจีบ Carmen แต่ตนเองไร้ประสิทธิภาพทางเพศ พยายามรักษาด้วยน้ำอมฤต หมักจากเด็กทารกที่ล้มป่วยภาวะกระดูกสันหลังแยก (Spina Bifida) และส่งขายแลกทองแท่งกลับมาเป็นทุนให้กับฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ
เกร็ด: Luppi คือนักแสดงคนโปรดของผกก. del Toro จริงๆตอน Mimic (1997) ก็มีบทบาทเขียนไว้ให้เขา แต่เจ้าตัวบอกปฏิเสธเพราะภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง รับเล่นเฉพาะหนังพูดภาษา Spanish
เวลาเข้าฉากกับเด็กๆ Luppi คือคุณปู่ใจ โอบอ้อมอารี มอบความรัก ความอบอุ่น แต่แท้จริงแล้วเป็นคนอ่อนแอ ขี้ขลาดเขลา ไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกต่อ Carmen (เพราะตนเองหย่อนสมรรภาพทางเพศด้วยกระมัง?) และตอนเข้าเมืองพบเห็นสมาชิกฝ่ายนิยมสาธารณรัฐถูกยิงเป้า เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ร้อนรน แสดงอาการหวาดกลัวตัวตาย ต้องการหลบหนีไปให้ไกล
แต่หลังจาก Carmen ถูกระเบิดเสียชีวิต ตัวเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ด้วยความเคียดแค้นฝังหุ่นต่อ Jacinto จึงพยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อปกป้องโรงเรียนแห่งนี้ แม้ตัวตายก็ได้กลายเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ ปกปักษ์รักษาเด็กๆ โรงเรียน และอนาคตประเทศสเปน … กลายเป็นวีรบุรุษโดยพลัน!
María Luisa Paredes Bartolomé (1946-2024) นักแสดงสัญชาติ Spanish เกิดที่ Madrid ตั้งแต่เด็กมีความสนใจในละคอนเวที เข้าเรียนการแสดง Real Escuela Superior de Arte Dramático (RESAD) เล่นหนังเรื่องแรก Police Calling 091 (1960), โด่งดังเป็นพลุแตกเมื่อมีโอกาสร่วมงานผู้กำกับ Pedro Almodóvar อาทิ Dark Habits (1983), High Heels (1991), The Flower of My Secret (1995), All About My Mother (1999), The Skin I Live In (2011), ผลงานเด่นอื่นๆ อาทิ Deep Crimson (1996), Life Is Beautiful (1998), The Devil’s Backbone (2001) ฯ
รับบทครูใหญ่ Carmen ประจำโรงเรียน Santa Lucía School เป็นคนเรื่องมาก เจ้ากี้เจ้าการ ทีแรกไม่ต้องการรับดูแลเด็กชาย Carlos แต่ถึงปากร้ายก็ยังแสดงความเอ็นดูห่วงใย, ภายนอกเธออาจดูเข้มแข็ง เบื้องลึกกลับซุกซ่อนแรงปรารถนา โหยหาใครสักคนสามารถพึงพิ่งทางกาย (ไม่ใช่ Dr. Casares ที่หมดสมรรถภาพทางเพศ) ใช้เพศสัมพันธ์ระบายอารมณ์อัดอั้น รวมถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียขาข้างหนึ่งระหว่างสงคราม
ผมมีภาพจำ Paredes จากหลายๆผลงานของผกก. Almodóvar มักได้รับบทที่ต้องแสดงสีหน้าดำคร่ำเครียด ดูจริงจังกับชีวิต เต็มไปด้วยความเก็บกด อดกลั้น แบกรับภาระมากมาย ทนทุกข์ทรมานกาย-ใจ ในอดีตเคยสูญเสียบางสิ่งอย่าง ปัจจุบันเลยโหยหาใครบางคนสำหรับพึ่งพักพิง ไม่สนถูก-ผิด ดี-ชั่ว ขอเพียงได้กระทำสิ่งตอบสนองตัณหาความใคร่
ฉากที่ผมชื่นชอบมากสุดคือปฏิกิริยาสีหน้าของ Paredes ระหว่างร่วมเพศสัมพันธ์กับ Jacinto มันมีทั้งความสุขและขื่นขม ขัดย้อนแย้งระหว่างความต้องการร่างกายและจิตใจ (รับรู้ว่ามันเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ไม่สามารถควบคุมตัณหาของตนเอง) พอลุกขึ้นมาสวมใส่ขาเทียม มันช่างหนักอึ้ง (ซุกทองไว้ด้วยกระมัง) แสดงถึงภาระรับผิดชอบมากมาย ท่าทางเหนื่อยอ่อนล้า ใกล้ถึงจุดรับไม่ไหว … วินาทีสุดท้ายของชีวิต หลังได้ยินบทกวีของ Dr. Casares มันทำเธอเกิดรอยยิ้มและคราบน้ำตา (เป็นรอยยิ้มที่เกิดจากการถูกไถศีรษะของ Federico Luppi)
Eduardo Noriega Gómez (เกิดปี ค.ศ. 1973) นักแสดงสัญชาติ Spanish เกิดที่ Santander, ตั้งแต่เด็กชื่นชอบเล่นดนตรี โตขึ้นเข้าเรียนกฎหมายได้ไม่นาน ลาออกมาดำเนินตามความฝัน เริ่มจากเล่นหนังสั้น แจ้งเกิดกับ Tesis (1996), Open Your Eyes (1997), The Devil’s Backbone (2001), The Wolf (2004) ฯ
รับบท Jacinto ในอดีตเคยเป็นนักเรียนโรงเรียน Santa Lucía School พอเติบใหญ่ขึ้นหวนกลับมาทำงานเป็นผู้ดูแล แต่เป้าหมายแท้จริงคือต้องการลักขโมยทองแท่งของ Carmen เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถึงขนาดยินยอมร่วมรักหลับนอน (ทั้งๆที่เขามีแฟนสาว Conchita) เพื่อลักลอบนำกุญแจมาไขตู้เซฟ เปิดออกเมื่อไหร่ก็ตั้งใจจะระเบิดโรงเรียนแห่งนี้ให้วอดวาย
รูปร่างหน้าตาของ Gómez มีความหล่อเหลา กำยำบึกบึน ดูไม่น่าจะมาทำงานเป็นผู้ดูแลประจำโรงเรียน แต่เป้าหมายของชายคนนี้มีความชัดเจน สำแดงความเหี้ยมโหด อันแน่นด้วยอารมณ์เกรี้ยวโกรธ ไม่สนผู้ใหญ่-เด็ก หรือคู่หมั้น ใครสร้างปัญหาวุ่นวายก็พร้อมโต้ตอบด้วยความรุนแรง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เกลียดโรงเรียนนี้เข้ากระดูกดำ พยายามอดกลั้นฝืนทน เฝ้ารอคอยจนกว่าจะถึงเวลาระเบิดระบายอารมณ์ ทำลายทุกสิ่งอย่างให้ราบเรียบหน้ากลอง
