
Killer’s Kiss (1955)
: Stanley Kubrick ♥♥♥♡
แม้ในมุมของผู้กำกับ Stanley Kubrick ยังมองผลงานเรื่องที่สองนี้ว่า “Student Level of Filmmaking” แต่ก็จัดเป็นหนังนัวร์คลาสสิก แพรวพราวด้วยลูกเล่นภาพยนตร์ นักมวยตกอับช่างเข้ากับสาวเต้นรับจ้าง
มันไม่ใช่ว่า Fear and Desire (1953) เมื่อตอนออกฉายได้เสียงตอบต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่เป็นผกก. Kubrick ที่ไม่พึงพอใจในผลลัพท์ จากรอบปฐมทัศน์ความยาว 70 นาที พยายามตัดโน่นนี่นั่นเหลือ 62 นาที พอแก้ไขอะไรไม่ได้ก็กวาดซื้อฟีล์มหนังมาเผาทำลาย … โชคยังดีที่มีนักสะสมส่วนตัว (Private Collection) เก็บฟีล์มหนังเอาไว้จนกลายเป็นสมบัติสาธารณะ ให้คนรุ่นหลังมีโอกาสได้ชื่นเชยชม
Killer’s Kiss (1955) คือความพยายามครั้งใหม่ของผกก. Kubrick กล้าได้กล้าเสี่ยงมากขึ้น เลือกสร้างหนังนัวร์เพราะครุ่นคิดว่าน่าจะขายได้ ยินยอมปรับเปลี่ยนตอนจบตามคำร้องขอสตูดิโอ United Artists เพราะพร้อมจ่าย $100,000 เหรียญ และอาสาออกทุนสร้างโปรเจคถัดไป The Killing (1956)
เมื่อเทียบกับผลงานอื่นๆของผกก. Kubrick ภาพยนตร์ Killer’s Kiss (1955) อาจดูธรรมดาๆสามัญ, แต่เมื่อเทียบกับหนังนัวร์ (Film Noir) ร่วมรุ่นเดียวกันที่สร้างในทศวรรษ 50s ผมรู้สึกว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยมเลยละ ทั้งการนำเสนอคู่ขนานระหว่างนักมวยตกอับ & สาวเต้นรับจ้าง, ร้องเรียงทิวทัศน์ New York City เก็บฝังในไทม์แคปซูล, และการหักเหลี่ยมเฉือนคมกับฆาตกร นำไปสู่การสู้ในคลังเก็บหุ่นลำลอง (Mannequin)
Stanley Kubrick (1928-99) ช่างภาพ ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New York City ในครอบครัวเชื้อสาย Jewish บิดาเป็นแพทย์ทางเลือก (Homeopathy) ฐานะค่อนข้างดี, บุตรชายมีไอคิวสูง แต่ไม่ชอบเรียนหนังสือ วัยเด็กชื่นชอบการเล่นหมากรุก อ่านปรัมปรา เทพนิยาย, ตอนอายุสิบสาม บิดาซื้อกล้อง Graflex เกิดความหลงใหลในการถ่ายภาพ พอเรียนจบมัธยมขายภาพถ่ายให้นิตยสาร Look เลยได้รับการว่าจ้างเป็นพนักงานเต็มเวลา เริ่มมีชื่อเสียงจากการใช้ภาพถ่ายเล่าเรื่องราว บันทึกภาพ ‘Prizefighter’ การชกมวยของ Walter Cartier
ต่อมา Kubrick เริ่มแวะเวียนไปรับชมภาพยนตร์ที่ Museum of Modern Art หลงใหลลีลาการเคลื่อนเลื่องกล้องของ Max Ophüls รวมถึงการจัดองค์ประกอบภาพของ Elia Kazan จากนั้นเริ่มต้นทดลองถ่ายทำสารคดีขนาดสั้น Day of the Fight (1951) ของนักมวยคนโปรด Walter Cartier เสียงตอบรับค่อนข้างดี สามารถขายลิขสิทธิ์ให้กับ RKO-Pathé ราคา $4,000 เหรียญ
ความสำเร็จเล็กๆทำให้ Kubrick ตัดสินใจลาออกจากนิตยสาร Look แล้วทุ่มเวลากับการสร้างสารคดีขนาดสั้น Flying Padre (1951), The Seafarers (1953), และภาพยนตร์ขนาดยาว (Feature Length) เรื่องแรก Fear and Desire (1953)
ความผิดหวังจาก Fear and Desire (1952) ทำให้ผกก. Kubrick ครุ่นคิดโปรเจคใหม่ที่น่าจะขายได้ เข้าถึงผู้ชมวงกว้าง ตัดสินใจเลือกแนวหนังนัวร์ที่กำลังได้รับความนิยมในทศวรรษนั้น ตั้งชื่อโปรเจค (Working Title) Kiss Me, Kill Me โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับนักมวยตกอับ (หลายปีก่อนเคยถ่ายทำสารคดี Day of the Fight (1951)) และสาวเต้นรับจ้าง (Taxi Dancer) นำไปพูดคุยกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลาย Howard Sackler (1929-82) ว่าที่นักเขียนรางวัล Pulitzer Prize จากบทละคอน The Great White Hope (1967)
ผมไม่มีรายละเอียดว่า Sackler มีส่วนร่วมในการพัฒนาบทหนังมากน้อยเพียงใด หรือเกิดปัญหาอะไรทำให้ถอนตัวออกไป หลงเหลือเพียงเครดิต Story by: Stanley Kubrick ไม่ปรากฎชื่อของอีกฝ่าย … นี่คือภาพยนตร์เรื่องแรกเรื่องเดียวของผกก. Kubrick ที่เป็น ‘Original Story’ ครุ่นคิดเขียนบทด้วยตนเอง
สำหรับต้นทุนของหนัง (ได้เงินจาก United Artists ภายหลังสร้างหนังเสร็จแล้ว) มาจากการหยิบยืมเครือญาติเช่นเคย แต่คราวนี้คุณลุง Martin Perveler ที่เคยออกทุน Fear and Desire (1953) ปฏิเสธมีส่วนร่วมใดๆ เพราะของเก่าหยิบยืมไปเยอะ ยังไม่ได้ชดใช้คืน โชคยังดีสามารถขอเงินจากญาติอีกคน Morris Bousel แลกกับเครดิต Co-Producer
เรื่องราวของนักมวยวัยกลางคน Davey Gordon (รับบทโดย Jamie Smith) อาศัยอยู่อพาร์ทเม้นท์ตรงกันข้ามกับนักเต้นรับจ้าง Gloria Price (รับบทโดย Irene Kane) ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้า สบตา เดินสวนทางกันบ่อยครั้ง แต่ยังไม่เคยมีโอกาสพูดคุยสนทนา
วันหนึ่งหลังจาก Davey พ่ายแพ้การต่อยมวย กำลังสองจิตสองใจว่าจะเลิกชกดีไหม ค่ำคืนดึกดื่นได้ยินเสียง Gloria ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ เขาจึงวิ่งข้ามอพาร์ทเม้นท์ ให้ความช่วยเหลือเธอรอดพ้นจากการถูกข่มขืน เลยมีโอกาสพูดคุยสนทนา รับฟังเรื่องเล่าย้อนอดีตความหลัง ตกหลุมรักกัน และวางแผนออกเดินทางไปจากมหานคร New York
แต่ก่อนจะออกเดินทางได้นั้น Davey ขอเบิกเงินค่าชกจากผู้จัดการส่วนตัว, ส่วน Gloria เดินทางไปทวงค่าจ้างจาก Vincent Rapallo (รับบทโดย Frank Silvera) ที่แสดงความหึงหวง วางแผนกำจัดฝ่ายชาย ถึงอย่างนั้นลูกน้องกลับฆ่าผิดตัว นำไปสู่การเผชิญหน้า หักเหลี่ยมเฉือนคม เขาและเธอจะสามารถเอาตัวรอด ออกเดินทาง เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้หรือไม่?
