
Pan’s Labyrinth (2006)
,
: Guillermo del Toro ♠♠♠♠♠
หลงเข้าไปในเขาวงกต พบเจอสัตว์อสูรจากเทพนิยาย เผชิญหน้าบททดสอบอันท้าทาย แต่ยังเทียบไม่ได้กับความเหี้ยมโหดร้ายของระบอบเผด็จการ Francoist Spain
ชื่อหนังภาษาสเปน El laberinto del fauno แปลตรงตัว The Labyrinth of the Faun จริงๆแล้วควรจะใช้ชื่ออังกฤษ Faun’s Labyrinth ก็ไม่รู้โปรดิวเซอร์หรือใครไหนเปลี่ยนเป็น Pan ซึ่งแม้มีความไพเราะกว่า แต่ทั้งสองมาจากคนละปรัมปรา คนละระดับชั้นเสียด้วยซ้ำ Pan ≠ Faun
- Pan คือเทพเจ้าในเทพปกรณัมกรีก (Greek Mythology) เป็นเทพเจ้าแห่งคนเลี้ยงแกะ ฝูงแพะ ป่าเขา การล่าสัตว์ และดนตรีพื้นเมือง ลักษณะของแพนเป็นกึ่งสัตว์กึ่งมนุษย์ที่เดินบนขาหลัง มีเขาเหมือนแพ พำนักอยู่ใน Arcadia เป็นเทพเจ้าแห่งท้องทุ่ง ป่าโปร่ง และลำธารน้ำในป่าโปร่ง และเป็นผู้มีความเกี่ยวพันธ์กับการเจริญพันธุ์ (Fertility) และฤดูใบไม้ผลิ
- Faun เป็นสัตว์ในเทพปกรณัมโรมัน (Roman Mythology) ท่อนบนจากศีรษะลงไปถึงเอวเป็นมนุษย์ แต่ท่อนล่างและเขากับหูเป็นแพะ อาศัยอยู่ในป่ารก สถานที่เปลี่ยว ห่างไกลจากเมือง มักช่วยบอกทางให้มนุษย์ที่กำลังพลัดหลง
แต่ไม่ว่าจะ Pan หรือ Faun การออกแบบตัวละครนั้นของผกก. del Toro ไม่ได้ยึดถือตามเทพปกรณัมสักเท่าไหร่ ล้วนมาจากวิสัยทัศน์อันพิลึกล้ำ ผิดแผกพิศดาร อีกทั้งการผสมผสานเทพนิยายแฟนตาซีเข้ากับโลกความจริงอันเหี้ยมโหดร้าย กลายเป็นภาพยนตร์หนึ่งในเอกภพ “Singular Achievement” ไม่มีใครสามารถทำซ้ำ ลอกเลียนแบบ หรือแม้แต่ตัวผู้สร้างก็มิอาจสร้างใหม่ให้ยิ่งใหญ่เท่าเทียม
Pan’s Labyrinth is one of the greatest of all fantasy films, even though it is anchored so firmly in the reality of war.
นักวิจารณ์ Roger Ebert ให้คะแนน 4/4 พร้อมจัดเป็น Great Movie
ผมเริ่มเข้าโรงหนังครั้งแรกๆประมาณปี ค.ศ. 2001 แต่เรื่องที่เข้าฉายต่างจังหวัดส่วนใหญ่มีแต่หนังในกระแส จนประมาณปี ค.ศ. 2005-2006 เข้ามาเรียนต่อกรุงเทพฯ ถึงเริ่มรู้จัก Siam, Scala, House Rama และถ้าจำไม่ผิด Pan’s Labyrinth (2006) น่าจะคือผลงานมาสเตอร์พีซเรื่องแรกที่มีโอกาสได้รับชมในโรงภาพยนตร์!
เอาจริงๆตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจหรอกว่ามาสเตอร์พีซมันคืออะไร? เพิ่งมาเรียนรู้จักตอนทำ raremeat.blog เลยตระหนักถึงความโชคดีที่ตอนนั้นได้รับชมหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ จำไม่ได้ว่ากี่รอบ (ยังเป็นหนังเรื่องแรกๆที่ดูซ้ำในโรงมากกว่าหนึ่งรอบ) ติดอกติดใจคำโปรย “เทพนิยายสำหรับผู้ใหญ่” ภาพถ่ายลื่นโคตรๆไหล เพลงกล่อมเด็กหลอกหลอนชิบหาย สัตว์อสูรน่าสะพรึงได้ใจ และสาปส่ง The Lives of Others (2006) แก่งแย่งรางวัล Oscar: Best Foreign Language Film ไปได้ยังไง!
รับชมหนังเรื่องนี้ครั้งล่าสุดก็ตอนเขียนบทความเก่าเมื่อปี ค.ศ. 2016 ผ่านมาเกือบทศวรรษแล้วหรือนี่ ถึงเวลาหวนกลับมาปรับปรุงบทความนี้เสียที! ขนาดว่าจดจำรายละเอียดได้แทบทุกสิ่งอย่าง ตอนจบผมยังมิอาจอดกลั้นหลั่งน้ำตาให้กับ Ofelia นี่แสดงว่าหนังกลายเป็นอมตะเหนือกาลเวลาไปแล้วสินะ!
Guillermo del Toro Gómez (เกิดปี ค.ศ. 1964) ผู้กำกับภาพยนตร์สัญชาติ Mexican เกิดที่ Guadalajara, Jalisco ในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัด ตั้งแต่เด็กชื่นชอบหยิบกล้อง Super 8 ของบิดามาถ่ายทำหนังสั้นจากของเล่น มักเกี่ยวกับสัตว์ประหลาด สร้างหนังสั้นเป็นสิบเรื่องๆมักเกี่ยวกับสัตว์ประหลาด Fantasy Horror, โตขึ้นเข้าเรียน University of Guadalajara จบออกมาทำงาน Special Make-Up Effect ได้เป็นลูกศิษย์ของ Dick Smith (เจ้าของฉายา The Godfather of Make-Up) สะสมประสบการณ์นับสิบๆปี ระหว่างนั้นก็ยังคงทำหนังสั้นออกมาเรื่อยๆ จนมีโอกาสกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Cronos (1992) แล้วโกอินเตอร์กับ Mimic (1997)
จุดเริ่มต้นของ Pan’s Labyrinth (2006) เกิดจากความต้องการสร้าง ไม่เชิงเป็นภาคต่อของ The Devil’s Backbone (2001) แต่มีโครงสร้างละม้ายคล้าย เปลี่ยนจากพบเจอผีอาฆาต (Vengeful Ghost) มาเป็นสัตว์อสูรจากเทพนิยายแฟนตาซี
The idea for the movie was to create what I like to call a ‘mirror-movie’, to complement The Devil’s Backbone. So hopefully one day you can screen them together and see a certain continuity: the way fantasy and reality intermingle; the way the story unfolds; structured the same so they can feel like companion pieces. The difference is that Pan’s Labyrinth is about dealing with fully blown fascism in 1944, whereas The Devil’s Backbone concerns the end of the war, before fascism had really installed itself in their lives. Pan’s Labyrinth combines fairytale aspects with the fascist repression of the guerrillas in the woods. What I really set out to do with Pan’s Labyrinth was to make an anti-fascist fairytale – which I think is very pertinent to our times right now! I really like exploring big, political events through metaphors, and I think horror is a very political genre.
Guillermo del Toro
ความสำเร็จของ Blade II (2002) และเสียงตอบรับดียอดเยี่ยมของ Hellboy (2004) ทำให้ผกก. del Toro ได้รับการติดต่อโปรเจคใหม่ๆอย่าง Fantastic Four (2005), The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe (2005), X-Men: The Last Stand (2006) แต่เจ้าตัวล้วนตอบปฏิเสธเพราะต้องการพัฒนาโปรเจคของตนเองที่ครุ่นคิดมาสักพักใหญ่ๆ
ผกก. Del Toro มักมีสมุดจดบันทึกติดตัวอยู่ตลอดเวลา สำหรับรวบรวมแนวคิด ภาพวาด ตัวละคร ไอเดียต่างๆ แล้ววันหนึ่งทำตกหล่นหายในรถแท็กซี่ที่กรุง London พยายามวิ่งติดตาม แจ้งความตำรวจก็ไม่เป็นผล ทีแรกครุ่นคิดว่าคงโปรเจคนี้คงสิ้นสุดลง แต่สองวันถัดมาคนขับแท็กซี่นำเอาสมุดเล่มนั้นมาส่งคืน (เห็นว่าจ่ายทิปค่าขอบคุณ $900 เหรียญ) เลยเกิดความเชื่อมั่นว่านั่นคือโชคชะตาฟ้าลิขิต กลายเป็นแรงผลักดันสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้