แม้การกระทำของ Jacinto จะดูไม่ได้มีแรงจูงใจทางการเมือง เกิดจากความละโมบโลภมาก สนเพียงทองแท่ง และการล้างแค้นส่วนตัว แต่เราสามารถมองการใช้ความรุนแรง ทำตัวกร่างเหมือนนักเลง วางอำนาจบาดใหญ่ คือภาพสะท้อน(การกำลังมาถึงของ)ยุคสมัยจอมพล Franco (proto-Fascist) ไม่แตกต่างจากฝั่งฝ่ายชาตินิยมสักเท่าไหร่!
ในส่วนของนักแสดงเด็กที่โรงเรียน Santa Lucía School ผมไม่สามารถหารายละเอียดของพวกเขาได้สักเท่าไหร่ จึงขอกล่าวถึงเพียงตัวละครเท่านั้นนะครับ
- Carlos (รับบทโดย Fernando Tielve) เด็กชายผู้มาใหม่ ไม่รับรู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าเพิ่งสูญเสียบิดา มีความเฉลียวฉลาด ชื่นชอบอ่านหนังสือ เลยมักถูกกลั่นแกล้งโดย Jaime ก่อเรื่องวุ่นวายไม่เว้นวัน! แต่ภายหลังก็กลับกลายเป็นเพื่อนสนิทสนม, นอกจากนี้เขายังสามารถมองเห็นวิญญาณของ Santi ช่วงแรกๆยังกลัวๆกล้าๆ ต่อมาจึงค่อยๆเปิดใจ รับฟังข้อเรียกร้อง และพยายามปกป้องเพื่อนพ้องให้รอดพ้นหายนะบังเกิดขึ้น
- Jaime (รับบทโดย Íñigo Garcés) นักเลงหัวโจ๊กประจำโรงเรียน เป็นผู้พบเห็น Santi ถูกฆาตกรรมโดย Jacinto เลยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ยิ่งพอพบเห็น Carlos กลายเป็นตัวตายตัวแทน (ของ Santi) เลยทำการกลั่นแกล้ง กระทำร้ายร่างกาย ภายหลังเมื่อสามารถปรับความเข้าใจ กลายเป็นเพื่อนสนิทสนม ร่วมมือกันแก้ล้างแค้น (แทน Santi) โต้ตอบเอาคืน Jacinto อย่างสาสม
- Santi (รับบทโดย Junio Valverde) เด็กชายผู้โชคร้าย หลังถูกฆ่าตายกลายเป็นวิญญาณล่องลอย พบเห็นโดย Carlos ที่ช่วงแรกเต็มไปด้วยความกลัวๆกล้า พอยินยอมพูดคุยสนทนาก็บอกกล่าวเหตุร้าย เรียกร้องให้ช่วยนำพา Jacinto มายังบ่อน้ำใต้ดิน ทีเหลือจะจัดการล้างแค้นทวงคืนความยุติธรรมด้วยตนเอง!
ถ่ายภาพโดย Guillermo Jorge Navarro Solares (เกิดปี ค.ศ. 1955) ตากล้องสัญชาติ Mexican เกิดที่ Mexico City เริ่มต้นหลงใหลการถ่ายภาพนิ่งตั้งแต่อายุสิบสาม ระหว่างเรียนสังคมวิทยา National Autonomous University of Mexico รับงานฟรีแลนซ์เกี่ยวกับการถ่ายรูป เริ่มสนใจในอุตสาหกรรมภาพยนตร์เมื่อพี่สาวที่เป็นโปรดิวเซอร์ ว่าจ้างให้มาเป็นถ่ายภาพในหนังของเธอ จากนั้นเริ่มทำงานเป็นผู้ช่วย เดินทางสู่ Paris ฝึกงานกับตากล้อง Ricardo Aronovich ใช้เวลากว่าสิบปีถึงเริ่มได้เครดิตภาพยนตร์เรื่องแรก Amor a la vuelta de la esquina (1986), ก่อนกลายเป็นตากล้องขาประจำผู้กำกับ Robert Rodriguez และ Guillermo del Toro ผลงานเด่นๆ อาทิ Cronos (1992), Desperado (1995), From Dusk till Dawn (1996), Jackie Brown (1997), The Devil’s Backbone (2001), Spy Kids (2001), Hellboy (2004), Pan’s Labyrinth (2006) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Cinematography, Night at the Museum (2006), The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part 1 & 2 (2011-12), Pacific Rim (2013) ฯ
งานภาพในสไตล์ del Toro ช่างมีความลื่นไหล กล้องขยับเคลื่อนเลื่อน ดำเนินไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น สร้างสัมผัสเหมือนมีใครกำลังแอบจับจ้องมอง (หรือก็คือผี Santi มักคอยแอบซ่อนอยู่ห่างๆ) โดดเด่นกับการจัดแสง-สีสัน-เงามืด ทิวทัศน์ทะเลทรายช่างกว้างใหญ่ สุดลูกหูลูกตา
ดั้งเดิมนั้นผกก. del Toro วางแผนสร้างหนังเรื่องนี้ใน Mexico แต่หลังจากบิดาถูกลักพาตัวก็อพยพย้ายประเทศ และพอได้รับโอกาสจากสองพี่น้อง Almodóvar เลยมองหาสถานที่ถ่ายทำในประเทศ Spain ปักหลักถ่ายทำอยู่ยังหมู่บ้าน El Cubillo de Uceda, Guadalajara (อายุกว่า 800+ ปี โบสถ์เก่าแก่สุดสร้างเมื่อศตวรรษที่ 13) และตอนเข้ามาขายเหล้าหมักในเมือง ถ่ายทำที่ Talamanca del Jarama, Madrid
ภาพแรกของหนังคือเครื่องบินทิ้งระเบิด จากนั้นตัดมาภาพเด็กชาย Santi ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ความครุ่นคิดแรกของผมคือเด็กชายถูกหัวรบหล่นใส่ศีรษะ? นี่อาจฟังดูเพ้อเจ้อไร้สาระ (ช่วงอารัมบทยังไม่เฉลยว่าเกิดอะไรขึ้น) แต่เราสามารถเชื่อมโยงสองเหตุการณ์ที่เหมือนจะไม่เกี่ยวเนื่องนี้เข้าด้วยกันได้
- เด็กชาย Santi ถูกผู้ดูแล Jacinto (พลั้งพลาด)กระทำร้าย ฆ่าให้ตาย แล้วโยนทิ้งศพลงบ่อน้ำ
- เครื่องบินทิ้งระเบิดมาจากการโจมตีของฝ่ายชาตินิยม (Nationalists) เพื่อทำลายสถานที่ที่คาดว่าเป็นของฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ (Republicans)
แม้ผมวิเคราะห์แรงจูงใจของ Jacinto ไม่เกี่ยวข้องกับฝั่งฝ่ายการเมือง คือแรงผลักดันส่วนตัวล้วนๆ แต่เราสามารถมองในแง่การมาถึงของยุคสมัยจอมพล Franco เช่นนั้นแล้วเราย่อมสามารถเหมารวม Jacinto = Nationalist, ส่วนเด็กชาย Santi จะมองว่าเป็น Republicans หรือประชาชนทั่วไปที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรก็ได้เช่นกัน


