
Four Seasons of Children (1939)
: Hiroshi Shimizu ♥♥♥♥
ปัญหาของผู้ใหญ่คือสิ่งที่เด็กๆยังมิอาจทำความเข้าใจ แต่การแก้ปัญหาตามประสาเด็กๆอาจสามารถเป็นบทเรียนชีวิตสำหรับผู้ใหญ่ ภาคต่อที่ไม่ใช่ภาคต่อของ Children in the Wind (1937), “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
ผมลองสอบถาม AI ว่าผลงานเรื่องไหน “Best of Hiroshi Shimizu” ได้รับคำตอบ “Four Seasons of Children (1939) ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของชิมิซุ ที่ผสมผสานประเด็นและรูปแบบทางศิลปะของเขาได้อย่างลงตัวและสะเทือนอารมณ์” พอลองค้นหาข้อมูลก็พบว่าคือภาคต่อ Children in the Wind (1937) เลยตัดสินใจเขียนถึงเรื่องนั้นก่อนหน้า
ถ้ายึดตามซีรีย์วรรณกรรมเด็ก Zenta and Sampei ของ Jōji Tsubota จะถือว่า Four Seasons of Children คือภาคต่อของ Children in the Wind แต่ทว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ที่แม้ใช้นักแสดง+ทีมงานยกชุดเดิม แต่เรื่องราวไม่ได้มีความต่อเนื่อง ราวกับจักรวาลคู่ขนานเสียมากกว่า! … สไตล์ของผกก. Shimizu มักโยนบทหนังทิ้งไป เลยไม่ได้สนใจความต่อเนื่อง/ภาคต่อสักเท่าไหร่ แต่ก็เหมาะจะรับชมเคียงข้างกัน เลือกเรื่องไหนมาดูก่อนก็ได้
Four Seasons of Children (1939) น่าจะถือเป็นภาพยนตร์ระดับมหากาพย์ (Epic) ที่สุดของผกก. Shimizu แต่เฉพาะความยาวของหนังเท่านั้นนะครับ โดยเฉลี่ยแล้วผลงานส่วนใหญ่ของพี่แกจะแค่ 60-70 นาที (ชั่วโมงนิดๆ) แต่เฉพาะหนังเรื่องนี้นำเสนอแบบสี่ฤดูกาล (ละ 30-40 นาที) แล้วแบ่งฉายสองภาค (Spring & Summer และ Autumn & Winter) รวมระยะเวลาทั้งหมด 141 นาที (ประมาณ 2 ชั่วโมง 21 นาที) … มันอาจไม่ได้ดูเนิ่นนาน แต่หนังสำหรับเด็ก (Children Film) แค่ชั่วโมงเดียวก็ยาวเกินไปแล้วนะครับ
ชื่อหนัง Four Seasons of Children (1939) อาจทำให้หลายคนคาดหวังจะได้พบเห็นฤดูกาลผันแปรเปลี่ยน Spring, Summer, Autumn, Winter แต่พระเจ้าจ๊อด! ไหนฝนตก? ไหนใบไม้ร่วง? ไหนหิมะตก? แนะนำให้ย้อนกลับไปอ่านชื่อหนังใหม่ Four Seasons of Children อะไรคือสี่ฤดูของเด็กๆ ความเปลี่ยนแปลงภายนอก? สภาวะทางอารมณ์? หนังของผกก. Shimizu มีความลุ่มลึกล้ำที่แอบซ่อนอยู่เสมอๆ
Hiroshi Shimizu, 清水宏 (1903-66) ผู้กำกับภาพยนตร์ สัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Yamaka, Shizuoka บิดาเป็นพนักงานบริษัทเหมือง Furukawa Mining Company ส่วนมารดาคือทายาทตระกูล Ohashi เจ้าของธุรกิจป่าไม้ ฐานะครอบครัวถือว่าร่ำรวย กินหรูอยู่สบาย แต่บุตรชายไม่ชอบเรียนหนังสือ ทำตัวเป็นนักเลงรีดไถเงินเพื่อนฝูงไปเที่ยวเกอิชา ถูกบังคับให้เข้าศึกษาคณะวนศาสตร์ Hokkaido University ทนอยู่เพียงปีเดียวก็ลาออก เดินทางสู่กรุง Tokyo เข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku ฝึกงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ Yoshinobu Ikeda สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องแรกเมื่อปี ค.ศ. 1924 ขณะอายุเพียง 21 ปี!
子どもの四季 อ่านว่า Kodomo no Shiki แปลตรงตัว Children’s Four Seasons หรือ Four Seasons of Children ดัดแปลงจากซีรีย์วรรณกรรมเด็ก Zenta and Sampei แต่งโดย Jōji Tsubota, 坪田 譲治 (1890-82) เริ่มต้นตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ Asahi (朝日新聞, Asahi Shimbun) ช่วงปลายปี ค.ศ. 1936 ก่อนนำมาแยกเล่มวางขาย อาทิ
- 風の中の子供, Children in the Wind (1938)
- 子供の四季, Four Seasons of Children (1938)
- 善太と三平のはなし 坪田譲治童話集, The Story of Zenta and Sanpei – A Collection of Children’s Stories by Joji Tsubota (1938)
แม้ว่าซีรีย์วรรณกรรม Four Seasons of Children จะคือภาคต่อของ Children in the Wind
ผกก. Shimizu เหมือนจะไม่ได้มีความตั้งใจสร้างภาคต่อตั้งแต่แรก (เพราะเว้นว่างสร้างหนังถึง 8 เรื่อง กว่าจะเริ่มทำภาคต่อ) แต่ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรคือแรงกระตุ้น ความสำเร็จของภาคแรก? หรืออยากทดลองอะไรบางอย่าง? ถึงอย่างนั้นเขาไม่ได้สนใจความต่อเนื่องของเรื่องราว เพียงยึดตามเค้าโครงสร้างจากต้นฉบับนวนิยาย เริ่มต้นถ่ายทำโดยโยนบทหนังทิ้งไป
สองพี่น้อง Zenta (รับบทโดย Masao Hayama) และ Sampei (รับบทโดย Bakudan Kozo) อาศัยอยู่บ้านชนบท ครอบครัวทำฟาร์มปศุสัตว์ การมาถึงของคุณปู่ (รับบทโดย Takeshi Sakamoto) เปิดเผยว่าเป็นเจ้าของบริษัทสิ่งทอ Ono Weaving Company ค้าขายกิจการร่ำรวย อาศัยอยู่ในเมือง บ้านบรรพบุรุษหลังใหญ่ แต่ด้วยความดื้อรั้นของบิดา ไม่ต้องการพึ่งพาครอบครัวภรรยา จึงเพียงขอหยิบยืมเงินบริษัทมาลงทุนด้วยตนเอง
แต่กิจการปศุสัตว์ของบิดากลับล้มเหลวไม่เป็นท่า! แถมสุขภาพร่างกายล้มป่วยอิดๆออดๆ ต้องกู้หนี้ยืมสิน ขายแม่วัวราคาถูกเพื่อนำมาเป็นค่ารักษาพยาบาล คุณปู่ต้องการช่วยเหลือกลับได้รับคำตอบปฏิเสธ อีกทั้งหุ้นส่วน Rokai (รับบทโดย Seiji Nishimura) ใช้ข้ออ้างกฎหมาย ทวงหนี้สินพร้อมดอกเบี้ยบานตะไท
หลังจากบิดาเสียชีวิต ครอบครัวย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในเมือง Zenta & Sampei ต้องใช้เวลาไม่นอนกว่าจะปรับตัวเข้าหาเพื่อนใหม่ที่นำโดย Kintaro (บุตรของ Rokai) แต่พอพวกเขากลายเป็นเพื่อนสนิทสนม ความขัดแย้งระหว่างคุณปู่กับ Rokai ก็บานปลายจนมองหน้ากันไม่ติด ส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเด็กๆ (ครอบครัวของ Rokai กีดกัน Zenta & Sampei ไม่ให้เข้ามาเล่นที่บ้าน) สุดท้ายแล้วทุกฝ่ายจะหวนกลับมาคืนดีกันได้หรือไม่?
Jun Yokoyama, 横山準 ชื่อจริง Shoichi Yokoyama, 横山 昇一 (1928-) นักแสดงเด็กสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Higashikubiki, Niigata (ปัจจุบันคือ Tokamachi City) เข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933 ผลงานเด่นๆ อาทิ The Only Son (1937), Children in the Wind (1937), The Masseurs and a Woman (1938), Four Seasons of Children (1939), Introspection Tower (1941), Ornamental Hairpin (1941) ฯ
เกร็ด: ในเครดิตใช้ชื่อ Bakudan Kozô, 爆弾小僧 แปลตรงตัว Bomb Boy