บทร่างแรกของหนัง เกี่ยวกับหญิงตั้งครรภ์และสามีย้ายเข้ามาพักอาศัยในบ้านหลังใหม่ แล้วเธอบังเอิญพบเจอ-ตกหลุมรัก-ร่วมเพศสัมพันธ์กับ Faun ในเขาวงกต แล้วสั่งให้เมื่อคลอดบุตรจะต้องมอบทารกน้อยกับตนเอง เพื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราสองจักดำเนินต่อไปในโลกหน้า
I started with the story of a pregnant woman and her husband who moved into a house to reconstruct it during the Franco period. The woman fell in love sexually with a faun in a labyrinth, and the faun demanded that when her son was born, she would give it to him so they would continue their affair in the other world. It was a terrible tale of passion, but at some point it started to veer into fantasy, a clash between innocence and brutality.
Guillermo del Toro
ในบรรดาสัตว์อสูรจากเทพนิยายแฟนตาซี ทำไมถึงต้อง Pan/Faun? ผกก. del Toro บอกว่ามาจากความทรงจำวัยเด็กของตนเอง ชอบตื่นกลางดึกมารับชมรายการ The Charlie Rose Show (ฉายตอนเที่ยงคืน) แล้วนาฬิกาไขลานของปู่ทวด(ตอนเที่ยงคืน)จะมีตัว Faun ปรากฏตัวออกมาเสมอๆ ตอนนั้นยังไม่รับรู้จักด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แต่คือภาพติดตราฝังใจ
Well the genesis of this project, like so many others, goes back to my childhood. I was partially raised by my grandmother who was a staunch Catholic. Now for several years I used to share this huge bed with my brother. And when I’d wake up in the middle of the night I’d look over to the corner of the room and slowly the shadows would start to move and then I’d see a hand come out, and then I’d see the face of a goat-man, and then I’d see his left leg and it was a goat-leg! And then I’d start screaming and someone would come to my aid – probably my grandmother! So the movie’s pregnant with these moments, and has obviously always been there in some sort of Jungian way before I even knew who Pan/Faun was.
เกร็ด: ผกก. del Toro เลือกที่จะไม่รับค่าตัวสักแดง เพื่อนำมาใช้ในโปรดักชั่นงานสร้างของหนังให้มากที่สุด! แถมยังปฏิเสธสตูดิโอยื่นข้อเสนอถ้าเปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษจะเพิ่มงบประมาณให้เท่าตัว ($30 ล้านเหรียญ)
The answer was very immediate: no. Because the moment you start accepting anything that feels remotely wrong – and this is not just Catholic guilt, it’s strategy – the moment you give in, you’re giving up. You’ve lost control, it’s not the movie you wanted.
เรื่องราวมีพื้นหลัง Francoist Spain (1936-75) ราวปี ค.ศ. 1944, เด็กหญิงวัยสิบขวบ Ofelia (รับบทโดย Ivana Baquero) เดินทางร่วมกับมารดาท้องแก่ Carmen (รับบทโดย Ariadna Gil) เพื่อมาอยู่กับพ่อเลี้ยง Vidal (รับบทโดย Sergi López) หัวหน้าหน่วย Armed Police Corps ฝักใฝ่ Falangism อาศัยอยู่ระหว่างทิวเขา Sierra de Guadarrama ทางตอนกลางประเทศ Spain เพื่อไล่ล่ากำจัดกลุ่มกบฎ Spanish Maquis ต่อต้านจอมพลเผด็จการ Francisco Franco
ด้วยความที่ Ofelia ไม่ถูกชะตากับพ่อเลี้ยง เมื่อเดินทางมาถึงบ้านใหม่จึงจินตนาการ/พบเห็นตั๊กแตนกิ่งไม้กลายร่างเป็นภูตพราย (Fairy) นำพาเธอไปยังเขาวงกต (Labyrinth) ที่กึ่งกลางพบเจอกับสัตว์อสูร Faun เชื่อว่าเธอคือเจ้าหญิง Princess Moanna กลับมาชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ จึงมอบหมายบททดสอบสามภารกิจเสร็จก่อนถึงวันพระจันทร์เต็มดวง จักทำให้เธอสามารถหวนกลับสู่อาณาจักรใต้ดิน
Ivana Baquero Macías (เกิดปี ค.ศ. 1994) นักแสดงสัญชาติ Spanish เกิดที่ Barcelona เริ่มต้นเข้าสู่วงการแสดงตั้งแต่อายุแปดขวบ อาทิ Fragile (2005) ฯ ก่อนสามารถเอาชนะนักแสดงที่มาออดิชั่นกว่าพันคน แม้ขณะนั้นอายุสิบเอ็ดมากกว่าตัวละคร (ผกก. del Toro เขียนไว้ประมาณ 8 ขวบ) แต่สามารถสร้างความประทับใจอย่างล้นหลาม จนได้รับเลือกเล่นหนัง Pan’s Labyrinth (2006)
The character I wrote was initially younger, about 8 or 9, and Ivana came in and she was a little older than the character, with this curly hair which I never imagined the girl having. But I loved her first reading, my wife was crying and the camera woman was crying after her reading and I knew hands down Ivana was the best actress that had shown up, yet I knew that I needed to change the screenplay to accommodate her age.
Guillermo del Toro
รับบท Ofelia เด็กหญิงผู้เต็มไปด้วยอคติต่อพ่อเลี้ยง ด้วยความชื่นชอบเทพนิยาย จึงจินตนาการพบเห็นสิ่งต่างๆ ตั๊กแตนกิ่งไม้กลายร่างเป็นภูตพราย (Fairy) นำพาเธอไปยังเขาวงกต (Labyrinth) ที่กึ่งกลางพบเจอกับสัตว์อสูร Faun เชื่อว่าเธอคือเจ้าหญิง Princess Moanna กลับมาชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ จึงมอบหมายบททดสอบสามภารกิจ พิสูจน์ความกล้า (Courage), ควบคุมตนเอง (Conscience) และการเสียสละ (Sacrifice) ถ้าทำสำเร็จก่อนถึงวันพระจันทร์เต็มดวง จักทำให้เธอสามารถหวนกลับสู่อาณาจักรใต้ดิน
เกร็ด: ชื่อตัวละคร Ofelia แน่นอนว่าต้องอ้างอิงถึง Ophelia จากบทละครโศกนาฎกรรม Hamlet ของ William Shakespeare ทั้งสองต่างถูกครอบงำโดยบิดา เกิดความขัดแย้งในใจ และประสบโชคชะตาละม้ายคล้ายคลึง
สำหรับการเตรียมตัวรับบทนี้ Baquero เล่าว่าผกก. del Toro ส่งหนังสือการ์ตูน เทพนิยายแฟนตาซีหลายๆเรื่อง(ภาษา Spanish)ให้อ่านเพื่อสร้างความคุ้นเคย
when I was doing the filming Guillermo would send me lots of comics, because I love comics. And he sent me lots of fairytales, such as Peter Pan, Alice in the Wonderworld. He sent me lots of them so that I could get more into the atmosphere of Ofelia and more into what she felt. These were in Spanish, and it definitely helped me a lot.
Ivana Baquero
หาได้ยากที่นักแสดงเด็กจะแสดงออกทางอารมณ์ที่ละเอียดอ่อน แต่อาจเพราะ Baquero มีตัวเลขอายุในช่วงวัยกำลังให้ความสนใจสิ่งต่างๆรอบข้าง อย่างฉากร้องไห้สามารถทำได้เพราะบรรยากาศกองถ่าย ช่วยผลักดันให้เธอสามารถทำความเข้าใจความรู้สึกของตัวละคร พอเข้าฉากก็ร่ำร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว
Well, I think that some of the point of being an actress is being able to use your feelings and to interpret them, and I think Guillermo did help me a lot to use my feelings, to be able to [use] my fears and my sadness. There’s not a specific thing that made me cry, but the whole atmosphere that was surrounding Ofelia, the whole sad atmosphere, really helped me get into character and be able to shout or cry or be happy.
ถัดจาก Ana Torrent ภาพยนตร์ The Spirit of the Beehive (1973) ก็คงเป็น Baquero นักแสดงเด็กหญิงชาว Spanish ที่สามารถทำให้ผู้ชมตกหลุมรักในความบริสุทธิ์สดใส และตกอยู่ในความสิ้นหวัง
Sergi López i Ayats (เกิดปี ค.ศ. 1965) นักแสดงสัญชาติ Spanish เกิดที่ Vilanova i la Geltrú, Barcelona เริ่มต้นจากเป็นนักแสดงละคอนเวที ก่อนเดินทางไปเรียน École Internationale de Théâtre Jacques Lecoq ที่กรุง Paris จากนั้นแจ้งเกิดกับภาพยนตร์ฝรั่งเศส Western (1997), Harry, He’s Here to Help (2000) ** คว้ารางวัล César Award: Best Actor, Dirty Pretty Things (2002), Pan’s Labyrinth (2006) ฯ
รับบท Captain Vidal หัวหน้าหน่วย Armed Police Corps อาศัยอยู่ระหว่างทิวเขา Sierra de Guadarrama เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งแต่งงานกับ Carmen ระหว่างเธอตั้งครรภ์ท้องแก่ สั่งให้เดินทางมาอาศัยอยู่เคียงข้าง ต้องการพบเจอหน้าบุตรชายตอนลืมตาดูโลก, ขณะเดียวกันกลุ่มกบฎ Spanish Maquis ได้แทรกซึมเข้ามาในฐานทัพ ใครบางคนเป็นสายลับ จับได้เมื่อไหร่ก็พร้อมใช้ความรุนแรง เข่นฆ่าแกง ทัณฑ์ทรมานด้วยความเหี้ยมโหด กำจัดศัตรูเห็นต่างให้พ้นภัยทาง
ด้วยความที่ López เป็นนักแสดงสายตลก โปรดิวเซอร์เลยพยายามเตือนผกก. del Toro ว่าอาจไม่ใช่บุคคลเหมาะสมรับบทตัวร้าย จะขาดความน่าเชื่อถือ … แต่พี่แกสนใจเสียที่ไหน!
In Spain he is considered a melodramatic or comedic actor. The producers in Spain said, ‘You should be very careful because you don’t know about these things because you’re Mexican, but this guy is not going to be able to deliver the performance.’ And I used to tell them, ‘Well, it’s not that I don’t know, it’s that I don’t care.’
Guillermo del Toro
ผกก. del Toro อธิบายว่า López เป็นนักแสดงที่มีกิริยามารยาท ท่าทางแสดงออกสุภาพเรียบร้อย ภาพลักษณ์ภายนอกเหมือนผู้ดีมีสกุล แต่ขณะเดียวกันมันเหมือนมีลับลมคมใน บางสิ่งชั่วร้ายเคลือบแฝงอยู่ภายใต้ ลดระดับน้ำเสียง แสดงสีหน้าดำเคร่งเครียด ใส่รอยแผลเป็นสักหน่อย แค่นี้ก็แทบจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดชั่วร้าย
This guy is a very well groomed, very polished, gentlemanly monster. He gets up from his chair when a lady leaves a room. But he’s unfortunately a sociopath.
López มีโอกาสพบเจอผกก. del Toro ล่วงหน้าเป็นปีๆก่อนถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ร่วมรับประทานอาหาร พูดคุยโน่นนี่นั่น เล่าถึงพล็อตหนัง เปิดสมุดบันทึกให้ดูภาพการออกแบบ พอถามหาบทบอกยังไม่ได้เริ่มเขียน แต่ก็ตอบตกลงไปเรียบร้อยแล้วละ
He comes to Barcelona to meet me one year and a half before we started shooting, and we ate together, and I eat and I [listen to] him and he ate and talked. For two hours and a half he explained to me all the movie, but with all the details, it was incredible, and when he finished I said, ‘You have a script?’ He said, ‘No, nothing is written.’ But he explained all the movie and all the history to me, and he said, ‘So, you’ll do the movie?’ And I said, ‘Yes, okay, I’ll wait for the script,’ and one year later he sent me the script. And it was exactly the same, it was incredible. In his little head he had all the history with a lot of little detail, a lot of characters, like now when you look at the movie, it was exactly what he had in his head.
Sergi López
อย่างที่บอกไปว่า López คือนักแสดงสายตลก เล่นหนังดราม่าประปราย Captain Vidal จึงถือเป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญ! ชายผู้เหี้ยมโหด ไร้การประณีประณอม ชอบใช้ความรุนแรง ใครทำอะไรไม่พึงพอใจก็เข่นฆ่าแกง กวาดล้างศัตรูทางการเมืองให้สิ้นซาก แต่ทุกการกระทำล้วนสะท้อนปมด้อย/ความคาดหวังบิดา ตอนตัวตายทุบทำลายนาฬิกา นั่นทำให้เขาต้องพิสูจน์ตนเอง สร้างความภาคภูมิใจให้บรรพบุรุษ และเป็นต้นแบบอย่างให้กับลูกๆหลานๆ
Captain Vidal คือตัวแทนของ Fascism หรือจะมองว่าจอมพล Franco เลยก็ยังได้! พฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรง เข่นฆ่าแกง มันผิดวิปริตถึงระดับผู้ป่วยจิตเภท (Psychopath) หมกมุ่นกับอำนาจ (Order) การควบคุม (Control) ทุกสิ่งอย่างต้องเป๊ะๆ (Precision) โหยหาความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) และพยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อสืบทอด(อำนาจ)ให้กับลูกหลาน
[Captain Vidal] the most evil character I’ve ever played in my career. It is impossible to improve upon it; the character is so solid and so well written. Vidal is deranged, a psychopath who is impossible to defend. Even though his father’s personality marked his existence – and is certainly one of the reasons for his mental disorder – that cannot be an excuse. It would seem to be very cynical to use that to justify or explain his cruel and cowardly acts. I think it is great that the film does not consider any justification of fascism.
Sergi López
Doug Jones (เกิดปี ค.ศ. 1960) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Indianapolis ตั้งแต่เด็กชื่นชอบทำการแสดง Mime, สำเร็จการศึกษาจาก Ball State University แล้วเข้าสู่วงการโทรทัศน์ เป็นที่รู้จักจากบทบาทโฆษณา Mac Tonight เลยมักได้รับเลือกมาเป็นนักแสดงที่ต้องแต่งหน้า สวมใส่อวัยวะปลอม (Prosthetic Makeup) กระทั่งมีโอกาสร่วมงานผกก. Guillermo del Toro ตั้งแต่ Mimic (1997) เลยกลายเป็นนักแสดงขาประจำ Abe Sapien แฟนไชร์ Hellboy และสำหรับ Pan’s Labyrinth (2006) เล่นสองบทบาท Faun และ Pale Man
เกร็ด: Jones คือนักแสดงอเมริกันคนเดียวในกองถ่าย ไม่สามารถพูดภาษา Spanish ผกก. del Toro บอกให้เพียงขยับปาก อ่านออกเสียงตามบทพูด (phonetically) เพื่อที่จะพากย์ทับภายหลังโดย Pablo Adán
I’d already worked with him twice before, once on Mimic and once on Hellboy, so we had a relationship established. And when he sends me an e-mail saying, ‘You must be in this film. No one else can play this part but you,’ you tend to perk up your ears and listen. Okay, what’s the script? So I read it within hours of getting it and I couldn’t put it down. I turned the last page closed, wiped a tear and said, ‘I do have to be in this movie.’ I read an English translation of it, so I wasn’t in the Spanish mode yet. I was like, ‘Oh, what a great story. What great characters. Ah.’ Then I went back to the e-mail where he was like ‘da da da da it’s going to be in Spanish.’ IT’S GONNA BE IN SPANISH??? Oh no. So I’m telling him, ‘What do you mean no one else can play this but me? There’s a ton of Spanish actors who know Spanish.’
I was terrified and he assured me that everyone would be fine, we’ll get a voice over actor if you just want to count to 10, just do it in the right pausing, in the right mode and move, give me the right feeling. I can’t count to 10. I can’t do that to him. So he also talked about learning Spanish phonetically. I’m like what does that mean, phonetically? So he put together, he said, ‘For instance, if you want to se blah blah blah blah blah in Spanish, you might say the cheese cup fart.’ It’s a sounds like game, the phonetic thing, a string of English words together that are nonsensical but you at least know the English words and can remember them, and then it forms a sentence in Spanish that makes sense. Well, to me, that form of memorization was even harder than just going to the page and learning the Spanish which is what I did. It’s an ancient form of Spanish. Is that more difficult than the contemporary? I don’t know, I don’t know either one. It doesn’t matter, it doesn’t matter.
Doug Jones
ในขณะที่ Faun คือสัตว์อสูรจากเทพนิยายที่คอยให้คำแนะนำ มอบหมายบททดสอบสามภารกิจแก่ Ofelia เพื่อที่จะหวนกลับสู่อาณาจักรใต้ดิน, ตรงกันข้ามกับ Pale Man ไม่พูดไม่จา สวมใส่ดวงตาตรงฝ่ามือ สนเพียงกัดกินเนื้อเด็กดื้อ (Child-eating Monster) ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง … การที่สองตัวละครแตกต่างตรงกันข้าม รับบทโดยนักแสดงคนเดียวกัน มันย่อมต้องเคลือบแฝงนัยยะบางอย่าง!
ปล. อาจไม่ใช่แค่ Pale Man แต่เหมารวมถึงคางคกยักษ์ น่าจะคือสิ่งมีชีวิตสร้างขึ้นโดย Faun (creation of the Faun) หรืออาจมองว่าพวกมันคือ Faun ที่แปลงร่างมาเป็นบททดสอบ (Faun himself in another form)
The character of the faun is essentially the trickster. He is a character that is neither good nor bad. He’s a character … that’s why I chose a faun. Not “Pan.” Pan is just the translation, which is not accurate. It’s a faun, because the faun in classical mythology was at the same time a creature of destruction, and a creature of nurturing and life. So he can as easily destroy her as he can help her.
Guillermo del Toro
Jones ใช้เวลาห้าชั่วโมงในแต่ละวัน (ระยะเวลาสองเดือน) ทำการแต่งหน้าตัวละคร (Special Effect Make-Up) โดย David Martí และ Montse Ribé ทั้งสองสามารถคว้ารางวัล Oscar: Best Makeup
- ขณะที่ Faun ในตอนแรกจะทำตามปรัมปราคือครึ่งคน-ครึ่งแพะ แต่ไปๆมาๆกลายเป็นหน้าแพะ ส่วนร่างกายสร้างขึ้นจากดิน กิ่งก้าน เถาวัลย์ และพืชมอสส์ปกคลุมผิวหนัง (สื่อถึง Ofelia หายตัวจากอาณาจักรใต้ดินไปนาน เฝ้ารอคอยจนสภาพร่างกายเสื่อมโทรมตามกาลเวลา)
- เขาของ Faun คือส่วนสุดท้ายสวมใส่เพราะน้ำหนักถึง 10 ปอนด์ (4.536 กิโลกรัม)
- Faun ปรากฎตัวทั้งหมด 8 ครั้ง โดยรูปร่างหน้าตาจะมีความสดใส สะอาดสะอ้าน ดูดีขึ้นตามลำดับ
- Pale Man (Hombre Palido) ผิวขาวซีด รูปร่างผอมบางจนเห็นกระดูก นั่นเพราะมันยินยอมอดน้ำอาหาร สิ่งยั่วเย้าเบื้องหน้า เพียงเพื่อเฝ้ารอคอยโอกาสรับประทานเนื้อเด็กเท่านั้น
- ในตอนแรกผกก. del Toro จินตนาการภาพผีเด็กโปร่งใส พบเห็นเส้นเลือดและเส้นประสาท ตั้งชื่อว่า Nerve Ghost (Fantasma de Nervios) แต่คงเพราะต้องใช้เงินทุนไม่น้อย เลยเปลี่ยนแผนจะมาเป็นหุ่นเชิดไม้ (Wooden Puppet) ก่อนท้ายที่กลายมาเป็น Pale Man ใช้งบน้อยสุดเพราะแค่ออกแบบสร้างชุดสวมใส่นักแสดง
- Pale Man ได้แรงบันดาลใจปรัมปราผีญี่ปุ่น (Yōkai) ชื่อว่า Tenome (手の目) แปลว่า Eyes of Hand หรือ Hand Eyes ภูติผีที่มีดวงตาอยู่บนฝ่ามือ ออกล่ากินมนุษย์ในยามค่ำคืน
- จมูกของ Pale Man จะตรงกับบริเวณดวงตาของนักแสดง เพื่อให้สามารถมองเห็นขณะเข้าฉาก ออกวิ่งติดตาม
- ตัวละครนี้ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของ Fascism และสถาบันศาสนา (Church eating children) เต็มไปด้วยกฎระเบียบข้อบังคับ ใครไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจักถูกลงโทษทัณฑ์
ปล. มันไม่มีทางที่ Jones จะสวมใส่ทั้งชุดของ Faun และ Pale Man โดยเฉพาะส่วนขาเล็กลีบ หรือหลายข้อต่อ จึงใช้วิธีการแยกชิ้นส่วนเหล่านั้นออกจากร่างกายนักแสดง แล้วให้พวกเขาสวมใส่ชุดสีเดียวกับพื้นหลัง (Green Screen) เพื่อจะได้ลบออกระหว่างการทำเทคนิคพิเศษ


