
Fear and Desire (1952)
: Stanley Kubrick ♥♥
ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของผู้กำกับ Stanley Kubrick แต่หลังออกฉายเกิดความรู้สึกอับอาย รับไม่ได้กับคุณภาพ “a bumbling amateur film exercise” พยายามทำลายฟีล์มหนัง แต่ก็มีคนแอบเก็บรักษา ปัจจุบันได้รับการบูรณะ 4K Ultra HD
มันไม่ใช่ว่าถ้าผู้สร้างรับไม่ได้ เราก็ควรให้เกียรติตามคำร้องขอหรอกฤา? แต่เมื่อภาพยนตร์คลอดออกฉาย ต่อให้คุณภาพย่ำแย่สักเพียงไหน การที่บิดาปฏิเสธลูกในไส้ นั่นแสดงถึงความไร้จิตสามัญสำนึก ถือเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งกว่าเสียงตอบรับของหนังเสียอีก!
ผมไม่ล่วงรู้มาก่อนว่าผกก. Kubrick บอกปฏิเสธหนังเรื่องนี้ หลังรับชมเลยแอบรู้สึกผิดเล็กๆ แต่ก็ไม่เสียดายสักเท่าไหร่ เพราะได้พบเห็นร่องรอย แนวคิดหลายๆอย่างซุกซ่อนอยู่ในความกลัว (Fear) และความหื่นกระหายปรารถนา (Desire) เมล็ดพันธุ์ที่จักค่อยๆเติบโต เบ่งบาน ผลิดอกออกผลในผลงานลำดับถัดๆไป … รับชมหนังเรื่องนี้แล้วชวนระลึกคำกล่าวของ Theo Angelopoulos ถึงการสรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องแรก The Reconstruction (1970)
[The Reconstruction (1970)] means a lot to me, as if it were the only one I’ve ever made and the others are nothing more than variations on it.
Theo Angelopoulos
Stanley Kubrick (1928-99) ช่างภาพ ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New York City ในครอบครัวเชื้อสาย Jewish บิดาเป็นแพทย์ทางเลือก (Homeopathy) ฐานะค่อนข้างดี, บุตรชายมีไอคิวสูง แต่ไม่ชอบเรียนหนังสือ วัยเด็กชื่นชอบการเล่นหมากรุก อ่านปรัมปรา เทพนิยาย, ตอนอายุสิบสาม บิดาซื้อกล้อง Graflex เกิดความหลงใหลในการถ่ายภาพ พอเรียนจบมัธยมขายภาพถ่ายให้นิตยสาร Look เลยได้รับการว่าจ้างเป็นพนักงานเต็มเวลา เริ่มมีชื่อเสียงจากการใช้ภาพถ่ายเล่าเรื่องราว บันทึกภาพ ‘Prizefighter’ การชกมวยของ Walter Cartier
ต่อมา Kubrick เริ่มแวะเวียนไปรับชมภาพยนตร์ที่ Museum of Modern Art หลงใหลลีลาการเคลื่อนเลื่องกล้องของ Max Ophüls รวมถึงการจัดองค์ประกอบภาพของ Elia Kazan จากนั้นเริ่มต้นทดลองถ่ายทำสารคดีขนาดสั้น Day of the Fight (1951) ของนักมวยคนโปรด Walter Cartier เสียงตอบรับค่อนข้างดี สามารถขายลิขสิทธิ์ให้กับ RKO-Pathé ราคา $4,000 เหรียญ
ความสำเร็จเล็กๆทำให้ Kubrick ตัดสินใจลาออกจากนิตยสาร Look แล้วทุ่มเวลากับการสร้างสารคดีขนาดสั้น Flying Padre (1951), The Seafarers (1953), และภาพยนตร์ขนาดยาว (Feature Length) เรื่องแรก Fear and Desire (1953) พัฒนาบทโดยเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลาย Howard Sackler (1929-82) ว่าที่นักเขียนรางวัล Pulitzer Prize จากบทละคอน The Great White Hope (1967)
เรื่องราวของ Fear and Desire (1952) เริ่มต้นด้วยการสมมติป่าแห่งหนึ่งคือสมรภูมิรบ ไม่รู้สงคราม ไม่รู้วัน-เวลา ไม่รู้ประเทศไหนสู้รบกับประเทศไหน เพียงทหารสี่นายเครื่องบินตกหลังแนวข้าศึกประมาณ 6 ไมล์ พวกเขาต้องพยายามครุ่นคิดหาหนทางหวนกลับสู่ฐานทัพของตนเอง
