
Hearts and Minds (1974)
: Peter Davis ♥♥♥♥
Hearts and Minds คือกลยุทธ์ที่กองทัพสหรัฐคาดหวังจะเอาชนะใจชาวเวียดนามใต้ พยายามชวนเชื่อว่าการเป็นพันธมิตรกับอเมริกาย่อมดีกว่าเลือกข้างเวียดกงหรือคอมมิวนิสต์ แต่แท้จริงแล้ว…, คว้ารางวัล Oscar: Best Documentary Feature
So we must be ready to fight in Vietnam, but the ultimate victory will depend upon the hearts and the minds of the people who actually live out there.
ปธน. Lyndon B. Johnson
Hearts and Minds (1974) ถือเป็นสารคดีเกี่ยวกับสงครามเวียดนามเรื่องแรกๆ สร้างขึ้นในช่วงกระแสต่อต้านกำลังรุนแรง (anti-Wars) ประชาชนเริ่มตระหนักถึงเบื้องหลัง ข้อเท็จจริง รัฐบาลส่งทหารเดินทางไปรบ กลับพบแต่ความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ยืดเยื้อยาวนานนับทศวรรษก็ยังไม่จบสิ้นลงเสียที สงครามนี้สร้างประโยชน์อันใดต่อชาวอเมริกัน?
แน่นอนว่าเมื่อตอนออกฉาย ต้องถูกโจมตีจากพวกคลั่งไคล้สงคราม (pro-Wars) เพราะสารคดีเต็มไปด้วยการ ‘manipulate’ โดยเฉพาะลีลาตัดต่อสลับไปมาระหว่างบทสัมภาษณ์(ของพวกคลั่งสงคราม)อย่าง “The Oriental doesn’t put the same high price on life as does a Westerner. Life is plentiful. Life is cheap in the Orient.” แล้วฉายให้เห็นภาพชาวเวียดนามกำลังร้องห่มร้องไห้หลังสูญเสียคนรัก
ผมเพิ่งรับรู้จัก Hearts and Minds (1974) เมื่อตอนเขียนถึง The Fog of War (2003) มีบทความหนึ่งกล่าวถึงสารคดีเรื่องนี้ เลยลองค้นหาข้อมูลแล้วเห็นติดอันดับสารคดียอดเยี่ยมตลอดกาลหลายๆสำนัก และยังพบว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องโปรดของผกก. Michael Moore แรงบันดาลใจสร้าง Fahrenheit 9/11 (2004)
It is not only the best documentary I have ever seen, it may be the best movie ever. If I were to pick the one film that inspired me to pick up a camera, it is Hearts and Minds, a film that remains every bit as relevant today. Required viewing for anyone who says, ‘I am an American.’
Michael Moore
Peter Frank Davis (เกิดปี ค.ศ. 1937) นักข่าว/นักเขียน ผู้กำกับสารคดี สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Santa Monica, California ในครอบครัวเชื้อสาย Jewish บิดา-มารดาต่างเป็นนักเขียน โตขึ้นจึงเลือกเรียกวรรณกรรมภาษาอังกฤษ Harvard University จากนั้นเดินทางไปท่องเที่ยวอินเดีย แล้วกลับมาทำงานหนังสือพิมพ์ The New York Times ก่อนออกมาทำรายการ F.D.R. (1965) สัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องกับปธน. Franklin D. Roosevelt ฉายทาง ABC News
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965, ย้ายมาทำงานสถานีโทรทัศน์ CBS News กลายเป็นนักเขียน/ผู้กำกับสารคดี Anatomy of Violence (1967), The Selling of the Pentagon (1971) เรื่องหลังทำการขุดคุ้ยเอกสารการเงินในกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ค้นพบรายละเอียดค่าใช้จ่ายการทำโฆษณาชวนเชื่อของสงครามเวียดนาม … คำโปรยของสารคดีเรื่องนี้คือ “How the Pentagon sells the Vietnam War to the American public.”