ถ่ายภาพโดย Guillermo Jorge Navarro Solares (เกิดปี ค.ศ. 1955) ตากล้องสัญชาติ Mexican เกิดที่ Mexico City เริ่มต้นหลงใหลการถ่ายภาพนิ่งตั้งแต่อายุสิบสาม ระหว่างเรียนสังคมวิทยา National Autonomous University of Mexico รับงานฟรีแลนซ์เกี่ยวกับการถ่ายรูป เริ่มสนใจในอุตสาหกรรมภาพยนตร์เมื่อพี่สาวที่เป็นโปรดิวเซอร์ ว่าจ้างให้มาเป็นถ่ายภาพในหนังของเธอ จากนั้นเริ่มทำงานเป็นผู้ช่วย เดินทางสู่ Paris ฝึกงานกับตากล้อง Ricardo Aronovich ใช้เวลากว่าสิบปีถึงเริ่มได้เครดิตภาพยนตร์เรื่องแรก Amor a la vuelta de la esquina (1986), ก่อนกลายเป็นตากล้องขาประจำผู้กำกับ Robert Rodriguez และ Guillermo del Toro ผลงานเด่นๆ อาทิ Cronos (1992), Desperado (1995), From Dusk till Dawn (1996), Jackie Brown (1997), The Devil’s Backbone (2001), Spy Kids (2001), Hellboy (2004), Pan’s Labyrinth (2006) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Cinematography, Night at the Museum (2006), The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part 1 & 2 (2011-12), Pacific Rim (2013) ฯ
งานภาพของหนังมีความลื่นไหล กล้องขยับเคลื่อนไหวแทบจะไร้ร่องรอยต่อ โดยเฉพาะระหว่างเปลี่ยนฉากจากเหตุการณ์จริง สู่เทพนิยายแฟนตาซีที่เด็กหญิงพบเห็น สร้างสัมผัสอันเลือนลาง ราวกับทั้งสองโลกอยู่ในระนาบเดียวกัน!
Del Toro moves between many of these scenes with a moving foreground wipe — an area of darkness, or a wall or a tree that wipes out the military and wipes in the labyrinth, or vice versa. This technique insists that his two worlds are not intercut, but live in edges of the same frame.
นักวิจารณ์ Roger Ebert
นอกจากลีลาการเคลื่อนเลื่อนกล้อง อีกสิ่งที่โดดเด่นคือการจัดแสง-สีสัน ลองสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่เด็กหญิงอยู่ในโลกเทพนิยายแฟนตาซี ระหว่างปฏิบัติภารกิจ หรืออยู่ภายในเขาวงกต จะมีการอาบฉาบแสงเขียว = สีของธรรมชาติ (แบบเดียวกับสีชุดของ Ofelia)
มันอาจเพราะตอนที่ผมรับชม Pan’s Labyrinth (2006) ยังไม่ค่อยรับรู้จักเทพนิยายอะไรมากมาย หวนกลับมารับชมคราวนี้เลยพบเห็นหลายสิ่งอย่างที่ผกก. del Toro ทำการอ้างอิงถึง อาทิ
- เสียงขยับปีกของภูตพราย = แมลงสาป Mimic (1997)
- ชุดของเด็กหญิง และขณะมุดลงไปในโพรงใต้ต้นไม้ = รูกระต่าย Alice in Wonderland (1951)
- คางคกยักษ์ = The Maze (1953)
- ชอล์กขีดสร้างประตู = Beetlejuice (1988)
- สัตว์ประหลาดที่มีดวงตาบนฝ่ามือ = On the Silver Globe (1988)
- ไล่ล่าในเขาวงกต = The Shining (1980)
- เลือดหยดลงในกลไก = Hellboy (2004)
- รองเท้าสีแดง = The Wizard of Oz (1939)
หนังปักหลักถ่ายทำอยู่ยังระหว่างทิวเขา Sierra de Guadarrama ทางตอนกลางของประเทศ Spain รายล้อมรอบด้วยป่าสน (Scots Pine) ระยะเวลาโปรดักชั่นระหว่าง 11 กรกฎาคม – 15 ตุลาคม ค.ศ. 2005
ช่วงขณะหยุดพักระหว่างการเดินทาง Ofelia พบเจอก้อนหินหน้าตาแปลกประหลาด ปรากฎว่ามันตามเติมเต็มดวงตารูปปั้นโบราณ แล้วปรากฎตั๊กแตนกิ่งไม้โบยบินออกจากช่องปาก … ทำไมต้องดวงตา? น่าจะต้องการสื่อถึงมุมมอง(ของผู้ชม)ในการรับชมหนังเรื่องนี้ เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการของเด็กหญิง หรือเธอพลัดหลงเข้าไปในเทพนิยายแฟนตาซีจริงๆ