รับบท Sampei เด็กชายมีนิสัยแก่นแก้ว ชอบเล่นสนุกสนาน ผู้นำกลุ่มเด็กๆในชนบท แต่พอย้ายเข้าเมืองมีปัญหากับคู่อริ Kintaro ก่อนกลายเป็นเพื่อนสนิท ความขัดแย้งระหว่างครอบครัวทำให้พวกเขาไม่สามารถเที่ยวเล่น ถึงอย่างนั้นความไม่รู้ประสีประสาของเด็กๆ เพื่อนก็คือเพื่อน สามารถหวนกลับมาคืนดี พึ่งพาอาศัย ให้ความช่วยเหลือกันและกัน
Yokoyama ดูเติบโตขึ้นจาก Children in the Wind (1937) แม้ยังคงวิ่งหน้าตั้งสุดแรงเกิด แต่สามารถทำแสดงได้หลากหลายอารมณ์มากขึ้น โหยหาอยากมีคุณปู่ ตื่นตาตื่นใจกับโลกใบใหม่ ครุ่นคิดถึงบ้านเก่า เรียนรู้การให้อภัย ฯ ไม่ใช่แค่สายลมพัดพาความวุ่นๆวายๆ กลายเป็นฤดูกาลผันแปรเปลี่ยนตามสถานการณ์
Hayama Masao, 葉山正雄 ชื่อจริง Masao Suzuki, 鈴木 正雄 (1925-) นักแสดงเด็กสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Yokohama เข้าร่วมสตูดิโอ Shōchiku ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 เริ่มจากเป็นตัวประกอบ I Was Born, But… (1932), ผลงานเด่นๆ อาทิ Burden of Life (1935), The Only Son (1936), What Did the Lady Forget? (1937), Children in the Wind (1937), Four Seasons of Children (1936), The Brothers and Sisters of the Toda Family (1941) ฯ
รับบทพี่ชาย Zenta ตอนอยู่บ้านชนบทตั้งใจร่ำเรียนหนังสือ แต่หลังจากบิดาเสียชีวิต ย้ายมาอยู่ในเมืองกับคุณปู่ แล้วบริษัทกำลังจะถูกยึด มันคงทำให้เขาสูญเสียความเชื่อมั่น หมดความสนใจร่ำเรียนหนังสือ ไม่อยากสร้างภาระให้ครอบครัว ต้องการออกมาทำงานหาเงิน … ก่อนถูกคุณปู่ตบกระโหลก แค่ส่งหลานเรียนไม่ใช่ปัญหา อายุยังน้อยอย่าเพิ่งรีบทำตัวเป็นผู้ใหญ่
บทบาทของ Masao เมื่อตอน Children in the Wind (1937) อาจไม่ได้โดดเด่นเทียบเท่า Yokoyama แต่สำหรับ Four Seasons of Children (1936) ช่วงสองฤดูกาลหลังมีความน่าสนใจอย่างมาก คงเพราะเด็กชายเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เริ่มสนใจสิ่งต่างๆรอบข้าง เข้าใจปัญหาครอบครัว ครุ่นคิดว่าตนเองอาจเป็นภาระ นั่นคือเหตุผลที่เขาโดดเรียน แวะเวียนกลับบ้าน ต้องการออกมาทำงานหาเงิน เรียกว่าเกิดความตระหนักถึง ‘ความรับชอบ’ ต่อครอบครัว
Takeshi Sakamoto, 坂本武 ชื่อจริง Takehira Nagaishi, 永石 武平 (1899-1974) นักแสดงสัญชาติญี่ปุ่น เกิดที่ Akō, Hyogo เป็นบุตรของชาวประมงหาปลา หลังเรียนจบชั้นประถมทำงานร้านนาฬิกาที่ Osaka ก่อนมีโอกาสรับชมมายากล เกิดความชื่นชอบหลงใหล ทำงานเป็นผู้ช่วยนักมายากลอยู่หลายปี ก่อนเข้าร่วมคณะการแสดงทัวร์ (Traveling Troupe) หลังการยุบคณะในปี ค.ศ. 1923 กลายมาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ในสังกัด Shōchiku มีผลงานกว่า 300 เรื่อง!
รับบทคุณปู่ จับพลัดจับพลูพบเจอหลานชายแท้ๆ เกิดความรักความห่วงใย แต่เพราะความขัดแย้งกับลูกเขยที่ปฏิเสธความช่วยเหลือใดๆ สร้างความไม่พึงพอใจอย่างรุนแรง! เฝ้ารอคอยอีกฝ่ายเสียชีวิต ถึงพาหลานๆมาอยู่ด้วยกันที่บ้านบรรพบุรุษ ก่อนถูกลูกน้องคนสนิททรยศหักหลัง Rokai ใช้ข้ออ้างกฎหมายพยายามแก่งแย่งสิทธิ์ในการบริหารบริษัท โชคดีว่าสามารถพบเจอหลักฐานบางอย่าง เอาตัวรอดจากการสูญเสียบ้านได้อย่างหวุดหวิด
ตอนเล่นหนังเรื่องนี้ Sakamoto เพิ่งจะอายุย่างสี่สิบ แต่เล่นเป็นคุณปู่ที่น่าจะ 70 เลยต้องมีการย้อมผม สวมใส่หนวดปลอม ท่าทางการเดินแข็งๆ ต้องใช้ไม้เท้าค่ำยัน (แต่สามารถควบขี่ม้าหลายสิบไมล์ได้สบายๆ) ส่วนการแสดงก็ต้องถือว่าจัดจ้านไม่เบา ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความผิดหวังต่อทุกคนรอบข้าง ไม่มีใครทำอะไรดั่งใจ ยกเว้นเพียงหลานๆแสดงความรักเกินหน้าเกินตา
แซว: ผมรู้สึกว่า Sakamoto รับบทผู้สูงวัยได้น่าประทับใจกว่าผู้สูงวัยแท้ๆเสียอีก!
ถ่ายภาพโดย Masao Saitō, 斎藤正夫 ตากล้องในสังกัดสตูดิโอ Shōchiku ไต่เต้าจากเป็นผู้ช่วย No Blood Relation (1932), Every-Night Dream (1933), Street Without End (1934), ได้รับเครดิตถ่ายภาพ Children in the Wind (1937), The Masseurs and a Woman (1938), Four Seasons of Children (1939) ฯ
หลายๆผลงานของผกก. Shimizu ที่ผมเขียนถึงก่อนหน้านี้ งานภาพมักเว้นช่องว่าง รักษาระยะห่าง (ใกล้สุดคือ Medium Shot) เพราะข้อจำกัดเรื่องการบันทึกเสียง ความสามารถนักแสดง และเพื่อให้อิสระผู้ชมในการสังเกตการณ์ (Observation Cinema) จะชื่นชมองค์ประกอบภาพ ความงดงามทิวทัศน์พื้นหลัง หรือจับจ้องมองเหตุการณ์บังเกิดขึ้นกับตัวละคร … ก็แล้วแต่ความสนใจ
Four Seasons of Children (1939) ก็ยังเต็มไปด้วยภาพระยะกลาง-ไกล ร้อยเรียงทิวทัศน์ธรรมชาติกว้างใหญ่ แต่ผมสังเกตว่าหนังมีการถ่ายภาพระยะใกล้ (Close-Up) อยู่บ่อยครั้ง! นี่ไม่ใช่ว่าเทคโนโลยีเสียงได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น (ปากขยับยังไม่ค่อยตรงกับเสียงได้ยิน) น่าจะเพราะผกก. Shimizu มีความเชื่อใจนักแสดงขาประจำ รวมถึงต้องการทดลองทำอะไรใหม่ๆ และฤดูกาลของเด็กๆไม่ใช่แค่ความเปลี่ยนแปลงภายนอก เลยต้องพยายามถ่ายภาพประชิดใกล้ เพื่อให้พบเห็นสิ่งซ่อนเร้นภายในจิตใจ
แม้ชื่อหนังจะเกี่ยวกับฤดูกาล (Four Seasons) แต่ตลอดทั้งเรื่องกลับไม่พบเห็นความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศใดๆ นั่นเพราะความตั้งใจแท้จริงของผู้สร้าง Four Seasons of Children ต้องการสื่อถึงความเปลี่ยนแปลง(ทางจิตใจ)ของเด็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ชมต้องคอยสังเกตเอาเอง
ผมครุ่นคิดอยู่นานว่ามันมีอะไรสามารถสื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ (春, Haru) ก็ค้นพบฉากแรกของหนังนี้ คุณปู่ซื้อหน้ากากมาให้กับเด็กๆ เขาแขวนมันไว้บนต้นไม้ แลดูราวกับลูกไม้สุกงอม กำลังออกดอกออกผล สำหรับเด็ดดอมดม … เด็กๆสวมใส่หน้ากาก สามารถตีความในเชิงเปรียบเทียบถึงการผลิดอกออกผล วัยเริ่มต้นของชีวิต
สำหรับเด็กๆ การสวมใส่หน้ากากคือการละเล่นสนุกสนาน ใฝ่ฝันอยากเป็นโน้นนี่นั่น ด้วยเหตุนี้ Sampei จึงปฏิเสธหน้ากากเด็กผู้หญิง แต่พอเลือกไม่ได้เขาก็พยายามทำให้มันดูแข็งแกร่ง สวมใส่แล้วไม่รู้สึกอับอาย, ตรงกันข้ามสำหรับผู้ใหญ่ การสวมใส่หน้ากากมักถูกตีความในเชิงนามธรรม ถึงการเสแสร้ง สร้างภาพ เล่นละคอนตบตา ปกปิดซ่อนเร้นตัวตนแท้จริง ซึ่งก็มีหลายตัวละครผู้ใหญ่ในหนังแสดงพฤติกรรม ‘สวมหน้ากาก’ นี้ออกมา!