Jamie Smith ชื่อจริง James Thomas Schmitt (1921-2002) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Pittsburgh, Pennsylvania ช่วงระหว่างเรียนมัธยมปลาย ได้มีโอกาสร่วมแสดงละคอนเวทีของโรงเรียน เลยค้นพบความชื่นชอบด้านนี้ หลังเรียนจบเข้าศึกษาต่อ Central Catholic High School Carnegie Tech และฝึกฝนการแสดงยัง Pittsburgh Playhouse, จากนั้นเดินทางสู่ฝรั่งเศสตั้งใจจะเข้าเรียน Sorbonne แต่งานยุ่งมากทั้งภาพยนตร์ ซีรีย์โทรทัศน์ ถึงอย่างนั้นยังได้เข้าร่วมคณะการแสดงของ Orson Welles ที่กรุง Paris, ผลงานภาพยนตร์โด่งดังที่สุดน่าจะคือ Killer’s Kiss (1955)
รับบท Davey Gordon นักมวยรุ่น Welterweight (63.5-66.7 กิโลกรัม) แม้มากด้วยประสบการณ์ แต่ขาดความกระตือลือร้น เพิ่งพ่ายแพ้นัดชิงแชมป์มาหมาดๆ กำลังสองจิตสองใจว่าจะเลิกชกดีไหม ค่ำคืนดึกดื่นได้ยินเสียงหญิงสาวจากอพาร์ทเม้นท์ตรงข้ามตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ เลยมีโอกาสพูดคุยสนทนา แลกเปลี่ยนความหลัง ตกหลุมรักกัน วางแผนออกเดินทางไปจากมหานคร New York
Smith อาจไม่ใช่บุคคลที่มีฝีไม้ลายมือด้านการแสดงน่าจดจำ แค่เพียงภาพลักษณ์ตรงกับตัวละคร ร่างกายบึกบึน กำยำ น้ำเสียงดุดัน มาดนักมวย สามารถชกต่อย เล่นบทสตั๊น ส่วนที่เหลือคือผกก. Kubrick นำเอาลูกเล่นภาพยนตร์มาช่วยในการสำแดงพลังอารมณ์ของตัวละคร
Chris Chase ชื่อจริง Irene Greengard (1924-2013) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New York City, โตขึ้นเคยเป็นนางแบบนิตยสาร Vogue ก่อนได้รับคำแนะนำจากช่างภาพ Bert Stern ให้รู้จักผู้กำกับ Stanley Kubrick แสดงภาพยนตร์ Killer’s Kiss (1955) แต่ก็เล่นหนังได้ไม่กี่เรื่องก็ผันตัวสู่แวดวงนักข่าว (Journalism) ทำงานที่ The New York Times ก่อนกลายเป็นผู้ประกาศข่าวทางสถานีโทรทัศน์ CNN
รับบท Gloria Price นักเต้นรับจ้าง (Taxi Dancer) ทำงานให้กับ Vincent Rapallo อีกฝ่ายพยายามพรอดรัก ต้องการครอบครองเป็นเจ้าของ แต่เธอปฏิเสธเสียงขันแข็ง เขาจึงเริ่มใช้ไม้แข็ง ได้รับความช่วยเหลือจาก Davey Gordon พูดคุยสานสัมพันธ์ สัญญาว่าจะหนีตามกันไป ถึงอย่างนั้น …
ภาพลักษณ์ภายนอกของ Chase อาจดูเป็นสาวแกร่ง มีความเข้มแข็ง กล้าที่จะต่อต้านขัดขืนนายจ้าง แต่จิตใจของเธอนั่นมีความอ่อนไหว เพราะหายนะเกิดขึ้นกับบิดาและพี่สาว ได้สร้างบาดแผลทางใจ (Trauma) หวาดกลัวความตาย จึงพร้อมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัย
เมื่อตอนที่ Gloria ยินยอมจำนนต่อนายจ้าง (หลังจาก Davey ถูกลูกน้องอีกฝ่ายเล่นงานจนหมอบ) ในมุมของผู้ชมสมัยนั้นย่อมครุ่นคิดว่าเธอคือพวกกลับกลอก นกสองหัว สนเพียงเอาตัวรอดปลอดภัย เต็มไปด้วยความสมเพศเวทนา, แต่ผมเชื่อว่าผู้ชมสมัยใหม่น่าจะสามารถทำความเข้าใจเหตุผลแท้จริง เกิดความสงสารเห็นใจ และความหมายตอนจบ Happy Ending คือการให้โอกาสครั้งสุดท้าย
Frank Alvin Silvera (1914-70) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Kingston, British Jamaica บิดาเป็นชาว Portuguese Jewish ส่วนมารดาเลือดผสม Jamaican, ตอนอายุหกขวบครอบครัวอพยพสู่สหรัฐอเมริกา ปักหลักตั้งถิ่นฐานยัง Boston ค้นพบความชื่นชอบด้านการแสดงจากโรงละคอนสมัครเล่นใกล้บ้าน หลังเรียนจบกฎหมาย Boston University และ Northeastern University กลายเป็นนักแสดงละคอนเวที New England Repertory Theatre ก่อนอาสาสมัครทหารเรือช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง, ภาพยนตร์เรื่องแรกสมทบ The Cimarron Kid (1952), Viva Zapata! (1952), และมีโอกาสร่วมงานผกก. Stanley Kubrick สองครั้ง Fear and Desire (1953), Killer’s Kiss (1955)
รับบท Vincent Rapallo เจ้าของห้องเต้นรำ ตกหลุมรักคลั่งนักเต้นสาว Gloria Price พยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้มาครอบครอง แต่เธอกลับไม่ตอบสนอง จึงเริ่มใช้กำลัง ความรุนแรง วางแผนกำจัดศัตรูหัวใจ Davey Gordon ก่อนหายนะบังเกิดขึ้นเพราะลูกน้องฆ่าผิดตัว
บทบาทนี้ของ Silvera ตรงกันข้ามกับ Fear and Desire (1953) ที่มีความสุขุม มองโลกเป็นจริง (Realist) และพร้อมเสียสละตนเองเพื่อพวกพ้อง/ประเทศชาติ, หนังเรื่องนี้รับบทฆาตกรตามชื่อหนัง Killer’s Kiss เต็มไปด้วยความหึ่นกระหาย ต้องการจุมพิตหญิงสาว แสดงออกด้วยสันชาตญาณ+อารมณ์ จนแทบไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์มนา
ถ่ายภาพโดย Stanley Kubrick,
เมื่อตอน Fear and Desire (1953) อาจไม่มีลูกเล่นภาพยนตร์มากนัก เพราะทุนสร้างจำกัด และปักหลักถ่ายทำอยู่บนภูเขา San Gabriel Mountains (California) แต่ก็ยังเก็บภาพทิวทัศน์ด้วยแสงธรรมชาติได้อย่างสวยงามตา, Killer’s Kiss (1955) ส่วนใหญ่เป็นฉากภายในยามค่ำคืน จึงสามารถละเล่นกับ ‘Mise-en-scène’ โดดเด่นกับการจัดแสง-เงามืด ทิศทางมุมกล้อง สร้างบรรยากาศหนังนัวร์
ส่วนฉากภายนอกปักหลักถ่ายทำยังมหานคร New York (Bronx, Brooklyn, Manhattan) ด้วยยุทธวิธีแบบกองโจร (Guerrilla) อย่างจัตุรัส Times Square หรือสถานีรถไฟ Pennsylvania Station (ถูกทุบทำลายเพื่อสร้างใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1966) ล้วนใช้การลักลอบแอบถ่าย ไม่มีการขออนุญาตใช้สถานที่ใดๆ
เกร็ด: แรกเริ่มนั้นผกก. Kubrick ตั้งใจถ่ายทำพร้อมบันทึกเสียงพร้อมๆกันในตัว แต่ปัญหาคือเสียงรบกวนมีมากเกินไป สุดท้ายเลยขับไล่ช่างเสียงออก แล้วใช้วิธีพากย์เสียงทับหลังการถ่ายทำ
หนังเริ่มต้น-กึ่งกลาง-สุดสิ้น ยังสถานีรถไฟ (หลังเก่า) Pennsylvania Station สถานที่แห่งการพบเจอ-เฝ้ารอคอย-พลัดพรากจาก ตัวละครเดินวนไปวนมา (มุมกล้องดูเหมือนการแอบถ่ายอย่างมากๆ) สูบบุหรี่ด้วยความร้อนรน กระวนกระวาย สีหน้าจริงจัง ครุ่นคิดทบทวนความทรงจำ หญิงสาวคนนั้นจะร่วมออกเดินทาง เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันไหม?