วิธีการแนะนำตัวละครของผกก. del Toro มักฉายภาพที่สำแดงถึงความสนใจของบุคคลนั้นก่อนถ่ายให้เห็นรูปร่างหน้าตา ยกตัวอย่าง
- Ofelia ถ้าไม่ขณะอารัมบท จะเริ่มต้นตอนเปิดอ่านหนังสือเทพนิยาย แสดงถึงความลุ่มหลงใหลในโลกแฟนตาซี
- Captain Vidal ถ่ายภาพมือถือนาฬิกา พร่ำบ่นว่ามาถึงช้ากว่ากำหนด 15 นาที แสดงถึงการเป็นคนเข้มงวดกวดขัน ตรงต่อเวลา ไม่ชอบความเอื่อยเฉื่อย ล่าช้า


Captain Vidal ตอนทักทายแม่ลูก สังเกตว่าพวกเธอทั้งสองต่างยื่นมือขวามาเอื้อมจับ แต่ปฏิกิริยาแสดงออกกลับแตกต่างตรงกันข้าม
- สำหรับภรรยา Carmen ทั้งถอดถุงมือ แสดงความยินดีต้อบรับ มุมกล้องระดับสายตา พูดกระซิบกระซาบในลักษณะโน้มน้าวขอให้เธอทำตามคำร้องขอของตนเอง นั่งรถเข็นเข้าไปในบ้าน
- ตรงกันข้ามกับเด็กหญิง Ofelia สวมใส่ถุงมือ ก้มศีรษะลงมาตำหนิต่อว่าการจับมือต้องใช้ข้างซ้าย (แสดงถึงการมีอำนาจบาดใหญ่)


เรื่องเล่าของ Ofelia ให้กับน้องชายในครรภ์ ดั้งเดิมนั้นจะมีรายละเอียดมากกว่าแค่ดอกกุหลาบวิเศษเบ่งบานท่ามกลางดงหนามพิษ แต่ยังการต่อสู้ของมังกร Varanium Silex ปกป้องดอกไม้นี้ไม่ให้ใครได้ครอบครองแล้วกลายเป็นอมตะ … ถูกตัดทิ้งเพราะงบประมาณไม่เพียงพอ
แม้มังกรจะสูญหายไป แต่เรายังสามารถตีความดอกกุหลาบ = ความเป็นอมตะคือหนามแหลม, ใครเคยรับชม Cronos (1992) ผลงานเรื่องแรกของผกก. del Toro ก็น่าจะเข้าใจว่าทุกสิ่งอย่างล้วนมีข้อแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม การจะเป็นอมตะได้นั้นต้องพานผ่านเจ็บปวดทุกข์ทรมานกาย-ใจ ท้ายที่สุดแล้วจะเกิดการตั้งคำถามว่ามันคุ้มค่ากันแล้วใช่ไหม?
In the original draft of Pan’s Labyrinth – and all the way into production – the centerpiece of the fairy tale told by Ofelia to her unborn brother was a striking image: A Black, horned Dragon, fused with a flint stone mountain, surrounded with thorns. And, at the peak of the mountain, a delicate blue rose that concedes immortality to whomever would dare pluck it.
But so fierce was the Dragon (whom I called “Varanium Silex”) that men preferred to avoid pain than to gain eternal life. The fable was pertinent to the very core of the film’s message but, instrumental as it was, the Dragon had to be dropped out of the sequence. Money, resources and lack of time conspired to seal that fate.
Guillermo del Toro

ห้องทำงานของ Captain Vidal สังเกตว่าจะมีเฟืองขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง ผกก. del Toro เล่าว่าตั้งใจออกแบบให้เหมือนกลไกนาฬิกา (ของบิดา) สามารถสื่อความเข้มงวด กวดขัน แม่นยำ ตรงต่อเวลา (Precision) ขณะเดียวกันยังแสดงถึงอาการหวาดกังวล (Troubled Mind) เพราะต้องพยายามทำให้ตนเองสามารถเติมเต็มความคาดหวังของบิดา


เรื่องราวของสองพ่อลูกออกหากระต่ายยามค่ำคืน แล้วถูกจับกุมโดยสมาชิก Armed Police Corps แม้พวกเขาจะยืนกรานว่าไม่ใช่สมาชิกกลุ่มกบฎ แต่ทว่า Captain Vidal ก็มิได้ฟังคำแก้ต่าง ก่อนลงมือฆ่าปิดปากอย่างเลือดเย็น พอความจริงเปิดเผยมันก็สายเกินแก้ไข … ผมแอบรู้สึกว่าฉากนี้สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่าง Captain Vidal กับบิดา เห็นสองพ่อลูกนี้แล้วเกิดความอิจฉาริษยา ทั้งยังรับไม่ได้กับพฤติกรรมเอาอ่าวของบุตรชาย ก็เลย …
ปล. หนังมีการกล่าวถึงพระจันทร์อยู่บ่อยครั้ง Ofelia ต้องทำภารกิจให้สำเร็จก่อนถึงวันเพ็ญ 15 ค่ำ (พระจันทร์เต็มดวง) ลองสังเกตหากันดูนะครับ ตาดีได้ ตาร้ายเสีย

ผกก. del Toro ชื่นชอบสะสมแมลงมาตั้งแต่เด็ก เลือกใช้ต้นแบบ Heteropteryx หรือ Malaysian Stick Insect ก่อนกลายร่างเป็นภูติพราย (Fairy) รูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ หูแหลม และมีปีกเป็นใบไม้
Guillermo wanted the fairy to be very girly, so we tried to get some female characteristics into the stick bug before it transformed. When Ofelia shows the bug the picture of a fairy, the stick bug combs its wings back, kind of like a human looking in a mirror admiring her own butt. That was the very first humanoid movement that it did, before transforming.
Edward Irastorza ผู้ดูแลงานสร้าง VFX

มันอาจต้องใช้การสังเกตพอสมควร เมื่อไหร่ที่ Ofelia อยู่ในโลกความฝัน/เทพนิยายแฟนตาซี เฉดแสงสีของภาพจะมีโทนเขียวแก่ๆ สร้างความแตกต่างจากโลกความจริง (เฉดน้ำเงิน) สร้างสัมผัสสิ่งเหนือธรรมชาติ (แต่สีเขียวคือสีของธรรมชาติ)
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งเรียนรู้มาไม่นาน ภาษาไทยมีคำแปลเดียวคือ “เขาวงกต” แต่ภาษาอังกฤษคำว่า Maze และ Labyrinth มีความหมายแตกต่างกันพอสมควร! Maze คือเกมที่ผู้เล่นต้องหาหนทางออก ไม่รู้ทิศรู้ทาง พลัดหลงโดยง่าย, Labyrinth จะมีเพียงเส้นทางเดียว เลี้ยวลดคดเคี้ยว ดำเนินสู่จุดศูนย์กลาง
A maze is a place where you get lost, but a labyrinth is essentially…an ethical, moral transit to one inevitable center.
Guillermo del Toro


เวลาตัวละครต้องการทำสิ่งลับๆล่อๆ มักต้องขณะอยู่ในห้องน้ำ! คุณปู่แอบใช้อุปกรณ์ Cronos (1992) หรือเรื่องนี้ Ofelia เปิดหนังสือภารกิจได้รับจาก Faun ต่างคือสัญญะของการค้นพบสิ่งเหนือธรรมชาติ (การถ่ายท้อง=)ปลดปล่อยจินตนาการ
There’s a gag from Cronos that I repeated in Pan’s Labyrinth, of a huge discovery in a bathroom: in Pan’s Labyrinth it’s the girl with the book, and in Cronos, it’s him discovering that his wounds are healing and he’s feeling younger.
Guillermo del Toro

แม่บ้าน Mercedes ราวกับ Ofelia วัยผู้ใหญ่ที่หลังจากเลิกเชื่อในเทพนิยาย กลายเป็นสมาชิกกลุ่มกบฎ แอบให้การช่วยเหลือน้องชาย (แบบเดียวกับน้องชายที่กำลังจะคลอดของ Ofelia) ส่งเสบียง ส่งยารักษาโรค ช่วยจัดแจงโน่นนี่นั่นลับหลัง Captain Videl … ด้วยเหตุนี้กระมัง Mercedes จึงมีความเป็นห่วงเป็นใย รักเอ็นดู Ofelia ราวกับบุตรสาวแท้ๆ นั่นกระมังคือที่ฉากนี้ทำการเปรียบเทียบเธอกับวัวตัวเมีย/กำลังรีดนมวัว
เกร็ด: Maribel Verdú (เกิดปี ค.ศ. 1970) คือนักแสดงที่มักได้รับบทหญิงสาวยั่วราคะ “Sex Goddness” อาทิ Lovers (1991), Belle Époque (1992), Lucky Star (1997), Y tu mamá también (2001) พอมาถึง Pan’s Labyrinth (2006) เป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญ สายตาของเธอดูเศร้าๆ เต็มไปด้วยความสงสารเห็นใจ
The idea for me is that you’re born with a mother and then you find another on the way. You are born with a brother and you find another one on your way. You fabricate your family as you grow up. Mercedes is the future of Ofelia if Ofelia chose to stop believing. Ofelia asks Mercedes, “Do you believe in fairies?” And Mercedes says, “I used to when I was a child. I used to believe many things that I don’t believe in any more.” That’s why the attraction is so strong. They see each other in each other. They see their strength. Mercedes loves the purity of this girl and Ofelia instinctively knows the nature of this woman. They form a mother and daughter bond. That’s why it’s so tragic for me that Mercedes cries for [Ofelia] at the end because for Mercedes the girl died but we know she didn’t. That is very Catholic
Guillermo del Toro

แผนการดั้งเดิมนั้นภายในโพรงต้นไม้จะเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ เพื่อว่าเจ้าคางคกยักษ์จะสามารถกระโดดไปกระโดดมารอบตัว Ofelia เรื่องงบไม่ใช่ปัญหา แต่ปรากฎว่าเจ้าคางคกสร้างมาน้ำหนักมากเกินจนดูแล้วไม่น่าจะกระโดดไหว เลยมีการปรับแก้ไขฉากนี้ใหม่ในระยะเวลาสองวัน หลงเหลือโพรงขนาดเล็กๆแคบๆ ตกแต่งด้วยสารพัดแมลง และใช้เพียงลิ้นเป็นอาวุธ
เจ้าคางคกยักษ์ มักถูกมองในเชิงสัญลักษณ์ของความละโมบโลภมาก (Greed) กลืนกินแมลง รากไม้ (จนต้นไม้เหลือเพียงกิ่งก้าน) จนตัวอวบอ้วน ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวไปไหน แต่หลังจาก Ofelia ให้มันกินยาถ่าย สำรอกทุกสิ่งอย่างออกมาจนตัวเล็กแฟบ แทบไม่หลงเหลือสภาพยิ่งใหญ่ … นี่สามารถเหมารวมถึงอำนาจ ชื่อเสียง เงินทอง อุดมการณ์ของ Fascism กอบโกยทุกสิ่งอย่าง ซึ่งพอหมดอำนาจ สูญเสียชื่อเสียง-เงินทอง บุคคลนั้นก็มักจะไม่หลงเหลืออะไร
ปล. รูปลักษณะของซากไม้ (Fig Tree, ต้นมะเดื่อ) มองไปมองมามันช่างละม้ายคล้ายเขาแพะ ใบหน้าของ Faun และรอยแตกตรงกลางต้นยังสามารถสื่อถึงโลกสองใบ (โลกความจริง vs. เทพนิยายแฟนตาซี)