Four Seasons of Children (1939) เป็นผลงานที่ผกก. Shimizu ให้ความสำคัญกับทิวทัศน์ธรรมชาติอย่างมากๆ หลายๆช็อตพยายามเลือกให้สามารถสำแดงพลังอารมณ์ (Expressionism) ผู้ชมบังเกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างเมื่อรับชม อย่างเมื่อตอน Sampei ตกจากหลังวัว ไม่ได้ฉายให้เห็นขณะพลัดตก เพียงเด็กๆตะโกนเรียกคุณปู่กับมารดา
- ภาพพื้นหลังฟากฝั่งคุณปู่ ถ่ายติดเทือกเขาสูงใหญ่ นั่นสามารถสื่อถึงเบื้องหลังความเป็นมา คือบุคคลผู้มีอำนาจสูงสุดในครอบครัว อาศัยอยู่บ้านบรรพบุรุษหลังใหญ่ และยังเป็นเจ้าของบริษัทดูแลพนักงานมากมาย
- ตรงกันข้ามกับฟากฝั่งมารดา พบเห็นเพียงเนินป่าหย่อมเล็กๆ แต่งงานกับสามีไม่เอาอ่าว พยายามสร้างกิจการของตนเอง แต่กลับติดหนี้สินท่วมหัว แทบจะเอาตัวไม่รอด