แทนที่จะบอกเล่าด้วยคำพูดหรือเสียงบรรยาย สไตล์หนังของผกก. Kubrick นิยมใช้ภาพถ่ายสะท้อนความรู้สึก สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจตัวละครออกมา อย่างการแนะนำ Davey Gordon ยามเช้าเต็มไปด้วยความร้อนรน กระวนกระวาย เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง นาฬิกาบอกเวลายังไม่ถึงทุ่มตรง
ไฮไลท์อยู่ขณะให้อาหารปลา ใบหน้าบวมๆสำแดงความอึดอัดอั้น เก็บกดดัน ก็เหมือนตัวเขาที่เดินวนไปวนมาในห้องพักแห่งนี้ เมื่อไหร่จักสามารถหลุดพ้นจากวังวน โหยหาอิสรภาพชีวิต


การยืนหลบหลังหน้าต่างของ Gloria เพื่อแอบมองอพาร์ทเม้นท์ฟากฝั่งตรงข้าม มันสร้างความรู้สึกว่าเธอก็มีความสนใจเขาอยู่ แล้วพอพบเห็นกำลังจะออกจากห้อง ก็เร่งรีบ กุลีกุจอ เหมือนต้องการออกไปให้ทันกัน คงคาดหวังโอกาสพูดคุยทักทาย แต่วันนั้นยังมาไม่ถึงสักที