ช่วงระหว่าง Opening Credit ผมดูไม่ค่อยออกว่ามันคืออะไร แต่สังเกตจากความต่อเนื่องของก่อนนำเข้าสู่ซีเควนซ์นี้ มีการกล่าวถึงแมลงติดอยู่ในอำพัน (Insect trapped in Amber) และยังละม้ายคล้ายตอนเด็กชาย Santi ถูกทิ้งถ่วงน้ำ ราวกับจะนำเสนอช่วงเวลาการเปลี่ยนแปรสภาพ/ย่อยสลายจากร่างกายสู่วิญญาณ … พูดง่ายๆก็คือเด็กชายกลายเป็นผี!

ลูกระเบิดคือสัญลักษณ์ของการทำลายล้าง ถ้าเรามองว่ามัน’ยัง’ไม่ทำงาน จะสื่อถึงระเบิดเวลา (Ticking Bomb) หรือการสะสมความเก็บกด อดกลั้น เฝ้ารอวัน(ระเบิด)ระบายอารมณ์คลุ้มบ้าคลั่ง!
แต่ถ้าเรามองว่าระเบิดคงไม่ทำงานแล้ว จะสามารถสื่อถึงความล้มเหลว (ของการสู้รบสงคราม) กลายเป็นเหมือนอนุสรณ์สถาน ความทรงจำหลงเหลือจากช่วงเวลาอันเลวร้าย

Carlos หันมาพบเห็นบางสิ่งอย่างในห้องครัว มุมกล้องถ่ายจากภายใน(ห้องครัว)ปกคลุมด้วยมืดมิด (ผมเรียกว่า ‘The Searchers Shot’ อ้างอิงจากภาพยนตร์ The Searchers (1956)) นี่ราวกับจะสื่อถึงโลกสองใบ ภายนอกสว่างไสว (โลกคนเป็น) ภายในมืดมิด (โลกคนตาย)
เราสามารถเปรียบเทียบลูกระเบิดที่ไม่ระเบิด (ในเชิงรูปธรรม) = เด็กชาย Santi ที่แม้ถูกฆ่า แต่วิญญาณยังล่องลอยไม่ไปผุดไปเกิด (ในเชิงนามธรรม) เฝ้ารอคอยวันที่จะระเบิดระบาย แก้ล้างแค้นฆาตกรคนนั้น


ขอกล่าวถึงการออกแบบผี Santi ตรงนี้เลยแล้วกัน มีการแต่งหน้าให้ดูซีดเผือก ขาวโพลน ชวนนึกถึง Ju-On: The Curse (2000) คาดว่าผกก. del Toro คงรับอิทธิพลจากผีญี่ปุ่น/หน้ากากโนห์มาไม่น้อย และอีกสิ่งน่าสนใจคือรอยแตกร้าวบนศีรษะ เลือดไหลไม่หยุด นอกจากเป็นตำแหน่งถูกกระทำร้ายจนเสียชีวิต ยังสามารถสื่อถึงรอยแผล(ทางใจ)ที่ไม่มีวันลบเลือนหาย (หรือที่เรียกว่าปม Trauma)
ถ้าเราไม่มองผี Santi ในการเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ (Supernatural) จะคล้ายๆกับระเบิดที่ไม่ระเบิด คือตัวแทนอดีต/ความทรงจำที่ยังไม่ลบเลือนหาย บาดแผลทางจิตใจที่ยังเจ็บปวดรวดร้าว เฝ้ารอคอยวันที่จะโต้ตอบ ล้างแค้น ทวงคืนความยุติธรรม
Opening with the question “What is a ghost?” The Devil’s Backbone equates the legacy of history with the mythology of the living dead, providing a powerful metaphor for the way in which the past informs the present, and therefore shapes the future. Within this paradigm, a ghost may be a tragedy doomed to repeat itself time and again… An instant of pain, perhaps. Something dead which still seems to be alive.”
Mark Kermode นักวิจารณ์จาก Criterion


The Count of Monte Cristo นวนิยายผจญภัยของ Alexandre Dumas สัญชาติฝรั่งเศส เรื่องราวเกี่ยวกับกะลาสีหนุ่มถูกกล่าวว่าก่อการกบฎ ถูกจับขังโดยไม่ได้รับการไต่สวนที่เกาะกลางทะเล Château d’If ก่อนหาหนทางหลบหนีออกมาล้างแค้น … ผมรู้สึกว่าวรรณกรรมเรื่องนี้สะท้อนเข้ากับผกก. del Toro มากกว่าเรื่องราวในหนังเสียอีกนะ!

ค่ำคืนแรก Jamie ท้าทาย Carlos ให้แอบไปตักน้ำที่ห้องครัวในช่วงเวลาเคอร์ฟิว สำหรับเด็กๆมันคือเกมการแข่งขัน พิสูจน์ความหาญกล้า (คล้ายๆกับ Pan’s Labyrinth (2006) ที่ทำเป็นการทดสอบ) แต่ในมุมของผู้ใหญ่กลับเป็นการสำแดงพฤติกรรมหัวขบถ ต่อต้านสังคม ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง (ฝ่าฝืนช่วงเวลาเคอร์ฟิว) จักต้องถูกลงโทษทัณฑ์
ระหว่างที่ Carlos กำลังหลบซ่อนตัวจาก Jacinto มันทำให้เขาได้พบเห็นเหตุการณ์ลับๆล่อๆ เบื้องหลังความจริงที่ผู้ดูแลพยายามปกปิดซ่อนเร้น ทั้งการแอบไขตู้เซฟ และห้องใต้ดินที่มีบ่อน้ำ (สำหรับซุกซ่อนศพคนตาย)

ช่วงระหว่างที่บทเพลง Una Lágrima (1926) แปลว่า A Tear ขับร้องโดย Carlos Gardel ดังขึ้นจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง Dr. Casares ยังอ่านบทกวีรำพันความโหยหา คร่ำครวญถึงเธอ … เนื้อหาสาระแทบจะโคลนนิ่งกันมาจากบทเพลงนี้
Out, Out, yearning of mine.
Let not respect bind you.
It flatters pity…
It flatters pity not to be able to hide.Let your lips bear witness
to the blaze in your heart.
No one will believe the fire
if the smoke sends no signals.
He who cares for his well-being
keeps not his feelings silent.My grief is greater than I.
And that being so,
it will be easier
for it to defeat me…
than for me to command it.

เด็กๆถูกลงโทษให้แบกหามรูปปั้นพระเยซูคริสต์ นี่ไม่ใช่จะสื่อว่าเด็กๆ = Jesus Christ แต่เป็นการเปรียบเทียบถึงจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ พวกเขาไม่เคยครุ่นคิดกระทำสิ่งชั่วร้าย กลับถูกลงโทษ ทัณฑ์ทรมาน แบกหามไม้กางเขน ไม่แตกต่างจากพระคริสต์!

Jaime ยังคงไม่เลิกราต่อ Carlos ให้พวกพ้องจับโยนลงบ่อน้ำ แต่กลายเป็นว่าตัวเขาเองพลัดตกน้ำ (กงเกวียนกรรมเกวียน) ไม่สามารถแหวกว่าย ตะเกียกตะกาย และกลับเป็น Carlos กระโดดลงน้ำให้ความช่วยเหลือศัตรูคู่อริขึ้นมา
ผมครุ่นคิดว่าเหตุผลที่ Jaime ไม่ชอบขี้หน้า Carlos เพราะหลายๆสิ่งอย่างมีละม้ายคล้าย/กลายเป็นตัวตายตัวแทนของ Santi (ทั้งนอนเตียงเดียวกัน อุปนิสัยคล้ายๆกัน และยังภาพสะท้อนบ่อน้ำช็อตนี้) มันทำให้เขาเกิดความหวาดกลัว ราวกับพบเจอ Doppelgänger ถูกผี Santi ติดตามมาหลอกหลอน … กล่าวคือ Jaime ยังไม่สามารถปรับตัว ทำใจกับเหตุการณ์บังเกิดกับ Santi
แต่หลังจากการพลัดตกน้ำครั้งนี้ ได้รับความช่วยเหลือจาก Carlos มันทำให้ทุกสิ่งอย่างพลิกกลับตารปัตร เทียบเท่ากับการเปิดใจ ให้การยินยอมรับ และ Jaime ก็เริ่มสงบสติอารมณ์กับสิ่งบังเกิดขึ้นกับ Santi อาจเรียกว่ากำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่


