Mimic

Mimic (1997) hollywood : Guillermo del Toro ♥♥♥♡

ไม่ใช่แค่แมลงสาปสายพันธ์ Judas Breed ที่วิวัฒนาการด้วยการลอกเลียนแบบ (Mimic) ความสามารถของผู้ล่า แต่ยังผู้กำกับ Guillermo del Toro สรรค์สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เพื่อทำการเคารพคารวะบรรดาโคตรหนัง Horror

คนที่ได้รับชม Mimic (1997) ก็น่าจะชวนระลึกนึกถึงโคตรภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง Frankenstein (1931), Them! (1954), Alien (1979), The Thing (1982), The Fly (1986), The Nest (1987) ฯ แต่ไม่ใช่ว่าผกก. del Toro ทำการลอกเลียนแบบมาอย่างเดียว ยังปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องเข้ากับวิสัยทัศน์ของตนเอง!

ทีแรกผมไม่มีความสนใจอยากจะเขียนถึง Mimic (1997) เพราะอ่านเจอว่าถูกแทรกแซงโดย Harvey & Bob Weinstein ผู้บริหารสตูดิโอ Miramax (ขณะนั้น) เนื่องจากมองว่าหนังไม่ค่อยมีความหลอกหลอนสักเท่าไหร่ เลยทำการยึดครองสิทธิ์ในการตัดต่อ Final Cut

The only time I have experienced bad behaviour, and it remains one of the worst experiences of my life, was in 1997, when I did Mimic for Miramax. It was a horrible, horrible, horrible experience.

Guillermo del Toro

ภายหลังเมื่อ Disney ขายต่อสตูดิโอ Miramax ให้กับ Filmyard Holdings LLC เมื่อปี ค.ศ. 2010 ทำให้ผกก. del Toro มีโอกาสนำหนังมาตัดต่อใหม่ (Director’s Cut) จากความยาว 106 นาที เพิ่มขึ้นเป็น 112 นาที มันอาจไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์แบบตามที่ต้องการเป๊ะๆ แต่ก็สามารถเยียวยารักษาแผลใจได้ระดับหนึ่ง

It’s not exactly the movie I wanted to do, but it definitely healed a lot of wounds. As soon as Miramax goes one way or the other as a company, those DVDs will come out. I am happy with the cut.

ตัวหนังอาจยืดยาวไปสักนิด ตัวละครเยอะเกินไปหน่อย เรื่องราวไม่ค่อยมีความแปลกใหม่ แต่งานสร้าง+การถ่ายภาพสร้างบรรยากาศหลอกหลอน ขนหัวลุกพอง ฉากไล่ล่า/หลบหนีเต็มไปด้วยความลุ้นระทึก ผมชื่นชอบลีลาตัดต่อที่มักตัดสลับกลับไปกลับมา หรือร้อยเรียงชุดภาพเหตุการณ์ มันแสดงถึงวิสัยทัศน์และอัจฉริยภาพของผกก. del Toro … ผลลัพท์ออกมาดีเกินคาด!


Guillermo del Toro Gómez (เกิดปี ค.ศ. 1964) ผู้กำกับภาพยนตร์สัญชาติ Mexican เกิดที่ Guadalajara, Jalisco ในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัด ตั้งแต่เด็กชื่นชอบหยิบกล้อง Super 8 ของบิดามาถ่ายทำหนังสั้นจากของเล่น มักเกี่ยวกับสัตว์ประหลาด สร้างหนังสั้นเป็นสิบเรื่องๆมักเกี่ยวกับสัตว์ประหลาด Fantasy Horror, โตขึ้นเข้าเรียน University of Guadalajara จบออกมาทำงาน Special Make-Up Effect ได้เป็นลูกศิษย์ของ Dick Smith (เจ้าของฉายา The Godfather of Make-Up) สะสมประสบการณ์นับสิบๆปี ระหว่างนั้นก็ยังคงทำหนังสั้นออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีโอกาสสร้างภาพยนตร์ขนาดยาว (Feature Length) Cronos (1993)

ความสำเร็จระดับนานาชาติของ Cronos (1993) ทำให้ผกก. del Toro ได้รับการติดต่อจากสตูดิโอ Miramax ยื่นข้อเสนอให้ดัดแปลงเรื่องสั้น Mimic (1942) ของ Donald A. Wollheim (1914-1990) รวบรวมอยู่ในหนังสือ 100 Creepy Little Creature Stories (1994)

ในตอนแรกวางแผนจะทำเป็นหนังสั้น ความยาวประมาณ 30 นาที รวมกับอีกสี่เรื่องสั้น (Anthology film) ตั้งชื่อโปรเจคว่า Lightyears แต่พอผกก. del Toro เริ่มพัฒนาบทร่วมกับ Matthew Robbins (The Sugarland Express, Dragonslayer) แรงบันดาลใจมากมายก็พรั่งพรูออกมา พวกเขาเลยตัดสินใจขยับขยายเรื่องราวกลายเป็นภาพยนตร์ขนาดยาว (Feature Length)