Raging Bull (1980) ไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่นำกล้องขึ้นไปถ่ายทำบนเวที, Killer’s Kiss (1955) ต่างหากที่แม้ส่วนใหญ่ถ่ายจากด้านล่าง แต่ขณะถูกน็อคนำเสนอผ่านมุมมองนักมวย (First-Person) กล้องลงไปกองกับพื้น เห็นไฟเพดาน กรรมการตรงเข้ามานับหนึ่ง-สอง-สาม



หลังความพ่ายแพ้ค่ำคืนนี้ Davey กลับมาที่ห้อง นั่งอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางความมืดมิด เพียงแสงไฟจากอพาร์ทเม้นท์ฟากฝั่งตรงกันข้าม ดึกดื่นนอนหลับฝัน ล่องลอยไปตามท้องถนนว่างเปล่า (น่าจะเทคนิค Negative Image) สามารถสื่อถึงความมืดหม่นจิตใจ จากนี้ไม่รู้จะทำอะไรยังไงต่อไป
ก่อนเข้านอน Davey ได้รับโทรศัพท์จากคุณลุงชักชวนไปพักผ่อนบ้านฟาร์มที่ Seattle ตัวเขาตอบไปด้วยความสองจิตสองใจ แต่มุมกล้องถ่ายภาพสะท้อนกระจก พบเห็นแสงสว่าง+หญิงสาวอพาร์ทเม้นท์ฟากฝั่งตรงข้าม นั่นแอบบ่งบอกความต้องการของจิตใจ


ในขณะที่ฝ่ายชายมีซีเควนซ์ชกมวยบนเวที = ฝ่ายหญิงเล่าย้อนอดีตถึงพี่สาว Iris เคยเป็นนักเต้นบัลเล่ต์, สองอาชีพนี้อาจดูไม่เหมือนกันเลยสักนิด แต่ต่างต้องใช้ทักษะ ความสามารถ ประสบการณ์ ผ่านการฝึกฝน จนสามารถขึ้นชก/ทำการแสดง มองในแง่มุมนี้จะเริ่มพบเห็นความสัมพันธ์ เอาจริงๆก็แทบไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่
ออกแบบท่าเต้นโดย David Vaughan, เริงระบำโดย Ruth A. Sobotka (1925-67) นักเต้นสัญชาติ Austria พบเจอผกก. Kubrick เมื่อปี ค.ศ. 1952 (หลังจากหย่าร้างภรรยาคนแรก Toba Metz เมื่อปี ค.ศ. 1951) ก่อนแต่งงานกันเมื่อต้นปี ค.ศ. 1955 แล้วหย่าร้างสองปีถัดมา … Sobotka ยังเป็นผู้ออกแบบศิลป์ (Art Director) ให้กับหนังเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ชาย-หญิงพร่ำพรอดบอกรัก แต่มุมกล้องกลับถ่ายลอดผ่านปลายเตียงที่มีลักษณะเหมือนซี่กรงขัง ก็เพื่อจะสื่อว่าพวกเขาต่างมีพันธนาการบางอย่างฉุดเหนี่ยวรั้ง ขณะนี้ยังไร้ซึ่งอิสรภาพ จำต้องสะสางปัญหาค้างคา เผชิญหน้าบางสิ่งอย่าง ก่อนจักสามารถครองคู่อยู่ร่วม ออกเดินทาง เริ่มต้นชีวิตใหม่

ผกก. Kubrick ชอบที่จะใช้ ‘Establishing Shot’ สำหรับอารัมบทเหตุการณ์บังเกิดขึ้น อย่างภาพ New York ช็อตนี้ช่างมีความขมุกขมัว พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบตึก นี่คือช่วงเวลาใกล้ค่ำที่โดยปกติแล้ว Davey & Gloria เริ่มต้นออกเดินทางไปทำงาน แต่ค่ำคืนนี้พวกเขาจะสะสางปัญหาคาใจ เพื่อเตรียมตัวเริ่มต้นชีวิตใหม่ … ความขมุกขมัวของภาพนี้บอกใบ้ว่า เหตุการณ์ค่ำคืนนี้จะไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่