Spina bifida คือคำเรียกภาวะกระดูกสันหลังแยก ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดที่ทำให้ท่อประสาทของทารกในครรภ์ปิดไม่สนิท ส่งผลให้ไขสันหลังและเส้นประสาทบางส่วนโผล่ออกมาทางด้านหลัง แม้ปัจจุบันจะมีการผ่าตัดให้ทารกมีอัตรารอดกว่า 90% แต่ในอดีตแทบไม่มีโอกาสรอดชีวิต จึงถูกเรียกว่ากระดูกสันหลังของปีศาจ (Devil’s Backbone)
มันมีชาวคริสเตียนกลุ่มหนึ่งเชื่อใน Limbo of Infants (ภาษาละตอน limbus infantium หรือ limbus puerorum) เพราะทารกที่เสียชีวิตในครรภ์ ก่อนเข้าพิธีจุ่มศีล ยังไม่เคยก่อกรรมทำเข็น ถือเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อบาปกำเนิด (Original Sin) หรือได้รับความเมตตาต่อพระเจ้า “entrusted to the mercy of God” ด้วยเหตุนี้การหมักดอกศพของทารกน้อย จึงถูกมองว่าเป็นน้ำอมฤต สามารถรักษาอาการป่วยสารพัดโรค … จริงหรือเปล่าใครจะไปให้คำตอบได้!

ยามค่ำคืน ขณะที่ห้องนอนของครูใหญ่ Carmen มีแสงอบอุ่น กำลังร่วมรักกับชายหนุ่ม Jacinto เติมเต็มตัณหาความใคร่ (แต่ปฏิเสธการจุมพิต ปิดกั้นความสัมพันธ์ทางใจ) ตรงกันข้ามกับห้องของ Dr. Casares อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
ลีลาการเคลื่อนเลื่อนกล้องแล้วทำการ Cross-Cutting (ทั้งสองห้องอยู่ติดกัน) สร้างสัมผัสราวกับว่า Dr. Casares รับรู้เหตุการณ์บังเกิดขึ้นในห้องของครูใหญ่ Carmen แต่เขาเลือกจะไม่พูดบอก แสดงออก ตื่นเช้ายังคงเปิดเพลง อ่านบทกวีเสียงดัง เพราะครุ่นคิดว่าจะทำให้เธอเกิดความสดชื่นต้อนรับวันใหม่


หนังของผกก. del Toro มักมีเรื่องเล่า คำอธิบายเกี่ยวกับอะไรสักอย่าง เพื่อเป็นการอารัมบท สร้างความสมเหตุสมผลให้กับสิ่งกำลังจะบังเกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ครูใหญ่เสี้ยมสอนเด็กๆถึงการล่าช้างแมมมอธ ผมครุ่นคิดอยู่นานว่ามันจะเกิดเหตุการณ์อะไร ใครจะไปคาดว่าแมมมอธตัวนั้นก็คือ Jacinto!

Carlos แอบเปิดดูหนังสือวาดรูปของ Jaime พบเห็นภาพช้างแมมมอธถูกทิ่มแทง หน้าถัดไปคือกายภาพมนุษย์ (เหมือนเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับล้างแค้น) และภาพสุดท้าย Santi ที่เลือดไหลออกทางศีรษะ ตัดสลับกับ Dr. Casares หลังจากขายน้ำอมฤต พบเห็นสมาชิกฝ่ายนิยมสาธารณรัฐกำลังถูกยิงเป้าที่ศีรษะ … นี่เหมือนเป็นการเปรียบเทียบความตายของ Santi ไม่ต่างจากการถูกฆ่าของสมาชิกฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ


แม้จุดขายของหนังจะไม่ใช่เทคนิค Jump Scare แต่ผมรู้สึกว่าผกก. del Toro คงอดใจไม่ได้ที่จะหาจังหวะแทรกใส่ลูกเล่นนี้เข้ามา นั่นคือตอนที่ Carlos ต้องการเผชิญหน้ากับผี Santi แต่พบเห็นหน้าตาอีกฝ่ายก็เกิดอาการตกอกตกใจ พยายามออกวิ่งหนี หลบซ่อนตัวในห้องเก็บของ มองลอดผ่านรูกุญแจ แล้วก็สะดุ้งโหยง!


เช้าวันนี้ Dr. Casares (ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากไปขายเหล้าดองในเมือง) ไม่มีเปิดเพลง ไม่มีอ่านบทกวี เพียงนั่งขบคิด ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม → ที่ห้องอาหาร Jacinto เดินเข้ามาใช้มีดทิ่มแทงผลแอปเปิ้ล หยิบมันขึ้นมากัดกิน (อดัมกับอีฟ รับประทานผลแอปเปิ้ลในสวนอีเดน เลยกำลังจะถูกไล่ออกจากสรวงสวรรค์) → อาหารมื้อนี้ Carlos กำลังปอกไข่ต้มสุก (เปลือกภายนอกพังทลาย กำลังจะรับรู้ความจริงซ่อนเร้นอยู่ภายใน) … รายละเอียดเล็กๆเหล่านี้ได้ทำการบอกใบ้ อารัมบทหายนะกำลังจะบังเกิดขึ้น



มีการระเบิดเกิดขึ้นสองครั้ง ประกอบด้วย
- ครั้งแรกเป็นฝีมือของ Jacinto จุดไฟจากภายในห้องครัว สถานที่ซุกซ่อนตู้เซฟ อาจถือเป็นใจกลาง/จิตวิญญาณของโรงเรียนแห่งนี้
- ก่อนไฟลุกลามมาจนถึงรถบรรทุกที่ตั้งใจจะใช้หลบหนี ระเบิดตูมตาม (ถ่ายภาพขณะรถระเบิดในมุมตั้งฉาก 90 องศา) ไม่มีใครสามารถเดินทางไปไหน
ผมแอบเสียดายเล็กๆกับการระเบิดครั้งสอง น่าจะมาจากลูกระเบิดที่ยังไม่ระเบิด (แต่อานุภาพมันอาจรุนแรงไปกระมัง) เพราะการระเบิดครั้งแรกสื่อถึงการ(ระเบิด)ระบายอารมณ์อัดอั้นของ Jacinto สามารถล้างแค้นโรงเรียนแห่งนี้ได้สำเร็จ! และถ้าครั้งหลังเกิดจากลูกระเบิดที่ยังไม่ระเบิด มันสามารถตีความในเชิงมหภาค การทำลายล้างศัตรูเห็นต่าง (ของฝั่งฝ่ายชาตินิยม)


บทกวีที่ Dr. Casares ท่องให้กับครูใหญ่ Carmen ก่อนเธอจะสิ้นลมหายใจ นำจาก In Memoriam A.H.H. (1850) Section L ประพันธ์โดยนักกวีราชสำนักของสหราชอาณาจักร Alfred, Lord Tennyson (1809-92) อุทิศให้กับเพื่อนนักกวี Arthur Henry Hallam เสียชีวิตจากเลือดออกในสมอง … กล่าวคือเป็นบทกวีที่ Dr. Casares อุทิศให้กับเธอคนรัก
บทกวีจากในหนังเป็นการแปลจากคำอ่านภาษา Spanish แถมยังกระโดดข้ามท่อน คงจะหลงๆลืมๆกระมัง ผมเลยนำเอาต้นฉบับเต็มๆมาให้อ่านกัน
Be near me when my light is low,
When the blood creeps, and the nerves prick
And tingle; and the heart is sick,
And all the wheels of Being slow.Be near me when the sensuous frame
Is rack’d with pangs that conquer trust;
And Time, a maniac scattering dust,
And Life, a Fury slinging flame.Be near me when my faith is dry,
And men the flies of latter spring,
That lay their eggs, and sting and sing
And weave their petty cells and die.Be near me when I fade away,
To point the term of human strife,
And on the low dark verge of life
The twilight of eternal day.