The Selling of the Pentagon (1971) สร้างความไม่พึงพอใจต่อสภาคองเกรส (รัฐสภาสหรัฐ) ส่งเจ้าหน้าที่มาข่มขู่ เรียกร้องขอเอกสาร ถ้าไม่ทำตามจะถูกตั้งกล่าวหา (แบล็กเมล์) แต่ผกก. Davis ปฏิเสธเสียงขันแข็ง นั่นทำให้เขาหมดโอกาสก้าวหน้ากับสถานีโทรทัศน์ CBS … เอาจริงๆ CBS ให้การสนับสนุนหลัง Davis แต่ก็กลัวมีปัญหากับรัฐบาล จึงหาข้อตกลง แยกย้ายจากกันโดยดี
At the end of that I was sort of a marked man at CBS. They were very proud of me and glad of what I had done, but equally resolved that it should not happen again because it got them into too much trouble with the government.
Peter Davis
หลังออกจาก CBS, ผกก. Davis ได้รับชักชวนจากเพื่อนผู้กำกับ Bob Rafelson (Five Easy Pieces (1970)) ให้ถ่ายทำภาพยนตร์/สารคดีเกี่ยวกับการไต่สวนเอกสารลับเพนตากอน (Pentagon Papers trial) ที่ถูกลักลอบนำออกมาเปิดเผยสู่สาธารณะโดย Daniel Ellsberg ตีพิมพ์ลง The New York Times แต่ด้วยความล่าช้า เลื่อนแล้วเลื่อนอื่น แถมทางการไม่อนุญาตให้นำกล้องเข้ามาในศาล ก่อนท้ายที่สุดเชื่อว่าปธน. Richard Nixon ล็อบบี้ผู้พิพากษาให้ยกฟ้องข้อกล่าวหา
ด้วยเหตุนี้ผกก. Davis จึงหันเหความสนใจ ครุ่นคิดอยากทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับสงครามเวียดนามที่ไม่ใช่แค่รายงานข่าว หรือเปิดโปงเอกสารลับ ฯ ยินยอมเสียเวลาหลายเดือนศึกษาค้นคว้าวิจัย เดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อสอบถามความคิดเห็นผู้คน ก่อนค้นพบทิศทางสารคดีที่อยากนำเสนอออกมา
There were three questions I wanted to address. Those three questions were: Why did we go to Vietnam in the first place? What was it that we did there? And what did the “doing” do, in turn, to us as a people? The film doesn’t answer those questions and you never hear them in the film because I didn’t want to make a narrated film, but each sequence in the film is about, or addresses itself to, one or more of those three questions: Why did we go there? What did we do? And what did it do to us?
ถ่ายภาพโดย Richard ‘Dick’ Pearce (เกิดปี ค.ศ. 1943) ตากล้อง/ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกา เกิดที่ San Diego, California สำเร็จการศึกษาภาษาอังกฤษ Yale University รุ่นเดียวกับ D.A. Pennebaker, จากนั้นเดินทางสู่ New York City ทำงานวงการโทรทัศน์ ก่อนได้เป็นตากล้อง Dont Look Back (1967), Woodstock (1970), Hearts and Minds (1974), แล้วผันตัวมากำกับภาพยนตร์ Heartland (1979) คว้ารางวัล Golden Bear จากเทศกาลหนังเมือง Berlin
สารคดีเรื่องนี้ประกอบด้วยบทสัมภาษณ์ จากทั้งฟากฝั่งผู้คลั่งไคล้สงคราม (pro-Wars), ต่อต้านสงคราม (anti-Wars), ทหารผ่านศึก (Veteran), เจ้าหน้าหน่วยงานรัฐ (ในบรรดาบุคคลสำคัญๆที่ติดต่อไป Henry Kissinger, Richard Nixon และ Robert McNamara ปฏิเสธให้สัมภาษณ์), ภาพจากคลัง (Archive Footage), ฟุตเทจภาพยนตร์, พูดคุยกับประชาชน, บันทึกภาพงานเฉลิมฉลองต้อนรับ(เชลยสงคราม)กลับบ้าน, การชุมนุมของกลุ่มต่อต้านสงคราม ฯ
นอกจากนี้ผกก. Davis ยังเดินทางไปเวียดนามใต้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1972 ยาวนานถึง 7 สัปดาห์ (ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเวียดนามเหนือ) สัมภาษณ์ทหาร ประชาชน ทั้งเวียดนาม-เวียดกง ภายในไซง่อน และเดินทางออกนอกเมือง พบเห็นเครื่องบินทิ้งระเบิด กลุ่มผู้อพยพหลบหนี บ้านช่องพังทลาย ความตาย หายนะจากสงคราม
We were shooting in Vietnam for seven weeks in the Fall of 1972 and that was in South Vietnam. I wasn’t permitted by the North Vietnamese to go to North Vietnam. I’ve been since and it’s a beautiful country. To my amazement they actually like Americans now, for a variety of reasons. There have been a number of humanitarian, sort of penitent missions to Vietnam since the war, some religious and some just by secular groups who want to help them with landmines and their environment and so forth. Anyway, I was in Vietnam for seven weeks in the Fall of ’72.