ลูกกุญแจที่ Ofelia บุกน้ำลุยโคลนกว่าจะได้มา มันคือดอกเดียวกับที่ Captain Vidal ไขประตูห้องเก็บเสบียงหรือเปล่า? สำหรับคนที่ครุ่นคิดว่าแฟนตาซีทั้งหมดคือจินตนาการของเด็กหญิง มันย่อมมีความเป็นไปได้ว่าเธอแอบได้ยินเรื่องกุญแจ ห้องเสบียง แล้วนำไปครุ่นคิดเป็นตุเป็นตะ
สำหรับคนมองว่าเทพนิยายคือเรื่องจริง แน่นอนว่าต้องเป็นกุญแจคนละดอก ไขแม่กุญแจคนละบาน แต่มีความเชื่อมโยงใยในทิศทางแตกต่างตรงกันข้าม! กุญแจสู่ดินแดนแฟนตาซี vs. กุญแจเปิดโลกความจริงอันโหดร้าย


The words that the priest speaks at the table in Pan’s Labyrinth are taken verbatim from a speech a priest used to give to the Republican prisoners in a fascist concentration camp. He would come to give them communion and he would say before he left, “Remember, my sons, you should confess what you know because God doesn’t care what happens to your bodies; he already saved your souls.” This is taken verbatim from that speech.
Guillermo del Toro
คำกล่าวของบาทหลวงนี้ เป็นการแสดงออกว่าคริสตจักรในสเปนแทนจะเข้าข้างประชาชน กลับให้การสนับสนุนหลังระบอบเผด็จการของจอมพล Fransco ไม่ได้สนใจว่าความถูกต้องเหมาะสม เพียงตนเองได้รับผลประโยชน์ คงสถานะและอำนาจ อะไรอย่างอื่นฉันไม่สน!

มันไม่ใช่ว่าหนังสือของ Faun ควรเป็นบททดสอบ เปิดเผยภารกิจถัดไปหรอกหรือ? เหตุไฉนตอนมารดาตกเลือด ถึงพบเห็นคราบเลือดปรากฎขึ้นมา? (ทำออกมาเหมือนมดลูกของผู้หญิง) ราวกับว่าหนังสือเล่มนี้สามารถสะท้อนความรู้สึก หรือจินตนาการเด็กหญิงออกมา!

Mercedes นำพา Doctor Ferreiro มารักษาอาการบาดเจ็บของหนึ่งในสมาชิกกลุ่มกบฎ Spanish Maquis อาการสาหัส จำเป็นตัดตัดขาทิ้ง นั่นคือช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง! แต่ขณะเดียวกันนั้นมีคนอ่านข่าวหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นยุโรป (ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง) นั่นถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างขวัญกำลังใจ … เป็นการนำเสนอความหวัง & สิ้นหวัง (แฟนตาซี & ความจริงที่โหดร้าย) อยู่เคียงข้างกัน

ภาพซ้ายคือตอน Captain Vidal จัดงานเลี้ยงอาหารให้กับสมาชิกผู้ฝักใฝ่ Falangism บนโต๊ะเต็มไปด้วยขนมปัง และเนื้อสัตว์, ส่วนภาพขวาคือบททดสอบที่สองของ Ofelia ขีดชอล์กมายังห้องโถงที่มีสัตว์ประหลาด Pale Man และบนโต๊ะเต็มไปด้วยเครื่องดื่มและผลไม้ (องุ่น)
นี่ก็เป็นการเปรียบเทียบอย่างตรงไปตรงมาว่า Pale Man คือตัวแทนของ Captain Vidal หรือจะมองว่า Fascism หรือผู้นำเผด็จการ Franco ที่ชอบใช้อำนาจบาดใหญ่ ใครกระทำผิดกฎระเบียบ แอบลักขโมยเสบียงกรัง รับประทานผลไม้ต้องห้าม จักถูกไล่ล่า เข่นฆ่า กลืนกินทั้งเป็น
นอกจากนี้ Pale Man ยังเป็นตัวแทนคริสต์ศาสนา ภาพลักษณ์ภายนอกเหมือนบาทหลวงสวมใส่ชุดขาว เรียกร้องให้คริสตชนต้องปฏิบัติตามบัญญัติของพระเจ้า ใครกระทำสิ่งนอกรีตนอกรอยจักถูกไล่ล่า เข่นฆ่า กำจัดแม่มดให้พ้นภัยพาล … ในมุมของผกก. del Toro ศาสนาไม่แตกต่างจากเผด็จการสักเท่าไหร่
The Pale Man represents the Church for me, y’know? Represents fascism and the Church eating the children when they have a perversely abundant banquet in front of them. There is almost a hunger to eat innocence. A hunger to eat purity.
Guillermo del Toro


มีเด็กๆมากมายที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เลยถูกเข่นฆ่า กลืนทั้งเป็น ทอดทิ้งไว้เพียงรองเท้า (เสื้อ-กางเกง หายไปไหน?) แต่ภาพกองรองเท้านี้ปลุกความทรงจำของคนรุ่นเก่า ชวนระลึกนึกถึงเหตุการณ์ Holocaust ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง (พวกนาซีจะสั่งให้ชาวยิวถอดเสื้อผ้า/สิ่งข้าวของมีค่า วางกองพะเนิน ก่อนส่งเข้าเตาเผา) นี่เป็นการสะท้อนถึงเผด็จการใช้อำนาจกำจัดบุคคลเห็นต่าง

นี่เป็นปริศนาที่ผมก็ตอบไม่ได้ Ofelia รู้ได้อย่างไรว่าไขแม่กุญแจบานไหน? แต่ความน่าสนใจคือสารพัด “สูตรสาม” ที่สามารถพบเห็นได้ตลอดทั้งเรื่อง สามภารกิจ ภูติพรายสามตน กุญแจนับรวมแล้วสามดอก ขีดชอล์กทั้งหมดสามครั้ง (สองครั้งตอนภารกิจสอง และอีกครั้งตอนภารกิจสาม) สามบังลังก์ในอาณาจักรใต้ดิน ฯ (และที่น่าทึ่งสุดก็คือ สามรางวัล Oscar)
ทำไมสิ่งไขออกมาจึงคือ กริช (Ceremonial Dagger) อาวุธที่ใช้สำหรับปกป้อง หรือทำลายล้าง ซึ่งจุดประสงค์ของภารกิจที่สามคือเข่นฆ่าน้องชาย (=การทำลายล้าง) แต่ทว่า Ofelia กลับปฏิเสธลงมือ (=การปกป้อง) นั่นทำให้เธอกลายเป็นผู้เสียสละในพิธีกรรมดังกล่าว
ปล. ภารกิจหนึ่ง-สองของ Ofelia ได้ครอบครองกุญแจ & กริช = Mercedes พกกุญแจและมีด(ทำครัว)ติดตัวอยู่ตลอดเวลา


ทำไม Ofelia ถึงไม่สามารถหักห้ามใจตนเอง? รับประทานผลไม้ต้องห้าม? คำอธิบายง่ายสุดตามความเชื่อของชาวคริสเตียน ก็คือต้องย้อนไปถึง Adam & Eve ถูกล่อลวงโดยอสรพิษให้รับประทานผลแอปเปิ้ลในสวนอีเดน เช่นนั้นแล้วมนุษย์ธรรมดาๆ ย่อมมิอาจหยุดยับยั้งช่างใจต่อกิเลส(ตัณหา) ขณะเดียวกันเราสามารถมองในเชิงสัญลักษณ์ถึงการสำแดงอารยะขัดขืนต่อกฎกรอบ ข้อบังคับ ทำไมฉันต้องปฏิบัติตามคำสั่งใคร = กลุ่มกบฎต่อต้านรัฐบาล ปฏิเสธก้มหัวศิโรราบต่อเผด็จการ

Mandrake พืชในวงศ์ไม้มะเขือ (Solanaceae) จุดเด่นคือรากมีการแยกสองง่ามทำให้ดูคล้ายร่างมนุษย์ ดอกสีม่วง ใบสีเขียวค่อนข้าวยาว ผลทรงกลม ให้ลูกเล็กๆสีแดงคล้ายผลมะเขือเทศ ดอกสีม่วงสามารถใช้เป็นยาแก้ปวด ยาชา ยาอายุวัฒนะ รวมถึงยาหลอนประสาท, ตามความเชื่อทางเวทมนตร์นิยมเรียก ‘รากหมอแห่งคุณไสย’ เป็นส่วนผสมของยาแก้คำสาปที่ทรงอนุภาพ ทำให้คนที่ถูกสาปหรือแปลงร่างกลับสู่สภาพเดิม
ในบริบทของหนัง Mandrake เหมือนจะมีพลังพิเศษที่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของมารดา รูปร่างหน้าตาเหมือนทารกน้อย แต่มันต้องดื่มนมและเลือด (สัญลักษณ์ความบริสุทธิ์ และเหี้ยมโหดร้าย) วางเอาไว้ใต้เตียง ค่ำคืนแรกไม่มีปัญหาอะไร แต่พอ Captain Vidal มาพบเจอวันถัดไป หายนะจึงมาเยือน
The Mandrake was real only in the scenes where it was tossed around. Guillermo wanted the movement to be a little more fluid, so we used the puppet more as reference and re-created it digitally. When she turned from side to side and adjusts her feet, the mandrake had to mimic those actions almost exactly. But because there’s a time delay the audience sees the mother moving first, so we had the mandrake perform the same thing with a broader movement to move the audience’s eyes there.
Edward Irastorza ผู้ดูแลงานสร้าง VFX

เมื่อตอนที่กลุ่มกบฎระเบิดหัวจักรรถไฟ (เพื่อทำการล่อลวง Armed Police Corps ออกจากฐานทัพ แล้วบุกเข้าไปปล้นเสบียงกรัง) ภาพช็อตนี้กล้องเริ่มจากถ่ายภาพมุมก้มเบื้องบน ก่อนเคลื่อนลงมามุมเงยเบื้องล่าง นี่สามารถสื่อถึงเทวดาตกสวรรค์ สูงสุดหวนกลับสู่สามัญ = กลุ่มกบฎพยายามโค่นล่มรัฐบาลเผด็จการ
ท้องฟ้าด้านหลังปกคลุมด้วยเมฆมืดครื้ม น่าจะสร้างด้วย CGI เพราะมันคงไม่บังเอิญฟ้าแลปได้ขนาดนั้น สำหรับสำแดงความเกรี้ยวโกรธาของ Captain Vidal และยิ่งพอรับรู้ว่าถูกล่อหลวงออกมา ขณะหวนกลับฐานทัพพายุฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมา

สองคนนี้คือ Fernando Tielve (Carlos) และ Iñigo Garcés (Jaime) สองนักแสดงเด็กจาก The Devil’s Backbone (2001) เอาจริงๆผมจดจำใบหน้าพวกเขาไม่ได้ เพราะเด็กๆโตไว เป็นผู้ใหญ่แล้วหน้าเปลี่ยนไปเยอะ ซึ่งนี่คือการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างหนังสองเรื่อง กลุ่มเด็กๆผู้รอดชีวิตจากวันนั้น กลายมาเป็นสมาชิกกลุ่มต่อต้าน Spanish Maquis แล้วจบชีวิตลงในวันนี้

ถ้าเป็นสมัยก่อนการจะถ่ายช็อต Deep Focus แบบนี้ต้องถ่ายภายนอกครั้งหนึ่ง ถ่ายภายในอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำมาแปะติดปะต่อเข้าด้วย แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถทำให้ระยะภาพใกล้-ไกล แสงสว่างภายนอก-ใน หรือแม้แต่คนละเฉดสี สามารถทำออกมาได้โดยการถ่ายทำเพียงครั้งเดียว … สร้างสัมผัสราวกับโลกคนละใบ