ลูกน้องโทรศัพท์มาแจ้งกับ Vincent ว่าค่ำคืนนี้ Gloria จะแวะเวียนมาทวงค่าแรงค้างจ่าย แม้เขายินยอมตอบตกลง กลับสำแดงอารมณ์เกรี้ยวกราดด้วยการเขวี้ยงขว้างแก้วน้ำใส่หน้ากล้อง! นี่น่าจะสร้างความตกอกตกใจให้ผู้ชมสมัยนั้น แต่แท้จริงแล้วฉากนี้หาใช่ Breaking the Fourth Wall คือกล้องถ่ายภาพสะท้อนกระจกเงา (เขวี้ยงขว้างใส่กระจกเงา) หลอกตาผู้ชมได้อย่างแนบเนียนสุดๆ

ผมเห็นภาพช็อตนี้แล้วแอบนึกถึง What Ever Happened to Baby Jane? (1962) สามารถสะท้อนสภาพจิตวิทยาของหญิงสาว Gloria ยังมีความเป็นเด็ก อ่อนแอ เปราะบาง บริสุทธิ์ไร้เดียงสา (เหมือนตุ๊กตา) โหยหาใครสักคนสำหรับพึ่งพักพิง

ผกก. Kubrick ดูมีความเพลิดเพลินกับการจัดแสง-เงามืด อาบฉาบใบหน้าตัวละคร โดยเฉพาะช็อตโคลสอัพ Vincent Rapallo สร้างสัมผัสโฉดชั่วร้าย บุคคลอันตราย เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ อาฆาตแค้น พร้อมทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้เธอมาครอบครอง



การเอาตัวรอดอย่างหวุดหวิดของ Davey เกิดจากนักแสดงตลกข้างถนน (Street Performance) ลักขโมยผ้าพันคอแล้ววิ่งหนี ทำให้เขาจำต้องออกไล่ล่าติดตาม พลัดพรากจากผู้จัดการ Albert แค่เพียงไม่กี่เสี้ยววินาที ซึ่งนั้นกลับกลายเป็นการชี้เป็นชี้ตาย ลูกน้องของ Vincent ฆาตกรรมผิดคน … นี่เรียกว่าทำออกมาในเชิงตลกร้าย (Dark Comedy)
ฉากความตายของผู้จัดการ Albert ถูกสองลูกน้องของ Vincent ลากพามายังซอยเปลี่ยว ไล่ต้อนจนมุม ไร้หนทางหลบหนี (เงาบริเวณนั้นอาบฉาบลงมาเหมือนซี่กรงขัง) เป็นซี่เควนซ์ที่ปกคลุมด้วยมืดมิด มองอะไรแทบไม่เห็น ที่เหลือคือจินตนาการของผู้ชม


แค่แยกย้ายกันมาเก็บข้าวของ ดูแล้วไม่น่าจะใช้เวลานาน แต่พอ Davey แวะเวียนมายังห้องพักของ Gloria เธอกลับสูญหายตัวพร้อมทุกสิ่งอย่าง? หลายคนอาจรู้สึกว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผล เพราะโดยปกติผู้หญิงมักมีสิ่งข้าวของโน่นนี่นั่น ย่อมต้องใช้เวลาเยิ่นยาวนานกว่าผู้ชาย … คำตอบอาจคือ Gloria พอมาถึงห้องพัก ก็ถูกลูกน้องของ Vincent ลักพาตัว สิ่งข้าวของของเธอเลยถูก(พวกลูกน้อง)แพ็กใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว!
ระหว่างยังตกตะลึงงันในห้องพักฝ่ายหญิง Davey ได้ยินตำรวจเข้ามาตรวจค้นอพาร์ทเม้นท์ของตน พร้อมเปิดเผยว่าผู้จัดการ Albert ถูกฆาตกรรม นั่นทำให้เขาเกิดความเอะใจ ตระหนักว่าอาจเกิดความเข้าใจผิดบางอย่าง ภาพช็อตนี้ถ่ายลอดผ่านหัวเตียง แลดูเหมือนซี่กรงขัง ความหมายเดิมๆ เปิดกระเป๋าหยิบปืน มันมีบางสิ่งอย่างให้ต้องสะสางก่อนไป

ผมแอบรู้สึกว่าผกก. Kubrick หลงลืม/หรือครุ่นคิดไม่ถึงก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้มันมีฉากฝันร้าย ฉายภาพล่องลอยไปบนท้องถนน (ด้วยเทคนิค Negative Image) แล้วเหตุไฉนตอนไล่ล่าติดตาม Vincent ถึงไม่ย้อนรอยถนนสายนั้น? เพียงให้รถแท็กซี่ขับติดตาม หยุดจอดตรงไฟแดง แล้วกระโดดขึ้นรถอีกฝ่าย เสียดายท้องถนนว่างๆยามเช้า