เมื่อตอนคุณย่าเดินทางมาเยี่ยมเยียนหลานๆ มีการนำเอาธงปลาคาร์พ แล้วเล่นหลบซ่อนตัว(ในปลาคาร์พ)กับ Sampei หลายคนอาจไม่คุ้นเคยประเพณีดังกล่าว ทุกวันที่ 5 พฤษภาคม จะถือเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่เรียกว่าวันเด็กผู้ชาย (Kodomo No Hi, 子供の日) เป็นวันที่ขอพรให้เด็กมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และยังมีธรรมเนียมประดับธงที่มีรูปร่างเหมือนปลาคาร์ฟหลากหลายสีสัน (Koinobori, 鯉のぼり) ปลา 1 ตัว คือเด็ก 1 คน โดยปลาสีดำขนาดใหญ่สุดคือบิดา ลูกชายคนโตจะเป็นสีแดงที่มีขนาดเล็กลงมาหน่อย แล้วจะค่อยๆเล็กลงมาแทนลูกคนถัดไป (ลดหลั่นตามความอาวุโส)


เมื่อตอน Sampei เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงที่บ้านคุณปู่ ได้พบเจอกลุ่มเด็กๆในเมืองนำโดย Kintaro แรกเริ่มเหมือนจะไม่ชอบขี้หน้ากันสักเท่าไหร่ แต่มันจะมีฉากที่พวกเขาปิดประตูทางเข้าบ้าน แล้ว Sampei เดินเข้าทางประตูด้านข้าง … นี่เคลือบแฝงนัยยะถึงการแก้ปัญหา บางครั้งไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้าตรงๆ (หรือเข้าทางประตูหน้า) มันอาจมีหนทางอื่น (ประตูข้างให้สามารถเข้ามา)
เหตุการณ์นี้สามารถสะท้อนหลากหลายปัญหาของพวกผู้ใหญ่ ทั้งเรื่องการกู้หนี้ยืมสิน (บิดาปฏิเสธยืมเงินพ่อตา เลยใช้วิธีกู้ยืมเงินบริษัท), การใช้หนี้ (การเป็นธุรกิจครอบครัว มันไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายแก้ปัญหา), หรือการเผชิญหน้ากับ Rokai (คุณปู่ไม่สามารถเผชิญหน้าตรงๆกับ Rokai เลยใช้วิธีการอ้อมๆ แบล็กเมล์ จัดการอีกฝ่ายจนอยู่หมัด)
แซว: Kintaro เริ่มจากกลั่นแกล้ง Sampei แล้ววิ่งหลบหนีมาซ่อนตัวหลังประตู พออีกฝ่ายเข้าประตูด้านข้าง ตบศีรษะโต้ตอบกลับ ก็ร้องไห้ฟูมฟาย … ผมนึกไม่ออกว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้มีสำนวนไทยอะไร แต่มันก็สะท้อนเเรื่องราวของผู้ใหญ่ได้ด้วยเช่นกัน

หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นก่อน Citizen Kane (1941) แม้จะไม่ใช้เทคนิค Deep Focus แต่เราสามารถสังเกตตำแหน่งของตัวละครในภาพ
- เบื้องหน้าคือผู้ใหญ่ คุณปู่ คุณอา และ Rokai กำลังพูดคุยเรื่องเงินกู้ยืม
- ด้านหลังติดหน้าต่าง Zenta & Sampei ไม่รู้ประสีประสาเรื่องของผู้ใหญ่ พวกเขาเหม่อมองออกไปภายนอก
- ภายนอกหน้าต่างคือกลุ่มเด็กๆที่ติดตามทั้งสองมา พวกเขาคือบุคคลนอก ไม่ใช่ทายาท ไม่มีส่วนร่วมอะไรกับบริษัท
- และห่างไกลสุดก็คือ Kintaro แม้บิดาจะกลายเป็นหุ้นส่วน/ผู้บริหารบริษัทในอนาคต แต่เหตุการณ์นี้สั่นคลอนการเป็นหัวหน้ากลุ่มเด็กในเมือง แสดงออกด้วยภาษากายน้อยอกน้อยใจ ใช้มือขีดๆเขียนๆเสาเหล็ก สายตาแห่งความผิดหวัง(ต่อครอบครัวตนเอง) ก่อนภาพ Fade-to-Black จิตใจปกคลุมด้วยความมืดมิด


เด็กๆเฝ้ารอคอยการมาถึงของคุณปู่ แต่บุคคลที่ปั่นจักรยานแวะเวียนมาหากลับคือ Rokai นำข้อเสนอเกี่ยวกับการชำระหนี้สิน … มันมีช็อตหนึ่งฉายภาพล้อจักรยานหมุนกลับไปกลับมา คล้ายๆกงเกวียนกรรมเกวียน แต่ในบริบทของหนังคือบิดาเคยกู้ยืมเงิน และการมาถึงของชายคนนี้เพื่อทวงหนี้สิน

หนังเต็มไปด้วยช็อตที่แสดงให้ถึงการแบ่งระหว่างโลกของเด็ก vs. โลกของผู้ใหญ่ คั่นแบ่งด้วยประตู/หน้าต่าง อย่างสองภาพนี้ถ่ายในทิศทางกลับตารปัตร 180 องศา จากมุมมองของเด็กๆ vs. มุมมองผู้ใหญ่ แถมยังมีการเว้นระยะห่าง ภาพถ่ายระยะไกล เป็นการสร้างสัมผัสแบ่งแยก บานประตูแม้เปิดออกแต่สามารถกั้นแบ่งโลกของเด็กๆ vs. โลกของผู้ใหญ่ออกจากกัน … Zenta & Sampei แม้ยืนจับจ้องมองบิดาพูดคุยกับชายแปลกหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่พวกเขายังไม่รับรู้เรื่องว่าผู้ใหญ่สนทนาอะไรกัน


นี่ก็เป็นอีกภาพที่น่าสนใจ กล้องถ่ายจากตรงประตูบ้าน Zenta & Sampei จับจ้อง-ยืนมอง-พยายามจะวิ่งตามการจากไปของ Rokai แต่พวกเขาทำได้แค่หยุดยืนตรงรั้วหน้าบ้าน ราวกับจะสื่อถึงเส้นแบ่งบางๆระหว่างโลกภายใน & โลกภายนอก เด็กๆยังไม่พร้อม/ไม่ถึงเวลาที่จะก้าวออกไปเผชิญโลกกว้างของผู้ใหญ่

ภาพสุดท้ายของฤดู Spring ฉายภาพลมแรงพัดต้นไม้พริ้วไหว (ก่อน Fade-to-Black) มันไม่ใช่ว่าฤดูกาลนี้สายลมควรพัดเอื่อยๆเฉื่อยๆหรอกฤา? นี่คือภาพที่สามารถสะท้อนสภาวะอารมณ์ของสมาชิกในครอบครัว หลังจาก Rokai แวะเวียนมาทวงหนี้สิน แล้วบิดาปฏิเสธความช่วยเหลือ(จากพ่อตา) จากนั้นอาการป่วยทรุดหนัก มารดาใช้ให้ลูกๆไปซื้อน้ำแข็ง เด็กๆแม้ไม่เข้าใจว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แต่สภาพจิตใจของพวกเขาคงสั่นไหวไม่ต่างต้นไม้เหล่านี้

สิ่งที่สามารถบ่งบอกได้ว่าฤดูร้อน นอกจากข้อความปรากฎ (夏, Natsu) คือเด็กๆหยุดเรียน พากันไปว่ายน้ำ และเกมอดทน Zenta & Sampei หมกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม แล้วบรรดาเพื่อนๆช่วยกันเอาพัดไม้พัดลม
โดยปกติแล้วฤดูร้อน (Summer) คือช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน วันหยุดพักผ่อนของเด็กๆ แต่สิ่งที่หนังพยายามจะสื่อถึงคืออาการลุ่มร้อนทรวงใน ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปว่ายน้ำ(คลายร้อน) และเกมหมกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม พวกเขาจะอดรนทน(ความร้อน)ได้นานสักเพียงไร?


เมื่อตอนต้นเรื่องมีเด็กคนหนึ่งอ่านบทความเขียนถึงคุณย่า กว่าจะร้อยด้ายเข้ารูเข็มต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ซึ่งพอ Zenta & Sampei มีคุณย่ามาเยี่ยมเยียน ก็ได้พบเห็นฉากนี้ เติมเต็มความเพ้อใฝ่ฝัน … นัยยะการร้อยด้ายเข้ารูเข็ม สามารถสื่อถึงเรื่องเล็กๆแต่ต้องใช้เวลายาวนานแก้ปัญหา สะท้อนความขัดแย้งระหว่างบิดากับพ่อตา (คุณปู่) แค่ตอบรับความช่วยเหลือก็จบแล้ว เขากลับยื้อๆยักๆ ชักแม่น้ำทั้งห้า สรรหาสารพัดข้ออ้างไม่รู้จักจบจักสิ้น
ตรงกันข้ามกับเด็กๆ สามารถร้อยด้ายเข้ารูเข็มด้วยเวลาไม่นาน หรือเวลาพวกเขามีปัญหาขัดแย้งอะไรกัน ไม่กี่วันก็สามารถรื้อฟื้น หวนกลับมาคืนดี หลงลืมปัญหา ไม่ค่อยนำมาติดค้างคาใจ

ด้วยความที่บิดา-มารดาไม่อยู่บ้าน สองพี่น้องจึงตัดสินใจทดลองทำงานของครอบครัว รีดนมวัว ส่งน้ำนม พาลูกวัวเดินเล่น และเก็บเงิน ฯ แต่พวกเขายังละอ่อนวัย ไร้เดียงสา ระหว่างทางกลับเห็นเพื่อนๆเล่นน้ำจึงมิอาจหักห้ามใจ ลูกวัวเกือบหนีไป กระเป่าเงินเกือบสูญหาย … เหมือนต้องการบอกว่านี่ยังไม่ถึงช่วงวัยที่รู้จักความรับผิดชอบ