Peter Davis
เกร็ด: ทีมงานเดินทางสู่เวียดนามใต้มีทั้งหมด 5 คน ประกอบด้วยผกก. Davis, ตากล้อง Richard Pierce, ช่างเสียง Tom Cohen, นักตัดต่อ Lynzee Klingman และล่ามแปลภาษา Brennon Jones
ไล่เรียงฟุตเทจภาพยนตร์ This Is the Army (1943), My Son John (1952), Objective, Burma! (1945), The Mask of Fu Manchu (1932), Bataan (1943)





หนึ่งในภาพถ่ายบาดตาบาดใจที่สุดจากสงครามเวียดนาม คว้ารางวัล Pulitzer Prize ก็คือ The Terror of War หลายคนอาจรู้จักในชื่อ Napalm Girl ถ่ายโดย Nick Ut ณ เมือง Trảng Bàng หลังจากเครื่องบินทิ้งระเบิดวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1972 เด็กๆต่างวิ่งหลบหนี หนึ่งในนั้นคือเด็กสาว Phan Thị Kim Phúc (เกิดปี ค.ศ. 1963) ร่างกายเปลือยเปล่า ผิวหนังไหม้เกรียมจากความร้อนของระเบิด … สารคดีเรื่องนี้ได้บันทึกภาพของเธอไว้ด้วยละ


ตัดต่อโดย Susan Martin & Lynzee Klingman (One Flew Over the Cuckoo’s Nest)
ด้วยปริมาณฟุตเทจกว่า 200+ ชั่วโมง ใช้เวลาเกือบสองปีกว่าจะตัดต่อเสร็จสิ้น ซึ่งวิธีการนำเสนอมักเริ่มจากการสัมภาษณ์ใครสักคน จากนั้นฉายภาพฟุตเทจ/เหตุการณ์จริง/คลิปภาพยนตร์ อะไรสักสิ่งอย่างที่มีความสอดคล้อง หรือขัดแย้งกับเนื้อหาการสัมภาษณ์นั้น … ด้วยเหตุนี้ทำให้สารคดีจึงไม่สามารถแบ่งโครงสร้างออกเป็นองก์ๆ เพราะหัวข้อการสัมภาษณ์ไม่ได้มีความต่อเนื่อง กระโดดไปกระโดดมา ประเดี๋ยวฟากฝั่งสหรัฐอเมริกา อีกประเดี๋ยวฉายภาพสงคราม
ถึงหัวข้อการสัมภาษณ์อาจดูสะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง (non-Linear Narrative) แต่ผู้ชมสามารถแปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันได้โดยอัตโนมัติ เพราะหัวข้อการสัมภาษณ์ล้วนคือการแสดงคิดเห็นเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม ซึ่งมักมีความขัดแย้ง แตกต่างกันอยู่ตลอดเวลา
ปล. ด้วยฟุตเทจเหลือทิ้งมากมายมหาศาล จึงมีการตัดต่อเนื้อหาที่ยังพอใช้ได้ ความยาวประมาณสองชั่วโมง รวมอยู่ใน Special Feature ของค่าย Criterion
ในส่วนของเพลงประกอบ ไม่ได้ว่าจ้างนักแต่งเพลงขึ้นใหม่ ทั้งหมดใช้บทเพลงจากศิลปินมีชื่อ ที่เนื้อคำร้องสอดคล้องเข้ากับภาพเหตุการณ์ขณะนั้น อาทิ
- This Time แต่งโดย Irving Berlin สำหรับประกอบภาพยนตร์ This is the Army (1943)
- 500 Miles แต่งโดย Hedy West เลือกฉบับขับร้องโดย Peter, Paul and Mary บันทึกเสียงปี ค.ศ. 1962
- ดังขึ้นระหว่างร้อยเรียงภาพทหารอเมริกันในกรุงไซง่อน
- There’s a Star-Spangled Banner Waving Somewhere (1942) แต่งโดย Paul Roberts &Shelby Darnell, ขับร้องโดย Wynn Stewart
- ดังขึ้นระหว่างฉายภาพทหารผ่านศึก ได้รับบาดเจ็บจนกลายเป็นคนพิการ กำลังสวมใส่ขาปลอม
- Over There (1917) บทเพลงแนว War Song แต่งโดย George M. Cohan
- ฉายภาพการใช้ความรุนแรงของทหารอเมริกันต่อชาวเวียดนาม