เกร็ด: ในบรรดาสี่หนังสั้นที่วางแผนเอาไว้ มีสามเรื่องถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ขนาดยาว Mimic (1997), Impostor (2001) และ Alien Love Triangle (2008)

ดั้งเดิมนั้น Mimic คือแมลงปีกแข็งกลายพันธุ์ (Beetle) แต่ระหว่างการประชุมกับ Michael Phillips เสนอแนะว่าถ้าเลือกสถานที่พื้นหลัง New York City ก็ควรเปลี่ยนสัตว์กลายพันธุ์มาเป็นแมลงสาป (Cockroaches) เพราะมิอาจโต้แย้งเอาชนะโปรดิวเซอร์ ผกก. del Toro เลยจำยินยอม พร้อมตั้งเป้าหมายจะสร้าง “Best Cockroach Movie Ever Made”

In the first script, Matthew Robbins and I wanted our creatures to be large beetles nesting in Central Park, carrying a bacteria, hence the need to control them.

I’ll never forget the day Michael Phillips, taking off his shoes during the meeting, started saying, “If it’s New York, why not cockroaches?

I felt the world explode in a wave of horror and immediately I said, “Look guys, we can’t do this or we’re going to end up with a giant cockroach movie and there’s no way we’re going to get past that Z-movie concept. We might be able to make a clever movie out of it, but the cockroach itself is such a bad concept that creating a movie around it, we’re not going to survive it.”

I lost that battle because someone at the table got really excited about it: New York, cockroaches, it was the perfect marriage, blah, blah, blah. From that moment on, I was doomed to make the best giant cockroach movie ever made. That was the biggest goal I could have with Mimic, but, damn it, I tried , and so did everyone on my team.

Guillermo del Toro

แมลงสาปกำลังแพร่ระบาดโรค(สมมติ) Strickler’s Disease (ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ Stickler syndrome) เข่นฆ่าเด็กๆในมหานคร New York City เสียชีวิตนับร้อยๆคน จนกระทั่งนักกีฏวิทยา Dr. Susan Tyler (รับบทโดย Mira Sorvino) ได้ทำการตัดต่อพันธุกรรม Judas Breed ส่วนผสมระหว่างตั๊กแตนและปลวก ปล่อยเอนไซม์ที่สามารถเร่งการเผาผลาญ Metabolism หรือก็คือทำให้แมลงสาปเสียชีวิตเร็วขึ้น และสูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็ว

แต่ชีวิตล้วนมีหนทาง! สามปีถัดมาเด็กๆกำพร้าที่อาศัยอยู่ข้างถนนนำแมลงหน้าตาแปลกๆ (Weird Bug) มาขายต่อให้ Dr. Susan ก่อนเธอค้นพบว่ามันคือสายพันธุ์ที่วิวัฒนาการมาจาก Judas Breed จึงร่วมกับแฟนหนุ่ม Dr. Peter Mann ออกติดตามค้นหาแหล่งกำเนิด ก่อนค้นพบอาณานิคมขนาดใหญ่อยู่ภายใต้สถานีรถไฟใต้ดินที่ถูกทอดทิ้งร้าง พวกเขาจึงต้องหาหนทางกำจัด กวาดล้าง จะมีใครบ้างหลงเหลือรอดชีวิต?


Mira Katherine Sorvino (เกิดปี ค.ศ. 1967) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Manhattan, New York City บิดาคือนักแสดง Paul Sorvino มีเชื้อสาย Italian พยายามกีดกันไม่ให้บุตรสาวเข้าสู่วงการภาพยนตร์, โตขึ้นเลยสอบเข้า Harvard University สำเร็จการศึกษา East Asian Studies (ภาษาจีน), แต่หลังจากนั้นเลือกเป็นนักแสดงภาพยนตร์ แจ้งเกิดโด่งดังกับ Mighty Aphrodite (1995) ** คว้ารางวัล Oscar: Best Supporting Actress, ผลงานเด่นๆ อาทิ Mimic (1997), Reservation Road (2007) ฯ

รับบทนักกีฏวิทยา Dr. Susan Tyler ได้ทำการตัดต่อพันธุกรรม Judas Breed เพื่อกำจัดแมลงสาปแพร่ระบาดโรค(สมมติ) Strickler’s Disease แต่สามปีให้หลังเกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อแมลงสาปที่รอดชีวิตสามารถกลายพันธุ์ด้วยการลอกเลียนแบบ (Mimic) ผู้ล่า วิวัฒนาการจนมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ กลายเป็นอาณานิคมอยู่ภายใต้สถานีรถไฟที่ถูกทิ้งร้าง เธอจึงต้องร่วมมือกับแฟนหนุ่มและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกค้นหาพระราชา/ตัวผู้ เพื่อตัดตอนการแพร่พันธุ์ดังกล่าว