เมื่อได้รับแจ้งว่าอาการป่วยของบิดาทรุดหนัก Zenta & Sampei ที่กำลังตกปลาอยู่บนเรือ กระโดดลงมาแหวกว่าย ตะเกียกตะกาย (สัญลักษณ์ของการต่อสู้ดิ้นรน) และพอมาถึงโรงพยาบาล คำสอนสุดท้ายอาจฟังดูแปลกๆ “As you lives your life dont’t think to gain more than other people.” ถ้าคนอื่นจ่าย 5 Sen เราควรต้องจ่าย 10 Sen อิหยังวะ? แต่ความหมายจริงๆคือต้องการเสี้ยมสอนให้เราทำงานหนักกว่าคนอื่น แล้วจักมีโอกาสประสบความสำเร็จ
คำสอนดังกล่าวเหมาะกับคนรุ่นก่อนที่เชื่อในวัฒนธรรมการทำงานหนักไม่เคยฆ่าใคร คนทุ่มเทให้กับการงานย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วนะครับ คำกล่าวที่ถูกในปัจจุบันคือ “ฉลาดทำงาน และรู้จักแบ่งเวลาให้เหมาะสม”


การมาถึงของฤดูใบไม้ร่วง (秋, Aki) = ความตายของบิดา, ทำให้ครอบครัวต้องอพยพย้าย ออกเดินทางเข้ามาในเมือง ปักหลักอาศัยอยู่บ้านบรรพบุรุษของคุณปู่, จากนั้น Sampei เริ่มต้นออกสำรวจนอกบ้าน พบเจอ Kintaro พยายามล็อบบี้พวกพ้องไม่ให้ยุ่งเกี่ยวข้องแว้ง
แต่ทว่า Sampei ได้สำแดงความสามารถ ด้วยการปีนป่ายขึ้นไปเดินบนราวสะพาน นั่นไม่ใช่สิ่งที่ใครๆสามารถทำได้ แม้แต่ Kintaro ก็ยังทำไม่ได้ นั่นทำให้ผองเพื่อนให้ความเคารพ ยินยอมรับเป็นพวกพ้องในกาลถัดมา … กิจกรรมนี้มันอาจไม่ได้สะท้อนเรื่องราวอะไรในหนัง แต่โลกของผู้ใหญ่สามารถสื่อบุคคลผู้มีทักษะพิเศษ สามารถกระทำสิ่งผิดแผกแตกต่างจากผู้อื่น ย่อมได้รับการยอมรับจากใครๆ

เมื่อตอนอยู่ชนบท Sampei มักลงเล่นว่ายน้ำกับเพื่อนๆ แต่พอเข้ามาอยู่ในเมืองกลับทำได้เพียงจับจ้องมอง ให้อาหารฝูงปลา นี่น่าจะคือภาพสะท้อนชีวิต ความเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากสภาพแวดล้อม ปัจจัยต่างๆรอบข้าง เด็กชายไม่สามารถทำสิ่งต่างๆได้เหมือนตอนอยู่บ้านชนบท ต้องเรียนรู้จะปรับตัวเข้ากับสถานที่อยู่ใหม่

วิธีการจะซื้อใจเด็กๆได้ง่ายที่สุดก็คือของเล่น ชิงช้า ม้ากระโดด แต่ทั้งสองสิ่งนี้เคลือบแฝงนัยยะถึงความทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง (ชิงช้าแกว่งไกวให้ถึงจุดสูงสุด) การ(กระโดด)ข้ามหัวผู้อื่น ซึ่งสอดคล้องเข้ากับตอน Rokai พอแก่งแย่งอำนาจจากคุณปู่ ก็ยึดของเล่นเหล่านี้กลายเป็นของบริษัท

Kintaro หลังล่วงรู้ว่าบิดากำลังจะกล่าวสุนทรพจน์ แม้ไม่เข้าใจว่าเรื่องอะไร แต่พยายามชักชวนเพื่อนๆทั้งหลายไปร่วมรับฟัง ซึ่งพอมาถึงบ้านบรรพบุรุษ(ของคุณปู่) กล้องเคลื่อนเลื่อนเข้ามาภายใน พานผ่าน Zenta & Sampei แล้วยังดำเนินต่อถึงคุณปู่ เกิดความฉงนสงสัย วันนี้วันอาทิตย์หยุดงานไม่ใช่หรือไร?
การเคลื่อนเลื่อนกล้องของช็อตนี้เปรียบดั่งการเดินทางของข่าวลือ จากผู้ใหญ่สู่เด็ก จากเด็กสู่ผู้ใหญ่ สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างคนสองรุ่นที่ต่างพึ่งพาอาศัย

ผมเคยอธิบายช็อตคล้ายๆกันนี้ไปแล้วรอบหนึ่ง เป็นการใช้หน้าต่างคั่นแบ่งระหว่างภายใน vs. ภายนอก, ผู้บริหารบริษัท vs. บุคคลไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย, โลกของผู้ใหญ่ vs. โลกของเด็ก … คำกล่าวสุนทรพจน์ของ Rokai แม้เด็กๆภายนอกฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอเห็นผู้ใหญ่ปรบมือ พวกเขาก็เลียนแบบตามอย่าง
ส่วนอีกภาพหนึ่งคือการเผชิญหน้าระหว่างคุณปู่ vs. Rokai สำแดงความไม่พอใจถึงขนาดลงไม้ลงมือ ภายนอกคือบุคคลเดินผ่านไปมาผ่าน ไม่รู้ประสีประสา เพียงพบเห็นการกระทำ(ของคุณปู่)ที่ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ


หลังจาก Rokai เข้ายึดบริษัท ภาพถัดมาถ่ายทำภายในบ้านบรรพบุรุษ กล้องเคลื่อนเลื่อนจากบริเวณหน้าประตูสู่ภายในบ้าน ดูแล้วเป็นการไล่ระดับความสำคัญของสมาชิกครอบครัว เด็กๆอยู่ห่างไกลสุด พานผ่านญาติพี่น้อง และคุณปู่+ย่า+มารดานั่งอยู่ภายในสุด พูดบอกว่าเราอาจต้องสูญเสียบ้านหลังนี้จากการถูกยึดเข้าบริษัท
ในทิศทางตรงกันข้ามกับการมาถึงของเจ้าหน้าที่ (ที่จะมายึดบ้าน) กล้องตั้งทิ้งไว้เฉยๆให้พวกเขาก้าวเดินเข้ามาจากประตู เป็นการสร้างสัมผัสเหมือนสิ่งชั่วร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา


นี่อาจดูเหมือนการระบายอารมณ์อัดอั้นของคุณปู่ เล่นกีฬายิงธนู ให้ถูกเป้าหมาย Rokai? แต่ผมรู้สึกว่านี่น่าจะคิวโด (弓道, Kyudo) ศาสตร์การยิงธนูที่ไม่ได้มุ่งเน้นการยิงให้แม่นยำ แต่เพื่อฝึกฝนสมาธิ สงบจิตสงบใจ คลายความฟุ้งซ่านเสียมากกว่า … สังเกตว่ามันละอารมณ์กันเลยนะครับ ยิงเพื่อระบายอารมณ์ vs. ยิงให้จิตใจเกิดความสงบ