การที่ Jacinto ลงมือเข่นฆ่าคู่หมั้น Conchita นั่นอาจแสดงว่าเขามองเธอไม่ต่างจากวัตถุทางเพศ ไม่ได้มีความรักใคร่ เพียงสิ่งข้าวของใช้แล้วทิ้ง แบบเดียวกับครูใหญ่ Carmen ยินยอมร่วมเพศสัมพันธ์เพื่อลักขโมยกุญแจ คือส่วนหนึ่งของแผนการปล้นทองคำแท่งเท่านั้นเอง
เรายังสามารถมองความตายของ Conchita คือจุดจบความเป็นมนุษย์ของ Jacinto กล้องถ่ายภาพทิวทัศน์กว้างใหญ่ สร้างสัมผัสการปลดปล่อย หวนกลับคืนสู่ธรรมชาติ รากเหง้าของเดรัจฉาน ฆาตกรเลือดเย็น ขับเคลื่อนด้วยความสันชาตญาณ(สัตว์)


Dr. Casares รวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อที่จะปกป้องเด็กๆและโรงเรียนแห่งนี้จาก Jacinto แต่ทว่าเขาก็มีชีวิตอยู่ต่อได้ไม่นาน พอตายไปกลายเป็นวิญญาณล่องลอยที่ไม่มีใครพบเห็นจนกระทั่งตอนจบของหนัง ฤาว่ามันมีกฎจักรวาลอะไรถึงแตกต่างจากผี Santi

ไม่เพียงเป็นสองฉากติดๆ แต่ยังมุมกล้องเดียวกันเป๊ะๆ ตัวละครยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเอื้อมมือเข้ามาสัมผัส …
- ความตายของ Dr. Casares ทำให้ Jamie เอื้อมมือเข้ามาปิดดวงตา ขอให้ไปสู่สุขคติ
- ผี Santi เอื้อมมือมาสัมผัสแก้มของ Carlos ร้องขอว่าต้องการตัว Jacinto จัดการหมอนั่นเมื่อไหร่จักได้ไปสู่สุขคติ
อีกสิ่งน่าสนใจของสองช็อตนี้ก็คือ Jamie & Carlos ต่างเติบโตมาถึงจุดที่เข้าใจความตาย สามารถสัมผัส เผชิญหน้า และพร้อมทำตามคำร้องขอสุดท้าย
- Jamie เมื่อตอนพบเห็นความตายของ Santi เต็มไปด้วยความหวาดกลัว หลังได้รับความช่วยเหลือจาก Carlos ค่อยๆเปิดใจยินยอมรับ มาคราวนี้พบเห็นความตายของ Dr. Casares ก็ไม่หวาดกลัวเกรงอีกต่อไป
- Carlos วิ่งหลบหนีผี Santi นับครั้งไม่ถ้วน มาคราวนี้สามารถเผชิญหน้า รับฟังข้อเรียกร้อง รวมถึงสัมผัสจับต้อง ไร้ความหวาดกลัวเกรงอีกต่อไป


Jacinto และพรรคพวกพยายามทุบตู้เซฟ แต่ภายในนั้นกลับมีเงินไม่เท่าไหร่ ทองแท่งหายไปไหน? จนเช้าวันถัดมาคนอื่นหนีหายกันหมด แล้วเขาบังเอิญพบเจอทองซุกซ่อนอยู่ในขาเทียม มันช่างเป็นสถานที่ที่แยบยล ขณะเดียวกันยังเคลือบแฝงนัยยะเชิงสัญลักษณ์ถึงการอุทิศตนของ Carmen แม้สูญเสียขาแต่ยังสามารถสร้างมูลค่า แบกภาระหนักอึ้ง พยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อปกป้องเด็กๆ และอนาคตของประเทศชาติ

กลวิธีที่เด็กๆต่อสู้กับ Jacinto ได้แรงบันดาลใจมาจากบทเรียนช้างแมมมอธ ซึ่งแสดงถึงการร่วมมือร่วมใจกันโค่นล้มสัตว์ร้าย บุคคลผู้มีพละกำลังเข้มแข็งกว่า และยังสามารถสื่อถึงพวกผู้มีอำนาจ เผด็จการทหาร ทั้งที่เกี่ยวกับการเมือง และไม่เกี่ยวกับการเมือง … หมาหมู่ย่อมเอาชนะศัตรูผู้หลงตนเอง

เราสามารถมองการจมน้ำตายของ Jacinto ทั้งในเชิงรูปธรรม และปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ (Supernatural)
- ด้วยความละโมบของ Jacinto นำเอาทองแท่งยัดใส่เสื้อผ้า กลายเป็นสิ่งถ่วงให้เขาจมลงใต้บ่อน้ำ แล้วระหว่างพยายามตะเกียกตะกาย บังเอิญเกี่ยวติดศพของ Santi ที่เจ้าตัวถ่วงทิ้งน้ำไว้ เลยไม่สามารถดิ้นหลบหนีก่อนหมดลมหายใจ
- หรือจะผี Santi จงใจเข้ามาโอบกอด ฉุดเหนี่ยวรั้งเขาไว้ ทำให้ฆาตกรคนนี้ไม่สามารถดิ้นหลบหนี

ช็อตสุดท้ายของหนังก็ถือเป็น ‘The Searchers Shot’ ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ The Searchers (1956) เด็กๆก้าวออกจากโรงเรียน มุ่งสู่โลกกว้าง ทอดทิ้งทุกสิ่งอย่างไว้เบื้องหลัง (ในความมืด) รวมถึงวิญญาณของ Dr. Casares เดินออกมาส่งตรงประตู (มันเหมือนว่า Carlos จะหันมามองเห็นเขานะ?)
ผมมาครุ่นคิดดูผี Santi และ Dr. Casares มีความแตกต่างตรงข้ามกันอยู่!
- ผี Santi ที่ไม่ยอมไปสู่สุขคติ เพราะความอาฆาตแค้น (Vengeful ghost) บาดแผลในใจ (Trauma) อดีตติดตามมาหลอกหลอน
- ขณะที่ผี Dr. Casares ไม่เคยเห็นมาหลอกใคร (มาในรูปเสียงวิญญาณ และชักชวนผู้ชมครุ่นคิดตั้งคำถาม) แต่ราวกับวิญญาณผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้อง คุ้มครอง อำนวยอวยพรให้เด็กๆประสบโชคดีมีชัย