Davey ใช้ปืนจี้ Vincent บุกเข้าไปยังเซฟเฮาส์ ขณะกำลังแก้มัด Gloria ลูกน้องคนนี้ใช้จังหวะทีเผลอ กระชากเธอไปด้านหลังแล้วโน้มตัวเข้ามาจุมพิต/ดูดเลือดที่คอ เบี่ยงเบนความสนใจ จนสามารถจัดการอีกฝ่ายหมอบลงกับพื้น … นี่อาจไม่ใช่ Killer’s Kiss แต่คือจุมพิตที่ทำให้เธอกลายเป็นคนกลับกลอก ปอกลอก ย้ายข้างมายัง Vincent

Killer’s Kiss แท้จริงแล้วคือช็อตนี้ต่างหาก! Gloria หลังชนกำแพง ดึงตัว Vincent มาพูดคุยโน้มน้าว โปรดอย่าฆ่าฉัน เพิ่งรับรู้จัก Davey แค่สองวัน พยายามตัดหางปล่อยวัด ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอดปลอดภัย … ในมุมของผู้ชมสมัยนั้น Gloria คงคือหญิงสาวที่มีความกลับกลอก ปอกลอก นกสองหัว ดูแล้วคงไม่เคยรักใครจริงจัง แต่ผมเชื่อว่าผู้ชมสมัยใหม่น่าจะสามารถทำความเข้าใจเบื้องหลัง สาเหตุผล หลังชนฝา สุนัขจนตรอก ย่อมทำสิ่งอย่างเพื่อเอาตัวรอด


ไคลน์แม็กซ์ของหนัง Davey ต่อสู้กับ Vincent ยังคลังเก็บหุ่นลำลอง (Mannequin) ภาพสะท้อนวิถีชีวิตของชาว New York City ที่ทำการ ‘Dehumanized’ ให้มนุษย์ไม่ต่างเป็นวัตถุ สิ่งข้าวของ (Objectification) ตอบสนองความต้องการผู้คน แต่ใช้เสร็จแล้วก็ทอดทิ้ง หมดประโยชน์ก็ทำลายสิ้น … นี่เป็นการต่อสู้เพื่อทำลายวิถีดังกล่าว ให้สามารถค้นพบอัตลักษณ์ตัวตน ก้าวออกจากมหานครแห่งนี้ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่
เกร็ด: ฉากนี้ที่โรงงาน/คลังเก็บหุ่นลำลอง ใช้เวลาถ่ายทำสองสัปดาห์ และสิ้นเปลืองงบประมาณไปถึง $15,000 เหรียญ (เทียบค่าเงินปี ค.ศ. 2021 ประมาณ $147,000 เหรียญ)

ตอนจบดั้งเดิมของหนังนั้น Gloria ตัดสินใจไม่ออกเดินทางไปกับ Davey คงเพราะความรู้สึกผิดที่ได้พูดสิ่งนั้น ไม่ต่างจากการทรยศหักหลัง แต่หลังจากสตูดิโอ United Artists พร้อมจ่าย $100,000 เหรียญ และมอบทุนสร้างโปรเจคถัดไป แลกกับปรับเปลี่ยนตอนจบ Happy Ending แม้ขัดต่อความตั้งใจ โอกาสครั้งนี้ผกก. Kubrick ยินยอมไขว่คว้าเอาไว้