- Lieutenant Corby (รับบทโดย Kenneth Harp) ด้วยความที่ยศใหญ่สุดในหน่อย (Power) จึงมักแสดงความเย่อหยิ่ง ทะนงตน หลงตนเอง วางตัวหัวสูงกว่าใคร และเป็นคนครุ่นคิดแผนการ ชี้นิ้วออกคำสั่ง ทุกสิ่งอย่างต้องหมุนวนรอบตัวฉัน
- Sergeant Mac (รับบทโดย Frank Silvera) เป็นคนเผชิญหน้ากับความจริง (Realist) มักแสดงความคิดเห็นที่จับต้องได้อย่างตรงไปตรงมา ช่วงท้ายยินยอมเสียสละตนเอง ล่องลอยแพเพื่อล่อลวงศัตรูให้ออกจากฐานทัพ
- Private Fletcher (รับบทโดย Steve Coit) นายทหารหัวรุนแรง ชอบขึ้นเสียงใส่อารมณ์ (Violence) ช่วงท้ายร่วมกับ Lieutenant Corby บุกเข้าไปเข่นฆ่ากวาดล้างศัตรู กำจัดนายพลอีกฝ่ายให้พ้นภัยทาง
- Private Sidney (รับบทโดย Paul Mazursky) นายทหารใหม่ มากด้วยอุดมการณ์เพ้อฝัน (Dreamer & Idealist) ได้รับมอบหมายให้ดูแลตัวประกันสาว (รับบทโดย Virginia Leith) แต่กลับเต็มไปด้วยความลุกลี้ร้อนรน จนมิอาจอดกลั้นฝืนทน พยายามจะข่มขืนกระทำชำเรา ขณะเธอฉกฉวยโอกาสหลบหนี ยิงปืนเข่นฆ่า ก่อนแสดงอาการคลุ้มบ้าคลั่งออกมา
เกร็ด: ด้วยงบประมาณจำกัดเลยว่าจ้างนักแสดงได้เพียง 5 คน! ด้วยเหตุนี้บางคนจึงเล่นสองบทบาท Kenneth Harp นอกจาก Lt. Corby ยังรับบทนายพลของศัตรู, Steve Coit นอกจาก Pvt. Fletcher ก็รับบทกัปตันของศัตรูเช่นกัน!
ในส่วนโปรดักชั่นของหนัง นอกจาก 5 นักแสดง ยังมีทีมงาน 6 คน ประกอบด้วย ผกก. Kubrick (ทั้งกำกับและถ่ายภาพ), Toba Metz (ภรรยาขณะนั้นของ Kubrick), ผู้จัดการกองถ่าย Steve Hahn, ผู้ช่วยผู้กำกับ Bob Dierks, ออกแบบศิลป์ Herbert Lebowitz, และช่างแต่งหน้าทำผม Chet Fabian, นอกจากนี้ยังมีแรงงานชาวเม็กซิกันอีกสามคน ช่วยขนย้ายอุปกรณ์ถ่ายทำไปรอบๆเทือก San Gabriel Mountain (California)
ในส่วนของทุนสร้าง ผกก. Kubrick ขอหยิบยืมจากญาติพี่น้อง ได้เยอะสุดจากลุง Martin Perveler เจ้าของร้านขายยาจำนวน $10,000 เหรียญ ตั้งใจว่าจะทำเป็นหนังเงียบ เลยไม่มีการบันทึกเสียงระหว่างถ่ายทำ
แต่ระหว่างการตัดต่อ (เครดิตโดย Kubrick อีกเช่นกัน) จู่ๆตัดสินใจเพิ่มการพากย์เสียง (Dubbing) ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเท่าตัว $20,000 เหรียญ, และพอว่าจ้าง Gerald Fried มาทำเพลงประกอบ (ขาประจำยุคแรกของผกก. Kubrick จนถึง Paths of Glory (1957)) งบประมาณพุ่งทะยานไปถึง $53,000 เหรียญ … โชคดีว่าได้รับเงินสนับสนุนจากจากโปรดิวเซอร์ Richard de Rochemont แลกกับการให้ผกก. Kubrick มาเป็นผู้ช่วยโปรดักชั่นซีรีย์ Omnibus: Mr. Lincoln (1952-53)
Fear and Desire (1952) ทำการสร้างสงครามสมมติ ต่อสู้กันยังสมรภูมิบนภูเขา ไม่ระบุสถานที่ วัน-เดือน-ปี หรือประเทศคู่ขัดแย้ง เพื่อไม่ให้ผู้ชมเกิดความเอนเอียงเข้าข้างฝั่งหนึ่งฝ่ายใด (หนังสงครามทุกเรื่องเมื่อมีการระบุคู่ขัดแย้ง ผู้ชมประเทศนั้นๆล้วนมีการเลือกข้างเสมอๆ) แล้วแสดงความคิดเห็นต่อพฤติกรรมแสดงออก/ภารกิจของทหารเหล่านั้น