นักแสดงของหนังแทบทั้งหมดล้วนเป็น ‘Character Actor’ ตามบทบาทการแสดง แต่บุคคลมีความโดดเด่นสุดก็คือ Sorvino อาจเพราะเพิ่งคว้ารางวัล Oscar มาด้วยกระมังเลยกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจ ซึ่งเธอสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวละคร แลดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่มีความรอบรู้เกี่ยวกับแมลงจริงๆ … นอกนั้นก็ไม่ต่างจากตัวละครอื่น ไม่มีเหตุการณ์ใดๆให้พูดกล่าวถึง

แม้ว่า Sorvino มีความเกลียดกลัวแมลงสาป แต่เธอตอบตกลงเล่นหนังเรื่องนี้เพราะความประทับใจต่อผกก. del Toro ตั้งแต่แรกพบเจอ เปิดสมุดบันทึก โชว์ภาพวาดออกแบบสัตว์ประหลาด มันช่างประสบการณ์ทำงานสุดพิเศษ

I sure loved working with Guillermo del Toro, what an incredible genius, and that was his first major American movie and, when I met with him, despite my misgivings about cockroaches, I was like, ‘Wow, like I’m not really a genre person, I’m not really a horror person, but if I’m ever going to go into this world, who better than to go into it than with this Gothic master?’ Like, he showed me his notebooks with his drawings and poetry and just, I was blown away, and he has since become that person to the rest of the world, but that was a special experience, getting to work with him on his first big American movie.

Mira Sorvino

เกร็ด: ผกก. del Toro เคยถูกโปรดิวเซอร์ไล่ออกจากกองถ่าย ถ้าไม่เพราะ Mira Sorvino ข่มขู่ว่าจะถอนตัวจากโปรเจค และขณะนั้นเธอเป็นแฟนกับ Quentin Tarantino ช่วยโน้มน้าวจนอีกฝ่ายยินยอมสงบสติอารมณ์ เลยได้รับโอกาสถ่ายทำต่อจนแล้วเสร็จ


ถ่ายภาพโดย Dan Laustsen (เกิดปี ค.ศ. 1954) ตากล้องสัญชาติ Danish เกิดที่ Aalborg, Denmark ร่ำเรียนการถ่ายภาพยัง Den Danske Filmskole ได้รับเครดิตภาพยนตร์เรื่องแรก Skal vi danse først? (1979), โกอินเตอร์ตั้งแต่ Nightwatch (1997), Mimic (1997), The League of Extraordinary Gentlemen (2003), Silent Hill (2006), Crimson Peak (2015), The Shape of Water (2017), John Wick: Chapter 2 (2017), Nightmare Alley (2021) ฯ

งานภาพในสไตล์ del Toro ช่างมีความลื่นไหล กล้องขยับเคลื่อนเลื่อน ดำเนินไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดดเด่นกับการจัดแสง-สีสัน-เงามืด สำหรับสร้างสัมผัสอารมณ์ บรรยากาศภายใต้สถานีรถไฟใต้ดินช่างมีความหลอกหลอน รับอิทธิพลจาก German Expressionism และภาพยนตร์ The Third Man (1949) มาไม่น้อยทีเดียว! … ออกแบบศิลป์ (Art Director) โดย Tamara Deverell และออกแบบงานสร้าง (Production Design) โดย Carol Spier (ขาประจำผกก. David Cronenberg)

ในกองถ่ายหนังเต็มไปด้วยเหตุการณ์วุ่นๆวายๆอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะโปรดิวเซอร์ Harvey Weinstein ไม่ค่อยชอบใจฟุตเทจของหนัง “not scary enough” มีรายงานว่าถึงขนาดเดินทางไปยังกองถ่าย พยายามจะเสี้ยมสอนผกก. del Toro ว่าต้องถ่ายทำหนังอะไรยังไง และเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะขับไล่ออกจากกองถ่าย … หนึ่งในโปรดิวเซอร์ B.J. Rack บรรยายความรู้สึกการทำงานในกองถ่ายนี้ว่า “felt like I was in a prisoner of war camp”

แม้เรื่องราวจะมีพื้นหลัง New York City แต่กลับปักหลักถ่ายทำยัง Toronto, Ontario (Canada) เพราะเป็นเมืองที่มีความละม้ายคล้ายกันอย่างมากๆ ใช้เวลาโปรดักชั่นระหว่างวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1996 – 4 มกราคม ค.ศ. 1997


ภาพชุดนี้คือการออกแบบดั้งเดิมของผกก. del Toro เริ่มจากแมลงปีกแข็ง (Beetle) วิวัฒนาการ/กลายพันธุ์จนมีรูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์ แต่ยังคงลักษณะของเปลือกแข็ง (Shell-like) มาเป็นหมวกครอบศีรษะ

From the very beginning, it was decided that the Mimic creature’s ability to pass itself off as a human would be exclusively a function of its biology. A cleverly placed appendage could, in the shadows of evening, appear as a face, or a turned wing resemble a homeless man’s tattered overcoat.