ตัดต่อโดย Luis De La Madrid (เกิดปี ค.ศ. 1968) สัญชาติ Spanish ร่ำเรียนการถ่ายภาพที่ Escuela de Medios Audiovisuales (EMAV) ตามด้วยการตัดต่อ Generalidad de Cataluña, จากนั้นทำงานผู้ช่วยกองถ่าย ผู้ช่วยตากล้อง ผู้ช่วยผู้กำกับ ก่อนกลายเป็นนักตัดต่อตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 ผลงานเด่นๆ อาทิ The Devil’s Backbone (2001), The Machinist (2004) ฯ
หนังเริ่มต้นด้วยการฉายภาพเครื่องบินทิ้งระเบิดตกใส่โรงเรียน Santa Lucía School โชคดีว่าระเบิดไม่ทำงาน แต่พอดิบพอดีกับความตายของเด็กชาย Santi จากนั้นนำเข้าสู่เรื่องราวหลัก สมาชิกฝ่ายนิยมสาธารณรัฐนำพาเด็กชาย Carlos มาฝากไว้ที่โรงเรียน พบเจอเพื่อนใหม่ เรียนรู้ความลับมากมาย เผชิญหน้าเหตุการณ์หายนะ และต่อสู้ล้างแค้นคนทรยศ
- อารัมบท, เครื่องบินทิ้งระเบิดตกใส่โรงเรียน + ความตายของเด็กชาย Santi
- การมาถึงของ Carlos
- สมาชิกฝ่ายนิยมสาธารณรัฐนำพาเด็กชาย Carlos มาฝากไว้ที่โรงเรียน
- ครูใหญ่ Carmen พาแนะนำโรงเรียน และเตียงนอนของเด็กชาย
- Jacinto เล่าเป้าหมายของตนเองกับคู่หมั้น Conchita
- Carlos ตื่นขึ้นกลางดึก ถูกท้าทายโดย Jaime
- เด็กๆทั้งสองแอบเข้าไปเติมน้ำในห้องครัว หลบซ่อนจาก Jacinto
- Carlos แม้สามารถหลบหนีออกจากห้องครัว แต่ท้ายที่สุดก็ถูก Jacinto จับตัวได้
- เรื่องวุ่นๆของเด็กๆและผู้ใหญ่
- ยามเช้า Dr. Casares ดูร่าเริงสดใส, ตรงกันข้ามกับครูใหญ่ Carman สวมใส่ขาเทียมด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า
- Dr. Casares ล่อหลอกเด็กๆให้เปิดเผยตัวว่าเหตุการณ์เมื่อคืนใครเป็นตัวตั้งตัวตี
- เด็กๆถูกลงโทษให้ช่วยยกสิ่งข้าวของ หลังเสร็จงาน Jaime พยายามรุมกระทำร้าย Carlos ก่อนพลัดตกบ่อน้ำ ท้ายที่สุด Jacinto เข้ามาห้ามปราม
- Dr. Casares นำพา Carlos มายังห้องทำงาน แนะนำเหล้าหมัก/น้ำอมฤต
- ยามค่ำคืน Jaime ยินยอมรับ Carlos พร้อมโชว์ผลงานภาพวาดของตนเอง
- Jacinto ร่วมรักกับครูใหญ่ Carman พร้อมแอบขโมยกุญแจไขตู้เซฟ
- Dr. Casares อยู่ในห้องคนเดียว โดดเดี่ยวเดียวดาย
- การทรยศหักหลังของ Jacinto
- เช้าวันถัดมา เด็กๆช่วยขนสิ่งข้าวของเพื่อนำไปขายในเมือง
- เด็กๆเรียนหนังสือเกี่ยวกับแมมมอธ
- ยามค่ำคืน Carlos แอบดูภาพวาดของ Jaime
- ขณะเดียวกัน Dr. Casares หลังขายของในเมือง พบเห็นสมาชิกฝ่ายนิยมสาธารณรัฐถูกยิงเป้า
- Carlos เผชิญหน้ากับผี Santi บอกกว่าจะมีคนตายจำนวนมาก
- วันถัดมาพอ Dr. Casares กลับถึงโรงเรียน พูดเล่าเหตุการณ์บังเกิดขึ้นกับครูใหญ่ Carmen ถึงเวลาที่พวกเราต้องหลบหนีไป
- Jacinto แสดงความไม่พึงพอใจต่อ Carmen เลยถูกขับไล่ออกจากโรงเรียน
- เด็กๆวุ่นวายกับการเก็บข้าวของ เตรียมตัวออกเดินทาง
- Jacinto หวนกลับมาวางระเบิดห้องครัว มีคนตายนับไม่ถ้วน
- Dr. Casares พยายามจะช่วยเหลือ Carmen แต่เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป
- การล้างแค้นของ Santi
- ยามค่ำคืน Jamie เล่าเหตุการณ์บังเกิดขึ้นกับ Santi ที่ถูก Jacinto ฆ่าถ่วงน้ำ
- Conchita เดินทางไปหา Jacinto พยายามโน้มน้าวก่อนถูกเขาฆ่าทิ้ง
- Dr. Casares ยิงโต้ตอบ Jacinto และผองพวกที่เดินทางมาถึง
- แต่พอ Dr. Casares สิ้นใจตาย Jacinto และผองพวกก็บุกเข้ามาค้นหาทองแท่ง
- ผ่านไปหนึ่งคืนแต่ก็ไม่พบเจอ Jacinto จึงถูกผองเพื่อนทอดทิ้ง ก่อนเขาค้นพบทองแท่งซ่อนอยู่ในขาเทียม
- เด็กๆใช้กลวิธีล่าแมมมอธกับ Jacinto ลากพามายังบ่อน้ำ แล้วส่งมอบเขาให้กับ Santi
- เด็กๆร่ำลาจาก Dr. Casares และเริ่มต้นออกเดินทาง
เพลงประกอบโดย Javier Navarrete (เกิดปี ค.ศ. 1956) สัญชาติ Spanish เกิดที่ Teruel เริ่มมีความสนใจเล่นกีตาร์ของพี่สาวตั้งแต่อายุสิบสอง จากนั้นรวมกลุ่มวงดนตรี แต่งเพลง-เล่นดนตรีสด จนกระทั่งมีเพื่อนชักชวนมาทำเพลงประกอบภาพยนตร์ In a Glass Cage (1986), แจ้งเกิดระดับนานาชาติกับ The Devil’s Backbone (2000), Pan’s Labyrinth (2006), Wrath of the Titans (2012), ซีรีย์ Hemingway & Gellhorn (2012)
หนังเรื่องนี้ไม่ใช่ผีตุ้งแช่ (Jump Scare) แต่มุ่งเน้นสร้างบรรยากาศหนาวเหน็บ เย็นยะเยือก สั่นสะท้านทรวงใน ปกคลุมด้วยความเศร้าโศกเสียใจ (Melancholy) ช่วงระหว่าง Opening Credit จะได้ยินหลากหลายเครื่องดนตรีเล่นสลับกันไปมา มอบสัมผัสสิ่งชั่วร้าย(จากหลายทิศทาง)กำลังคืบคลานเข้ามา
ท่วงทำนองบทเพลง Closing Credit แม้ไม่ต่างจาก Main Theme แต่เสียงเปียโนบรรเลง ฟังดูหลอกหลอน ขนหัวลุกพองกว่าเครื่องดนตรีชนิดใดๆ ชวนนึกถึงเพลงกล่อมเด็ก(เข้านอน)ภาพยนตร์ Pan’s Labyrinth (2006) ซึ่งสามารถสื่อถึงจุดจบ ความตาย ขับกล่อมวิญญาณล่องลอยให้ไปสู่สุขคติ
นอกจากบทเพลงประพันธ์ขึ้นใหม่โดย Navarrete หลายครั้งยังได้ยินบทเพลง ‘diegetic music’ ดังขึ้นจากวิทยุ เครื่องเล่นแผ่นเสียง ในเครดิตมีอยู่ห้าบทเพลง แต่มีเพียงบทเพลงเดียวที่ผมรู้สึกว่าน่าสนใจ!
Una Lágrima (1926) แปลว่า A Tear, แต่งโดย Eugenio Cardenas & Nicolás Verona ขับร้องโดย Carlos Gardel (สัญชาติ Argentine) บทเพลงแนว Tango ดังขึ้นเช้าวันหนึ่ง Dr. Casares จงใจเปิดเสียงดังปลุกตื่นครูใหญ่ Carmen หลับนอนอยู่ห้องข้างๆ
หลายคนอาจรู้สึกแปลกๆกับบทเพลงชื่อ A Tear แต่บรรเลงจังหวะ Tango ท่วงทำนองโรแมนติก อีโรติกไม่ใช่หรือ? คำตอบคือบทเพลงรำพันการโหยหาความรัก (Romantic Longing) พยายามแสดงให้เห็นว่าฉันต้องการเธอ แต่อีกฝ่ายกลับไม่เคยสำแดงปฏิกิริยาใดๆออกมา
| ต้นฉบับ Spanish | คำแปล Google Translate |
|---|---|