Because the paths to the Lord are inscrutable; because the essence of His forgiveness lies in His word and in His mystery; because although God sends us the message, it is our task to decipher it. Because when we open our arms, the earth takes in only a hollow and senseless shell. Far away now is the soul in its eternal glory, because it is in pain that we find the meaning of life, and the state of grace that we lose when we are born; because God, in His infinite wisdom, puts the solution in our hands; and because it is only in His physical absence that the place He occupies in our souls is reaffirmed.
ทีแรกผมนึกว่าคำไว้อาลัย (Eulogy) มาจากคัมภีร์ไบเบิล แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบเจอ คงเป็นการครุ่นคิดเขียนขึ้นมาใหม่ ก่อนจะพบความสุขต้องผ่านความเจ็บปวดทรมาน “In pain that we find the meaning of life” ซึ่งสามารถสะท้อนถึงอุดมการณ์การเมืองของ Francoist Spain อย่างตรงไปตรงมา

ผมเคยเห็นช็อตคล้ายๆกันนี้ใน Mimic (1997) และ The Devil’s Backbone (2001) ใช้บางอย่างบดบังสิ่งที่อยู่ด้านหลัง แอบสร้างความตกใจ/คาดไม่ถึง (Shock Value) เรื่องนี้ก็คือร่มของ Mercedes ขณะหลบหนี ไม่ทันสังเกตด้านหลัง พอเปิดออกมาจึงพบว่า Captain Vidal เฝ้ารอคอยเธออยู่ จับได้ว่าแอบเป็นสายลับ

ในขณะที่กุญแจจากภารกิจแรกของ Ofelia เทียบแทนกุญแจไขห้องเก็บเสบียง, กริช (Ceremonial Dagger) จากภารกิจที่สอง น่าจะสามารถเทียบเคียงมีดทำครัวของ Mercedes ที่พอใช้เสร็จจะม้วนซ่อนไว้ในกระโปรง เผื่อว่าวันหนึ่งโดนจับกุม กำลังจะถูกทัณฑ์ทรมาน ใช้มันตัดเชือก แทงข้างหลัง (ทรยศหักหลัง) แทงข้างหน้า (เผชิญหน้าอย่างไม่หวาดกลัว) และกรีดริมฝีปาก Captain Vidal ก่อนหลบหนีเอาตัวรอด … รวมแล้วทิ่มแทงทั้งหมดสามครั้ง
ถ้าวิเคราะห์จากคำกล่าวของ Mercedes เหตุผลการกรีดปาก Captain Vidal สะท้อนถึงความละโมบในอำนาจของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันยังสามารถสื่อถึงการแสดงออกของเพศหญิงที่ไร้หนทางสู้ กลับสามารถโต้ตอบ เชือดเฉือน ท้าทายบุรุษ/บุคคลผู้มีพละพลังอำนาจเหนือกว่า … ตอนกรีดริมฝีปาก Captain Vadal จะนั่งคุกเข่า (จากความเจ็บปวดหลังถูกทิ่มแทงหน้า-หลัง) ไร้หนทางต่อต้านขัดขืน

ช็อตนี้ดูจงใจให้ Captain Vadal นั่งลงตรงตำแหน่งเดียวกับกองไฟด้านหลัง รับฟังลูกน้องรายงานว่ากลุ่มกบฎกำลังห้อมล้อมเข้ามา จำนวนมากกว่าเท่าตัว ไม่มีทางที่เราจะเผชิญหน้าต่อสู้ … สามารถสื่อถึงจิตใจลุ่มร้อน มอดไหม้ ใกล้ถึงจุดจบ การสู้รบครั้งสุดท้าย

ใบหน้าครึ่งซีกของ Captain Vidal ปกคลุมด้วยความมืดมิด ทันทีที่พบเห็น Ofelia ลักพาตัวบุตรชายของตนเอง แม้อาการสะลึมสะลือจากฤทธิ์ยานอนหลับ แต่ยังสามารถออกไล่ล่า พร้อมเข่นฆ่า (แบบเดียวกับ Pale Man เมื่อตอนภารกิจสอง) ใครจะทำอะไร กลุ่มกบฏโจมตี ฉันไม่สนใจทั้งนั้น เพียงต้องการเลือดเนื้อเชื้อไข ปกป้องทายาทสืบสายเลือดวงศ์ตระกูลเท่านั้นเอง!


คุณเห็นพระจันทร์เต็มดวงนั่นไหม? ในปรัมปรา เทพนิยาย ค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวงมักมีความพิศวงอะไรบางอย่าง สัญลักษณ์ของการครบรอบ เติมเต็ม วัฏจักรชีวิต และยังสามารถสื่อถึงรอบเดือนของสตรีเพศ … บางคนเลยตีความเลือดของ Ofelia ถูกยิงตรงท้องน้อย คือสัญลักษณ์แทนประจำเดือน การเติบโตของเด็กหญิง (มีประจำเดือนครั้งแรก) สู่ความเป็นผู้ใหญ่
ปล. ผมเลือกภาพพระจันทร์เต็มดวงมาแค่ช็อตนี้ แต่ถ้าคุณลองมองหาตลอดทั้งไคลน์แม็กซ์ จะพบเห็นพระจันทร์ทั้งหมดสามครั้ง (ตอนเข้าเขาวงกต, ภาพสะท้อนผิวน้ำ และหลังความตายของ Ofelia)

เมื่อครั้น Captain Vidal มาถึงยังกึ่งกลางเขาวงกต พบเห็น Ofelia ยืนอยู่ตัวคนเดียวสนทนากับอากาศธาตุ นี่อาจเป็นฉากทำให้หลายคนเกิดความเชื่อมั่น/ยืนกรานว่าทุกสิ่งอย่างพบเห็นคือแฟนตาซีของเด็กหญิง แต่บุคคลไร้ความเชื่อศรัทธาในเทพนิยาย ย่อมมิอาจมองเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติ … ผมแอบรู้สึกว่าถ้าเปลี่ยนคำว่าเทพนิยาย มาเป็นพระเจ้า ก็ยังได้ความหมายเดียวกัน!
The movie is like a Rorschach test where, if you view it and you don’t believe, you’ll view the movie as, “Oh, it was all in her head.” If you view it as a believer, you’ll see clearly where I stand, which is it is real.
Guillermo del Toro


แทนที่กลุ่มกบฎจะติดตามเข้าไปในเขาวงกต กลับเฝ้ารออยู่ภายนอก นั่นเพราะ ‘labyrinth’ มีหนทางเข้า-ออกเพียงหนึ่งเดียว และถ้าเรามองว่าเขาวงกตคือตัวแทนโลกแฟนตาซี(ของเด็กหญิง) Captain Vidal ก้าวออกมาพบเจอโลกความจริงอันโหดร้าย ความพ่ายแพ้อันย่อยยับ มอดไหม้ เห็นเปลวเพลิงอยู่เบื้องหลังไกลๆ
ความตายของ Captain Vidal ถูกยิงเข้าตรงแก้ม (คำว่า Cheek, Cheeky มันสามารถแปลว่าความหน้าด้าน, เย่อหยิ่ง, หลงตนเอง ฯ) ดวงตาแดงกล่ำ (จุดจบวิสัยทัศน์ มองไม่เห็นอนาคตของตนเอง/วงศ์ตระกูล) ก่อนล้มลงสิ้นใจตาย ทุกสิ่งอุตส่าห์สร้างไว้ไม่หลงเหลืออะไร … นาฬิกาอุตส่าห์ทุบทำลาย คราวนี้กลับกลายเป็นสื่อถึงจุดจบของเผด็จการ
The fascist dies the loneliest death you could ever experience … [I’m reminded] of the quote by Kierkegaard that said, “The tyrant’s rule ends with his death. The martyr’s rule begins with it.” It is the legacy—no matter how small it is—that makes [Ofelia] survive that episode.
Guillermo del Toro


จากแสงสีเขียวกลายเป็นอาบฉาบแสงสีทอง จากนั้น Fade-to-Gold เด็กหญิงมาปรากฎตัวยังอาณาจักรใต้ดิน แต่งชุดเจ้าหญิง สวมใส่รองเท้าแดง (เหมือนจะสื่อนี่คือดินแดนหลังสายรุ้ง The Wizard of Oz (1939)) พบเจอพระบิดา (รับบทโดย Federico Luppi) นั่งอยู่กึ่งกลางบัลลังก์ทอง เปิดเผยความสำคัญของบททดสอบสุดท้าย คือการเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ตามคติความเชื่อของชาวคริสเตียนคือคุณธรรมขั้นสูงสุด! จักทำให้กลายเป็นอมตะนิรันดร์
She dies at peace with what she did. She’s the only character in the film who decides not to enact any violence. Not to take any lives. Even the doctor takes a life. But the only one who chooses “I will not take any life because I own only mine”, that’s the character that survives, spiritually.
Guillermo del Toro


นี่คือวินาทีความตายของ Ofelia เริ่มจากกล้องวางบนพื้น (ถ่ายติดดวงจันทร์ และสมาชิกกลุ่มกบฎยืนไว้อาลัย) จากนั้นเคลื่อนเลื่อนหมุน ก่อนค่อยๆยกตัวขึ้นแนวดิ่งพร้อมๆก้มมองลงมา สร้างสัมผัสราวกับวิญญาณล่องลอยออกจากร่าง โบยบินสู่สรวงสวรรค์ … แฟนตาซีของเด็กหญิงหวนกลับสู่อาณาจักรใต้ดิน แต่ชีวิตจริง(ตามหลักศาสนาคริสต์)วิญญาณของเธอน่าจะขึ้นสู่สรวงสวรรค์

If you die and your legacy is one little flower blooming in a dry tree, that’s enough of a legacy for me. And that’s a magical legacy. If she had not done the things she did, the tree would have never bloomed, but, because she did them, there is a little flower blooming… My last image in the movie is an objective little white flower blooming in a dead tree with the bug watching it.
Guillermo del Toro
ต้นมะเดื่อที่ควรตายไปแล้ว แต่หลังเด็กหญิงจัดการกับคางคกยักษ์ตอนภารกิจแรก ดอกมะเดื่อ (Fig Flower) จึงเริ่มเบ่งบานขึ้นอีกครั้ง หรือจะมองในเชิงสัญลักษณ์แทนความตายและถือกำเนิดใหม่ (Rebirth) ของ Ofelia ก็ได้เช่นเดียวกัน!