สำหรับบทเพลงภาษาเวียดนามตอน Opening Credit ชื่อว่า Quảng Bình quê ta ơi (1964) แปลว่า Quảng Bình, my homeland, แต่งโดย Hoàng Vân หลังจากเครื่องบินรบสหรัฐอเมริกาโจมตีบ้านเกิด Quảng Bình (เวียดนามเหนือ) จนราบเรียบเป็นหน้ากลอง, ต้นฉบับขับร้องโดย Kim Oanh ร่วมกับ Đài Tiếng nói Việt Nam ว่ากันว่าชาวเวียดนามจำนวนไม่น้อย พอรับฟังบทเพลงนี้ถึงขนาดกรีดข้อมือ ใช้เลือดเซ็นชื่อสมัครทหารต่อสู้รบสหรัฐอเมริกา
Vietnam War (1955-75) คือสงครามอัปยศของสหรัฐอเมริกา! เริ่มต้นจากฝรั่งเศสพ่ายแพ้ยุทธการ Battle of Điện Biên Phủ (1954) สูญเสียอาณานิคม จึงขอความช่วยเหลือจากสหรัฐ เข้ามาสนับสนุนหลัง Ngô Đình Diệm (1901-63) ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสาธารณรัฐเวียดนาม (เวียดนามใต้) เพื่อคานอำนาจ ป้องกันอิทธิพลคอมมิวนิสต์จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (เวียดนามเหนือ)
ความขัดแย้งระหว่างเวียดนามเหนือ vs. ใต้ ดำเนินอย่างเอื่อยๆเฉื่อยๆมานับทศวรรษ จนกระทั่งจุดแตกหักเกิดขึ้นจากอุบัติการณ์อ่าวตังเกี๋ย (Gulf of Tonkin incident) วันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1964 เมื่อเรือพิฆาต USS Maddox ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในอ่าวตังเกี๋ย ได้รับสัญญาณว่าถูกตอร์ปิโดโจมตี จึงเร่งรีบยิงโต้ตอบกองทัพเรือเวียดนาม ทั้งยังส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดปูพรมเมือง Quảng Bình เปิดฉากการเข้าร่วมสงครามอย่างเต็มตัวของสหรัฐอเมริกา … แต่ภายหลังค้นพบว่า USS Maddox ตรวจจับสัญญาณผิดพลาด ไม่มีร่อยรอยตอร์ปิโดยิงจากกองทัพเรือเวียดนามสักนัด ทั้งหมดคือความหวาดระแวง เข้าใจผิดไปเอง ทว่าความขัดแย้งปะทุขึ้นแล้วหยุดไม่ได้ จะสูญเสียความน่าเชื่อถือของการเป็นหมาอำนาจ หนทางออกหนึ่งเดียวเท่านั้นคือต้องเอาชนะสงคราม
(ใครอยากเข้าใจเบื้องหลัง ข้อเท็จจริง จุดเริ่มต้นของสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามเวียดนาม แนะนำให้รับชมสารคดี The Fog of War (2003) ที่อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม Robert McNamara ออกมาเปิดเผยรายละเอียดในเชิงลึก)
ยุคสมัยนั้นข่าวสารยังไม่ได้มีความรวดเร็ว หลากหลายช่องทางเหมือนในปัจจุบัน เพียงสื่อโทรทัศน์-วิทยุ-หนังสือพิมพ์ ซึ่งหน่วยงานรัฐสามารถเข้าควบคุม บิดเบือนความจริง รวมถึงสร้างข้อมูลเท็จ/สารคดีชวนเชื่อ เพื่อเผยแพร่แก่ประชาชน สรรหาข้ออ้างมาอธิบายความจำเป็นที่สหรัฐอเมริกาต้องเข้าร่วมสงครามเวียดนาม ประชาชนไม่รู้ประสีประสา ทำได้เพียงเชื่อใจคำพูดของผู้นำ อาสาสมัครทหาร เดินทางไปรบ จบชีวิตเพื่อประเทศชาติ
สงครามโลกครั้งที่สองยาวนาน 6 ปี (สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลกเพียง 3 ปี 8 เดือนกว่าๆ) แต่ทว่าสงครามเวียดนามเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 หรือถ้านับตอนสหรัฐอเมริกาส่งทหารเข้าร่วม ค.ศ. 1964 มันช่างเยิ่นยาวนาน ไม่รู้จักจบจักสิ้น แถมรายงานผู้เสียชีวิตก็เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวี่วัน นั่นย่อมเริ่มสร้างความฉงนสงสัย เราทำสงครามนี้เพื่ออะไรกัน?