| Cuando rodó, cual gota cristalina Sobre su faz, la lágrima de amor Me pareció su cara tan divina Un lirio azul besado por el sol Y recordé que aquella muchachita Guardaba en su alma ya muerta la ilusión Porque el galán, después de tantas citas Le hizo morir de angustia el corazón Cuando ve la carta amarillenta Llena de pasajes de su vida Siente que la pena se le aumenta Al ver tan destruida La esperanza que abrigó El hombre aquel a quién adoró tanto Y le entregó su vida virginal La hizo empapar su juventud de llanto La hizo vivir cien noches de ansiedad Y al recordar la dicha que soñara Mira esa carta que un día él le mandó Pidiéndole que ella lo perdonara Si nunca más volvía y no volvió Esta triste historia de su vida Ella, cabizbaja me contaba Mientras que una lágrima rodaba Por su hermosa cara Llena de amargo dolor Cuando rodó, cual gota cristalina Sobre su faz, la lágrima de amor Me pareció su cara tan divina Un lirio azul besado por el sol Y recordé que aquella muchachita Guardaba en su alma ya muerta la ilusión Porque el galán, después de tantas citas Le hizo morir de angustia el corazón | When it rolled, like a crystalline drop On her face, the tear of love Her face seemed so divine to me A blue lily kissed by the sun And I remembered that that little girl Kept in her already dead soul the illusion Because the gallant, after so many dates Made her heart die of anguish When she sees the yellowed letter Full of passages from her life She feels her sorrow increase Seeing so destroyed The hope she harbored The man she adored so much And gave her virginal life to him He made her drench her youth in tears He made her live a hundred nights of anxiety And when she remembered the happiness she dreamed Look at that letter he sent her one day Asking her to forgive him If he never came back and he didn’t This sad story of her life She, head bowed, told me While a tear rolled Down her beautiful face Full of bitter pain When it rolled, like a drop Crystal clear On her face, the tear of love Her face seemed so divine to me A blue lily kissed by the sun And I remembered that that little girl Kept in her already dead soul the illusion Because the gallant, after so many dates Made her heart die of anguish |
ในมุมมองตัวละครเด็กๆ The Devil’s Backbone (2001) สามารถมองว่ามีลักษณะ ‘Coming-of-Age’ เด็กชายจากไม่รับรู้ประสีประสา เริ่มให้ความสนใจสิ่งต่างๆรอบข้าง เรียนรู้ที่จะปรับตัว ยินยอมรับสภาพเป็นจริง ถึงเวลาเติบโตเป็นผู้ใหญ่
- Carlos แม้ถูกกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยถือโทษโกรธเคืองหรือทรยศหักหลังใคร พร้อมให้ความช่วยเหลือ Jaime ที่ว่ายน้ำไม่เป็น และแม้หวาดกลัวผี Santi ก็ค่อยๆเปิดใจ ยินยอมรับฟัง และทำตามคำร้องขอสุดท้าย
- อาจจะเรียกว่าเติบโตทางจิตใจกระมัง
- Jaime ร่างกายสูงใหญ่ที่สุดในกลุ่ม เมื่อพบเห็น Santi ถูกฆาตกรรม เกิดการหวาดกลัวความตาย กลั่นแกล้ง Carlos เพราะความละม้ายคล้าย (กับ Santi) แต่หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย ค่อยๆเปิดใจยินยอมรับ และสามารถเผชิญหน้ากับความตาย
- Jaime ถือว่ามีการเติบโตทางร่างกาย (โตพอที่จะแอบตกหลุมรัก Conchita)
Santi ถูกฆาตกรรมอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จึงกลายเป็นผีอาฆาต (Vengeful Ghost) แต่อาจเพราะเขายังเด็ก เลยไร้อิทธิฤทธิ์ พลังเหนือธรรมชาติ จึงทำได้เพียงปรากฎตัวให้เพื่อนมาใหม่ มีความเชื่อมโยงใย (หลับนอนเตียงเดียวกัน) ร่ำร้องขอความช่วยเหลือ ทวงคืนความยุติธรรม สำเร็จแล้วจะได้ไปสู่สุขคติเสียที! … เราสามารถมองผี Santi คือ Devil ก็ได้กระมัง
เรื่องราวของหนังมีพื้นหลังช่วงระหว่างสงครามกลางเมืองสเปน Spanish Civil War (1936-39) ที่ใกล้จะสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ (Republicans) ให้กับฝ่ายชาตินิยม (Nationalists) ที่นำโดยนายพล Francisco Franco ประกาศตนเป็นผู้นำเผด็จการ/เกาดีโญแห่งสเปน (Caudillo of Spain)
โรงเรียน Santa Lucía School ตั้งอยู่ชนบทห่างไกล ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับซุกซ่อนลูกๆหลานๆของสมาชิกฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ (ที่เสียชีวิตจากการสงคราม) และบรรดาสมาชิกอย่างครูใหญ่ Carmen รวมถึง Dr. Casares ยังคอยสนับสนุนเรื่องการเงิน ส่งท่อน้ำเลี้ยงทหารแนวหน้า
แน่นอนว่าฝ่ายนิยมสาธารณรัฐที่ใกล้พ่ายแพ้สงคราม ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อโรงเรียน Santa Lucía School กำลังถูกไล่ล่า เข่นฆ่าโดยฝ่ายชาตินิยม แต่ทว่าเหตุการณ์วุ่นๆวายๆของหนังกลับเกิดขึ้นจากความขัดแย้งภายใน โดยบุคคลที่ทำการทรยศหักหลัง Jacinto (=Judas?)
ผมได้เขียนวิเคราะห์การกระทำของ Jacinto แม้ไม่ได้มีแรงจูงใจทางการเมือง (ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายชาตินิยม) เกิดจากความละโมบโลภมาก สนเพียงทองแท่ง และการล้างแค้นส่วนตัว แต่เราสามารถมองการใช้ความรุนแรง ทำตัวกร่างเหมือนนักเลง วางอำนาจบาดใหญ่ คือภาพสะท้อนการกำลังมาถึงของยุคสมัยจอมพล Franco หรือก็คือฝั่งฝ่ายชาตินิยม เมื่อถึงจุดๆหนึ่งก็สนเพียงกำจัดศัตรูเห็นต่าง เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น … อาจมองว่า Vengeful Ghost ที่ยังมีชีวิต หรือก็คือ Jacinto ไม่แตกต่างจาก Devil