เมื่อตอน Kintaro แวะเวียนมาหาบิดาที่บริษัทเพื่อขออนุญาตเล่นชิงช้า ม้ากระโดด ก่อนถูกตะคอกใส่ มันจะมีช็อตนี้ที่ถ่ายภาพเด็กๆอยู่ด้านหลังรั้วประตู ราวกับถูกคุมขัง ไร้หนทางออก ดูแล้วไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถกลับไปเล่นชิงช้า ม้ากระโดดได้อีกต่อไป

หลังจากมารดาออกคำสั่งห้าม Kintaro ไม่ให้เล่นกับ Zenta & Sampei สร้างความผิดหวังให้เพื่อนคนอื่นๆ เลยพากันออกไปเล่นนอกบ้าน เก็บผลไม้ป่าตกอยู่ข้างลำธาร Kintaro เหมือนต้องการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาจึงขออาสาปีนป่ายต้นไม้ เขย่ากิ่งก้านใบ ก่อนพลัดตกลงมา … การตกลงจากต้นไม้ของ Kintaro สะท้อนความสัมพันธ์ตกต่ำระหว่างบิดา vs. คุณปู่ของ Zenta & Sampei หลังจากนี้ทั้งสองครอบครัวแทบจะมองหน้ากันไม่ติด!
ปล. ผลไม้/เด็กชายร่วงหล่นจากต้นไม้ นี่สามารถสะท้อนถึงฤดูใบไม้ร่วงได้ด้วยกระมัง

การมาถึงของฤดูหนาว (冬, Fuyu) พบเห็นแค่สายลมแผ่วเบา (ไม่มีหิมะตก) แล้วหนังเริ่มต้นด้วยสองพี่น้อง กับเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขารู้สึกหนาวเหน็บทรวงใน
- Sampei ถูกทอดทิ้ง ไม่มีเพื่อนเล่นด้วย หลังเลิกเรียนเลยนั่งรอพี่ชายอยู่ตรงเจดีย์หิน (石塔, Sekitou)
- Zenta ตัดสินใจไม่เรียนต่อ ร่ำร้องไห้ ก่อนหนีออกจากห้องเรียน


วิธีการคลายความหนาวเหน็บทรวงใน ก็คือสองพี่น้องตัดสินใจแวะเวียนกลับไปบ้านหลังเก่า พบปะเพื่อนฝูง พาลูกวัวออกเดินเล่น สิ่งเล็กๆที่สามารถสร้างความอบอุ่นหัวใจ … คำอธิบายของผมนี้เป็นนามธรรมทั้งหมดเลยนะครับ!

Zenta & Sampei หายตัวออกไปจากบ้าน (แวะเวียนไปเยี่ยมเยียนบ้านหลังเก่า) แต่แทนที่จะมีเฉพาะครอบครัวของพวกเขาวิ่งวุ่นออกติดตามหา Kintaro กลับขึ้นขี่หลังคุณปู่ สลับกันตะโกนเรียกหา รวมถึงมารดา (คนหนึ่งออกติดตามหาคุณปู่, อีกคนออกติดตามหาบุตรชาย)
เมื่อตอนเด็กๆวิ่งไปวิ่งมา มันแยกแยะทิศทางไม่ค่อยออกหรอกว่าบ้านใครอยู่แห่งหนไหน จนกระทั่งช็อตนี้ที่มารดาของสองครอบครัวมาพบเจอกัน ทำให้ผมตระหนักได้ว่าบ้านบรรพบุรุษของคุณปู่ vs. บ้านของ Rokai ตั้งอยู่คนละฟากฝั่งสะพาน … นี่ก็สำแดงความเป็นศัตรู ขั้วตรงข้ามอย่างตรงไปตรงมา

ซีเควนซ์ที่ผมมองว่าทรงพลังที่สุดของหนัง! ด้วยความที่ Kintaro หลังจากตกต้นไม้ ขาได้รับบาดเจ็บ เดินกระโผลกระเผก จึงถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง การมาถึงของ Zenta ให้ความช่วยเหลือด้วยให้ขึ้นขี่หลัง แล้วพอมาพบเจอกลุ่มเด็กๆ ทุกคนต่างช่วยกันสลับสับเปลี่ยน รวมถึง Sampei ไหวมิไหวแหล่ … การขึ้นขี่หลัง สามารถมองในเชิงสัญลักษณ์ของการพึ่งพาอาศัย เพื่อนคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ เพื่อนคนอื่นต่างพร้อมให้ความช่วยเหลือพาไปส่งบ้าน
เหตุการณ์นี้สามารถเสี้ยมสอนบทเรียนสำหรับผู้ใหญ่ เราควรรู้จักพึ่งพาอาศัย ให้ความช่วยเหลือญาติพี่น้อง/เพื่อนพ้องมิตรสหาย ไม่ใช่ทำตัวอย่าง Rokai สนเพียงผลประโยชน์ กอบโกยเงินทอง สำแดงความเห็นแก่ตัวออกมา


สภาพอากาศหนาวเหน็บที่สุดในหนังคือตอนฝนตก (โดยปกติแล้วฝนตกในญี่ปุ่นช่วงต้นฤดูร้อน มิถุนายน-กรกฎาคม) มีการกางร่มให้ชิงช้าและม้ากระโดด ทำให้เด็กๆต้องวิ่งเล่นในบ้าน ผลัดกันเป็นอานม้า กระโดดข้ามกันไปมา นี่แตกต่างจากนัยยะกระโดดข้ามหัวคนอื่น เพราะทุกคนยอมเล่นเป็นอานม้า เลยสามารถสื่อถึงการพึ่งพาอาศัยกันและกัน
ความน่าสนใจขณะฝนตกก็คือ Zenta เผชิญหน้ามารดา พูดบอกว่าตนเองไม่คิดจะเรียนต่อ ต้องการออกมาทำงาน ช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว และพอสนทนากับคุณปู่ ได้รับการเสี้ยมสอนว่านั่นไม่ใช่ปัญหา การทำงานไม่ใช่หน้าที่ของเด็กๆ แต่เป็นของผู้ใหญ่ส่งลูกหลานเรียนหนังสือ สำเร็จการศึกษา

กฎหมายห้ามการเป็นกรรมการบริหารบริษัทในธุรกิจเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เมื่อพบเจอหลักฐานว่า Rokai มีตำแหน่งอยู่แล้วกับบริษัทคู่แข่ง จึงถูกเรียกตัวมาพูดคุย หาหนทางออกร่วมกัน ช่วงแรกๆของซีเควนซ์นี้จะถ่ายภาพจากด้านหลังของ Rokai จนเมื่อเขายินยอมจำนนต่อหลักฐาน ตัดสินใจลาออกจากบริษัท ถึงเกิดการสลับเปลี่ยนมุมกล้อง 180 องศา พบเห็นเขาลุกขึ้นยืน โค้งคำนับ แล้วก้าวออกจากห้องประชุม … นี่ถือเป็นช่วงเวลาหนาวเหน็บที่สุดของหนัง (ในมุมมองตัวละคร Rokai)
ปล. หนังไม่มีคำอธิบายใดๆเกี่ยวกับดวงตาของ Rokai ทำไมถึงหยอดตา? เอาผ้าปิดหน้า? สวมแว่นตาดำ? แต่เราสามารถตีความในเชิงสัญลักษณ์ถึงการสูญเสียวิสัยทัศน์ อนาคตอันมืดหม่น (จากการทรยศหักหลังบริษัทของตน)