Hearts and Minds (1974) น่าจะเป็นสารคดีเรื่องแรกๆที่ผู้สร้างเดินทางไปเวียดนาม(ใต้) บันทึกภาพพบเห็น พูดคุยสอบถามชาวเวียดนาม อธิบายเหตุผลการสู้รบสงคราม ซึ่งแตกต่างจากความเข้าใจของชาวอเมริกันส่วนใหญ่ที่ถูกรัฐบาลชวนเชื่อ ล้างสมอง บิดเบือน/ปกปิดบังข้อเท็จจริง
I wanted Hearts and Minds to address—Why are we at war? What are we doing? And what does the doing in turn do to us?—are worth asking ourselves in all wars. Only by examining our motives as citizens, the causes and effects of our role as the cop on every beat in the world, do we have even a small chance of shedding the imperial arrogance of the country we became after World War II and reclaiming our original identity as a republic.
Peter Davis
ในวันแรกที่ผกก. Davis เดินทางไปถึงไซง่อน ยังเหนื่อยๆกับ Jet Lag ไม่พร้อมจะถ่ายทำอะไร แต่ก็ออกสำรวจหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แล้วจู่ๆเครื่องบินทิ้งระเบิดแล่นผ่าน แม้จะอยู่ห่างจากจุดทิ้งระเบิดพอสมควร แต่ความรุนแรงทำให้สิ่งข้าวของกระจุยกระจาย จักรยานกระเด็นกระดอนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ ตุ๊กตาเด็กเล่นหัวไปทาง แขน-ขาไปทาง นั่นกลายเป็นความประทับใจแรก (First Impression) ที่น่าสะพรึงกลัวชิบหาย!
I went to a village on our first day there. We weren’t filming. I was still very jetlagged and sort of confused about everything. Here I was in this little village that had been bombed. I saw a bomb crater and I saw this kid’s bicycle wrapped around a tree and some shards of pottery from a cooking pot that had been blown to smithereens. This bomb crater, thirty feet across, was not even one of the biggest. Then I saw the head and the arms, legs and torso of a child’s doll. That’s all it was!
มันไม่ใช่ความตั้งใจของผกก. Davis ที่จะสร้างสารคดีต่อต้านหรือสนับสนุนสงคราม แต่พอเดินทางไปถึงเวียดนามวันแรกแล้วพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว วินาทีนั้นไม่มีแล้วการเมืองซ้าย-ขวา ต้องการเพียงนำเสนอภาพความจริง สิ่งพบเห็นแตกต่างจากข่าวสารได้ยิน ใครก็ได้ยุติหายนะครั้งนี้ที
I was so horrified by seeing these artefacts destroyed that I thought at that moment, Okay, never mind being anti-war, let the Americans win this war – God, somebody – or let the Communists win the war or some other third party, but just stop it now. Don’t let this happen one more time in one more place. That sort of de-politicised it, although the film has plenty of political moments in it. At that moment I was de-politicised and, I hope, made more human by the experience. Anyway, it also told me, technically, how to proceed.
ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือการเอาชนะใจประชาชน (Hearts and Minds) เป็นประโยคที่เลิศหรู ฟังดูดี มีคุณธรรมสูงส่ง แต่เบื้องหลังความจริงกลับเป็นเพียงถ้อยคำโป้ปดหลอกลวง สร้างภาพชวนเชื่อของปธน. Lyndon B. Johnson สรรหาข้ออ้างเพื่อทำสงคราม ปฏิบัติต่อศัตรูราวกับสัตว์เดรัจฉาน ต้องกำจัด ทำลาย … แตกต่างอะไรจาก Adolf Hitler ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว?