- Lieutenant Corby มียศสูงสุดในกลุ่ม ตัวแทนผู้มีอำนาจ (Power) เต็มไปด้วยความหลงระเริง เพลิดเพลินไปกับการชี้นิ้วออกคำสั่ง
- Sergeant Mac เป็นคนเผชิญหน้ากับความจริง (Realist) แสดงความคิดเห็นที่จับต้องได้อย่างตรงไปตรงมา ยินยอมเสียสละตนเองเพื่อพวกพ้องจักมีโอกาสเอาตัวรอดชีวิต
- Private Fletcher นายทหารหัวรุนแรง อัดแน่นด้วยอารมณ์เกรี้ยวโกรธ (Violence) แต่ยังสามารถควบคุมตนเอง สนเพียงเข่นฆ่ากวาดล้างศัตรูให้พ้นภัยทาง
- Private Sidney นายทหารใหม่ เต็มไปด้วยอุดมการณ์เพ้อฝัน (Dreamer & Idealist) แต่ไม่ทันไรก็มิอาจควบคุมตนเอง ก่อนแสดงอาการคลุ้มบ้าคลั่งออกมา
แม้ว่า Pvt. Fletcher จะชอบแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด แต่ยังสามารถควบคุมตนเอง ยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา เฝ้ารอคอยเวลาสำแดงความคลุ้มบ้าคลั่งออกมา, ตรงกันข้ามกับ Pvt. Sidney บุคคลมากด้วยอุดมการณ์สูงส่ง (Idealist) แต่เมื่ออยู่สองต่อสองกับหญิงสาว กลับมิอาจอดกลั้นฝืนทน ปลดปล่อยสันชาตญาณ(สัตว์)ออกมา
โดยปกติแล้วหนังสงคราม (War film) ในทศวรรษนั้น มักมีลักษณะยกย่องเชิดชู สร้างวีรบุรุษ ชัยชนะการสู้รบที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่ใช่สำหรับ Fear and Desire (1952) นำเสนอผลกระทบทางจิตวิทยา (Psychological) และความตกต่ำทางศีลธรรม (Moral Degradation) ของบุคคลผู้อ้างว่ามีอุดมการณ์สูงส่ง ในสถานการณ์เสี่ยงอันตราย ท้าความตาย ใครๆย่อมอยากมีชีวิตรอด จะมีสักกี่คนยินยอมเสียสละชีพเพื่อพวกพ้อง/ประเทศชาติ ส่วนใหญ่ค่อยๆสูญเสียตนเอง ก่อนแสดงอาการคลุ้มบ้าคลั่ง … นั่นคือใจความต่อต้านสงคราม (Anti-War)
หนังสร้างขึ้นในช่วงระหว่างสงครามเกาหลี (Korean War, 1950-53) ทหารอเมริกันที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถูกส่งไปเข้าร่วมสู้รบในสมรภูมิที่ไม่ตนเองได้มีความเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย เพราะหลังจากชัยชนะสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศมหาอำนาจ เลยทำตัวเป็นยามเฝ้าโลก ใครขัดแย้งอะไรใครก็พร้อม’เสือก’เรื่องชาวบ้าน แสดงออกว่านั่นคือความถูกต้องชอบธรรม
Fear and Desire (1952) อาจยังไม่ค่อยมีสิ่งที่ถือเป็นสไตล์ลายเซ็นต์ผกก. Kubrick แต่หลากหลายประเด็นของหนังคือเมล็ดพันธุ์ที่จะเติบโต เบ่งบาน ออกดอกออกผลในผลงานถัดๆไป ยกตัวอย่างความตึงเครียดระหว่างผู้บังคับบัญชากับนายทหารระดับล่าง Paths of Glory (1957) & Full Metal Jacket (1987), การข่มขืน/กามวิปริต Lolita (1962) & A Clockwork Orange (1971) & Eyes Wide Shut (1999), ระเบิดระบายอารมณ์คลุ้มบ้าคลั่ง Dr. Strangelove (1964) & 2001: A Space Odyssey (1968) [HAL9000 สังหารทุกคนในยาน Discovery One] & The Shining (1980)
A “bumbling amateur film exercise” it may be, but Fear and Desire is also a blueprint for everything he went on to do, and that may be the real reason he wanted to keep it a secret.