ตัดต่อโดย Stanley Kubrick,
ผลงานยุคแรกๆของผกก. Kubrick มักมีการใช้เสียงบรรยายความครุ่นคิด ซึ่งเรื่องนี้ก็คือ Davey Gordon เฝ้ารอคอย Gloria Price อยู่ยังสถานีรถไฟ Pennsylvania Station จากนั้นเริ่มเล่าย้อนอดีต หวนระลึกความทรงจำเมื่อสามวันก่อน ตั้งแต่วันแรกพบเจอเธอมาจนถึงปัจจุบัน (มีการตัดสลับกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง)
การย้อนอดีตช่วงแรกๆจะนำเสนอคู่ขนานระหว่างนักมวยตกอับ Davey และนักเต้นรับจ้าง Gloria แม้อาศัยอยู่อพาร์ทเม้นท์ตรงข้าม เดินสวนทางกันบ่อยครั้ง กลับไม่เคยมีโอกาสพูดคุยสนทนา จนกระทั่งดึกดื่นคืนนี้เมื่อเธอส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ นั่นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ ตกหลุมรักกัน เผชิญหน้าฆาตกร Vincent Rapallo หลังสะสางปัญหาคาใจ ก็หวนย้อนกลับมาบรรจบยังจุดตั้งต้นที่สถานีรถไฟ
- อารัมบท, Davey เฝ้ารอคอยใครสักคนอยู่สถานีรถไฟ Pennsylvania Station
- หนึ่งวันของ Davey & Gloria
- Davey นั่งๆนอนๆ รอคอยโทรศัพท์อยู่ที่อพาร์ทเม้นท์
- Davey เดินทางสู่สนามมวย ตระเตรียมตัวขึ้นเวที
- Gloria เดินทางไปยังห้องเต้นรำ
- Davey ขึ้นชกชิงแชมป์, Gloria ถูกเจ้าของ Vincent พยายามจะขืนใจ
- หลังพ่ายแพ้ Davey กลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ ได้รับโทรศัพท์จากญาติชักชวนให้ไปพักผ่อนยัง Seattle
- ความหลังของ Gloria
- ดึกดื่น Gloria ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ Davey ตื่นขึ้นวิ่งข้ามอพาร์ทเมนท์ไปยังห้องของเธอ
- (Flashback) Gloria เล่าให้ฟังว่าถูกเจ้าของ Vincent พยายามคุกคามทางเพศจึงส่งเสียงร้อง
- เช้าวันถัดมา Vincent สอบถามถึงบุคคลในภาพถ่าย Gloria จึงเล่าความหลังของบิดาและพี่สาว
- (Flashback) ฉายภาพการเต้นบัลเล่ต์ของพี่สาว พร้อมอธิบายเหตุการณ์บังเกิดขึ้น
- Davey พูดบอกรัก Gloria ชักชวนร่วมออกเดินทางสู่ Seattle
- ฆาตกรรมผิดตัว
- Gloria โทรศัพท์หา Vincent ทวงค่าจ้าง, Davey โทรศัพท์หาผู้จัดการ Albert ทวงค่าชกมวย
- Gloria เดินทางไปหา Vincent แต่ตอนแรกอีกฝ่ายปฏิเสธจ่ายเงิน
- ระหว่างที่ Davey เฝ้ารอคอย Albert ถูกนักแสดงข้างถนนลักขโมยผ้าพันคอเลยออกวิ่งติดตาม
- Albert เดินทางมาถึงไม่พบเจอ Davey ก่อนถูกลูกน้องของ Vincent เข้าใจผิด พาตัวไปฆ่าปิดปาก
- Gloria หลังจากได้เงินเดินทางกลับอพาร์ทเม้นท์ร่วมกับ Davey เพื่อเก็บข้าวของ เตรียมออกเดินทาง
- เผชิญหน้ากับฆาตกร Vincent
- หลังเก็บข้าวของเสร็จ Davey ข้ามอพาร์ทเม้นท์ไปหา Gloria แต่เธอกลับสูญหายตัวไปอย่างลึกลับ
- Davey แอบติดตาม Albert จึงรับรู้ว่าเธอลักพาตัว
- Albert นำพา Davey ไปยังเซฟเฮาส์พบเจอกับ Gloria ที่ถูกมัดไว้ พยายามให้ความช่วยเหลือแต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
- Davey หลบหนีออกมาได้สำเร็จ เกิดการไล่ล่าติดตามตัว จนมาเผชิญหน้ากับ Albert ณ คลังเก็บหุ่นลำลอง
- ปัจฉิมบท, Davey ยังคงเฝ้ารอคอย Gloria ที่สถานีรถไฟ Pennsylvania Station
เพลงประกอบโดย Gerald Fried (1928-2023) นักแต่งเพลงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ The Bronx, New York City โตขึ้นเข้าเรียนดนตรี Juilliard School ต่อด้วย High School of Music & Art, เข้าสู่วงการเพลงประกอบประภาพยนตร์จากร่วมงานผู้กำกับ Stanley Kubrick ตั้งแต่ Day of the Fight (1951), Fear and Desire (1953), Killer’s Kiss (1955), The Killing (1956) และ Paths of Glory (1957) จากนั้นเดินทางสู่ Hollywood ผลงานส่วนใหญ่จะเป็นหนังเกรดบีและซีรีย์โทรทัศน์
งานเพลงของ Fried ยังไม่มีอะไรให้พูดกล่าวถึงสักเท่าไหร่ อยู่ในช่วงลองผิดลองถูก คล้ายๆผลงานก่อน Fear and Desire (1953) เพียงบรรเลงคลอประกอบพื้นหลังไปเรื่อย ทำออกมาลักษณะคล้ายๆ (Piano) Accompaniment ในยุคหนังเงียบ (แต่บรรเลงด้วยวงออร์เคสตรา) สำหรับสร้างบรรยากาศหนังนัวร์ สะท้อนมุมมืด/ความรู้สึกภายในจิตใจตัวละคร เสริมเติมแต่งฉากต่อสู้ ไล่ล่า ให้เกิดความตื่นเต้นเร้าใจ
นอกจากนี้ในเครดิตยังมีขึ้นข้อความ Love Theme from the song ONCE แต่งโดย Arden E. Clar, คำร้องโดย Norman Gimbel แต่ปัญหาคือบทเพลงไหน? อะไรยังไง? ผมพยายามค้นหาข้อมูล สอบถาม AI ก็ไม่พบเจอคำตอบใดๆ ใกล้เคียงที่สุดก็คือบทเพลงดังขึ้นในห้องเต้นรำ (แต่มีเพียงดนตรีบรรเลง ไม่มีเนื้อเพลง) และท่วงทำนองเดียวกันนี้จะดังขึ้นอีกครั้งตอนจบ Happy Ending