สารคดีเข้าฉายรอบปฐมทัศน์ยังเทศกาลหนังเมือง Cannes ในสาย International Critics’ Week เสียงตอบรับระดับนานาชาติถือว่าดียอดเยี่ยม! คาดหวังเข้าฉายสหรัฐอเมริกาปลายปีเพื่อลุ้นเข้าชิง Oscar แต่ทว่าสตูดิโอ Columbia Pictures กลับปฏิเสธนำออกฉาย กลัวเกิดปัญหาเพราะสงความเวียดนามยังเป็นประเด็นละเอียดอ่อน โปรดิวเซอร์ Bert Schneider จึงโน้มน้าว Henry Jaglom ในสังกัด Warner Bros. ซื้อต่อสารคดีเรื่องนี้ ก่อนถูกเรียกค่าลิขสิทธิ์สูงถึง $1 ล้านเหรียญ!
ก็ไม่รู้ต่อรองกันยังไง ท้ายที่สุด Warner Bros. ก็ได้ลิขสิทธิ์จำหน่ายสารคดี ออกฉายสัปดาห์สุดท้ายปลายปี ค.ศ. 1974 เข้าชิง Golden Globe: Best Documentary Film (พ่ายให้กับ Beautiful People (1974)) และสามารถคว้ารางวัล Oscar: Best Documentary Feature
เกร็ด: ระหว่างที่โปรดิวเซอร์ Bert Schneider ขึ้นรับรางวัล Oscar ได้อ่านจดหมายจากทูตเวียดกง Đinh Bá Thi
Please transmit to all our friends in America our recognition of all that they have done on behalf of peace and for the application of the Paris Accords on Vietnam. These actions serve the legitimate interest of the American people and the Vietnamese people. Greetings of friendship to all the American people.
Đinh Bá Thi
เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความวุ่นวายหลังฉาก กลัวว่าจะมีปัญหาติดตามมา จึงแก้ไขด้วยการให้ Frank Sinatra อ่านคำแถลงของผู้จัดงาน
The academy is saying, ‘We are not responsible for any political references made on the program, and we are sorry they had to take place this evening.’
Frank Sinatra
เกร็ด: สงครามเวียดนามสิ้นสุดลงวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1975 ประมาณ 4 เดือนหลังสารคดีออกฉายฉาย และในเดือนเดียวกับที่คว้ารางวัล Oscar: Best Documentary Feature วันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1975
เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน Hearts and Minds (1974) กลายเป็นหมุดไมล์ (Landmark) ของวงการสารคดี ไม่ใช่แค่ตีแผ่เบื้องหลังสงครามเวียดนาม ยังคือความหาญกล้าของผู้สร้าง ไม่กลัวเกรงอำนาจมืดของหน่วยงานรัฐ ได้รับการโหวตติดอันดับ ‘Greatest Documentary of All-Time” จากหลายๆสำนัก
- Paste Magazine: The 100 Best Documentaries of All Time (2022) ติดอันดับ #9
- Slash Film: The 100 Best Documentaries Ever (2024) ไม่มีอันดับ
- TIMEOUT: 68 Best Documentaries of All Time (2025) ติดอันดับ #13
ปัจจุบันสารคดีได้รับการบูรณะ ‘digital restoration’ คุณภาพ High-Definition ผ่านการตรวจอนุมัติโดยผกก. Davis และตากล้อง Richard Pearce เมื่อปี ค.ศ. 2024 สามารถหาซื้อ Blu-Ray หรือรับชมออนไลน์ทาง Criterion Channgel
ใครที่คลั่งไคล้สงความ+ความรุนแรง (pro-Wars) คงรู้สึกต่อต้านสารคดีเรื่องนี้พอสมควร เพราะเต็มไปด้วยการ ‘manipulate’ พยายามชวนเชื่อให้เห็นความอัปยศของสงครามเวียดนาม, แต่สำหรับคนต่อต้านสงคราม (anti-Wars) ย่อมตกอยู่ในความห่อเหี่ยว จะเป็นจะตาย มอดไหม้หัวใจ ชาวอเมริกันคงรู้สึกอับอายขายขี้หน้า
จัดเรต 18+ กับภาพความตาย หายนะจากสงครามเวียดนาม
Leave a Reply