นักวิจารณ์ Christian Lorentzen จาก Metrograph
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Venice ในส่วน Festival of the Scientific Film and Art Documentary ขณะนั้นตั้งชื่อว่า Shape of Fear เสียงตอบรับค่อนข้างดี นักวิจารณ์ชื่นชมการถ่ายภาพและลีลาตัดต่อ, พอได้ผู้จัดจำหน่ายสหรัฐอเมริกา ผกก. Kubrick หั่นบางฉากทิ้งออกไปจาก 70 นาที หลงเหลือ 62 นาที และเปลี่ยนชื่อเป็น Fear and Desire พร้อมคำโปรย “Trapped … 4 Desperate Men and a Strange Half-Animal Girl!”
มันเหมือนว่าผกก. Kubrick ก็ยังคงไม่พึงพอใจฉบับตัดต่อใหม่ ต้องการจะปรับปรุงแก้ไข แต่ทว่าโปรดิวเซอร์ผู้จัดจำหน่าย Joseph Burstyn พลันด่วนเสียชีวิตเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1953 ส่งผลให้สตูดิโอล้มละลาย ไม่สามารถทำอะไรกับหนังได้อีก เขาจึงพยายามกวาดซื้อฟีล์มหนัง ทำลายต้นฉบับเนกาทีฟจนหมดสิ้นซาก
ถึงอย่างนั้นมันยังมีนักสะสมส่วนตัว (Private Collection) เก็บฟีล์มหนังเรื่องนี้เอาไว้ พอครบกฎหมายลิขสิทธิ์ กลายเป็นสมบัติสาธารณะ (Public Domain) จึงนำออกฉายเทศกาลหนัง 1993 Telluride Film Festival นั่นสร้างความไม่พึงพอใจให้ผกก. Kubrick แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากสาดเทสี ไม่ขอยินยอมรับหนังเรื่องนี้
เมื่อปี ค.ศ. 2023 ได้มีการค้นพบฟีล์มหนัง 35mm ฉบับความยาว 70 นาทีที่เข้าฉายเทศกาลหนังเมือง Venice เลยถูกส่งไปทำการบูรณะ 4K โดยหอสมุดรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา (Library of Congress) ร่วมกับ Kino Lorber สามารถหาซื้อ Blu-Ray คุณภาพ 4K Ultra HD วางจำหน่ายตั้งแต่ปี ค.ศ. 2024 (พร้อมของแถมสารคดี/หนังสั้นก่อนหน้านี้ทั้งสามเรื่อง ผ่านการบูรณะแล้วเช่นเดียวกัน)
แม้คุณภาพของหนังจะถือได้ว่า ‘สมัครเล่น’ แต่เรายังสามารถพบเห็นร่องรอย หลายๆสิ่งอย่างที่จะวิวัฒนาการสู่การเป็นว่าที่ปรามาจารย์ผู้กำกับ Stanley Kubrick … อย่าคาดหวัง แล้วคุณจะไม่ผิดหวัง
จัดเรต PG กับความรุนแรง พยายามข่มขืน บรรยากาศสงคราม
Leave a Reply