ตัดต่อโดย Bernat Vilaplana สัญชาติ Spanish ผลงานเด่นๆ อาทิ Pan’s Labyrinth (2006), Hellboy II: The Golden Army (2008), The Impossible (2012), Crimson Peak (2015), A Monster Calls (2016), Jurassic World: Fallen Kingdom (2018) ฯ
หนังเริ่มต้นจากการเดินทางของ Ofelia และมารดาท้องแก่ Carmen เพื่อมาอาศัยอยู่กับบิดาบุญธรรม Captain Vidal ยังทิวเขา Sierra de Guadarrama โดยจะดำเนินเรื่องคู่ขนานระหว่างเด็กหญิงผจญภัยในเทพนิยายแฟนตาซี ตัดสลับกับโลกความจริงอันโหดร้าย การเผชิญหน้าระหว่างหน่วย Armed Police Corps vs. กลุ่มกบฎ Spanish Maquis
- การมาถึงของ Ofelia
- อารัมบท, เสียงบรรยายเล่าถึง Princess Moanna กับความใฝ่ฝันถึงท้องฟ้าเบื้องบน
- ระหว่างการเดินทางมาอยู่กับบิดาบุญธรรม Ofelia พบเจอกับตั๊กแตนกิ่งไม้ ครุ่นคิดว่าคือภูตพราย (Fairy)
- Captain Vidal มารอคอยต้อนรับภรรยา Carmen
- Ofelia เดินติดตามตั๊กแตนกิ่งไม้เข้าไปยังเขาวงกต
- ยามค่ำคืนมารดาเล่านิทานก่อนนอน
- Captain Vidal สำเร็จโทษชาวบ้านหากระต่าย
- Ofelia ตื่นขึ้นกลางดึก เดินเข้าไปยังเขาวงกตพบเจอกับ Faun ได้รับมอบหมายสามภารกิจ
- ภารกิจพิสูจน์ความหาญกล้า
- เริ่มต้นด้วยกิจวัตรยามเช้า
- Ofelia เปิดอ่านหนังสือ รับภารกิจค้นหากุญแจ
- เสบียงกรังส่งถึงฐานทัพ Captain Vidal ขอกุญแจห้องเก็บของจากแม่บ้าน Mercedes
- Ofelia มุดลงในโพรง เผชิญหน้าคางคกยักษ์ พบเจอกุญแจในมูลที่(คางคก)สำรอกออกมา
- Captain Vidal พบเห็นควันไฟ จึงพาลูกน้องออกติดตามหา พบเจอหลอดยาเพนิซิลิน
- Captain Vidal เลี้ยงอาหารเย็นกับสมาชิก Falangism
- กลางดึก Ofelia เดินเข้าไปยังเขาวงกต เพื่อแจ้งความสำเร็จในภารกิจกับ Faun
- ภารกิจเรียนรู้จักควบคุมตนเอง
- ยามเช้าไขกุญแจห้องเก็บของ แจกจ่ายเสบียงกรัง
- มารดาตกเลือก ทำให้ Ofelia ต้องแยกออกมานอนคนเดียว
- Faun แวะเวียนมาหา Ofelia สอบถามไถ่ทำไมไม่ทำภารกิจ
- Mercedes นำพา Doctor Ferreiro ไปรักษาผู้ป่วย ณ ที่ซ่อนตัวของกลุ่มกบฎ Spanish Maquis
- Ofelia ใช้ชอล์กขีดผนัง เข้าไปในห้องโถง เผชิญหน้ากับ Pale Man มิอาจหักห้ามใจตนเอง โชคยังดีหลบหนีออกมาได้สำเร็จ
- เช้าวันถัดมา Ofelia นำเอาต้น Mandrake วางไว้ใต้เตียงมารดา
- กลุ่มกบฎระเบิดขบวนรถไฟ แต่นั่นเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ ก่อนเข้าปล้นเสบียงกรัง
- การโจมตีกลุ่มกบฎ สามารถจับกุมนักโทษ Captain Vidal จึงทำทัณฑ์ทรมานเค้นความลับ
- กลางดึก Ofelia เดินเข้าไปยังเขาวงกต พอแจ้งว่าสูญเสียภูตพรายไปสองตน สร้างความไม่พึงพอใจอย่างรุนแรงให้กับ Faun
- ภารกิจแห่งการเสียสละ
- Doctor Ferreiro ตัดสินใจปลิดชีวิตนักโทษคนนั้น ขัดคำสั่ง Captain Vidal
- Captain Vidal พบเห็น Ofelia ทำอะไรบางอย่างอยู่ใต้นอน
- Captain Vidal ลงมือสังหาร Doctor Ferreiro พอดิบพอดี Carmen ท้องเดินกำลังจะคลอด
- โชคร้ายที่ Carmen ตกเลือดจนเสียชีวิต แต่ยังโชคดีที่คลอดบุตรสำเร็จ
- Captain Vidal แสดงความเคลือบแคลงสงสัย Mercedes
- Mercedes ขณะกำลังพา Ofelia หลบหนี ถูกจับกุมโดย Captain Vidal
- ระหว่างที่ Captain Vidal กำลังจะทำการทรมาน Mercedes เธอใช้กริชซุกซ่อนไว้กรีดริมฝีปาก หลบหนีออกมาได้สำเร็จ
- Ofelia ได้รับโอกาสแก้ตัวจาก Faun มอบหมายภารกิจสุดท้าย ลักพาตัวน้องชาย
- Ofelia วางยานอนหลับในเหล้าของ Captain Vidal ก่อนลักพาตัวน้องชายเข้าไปยังเขาวงกต
- กองกำลังกบฎบุกเข้ามายังฐานทัพ แต่ทว่า Captain Vidal กลับสนเพียงติดตามตัว Ofelia
- พอมาถึงกึ่งกลางเขาวงกต Faun สั่งให้ Ofelia เข่นฆ่าทารกน้อย แต่เธอปฏิเสธจึงถูก Captain Vidal ฆ่าปิดปาก
- มาถึงทางออกเขาวงกต Captain Vidal ถูกกลุ่มกบฎห้อมล้อมทุกด้าน ไร้หนทางเอาตัวรอด
- ความตายของ Ofelia ทำให้เธอได้หวนกลับสู่อาณาจักรใต้ดิน
ผมไม่คิดว่าจะมีภาพยนตร์เรื่องไหนที่ทำการเปลี่ยนฉาก (Transition) ได้อย่างลื่นไหล ไร้รอยต่อยอดเยี่ยมไปกว่า Pan’s Labyrinth (2006) วิธีการดังกล่าวทำให้อรรถรสในการรับชมมีความต่อเนื่อง เคลื่อนคล้อย ราวกับสายน้ำ มันช่างมีความน่าอัศจรรย์ใจ เพราะแปลว่าทุกซีเควนซ์มีการวางแผนตระเตรียมการมาเป็นอย่างดี จบช็อตนี้ต่อช็อตนั้น ไม่มีฉากไหนถูกหั่นทิ้งภายหลังการถ่ายทำ
เพลงประกอบโดย Javier Navarrete (เกิดปี ค.ศ. 1956) สัญชาติ Spanish เกิดที่ Teruel เริ่มมีความสนใจเล่นกีตาร์ของพี่สาวตั้งแต่อายุสิบสอง จากนั้นรวมกลุ่มวงดนตรี แต่งเพลง-เล่นดนตรีสด จนกระทั่งมีเพื่อนชักชวนมาทำเพลงประกอบภาพยนตร์ In a Glass Cage (1986), แจ้งเกิดระดับนานาชาติกับ The Devil’s Backbone (2000), Pan’s Labyrinth (2006), Wrath of the Titans (2012), ซีรีย์ Hemingway & Gellhorn (2012)
งานเพลงของหนังเริ่มจาบทเพลงกล่อมเด็ก (Lullaby) คือจุดศูนย์กลาง เรียบเรียงบทเพลงต่างๆโดยอ้างอิงจากท่วงทำนองหลักนี้ (มีทั้งการฮัม ร้องคอรัส เดี่ยวเครื่องดนตรี และเต็มวงออร์เคสตรา) ซึ่งเต็มไปด้วยความโหยหาอาลัย เศร้าโศกเสียใจ เด็กหญิงใฝ่ฝันถึงดินแดนสันติสุข หวนกลับสู่อ้อมอกมารดา ครุ่นคิดถึงแทบจะขาดใจ ทำไมโลกใบนี้มันช่างเหี้ยมโหดร้าย
ในขณะที่บทเพลงของ Ofelia เวลาได้ยินท่วงทำนองหลักมักมีเสียงร้อง หรือเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียว (Solo) แต่เมื่อกลับสู่โลกความจริง Mercedes Lullaby หรือเรื่องราวการต่อสู้ของกลุ่มกบฎ ท่วงทำนองหลักมักเป็นการประสานเสียง (Chorus) หรือบรรเลงด้วยวงออร์เคสตรา … นี่เป็นการสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่าง Ofelia vs. Mercedes (และกลุ่มกบฎ) หรือจะมองในเชิงจุลภาค vs. มหภาค ก็ได้กระมัง
บทเพลงที่ทำให้ผมน้ำตาซึมแทบทุกครั้งได้ยินก็คือ A Princess ความตายของเด็กหญิง Ofelia มันช่างเจ็บปวดรวดร้าว โลกความจริงมันช่างไร้ความปราณี เสียงร้องกล่อมเด็กขณะนี้ทำให้เธอหลับใหลชั่วนิรันดร์ ก่อนเสียงสวรรค์ดังขึ้นเพื่อนำพาจิตวิญญาณของเธอเดินทางกลับสู่อาณาจักรใต้ดิน พบเจอพระบิดา พระมารดา และตนเองในสถานะเจ้าหญิงกลายเป็นอมตะนิรันดร์
เด็กหญิง Ofelia มีความรักมารดา รังเกียจพ่อเลี้ยง เมื่อต้องเดินทางมาอาศัยอยู่ท่ามกลางทิวเขา Sierra de Guadarrama เธอจึงครุ่นคิดจินตนาการ/หรือจะมองว่าพบเห็นสัตว์อสูรจากเทพนิยายแฟนตาซี เพื่อสร้างความหวังในการมีชีวิต รวมถึงหลบหลีกหนี (Escapism) เอาตัวรอดจากโลกความจริงอันโหดร้าย
ตอนผมรับชมหนังเรื่องนี้สมัยวัยรุ่น ไม่เคยเกิดข้อคำถามหรอกว่า Ofelia กำลังพร่ำเพ้อฝันหรือไร? ทั้งหมดล้วนคือเหตุการณ์จริง เด็กหญิงหลงเข้าไปในเขาวงกต ดินแดนเทพนิยายแฟนตาซี พบเจอสัตว์อสูร ได้รับบททดสอบสามภารกิจ ประกอบด้วย
- ภารกิจพิสูจน์ความหาญกล้า (Courage) เผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้าย เอาชนะความกลัว (คางคกยักษ์, สารพัดแมลง, สถานที่คับแคบ, สิ่งปฏิกูล และโคลนเลน)
- ภารกิจเรียนรู้จักควบคุมตนเอง (Conscience) คำสั่งของ Faun คือไม่ให้กระทำสิ่งนอกลู่นอกทาง เพียงไขกุญแจนำเอากริช (Ceremonial Dagger) กลับออกมาภายในระยะเวลากำหนด! แต่เด็กหญิงกลับไม่สามารถอดรนทนต่อสิ่งยั่วเย้า เด็ดผลองุ่นรับประทาน เลยถูกไล่ล่าโดย Pale Man สูญเสียภูตพรายไปสองตน
- ภารกิจแห่งการเสียสละ (Sacrifice) เริ่มจากลักพาตัวน้องชายมายังกึ่งกลางเขาวงกด แล้วใช้กริช(จากภารกิจก่อนหน้า)เข่นฆ่าทารกน้อย เลือดของผู้เสียสละจะเปิดประตูสู่อาณาจักรใต้ดิน แต่ทว่าเด็กหญิงกลับตอบปฏิเสธ มิอาจลงมือเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ เลยกลายเป็นเธอที่ต้องเสียสละตนเอง ถูกบิดาบุญธรรมฆาตกรรม
- แต่แม้ตัวตาย บททดสอบสุดท้ายคือการแสดงออกคุณธรรมขั้นสูงสุด (ของศาสนาคริสต์) พิสูจน์จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของ Ofelia จึงทำให้เธอสามารถถือกำเนิด เกิดใหม่ หวนกลับสู่อาณาจักรใต้ดิน และกลายเป็นอมตะนิรันดร์