Killer’s Kiss (1955) เริ่มต้นด้วยการนำเสนอเรื่องราวคู่ขนานระหว่างนักมวยตกอับ vs. สาวเต้นรับจ้าง ทั้งสองต่างมีช่วงเวลาอันข่มขืน รวมถึงบาดแผลที่ยังรักษาไม่หาย
- Davey Gordon ต่อยมวยมานานแต่ยังไม่เคยได้แชมป์ใดๆ มาวันนี้พ่ายแพ้ให้กับเด็กรุ่นใหม่ เกิดความสองจิตสองใจว่าจะเลิกชกดีไหม … บาดแผลทางร่างกาย
- Gloria Price ทำงานสาวเต้นรับจ้างกับนายจ้างสุดหื่น พยายามข่มขืน อดีตของเธอก็ขมขื่น สูญเสียบิดาและพี่สาวนักบัลเล่ต์ … บาดแผลทางใจ
ซึ่งพอทั้งสองที่อยู่คนละฟากฝั่งอพาร์ทเม้นท์ได้มีโอกาสพูดคุย สานสัมพันธ์ ก่อบังเกิดความรักใคร่ วางแผนร่วมออกเดินทางเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ก่อนจะทำเช่นนั้นพวกเขาต้องสะสางปัญหาคาใจ เผชิญหน้านายจ้าง/ต่อสู้กับฆาตกร Vincent Rapallo ชัยชนะครั้งนี้จักทำให้ปลดระวางจากหุ่นลำลอง (Mannequin=Objectification, Dehumanized, World as a Facade) ค้นพบอัตลักษณ์ของตนเอง (Fight through and destroy the lifeless, objectifying figures)
แซว: บนสังเวียนมวยอาจพ่ายแพ้ แต่ท้ายที่สุด Davey สามารถครอบครองรัก Gloria ก็ถือว่าได้รับชัยชนะแล้วกระมัง!
ผกก. Kubrick นอกจากเป็นเซียนหมากรุก ยังมีความหลงใหลกีฬาชกมวย (อาจเพราะนัยยะของกีฬาชนิดนี้ สามารถสื่อถึงการต่อสู้ชีวิตได้อย่างตรงไปตรงมา) ก่อนหน้านี้เคยถ่ายทำสารคดีขนาดสั้น Day of the Fight (1951) ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ก่อนการขึ้นชกไฟต์สำคัญของนักมวยคนโปรด Walter Cartier
จุดประสงค์แท้จริงของผกก. Kubrick สรรค์สร้างหนังเรื่องนี้น่าจะเพื่อเป็นจดหมายรักให้แฟนสาว/ภรรยาคนใหม่ Ruth Sobotka (นักเต้นบัลเล่ต์ที่มารับเชิญในหนัง) และผมอ่านเจอว่าเธอมีปัญหากับสามีเก่า Donald Boose เลิกรากันแล้วยังคอยติดตามมาข่มขู่ คุกคาม ไม่ต้องการหย่าร้าง แต่กฎหมายบอกการแต่งงานครั้งนั้นเป็นโมฆะ … นี่ก็เท่ากับว่าผกก. Kubrick ทำการเปรียบเทียบคนรักเก่าของภรรยา = ฆาตกร Vincent Rapallo
มองผิวเผิน Killer’s Kiss (1955) อาจไม่ได้มีความละม้ายคล้าย Fear and Desire (1953) แต่ทั้งสองเรื่องต่างนำเสนอเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยา/สภาพจิตใจตัวละคร ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทิศทางตรงกันข้าม
- Fear and Desire (1953) จากคนปกติ พานผ่านสมรภูมิรบ กลับกลายเป็นคนคลุ้มบ้าคลั่ง
- Killer’s Kiss (1955) นักมวยพ่ายแพ้/นักเต้นถูกขืนใจ หลังจากพบเจอกัน เผชิญหน้าอาชญากร ทำให้พวกเขาสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่
เรายังอาจมองว่า Killer’s Kiss (1955) สร้างขึ้นเพื่อผกก. Kubrick จะก้าวข้ามผ่านบาดแผลทางใจต่อ Fear and Desire (1953) มันคงเป็นความรู้สึกอับอาย รับไม่ได้ ถึงขนาดกวาดซื้อฟืล์มหนังมาเผาทำลาย เมื่อทุกสิ่งอย่างมอดไหม้ ตนเองจักถือกำเนิดขึ้นใหม่ … เหตุผลที่เลือกสร้างหนังนัวร์ ก็เพื่อสะท้อนความมืดหม่น สิ้นหวัง สะท้อนสภาพจิตใจของตนเองหลังจากสร้างหนังเรื่องนั้น!
เสียงตอบรับตอนออกฉายค่อนข้างจะก้ำกึ่ง (Mixed Review) ส่วนใหญ่ชื่นชมความสามารถของผกก. Kubrick เชื่อว่าอนาคตต้องฉายแวว ประสบความสำเร็จได้แน่ๆ แต่พล็อตเรื่องราวและหลายๆสิ่งอย่าง ยังไม่ค่อยลงตัวกลมกล่อมสักเท่าไหร่ ถึงยังนั้นเมื่อเข้าฉายเทศกาล Locarno International Film Festival ที่ประเทศ Switzerland สามารถคว้ารางวัล Best Director … นี่ถือเป็นรางวัลความสำเร็จแรกในอาชีพการงานของผกก. Kubrick เลยก็ว่าได้
ปัจจุบันหนังได้รับการบูรณะ 4K โดย Kino Lorber สามารถหาซื้อ Blu-Ray คุณภาพ 4K Ultra HD วางขายเมื่อปี ค.ศ. 2022, ขณะที่ฉบับของ Criterion Collection เป็นเพียงของแถม (Special Feature) อยู่ใน Blu-Ray ภาพยนตร์ The Killing (1956) คุณภาพแค่ HD ยังไม่มีกำหนดจัดจำหน่าย 4K
แม้ว่า Killer’s Kiss (1955) ในสายตาผกก. Kubrick จะเป็นผลงานระดับสมัครเล่น แต่ก็มีหลากหลายแนวคิดน่าตื่นตาตื่นใจ พบเห็นร่องรอย เมล็ดพันธุ์ กำลังรอวันเติบโต เบ่งบาน และคุณค่าของหนังคือการเก็บบันทึกภาพ New York City เก็บฝังไว้ในไทม์แคปซูล … นี่กระมังคือแรงบันดาลใจให้ Martin Scorsese สรรค์สร้าง Mean Streets (1973)
จัดเรต 13+ กับบรรยากาศหนังนัวร์
Leave a Reply