เรื่องราวของหนังมันช่างมีความสลับซับซ้อน ซุกซ่อนหลากหลายประเด็นเด็ก-ผู้ใหญ่ บุคคล-การเมือง แต่แทบทุกๆตัวละครสามารถสะท้อนความอัดอั้นของผกก. del Toro ต่อการสรรค์สร้าง Mimic (1997) และบิดาถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ … เราอาจเปรียบเทียบโรงเรียน Santa Lucía School = สตูดิโอ Miramax ที่ให้ทุนสร้างภาพยนตร์ Mimic (1997)
- Carlos เดินทางมาถึงโรงเรียน/ผกก. del Toro เข้าทำงานสตูดิโอ Miramax พวกเขาต่างชื่นชอบการอ่านหนังสือ เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น มองโลกในมุมที่แตกต่างกว่าคนอื่น (จึงมองเห็นผี Santi)
- ในช่วงแรกๆ Carlos มักถูกเพื่อนๆกลั่นแกล้งสารพัด นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นผกก. del Toro ในกองถ่ายหนังเรื่องนั้นเช่นเดียวกัน
- Jamie พบเห็นความชั่วร้ายของ Jacinto = ผกก. del Toro ได้พบเห็นการเข้ามาแทรกแซงภาพยนตร์ของโปรดิวเซอร์ Weinstein
- ผี Santi ก็สามารถเทียบแทนผกก. del Toro ที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นฝังหุ่นต่อ Jacinto/โปรดิวเซอร์ Weinstein ตายไปก็ไม่ยินยอมยกโทษให้อภัย
ในมุมของเด็กๆ Jacinto อาจคือบุคคลอันตราย โฉดชั่วร้าย ตัวตายตัวแทนของโปรดิวเซอร์ Bob & Harvey Weinstein แต่ถ้าเรามองในมุมของผู้ใหญ่ แรงจูงใจของตัวละครก็สามารถสะท้อนความอัดอั้นของผกก. del Toro ได้ด้วยเช่นกัน
- Jacinto คือลูกศิษย์เก่า หวนกลับมาโรงเรียนเพื่อทำการล้างแค้น, ผกก. del Toro ก็ถือว่าเป็นศิษย์เก่าสตูดิโอ Miramax สรรค์สร้าง The Devil’s Backbone (2001) ก็เพื่อจะจินตนาการล้างแค้นโปรดิวเซอร์ Weinstein
- ครูใหญ่ Carmen สูญเสียขาข้างหนึ่งจากสงคราม = ผกก. del Toro อาจไม่ได้สูญเสียอะไรทางร่างกาย แต่สภาพจิตใจของเขาถูกบดขยี้ ป่นปี้ ย่อยยับเยินกับเหตุการณ์เกิดขึ้นในปีนั้น
- Dr. Casares หย่อนสมรรถภาพทางเพศ พยายามดื่มน้ำอมฤตเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้นก็มิอาจครอบครองรักครูใหญ่ Carmen … นี่ไม่ได้แปลว่าผกก. del Toro เซ็กส์เสื่อมหรือไร แต่ให้มองในเชิงนามธรรมถึงการขาดความกระตือรือล้น ไม่สามารถทำสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน หรือสร้างภาพยนตร์ Hollywood เรื่องใหม่ ต้องหวนกลับหารากเหง้า สร้างหนังภาษา Spanish เรื่องนี้เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ
เรื่องราวส่วนใหญ่ของหนังเป็นการสำแดงอคติ ความเคียดแค้นฝังหุ่นของผกก. del Toro ต่อสองโปรดิวเซอร์ Weinstein เช่นนั้นแล้วตอนบิดาถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ มันสามารถเชื่อมโยงเข้ากับประเด็นไหนกัน? ผมครุ่นคิดว่าน่าจะคือเรื่องทองแท่งที่ Jacinto วางแผนลักขโมย ทำการแบล็กเมล์ครูใหญ่ Carmen และอาจจะถือว่าใช้เด็กๆเป็นตัวประกันก็ได้กระมัง
ผกก. del Toro ไม่เคยยี่หร่าเรื่องเงินๆทองๆ ตอนสรรค์สร้าง Cronos (1992) ถึงขนาดกู้หนี้ยืมสิน ขายรถ จำนองบ้าน พร้อมทุ่มเทเลือดเนื้อ-จิตวิญญาณให้กับศิลปะภาพยนตร์ แต่ประสบการณ์การทำงานกับสองโปรดิวเซอร์ Weinstein และโจรลักพาตัวบิดาเรียกค่าไถ่ ล้วนมาจากความละโลบโลภมาก อยากได้เงินทอง จึงทำทุกวิถีทางเพื่อกดขี่ข่มเหงผู้อื่น … ตอนจบของหนังราวกับคำสาปแช่งให้ได้รับผลกรรมตามทัน จมลงนรกไปกับทองแท่งเหล่านั้น
ชื่อหนัง The Devil’s Backbone (2001) จากเคยเป็นเทือกเขาในประเทศ Mexico ที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญใดๆ แต่พอกลายมาเป็นเหล้าหมัก น้ำอมฤต หรือภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ผกก. del Toro สร้างขึ้นเพื่อเยียวยารักษาบาดแผลทางใจ มันช่างสื่อความหมายลุ่มลึกล้ำ และยังสามารถตีความอื่นได้อีกนะ เช่นว่า Devil’s = โปรดิวเซอร์ Weinstein
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ในประเทศสเปน เสียงตอบรับถือว่าดียอดเยี่ยม จึงได้รับโอกาสเดินทางไปตามเทศกาลหนังทั่วโลก กวาดรางวัลติดไม้ติดมือมาพอสมควร แต่น่าเสียดายมักถูกเปรียบเทียบ/กลบเกลื่อนโดย The Others (2001) … แม้ตอนออกฉาย The Others (2001) จะประสบความสำเร็จกว่าในทุกๆด้าน (ทั้งรางวัล+รายรับถล่มทลาย) แต่กาลเวลาพิสูจน์แล้วว่า The Devil’s Backbone (2001) คุณภาพเหนือกว่าในทุกๆระดับ
เหตุผลที่หนังไม่ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา เพราะดันเข้าฉายภายหลังวินาศกรรม 11 กันยายน มันทำให้ทุกสิ่งอย่างพลิกกลับตารปัตร
When I finished [The Devil’s Backbone (2001)], I showed it in Toronto. It was September 9 2001. We got rave reviews, lots of applause, people telling me “great movie!”, blah blah blah. Then I take a plane cloaked in my petit bourgeois happiness at how well my film was received, landed in Los Angeles and then September 11 happened. That was when I realised that (a) I don’t know shit, and (b) whatever I had to say about brutality and innocence had just changed.
Guillermo del Toro
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะมาแล้วสองครั้ง ผ่านการตรวจสอบโดยผกก. del Toro และตากล้อง Guillermo Navarro ใครชอบแบบไหนก็ลองหาสะสมดูเองนะครับ
- ฉบับของ Criterion คุณภาพ 2K วางจำหน่าย DVD/Blu-Ray เมื่อปี ค.ศ. 2013
- Sony Pictures คุณภาพ 4K Ultra HD วางจำหน่าย Blu-Ray เมื่อปี ค.ศ. 2022
ผมมีความประทับใจหนังตั้งแต่ประมาณสิบนาทีแรก เพราะสัมผัสได้ถึงความละม้ายคล้าย Pan’s Labyrinth (2006) อาจเรียกว่า The Devil’s Backbone (2001) คือภาคก่อน (Prequal) ราวกับพี่-น้อง (The Devil’s Backbone คือพี่ชาย, Pan’s Labyrinth คือน้องสาว) และเป็นการหวนกลับหารากเหง้าของผกก. del Toro ระบายอารมณ์อัดอั้นจากช่วงเวลาสิ้นหวังที่สุดในชีวิต
จัดเรต 18+ ความรุนแรงระหว่างสงครามกลางเมืองสเปน
Leave a Reply