ตัดต่อไม่มีเครดิต, หนังแบ่งออกเป็นสี่ฤดูกาล แยกฉายออกเป็นสองภาค Spring, Summer และ Autumn, Winter และมักนำเสนอคู่ขนานระหว่างเรื่องราวของเด็กๆ vs. สารพัดความวุ่นวายของผู้ใหญ่
- Spring
- คุณปู่ขี่ม้า ซื้อหน้ากากมาเป็นของขวัญเด็กๆ แล้วพา Sampei ขึ้นขี่กลับบ้าน
- ที่โรงเรียน Sampei อ่านบทความฉันอยากมีคุณปู่
- Sampei ตกจากหลังวัว มารดามาช่วยเหลือ แล้วตระหนักว่าเขาคือคุณปู่จริงๆ
- คุณยายแอบรับรู้ว่าคุณปู่แอบขี่ม้าไปเยี่ยมหลาน จึงขึ้นรถออกเดินทางไปถึงตัดหน้า
- คุณปู่พาหลานๆเข้าเมือง แนะนำเครือญาติ สถานที่ต่างๆ และได้พบเจอเพื่อนใหม่ Kintaro
- Rokai ยกการหยิบยืมเงินมาสร้างปัญหากับคุณปู่
- พอกลับมาบ้าน เด็กๆเฝ้ารอการมาถึงของคุณปู่
- แต่บิดาที่ล้มป่วยหนัก ติดหนี้ติดสิน กลับปฏิเสธรับความช่วยเหลือใดๆ
- Summer
- อาการป่วยของบิดาทรุดหนักจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
- เด็กๆเขียนจดหมายถึงคุณปู่
- แต่คุณปู่เล่นตัวไม่ยอมอ่าน
- คุณปู่มาพร้อมกับ Kintaro สร้างความไม่พอใจให้กับ Sampei เลยชวนเพื่อนๆไปเล่นที่บ้าน
- คุณย่าเดินทางมาดูแลหลานๆ
- Zenta & Sampei ช่วยทำงานด้วยการเดินทางไปทวงหนี้ เกือบทำลูกวัว (และกระเป๋าใส่เงิน) สูญหาย
- บันทึกข้อความส่งมาทวงหนี้ ก่อนค้นพบว่าคนส่งคือ Rokai
- บิดาบอกร่ำลาบุตรชายทั้งสอง
- Autumn
- หลังบิดาเสียชีวิต ครอบครัวย้ายสู่บ้านของคุณปู่
- Kintaro และผองเพื่อนปฏิเสธเล่นกับ Sampei
- แต่หลังจากคุณปู่สร้างเครื่องเล่น ชิงช้า ม้ากระโดด เด็กๆจึงยินยอมเล่นกับ Sampei
- Rokai กล่าวสุนทรพจน์เรื่องการใช้อำนาจในทางส่วนตัวของคุณปู่ นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง
- คุณปู่บอกกับเด็กๆ ว่าเครื่องเล่นเหล่านั้นถูกยึดเป็นของบริษัท ไม่สามารถเล่นได้อีกต่อไป
- ครอบครัวของ Kintaro ออกคำสั่งไม่ให้เล่นกับ Sampei
- แต่ทว่า Kintaro ก็ยังฝืนคำสั่ง ระหว่างเก็บผลไม้ ปีนป่ายต้นไม้ ตกลงมาได้รับบาดเจ็บ
- เพื่อนๆเข้าไปเล่นบ้านของ Kintaro ทอดทิ้งให้ Sampei ก้าวเดินอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
- Winter
- Zenta แสดงออกว่าเริ่มไม่อยากเรียนต่อ
- Zenta & Sampei เดินทางกลับบ้านเก่า ทักทายลูกวัว และเพื่อนๆ
- วันถัดมา Zenta ให้ความช่วยเหลือ Kintaro อุ้มขึ้นหลัง พาไปส่งที่บ้าน ระหว่างทาง Sampei เข้ามาช่วยสานต่อ
- เด็กๆได้รับอนุญาตให้เล่นที่บ้านของ Kintaro รวมถึงเครื่องเล่นต่างๆ
- คุณปู่รับรู้เบื้องหลังของ Rokai เลยตัดสินใจเผชิญหน้า ก่อนอีกฝ่ายขอลาออกเอง
เพลงประกอบโดย Senji Itō, 伊藤宣二 นักแต่งเพลงในสังกัดสตูดิโอ Shōchiku ร่วมงานขาประจำผู้กำกับ Yasujirô Ozu และ Hiroshi Shimizu ผลงานเด่นๆ อาทิ The Only Son (1936), Children in the Wind (1937), The Masseurs and a Woman (1938), Four Seasons of Children (1939), Osaka Woman (1940), The Brothers and Sisters of the Toda Family (1941), Children of the Beehive (1948), Late Spring (1949), Early Summer (1951) ฯ
ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าหนังไม่มีการใช้บทเพลงประกอบ หรือเกิดจากคุณภาพเสียงที่ยังไม่ผ่านการบูรณะ เลยแทบจะไม่ได้ยินบทเพลงใดๆ ถึงอย่างนั้น Opening Credit ก็มีท่วงทำนองสนุกสนาน ครึกครื้นเครง สัมผัสถึงอุปนิสัยขี้เล่นซุกซนของเด็กๆ … ผมแอบรู้สึกเสียดายที่อย่างน้อยระหว่างปรากฎชื่อฤดูกาล มันน่าจะมีเพลงประกอบอารัมบทสักหน่อย จะช่วยสร้างบรรยากาศหนังได้ดี
Children in the Wind (1937) นำเสนอเรื่องราวของเด็กชายราวกับสายลม พัดพามรสุม ความวุ่นๆวายๆ สร้างปัญหามากมายให้กับครอบครัว ก่อนสามารถเติบโต เรียนรู้จักโลกกว้าง กลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่, Four Seaons of Children (1939) เด็กชายก็ยังคงสร้างความวุ่นๆวายๆ แต่มุ่งเน้นนำเสนอความเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ราวกับฤดูกาลเคลื่อนพานผ่าน ทำให้เขาต้องปรับตัวเข้ากับโลกกว้าง พบเจอเพื่อนใหม่ และเรียนรู้จักการยกโทษให้อภัย
(อธิบายง่ายๆก็คือ #Children in the Wind นำเสนอความเปลี่ยนแปลงภายในของเด็กชาย, #Four Seasons of Children นำเสนอความเปลี่ยนแปลงภายนอก ปรับตัวเข้ากับโลกกว้าง)
โดยปกติแล้วภาพยนตร์ที่ตั้งชื่อเกี่ยวกับฤดูกาล อย่างน้อยที่สุดก็ต้องพบเห็นสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ฝนตก แดดออก นกกระจอกเข้ารัง, Four Seaons of Children (1939) ไม่ได้ต้องการฉายภาพอะไรแบบนั้น แต่ใช้ฤดูกาลสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเด็กๆและครอบครัว
- Spring สองพี่น้องได้รู้จักกับคุณปู่ เดินทางเข้าเมืองพบเจอญาติพี่น้อง บ้านบรรพบุรุษ และกิจการครอบครัว
- Spring คือฤดูกาลแห่งการเริ่มต้น ต้นไม้ผลิดอกออกผล เด็กๆค้นพบโลกกว้าง
- Summer บิดาเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล สองพี่น้องได้ลองทำงาน ก่อนร่ำลาจากบิดา
- โดยปกติแล้วมันควรคือช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานหรรษา แต่หนังทำเหมือนการมอดไหม้ ลุ่มร้อนทรวงใน บิดาล้มป่วย(ก่อนเสียชีวิต) สองพี่น้องเกือบทำลูกวัวและเงินหาย ฯ
- Autumn หลังสูญเสียบิดา ย้ายมาอยู่บ้านบรรพบุรุษ ปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ แต่ไม่ทันไรก็กำลังจะสูญเสียทุกสิ่งอย่างไป
- ฤดูใบไม้ร่วงคือช่วงเวลาแห่งความแห้งเหี่ยว โรยรา อะไรเคยได้มาก็จักสูญเสียไป รวมถึงชีวิต-ความตาย
- Winter พี่ชายไม่อยากเรียนต่อ ต้องการออกมาทำงานแบ่งเบาภาระครอบครัว ก่อนถูกคุณปู่สอนสั่ง, ส่วนเด็กๆก็สามารถประสานความสัมพันธ์แตกร้าว เรียนรู้จักพึ่งพาอาศัย ยกโทษให้อภัย
- ช่วงเวลาแห่งความหนาวเหน็บ ท้อแท้สิ้นหวัง แต่เมื่อถึงจุดตกต่ำสุด ก็จักค้นพบแสงสว่าง หนทางออกของปัญหา
นอกจากการเปรียบเทียบกับฤดูกาล หนังยังนำเสนอเรื่องราวคู่ขนานระหว่างเด็กๆ vs. ผู้ใหญ่, ขณะที่เด็กๆไร้เดียงสา แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีลับลมคมใน หรืออะไรเคลือบแอบแฝง, ตรงกันข้ามกับผู้ใหญ่ต่างสวมใส่หน้ากาก สร้างภาพ เล่นละคร ก่อบังเกิดความขัดแย้ง แสวงหาผลประโยชน์ ตอบสนองอัตตา (Ego) ความพึงพอใจส่วนตน
- บิดาปฏิเสธความช่วยเหลือจากพ่อตา สรรหาข้ออ้างต้องการพึ่งพาตนเอง ไม่ต้องการอยู่ภายใต้ร่มเงาใคร และแม้ล้มป่วยหนัก ฟาร์มปศุสัตว์ขาดทุนย่อยยับ ยังคงดื้อรั้น เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ
- เด็กๆวาดฝันอยากมีปู่-ย่า พอได้พบเจอก็เฝ้ารอคอย แต่เพราะอัตตาของบิดาเลยไม่มีใครอยากมาเยี่ยมเยียน
- คำกล่าวสุนทรพจน์ของ Rokai สร้างความขัดแย้ง กลายเป็นศัตรูกับคุณปู่
- เด็กชาย Kintaro ถูกครอบครัวออกคำสั่งไม่ให้เล่นกับ Zenta & Sampei
ไฮไลท์ของหนังก็คือ Zenta & Sampei ช่วยแบกอุ้ม Kintar ที่ได้รับบาดเจ็บ ขาเดินกระโผกกระเผก พาไปส่งถึงบ้าน นั่นคือสัญญะของการพึ่งพาอาศัย ยกโทษให้อภัย ไม่ได้ถือโทษโกรธเคือง … การแก้ปัญหาของเด็กๆมีความเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไร้อัตตา และสามารถเป็นบทเรียนสำหรับผู้ใหญ่ ทำไมต้องทำเรื่องง่ายๆให้กลายเป็นสิ่งซับซ้อน
ในแง่มุมของกิจการครอบครัว vs. บริษัท(มหาชน)จำกัด, สามารถสะท้อนถึงโลกของเด็กๆ vs. โลกกว้างของผู้ใหญ่ มันมีรายละเอียดทางข้อกฎหมายที่แตกต่างกันมาก (อันนี้ในความเข้าใจของผมเองนะครับ)
- กิจการครอบครัว มันสามารถอะลุ่มอะหล่วย ลูกเขยขอหยิบยืมเงินโดยไม่เขียนสัญญา แล้วบอกว่าพร้อมเมื่อไหร่ใช้คืน ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร
- แต่พอกิจการเติบโตกลายเป็นบริษัท(มหาชน)จำกัด ทุกสิ่งอย่างต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ผ่านการตรวจสอบอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นอาจโดนฟ้องร้อง ขึ้นโรงขึ้นศาล จ่ายค่าปรับ/ภาษีย้อนหลัง วุ่นๆวายๆชิบหาย!
การกระทำของ Rokai ว่ากันตามตรงไม่ได้ผิดอะไรเลย ยึดตามหลักกฎหมายถูกต้องเป๊ะๆ คนเคยกู้ยืมเงินก็ต้องคิดดอกเบี้ย ออกใบทวงหนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการเงินในอนาคต แต่ประเด็นคือสิ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใต้หน้ากาก ความอิจฉาริษยา ทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง ละโมบโลภมาก และอาจเป็นสายลับส่งมาจากบริษัทคู่แข่ง เหล่านี้ทำให้เขาหน้ามืดตามัว สายตาพร่าบอด (หยอดน้ำตาเทียม) มองไม่เห็นสิ่งสำคัญของการพึ่งพาอาศัย นั่นคือความมีมนุษยธรรม!
ผกก. Shimizu สรรค์สร้าง Four Seaons of Children (1939) ขึ้นระหว่างสงคราม Second Sino-Japanese War (1937-45) มันอาจดูไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย แต่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้ใหญ่ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของเด็กๆ มันสามารถสะท้อนถึงสงครามภายนอก ส่งผลกระทบต่อประชาชนภายในประเทศ … เป็นหนัง Anti-War ที่ไม่ได้เนื้อหาสาระเกี่ยวกับการต่อต้านสงครามเลยสักนิด!
เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์เมื่อตอนออกฉายถือว่าดียอดเยี่ยม ได้รับเลือกจากนิตยสาร Kinema Junpo ติดอันดับ #6 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี! (เพิ่งเป็นผลงานเรื่องที่สองของผกก. Shimizu ต่อจาก Children in the Wind ติดอันดับชาร์ทนี้)
ปัจจุบันหนังยังไม่มีข่าวคราวการบูรณะ เพียงสามารถหาซื้อดีวีดี Shimizu Hiroshi Collection – Part 2 Kodomo No Shiki (Four Seasons of Children) ประกอบด้วย Children in the Wind (1937), Nobuko (1940), Mikaheri no Tou (1941) และ Four Seaons of Children (1939) จัดจำหน่ายโดย Shochiku Home Video ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008
แม้สเกลของ Four Seaons of Children (1939) จะดูใหญ่ขึ้น อลังการขึ้น ทิวทัศน์พื้นหลังสร้างความตื่นตาตะลึง แต่ส่วนตัวรู้สึกว่า Children in the Wind (1937) นำเสนอประเด็นจับต้องได้ เคลือบแฝงนัยยะลุ่มลึกล้ำ และพบเห็นการเติบโตเด็กชายที่ชัดเจนกว่า
ถึงอย่างนั้น Four Seaons of Children (1939) เป็นหนังที่มีสาระข้อคิดในระดับ “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย” ความขัดแย้งของผู้ใหญ่ส่งผลกระทบต่อลูกๆหลานๆ แต่การแก้ปัญหาตามประสาเด็กๆอาจสามารถเป็นบทเรียนชีวิตสำหรับผู้ใหญ่ อย่ายึดถือมั่นในอัตตา (Ego) ของตนเองเกินไปจนมองไม่เห็นสิ่งสำคัญกว่ารอบข้างกาย
จัดเรตทั่วไป รับชมได้ทุกเพศวัย
Leave a Reply