แต่ถ้าเรามองว่าทุกสิ่งอย่างที่เด็กหญิงพบเจอคือความเพ้อฝันจินตนาการ บททดสอบของ Ofelia จึงเป็นเพียงเกมการละเล่น ครุ่นคิดขึ้นเพื่อใช้เวลาว่างให้หมดไป สำหรับสร้างความหวังให้กับชีวิต รวมถึงหลบหลีกหนี เบี่ยงเบนความทุกข์ทรมานจากโลกความจริงอันโหดร้าย และสำแดงอารยะขัดขืนต่อมารดา/บิดาบุญธรรม แสดงออกว่าฉันไม่ต้องการอาศัยอยู่สถานที่แห่งนี้
ความน่าสนใจจริงๆของหนังไม่ใช่ครุ่นคิดค้นหาว่า Ofelia กำลังเพ้อฝันหรือหลงเข้าไปในเทพนิยายแฟนตาซี แต่คือการผสมผสานระหว่างโลกทั้งสองใบ มันจึงมีหลายสิ่งอย่างสอดคล้อง เชื่อมโยงใย (คล้ายๆสัมผัสนอก-ในบทกวี) และสามารถเติมเต็มกันและกัน
- ภารกิจพิสูจน์ความหาญกล้า (Courage) เด็กหญิงมุดเข้าไปยังโพรงใต้ต้นไม้ เผชิญหน้าคางคกยักษ์ สำรอกอาหาร หยิบกุญแจในมูลนั้นออกมา = Captain Vidal เก็บเสบียงกรังในห้องเก็บของ แล้วถือครองกุญแจแต่เพียงผู้เดียว (=คางคกยักษ์กลืนกินทุกสิ่งอย่าง) จนเมื่อกลุ่มกบฎได้รับกุญแจจาก Mercedes จึงบุกเข้าไปลักขโมยทุกสิ่งอย่างจนหมดเกลี้ยง (=คางคกยักษ์สำรอกอาหารออกมา)
- ภารกิจเรียนรู้จักควบคุมตนเอง (Conscience) เด็กหญิงเข้าไปยังห้องโถงที่เต็มไปด้วยอาหาร (=Captain Vidal เลี้ยงอาหารสมาชิก Falangism) มิอาจควบคุมตนเองให้หยิบผลองุ่นมารับประทาน (=สัญลักษณ์ของการกระทำสิ่งขัดต่อกฎระเบียบ แสดงอารยะขัดขืน กลุ่มกบฎต่อต้านรัฐบาล) เป็นเหตุให้ถูกไล่ล่าโดย Pale Man (=ชนชั้นผู้นำ บุคคลมีอำนาจในสังคม หรือก็คือ Captain Vidal ไล่ล่าเข่นฆ่ากลุ่มกบฎ)
- ภารกิจแห่งการเสียสละ (Sacrifice) เด็กหญิงไม่สามารถเข่นฆ่าน้องชาย กระทำสิ่งขัดต่อมนุษยธรรม เธอเลยกลายเป็นผู้เสียสละชีวิต ≠ ตรงกันข้ามกับ Captain Vidal ยินยอมทำทุกสิ่งอย่างโดยไม่สนถูก-ผิด ดี-ชั่ว ฆ่าคนตายอย่างไร้ความปราณี ท้ายที่สุดเมื่อถึงคราอับจน ไร้หนทางออก จึงสูญเสียสิ้นทุกสิ่งอย่าง
Captain Vidal คือตัวแทนของ Fascism หรือจะมองว่าจอมพล Francisco Franco ตรงๆเลยก็ยังได้! เป็นบุคคลมีความเหี้ยมโหด โฉดชั่วร้าย รวบอำนาจเบ็ดเสร็จมาไว้กับตนเอง ใครทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็ลงโทษด้วยความรุนแรง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน กำจัดศัตรูเห็นต่างทางการเมืองให้พ้นภัยทาง
พื้นหลังของหนัง ค.ศ. 1944 ตรงกับช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง (1939-45) มันจึงมีข่าวลือ/ความเชื่อว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะยกพลขึ้นสเปน ช่วยกำจัดเผด็จการให้พ้นภัยทาง แม้สุดท้ายไม่มีอะไรบังเกิดขึ้น (เพราะว่าจอมพล Franco วางตัวเป็นกลางเสมอมา) แต่นั่นคือช่วงเวลาแห่งความหวัง เพ้อใฝ่ฝันของฝ่ายกบฎ … เห็นความเชื่อมโยงกับแฟนตาซีของเด็กหญิง Ofelia หรือเปล่าเอ่ย?
เมื่อตอนผกก. del Toro สรรค์สร้าง The Devil’s Backbone (2001) แล้วออกฉายคาบเกี่ยวเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน (9/11) มันทำให้ความรุนแรง/โศกนาฎกรรมในหนังเรื่องนั้นดูธรรมดาๆ กลายเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา นั่นทำให้เขาเริ่มต้นวางแผนสร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่ Pan’s Labyrinth (2006) แนวคิดละม้ายคล้ายเดิม แต่ปรับปรุงให้มีความเหี้ยมโหด สุดโต่ง ขีดสุดเท่าที่จะสามารถนำเสนอออกได้
ในชีวิตของผกก. del Toro มีสองเหตุการณ์เลวร้ายที่สุด นั่นคือการถูกแทรกแซงโดยโปรดิวเซอร์ Bob & Harvey Weinstein ระหว่างสรรค์สร้าง Mimic (1997) และบิดาถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ในปีเดียวกัน ผมแอบรู้สึกว่า Pan’s Labyrinth (2006) สะท้อนสองเหตุการณ์ดังกล่าวออกมาได้ชัดเจนยิ่งกว่า The Devil’s Backbone (2001)
- ผกก. del Toro เดินทางสู่ Hollywood ทำงานให้กับสตูดิโอ Miramax แต่ถูกแทรกแซง ครอบงำ ชี้นิ้วสั่งโดยสองโปรดิวเซอร์ Weinstein = เด็กหญิง Ofelia เดินทางมาอาศัยอยู่กับพ่อเลี้ยงไม่ชอบขี้หน้า ถูกบังคับให้ทำโน่นนี่นั่น สำแดงอารยะขัดขืนด้วยขัดคำสั่งสารพัด = กลุ่มกบฎกระทำสิ่งต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ
- บิดาของผกก. del Toro ถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ = เด็กหญิง Ofelia ลักพาตัวน้องชายต่อหน้าต่อตา Captain Vidal พยายามหลบหนีเข้าสู่เขาวงกต เลยถูกไล่ล่า เข่นฆ่า ก่อนสูญเสียทุกสิ่งอย่าง
ตอนจบของหนัง ความตายของ Ofelia มองมุมหนึ่งอาจคือโศกนาฎกรรม (Tragedy) สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับ Mercedes สมาชิกกลุ่มกบฎ และผู้ชมมากมาย, แต่ในขณะเดียวกันถ้าคุณเชื่อเรื่องเทพนิยายแฟนตาซี เด็กหญิงได้พิสูจน์ตนเอง เสียสละชีวิตเพื่อผู้อื่น (คุณธรรมขั้นสูงสุดของศาสนาคริสต์) นั่นทำให้เธอราวกับได้ถือกำเนิด เกิดใหม่ (Rebirth) หวนกลับสู่อาณาจักรใต้ดิน พบเจอพระบิดา พระมารดา และตนเองกลายเป็นอมตะนิรันดร์
Hopefully, this movie will allow me to start a new path. The way I see my craft, and the way I see the stories I tell, has completely changed as a result of this movie.
Guillermo del Toro
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Cannes ได้รับการยืนปรบมือ (Standing Ovation) นานระดับประวัติศาสตร์ 22 นาที (น่าจะยาวที่ในเทศกาลหนังแล้วกระมัง) แต่กลับไม่ได้สักรางวัลติดไม้ติดมือกลับมา ประธานคณะกรรมการปีนั้น Wong Kar-wai เลือกผู้ชนะ Palme d’Or ให้กับ The Wind That Shakes the Barley (2006)
ทุนสร้างของหนังประมาณ $13.5 ล้านเหรียญ สามารถทำเงินในสหรัฐอเมริกา $37.6 ล้านเหรียญ รวมรายรับทั่วโลก $83.38 ล้านเหรียญ ถือเป็นปีทองของหนังภาษาสเปนเพราะ Volver (2006) ของ Pedro Almodóvar ก็ทำเงินได้พอๆกัน $87.2 ล้านเหรียญ
ช่วงปลายปีหนังมีลุ้นรางวัลค่อนข้างเยอะ แต่ส่วนใหญ่จะสาขาเทคนิค/งานสร้าง ได้เข้าชิง Oscar จำนวน 6 สาขา คว้ามาทั้งหมด 3 รางวัล … หนังเรื่องนี้ร่วมทุนสร้าง Spain & Mexico แต่สเปนตัดสินใจเลือก Volver (2006) ก็เลยหวยออกอีกทาง แล้วทั้งสองเรื่องต่างเข้าชิงพร้อมกันแทบจะทุกสำนัก มีแนวโน้มตัดคะแนนกันเองกระมัง
- Academy Award
- Best Foreign Language Film – Mexico พ่ายให้กับ The Lives of Others (2006)
- Best Original Screenplay
- Best Art Direction ** คว้ารางวัล
- Best Cinematography ** คว้ารางวัล
- Best Makeup ** คว้ารางวัล
- Best Original Score
- Golden Globe Awards: Best Foreign Language Film พ่ายให้กับ Letters from Iwo Jima (2006)
- BAFTA Award
- Best Film Not in the English Language ** คว้ารางวัล
- Best Original Screenplay
- Best Cinematography
- Best Production Design
- Best Costume Design ** คว้ารางวัล
- Best Sound
- Best Makeup and Hair ** คว้ารางวัล
- Best Special Visual Effects
ปัจจุบันหนังได้การสแกน 4K Ultra HD โดยสตูดิโอ Warner Bros. จัดจำหน่าย Blu-Ray เมื่อปี ค.ศ. 2019 แต่ของแถมของ Criterion Collection มีเยอะกว่า แค่ว่าคุณภาพยังแค่ 2K วางจำหน่ายเมื่อปี ค.ศ. 2016 รวมอยู่ในคอลเลคชั่น Trilogía de Guillermo del Toro (Cronos, The Devil’s Backbone และ Pan’s Labyrinth)
ลองทบทวนตนเองดู สิ่งที่ทำให้ผมลุ่มหลงใหล Pan’s Labyrinth (2006) เริ่มจากคำโปรย “เทพนิยายสำหรับผู้ใหญ่” ขณะนั้นอายุประมาณ 18-19 เป็นช่วงวัยชื่นชอบความท้าทาย แล้วพอได้พบเห็นภาพความรุนแรง มืดหม่น สิ้นหวัง ตัดกับเสียงเพลงกล่อมเด็ก มันเลยรู้สึกเหมือนตนเองได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ … กระมังนะ
หวนกลับมารับชมคราวนี้ยังคงชื่นชอบโปรดปราน หลงใหลในวิสัยทัศน์ ความมหัศจรรย์ในการกำกับของผกก. del Toro ทำเอา The Shape of Water (2017) ที่เคยครุ่นคิดว่ามาสเตอร์พีซตกกระแป๋งไปเลย นั่นเพราะ Pan’s Labyrinth (2006) คือภาพยนตร์หนึ่งในเอกภพ “Singular Achievement” ไม่มีใครสามารถทำซ้ำ ลอกเลียนแบบ หรือแม้แต่ตัวผู้สร้างก็มิอาจสร้างใหม่ให้ยิ่งใหญ่เท่าเทียม
Leave a Reply