In this sketch, you can make out the early ‘head with brimmed hat’ idea that we moved away from shortly after I got involved. If I remember correctly, it had to do with who actually wore brimmed hats, and what kind of statement that might make to the viewer. As the Mimic was to be perceived as a derelict of sorts — a homeless person — the idea of a small tight fitting hat, or hood, quickly got traction after I shared my first few drawings with GDT.

TyRuben Ellingson ผู้ออกแบบสัตว์ประหลาด (Creature Design)

หลังจากโปรดิวเซอร์บีบบังคับให้ปรับเปลี่ยนจากแมลงปีกแข็งมาเป็นแมลงสาป การออกแบบสัตว์ประหลาดจึงต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ แต่ผมคงไม่ลงรายละเอียดงานสร้าง [Click Here] [Click Here] แค่เพียงแสดงความคิดเห็นถึงรูปร่างหน้าตา ชวนนึกถึงค้างคาว (Dracula) ผสมกับตั๊กแตนรำข้าว

เกร็ด: หนึ่งในนักแสดงสวมบทบาทสัตว์หลาด ก็คือ Doug Jones ที่จักกลายเป็นขาประจำของผกก. del Toro

Opening Credit ออกแบบสร้างโดย Kyle Cooper (เกิดปี ค.ศ. 1962) ผลงานเด่นก่อนหน้านี้ก็คือ Se7en (1995) ถือว่ามีความละม้ายคล้ายคลึงอยู่พอสมควร

สถานกักกันโรค (ถ่ายทำยัง Harris Filtration Plant, Toronto) มีลักษณะเป็นห้องโถงทางเดิน เตียงผู้ป่วยตั้งเรียงรายอยู่สองฟากฝั่ง กั้นแบ่งด้วยมุ้งลวดขาว ดูแล้วช่างมีความผิดแผกแปลกตา สำแดงวิสัยทัศน์ของผกก. del Toro พยายามทำให้ดูเหมือนรวงไข่ของสัตว์อาณานิคม … คล้ายๆอาณานิคมแมลงสาปกลายพันธุ์ในสถานีรถไฟใต้ดิน

สถานที่ที่มีการแถลงข่าว (ถ่ายทำยัง Osgoode Hall, Toronto) ประกาศชัยชนะต่อ Strickler’s disease ยังโถงทางเดินตกแต่งด้วยเสาโรมัน โดยเฉพาะรูปปั้นด้านหลังแลดูราวกับเทพเจ้า นี่ทำให้เราสามารถเปรียบเทียบถึงบุคคลที่เป็นจุดศูนย์กลางการแถลงข่าวครั้งนี้ Dr. Susan ได้กระทำสิ่งที่เรียกว่า “Man Playing God”

เกร็ด: จริงๆแล้วรูปปั้นด้านหลังไม่ใช่เทพจงเทพเจ้าอะไร ผมหาข้อมูลอยู่นานก่อนค้นพบว่าคือ WW1 Memorial แกะสลักโดย Frances Loring อุทิศให้ทนาย/นักกฎหมาย เสียชีวิตกว่า 115 คนในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

การให้ตัวละครเพศหญิง Dr. Susan คือผู้ตัดแต่งทางวิศวกรรมสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ Judas Breed มันอาจมีนัยยะถึงมารดาผู้ให้กำเนิด และยังเชื่อมโยงกับตอนเธอตั้งครรภ์กับ Dr. Peter นั่นย่อมสามารถสื่อถึงการ “Playing God” ได้ด้วยกระมัง? … ในทางคริสต์แม้มีคำเรียกพระบิดา แต่จริงๆแล้วพระเจ้าไม่มีแบ่งแยกเพศชาย-หญิง

สามปีถัดมา เริ่มต้นด้วยความตายของบาทหลวง ตกลงมาจากบนชั้นดาดฟ้า แล้วถูกลากพาลงท่อระบายน้ำใต้ดิน นี่ไม่ใช่การสื่อถึงความตกต่ำของศาสนา แต่ต้องการตั้งคำถาม “What if God has abandoned us?” “What if he has made us not his favorite creatures anymore?” “What if these things are taking over?'”

นี่อาจดูเหมือนเป็นบทเรียนกีฏวิทยา (Entomology) แต่คำอธิบายคร่าวๆของ Dr. Susan คือการเกริ่นนำเหตุการณ์ในอนาคต เมื่อต้องเผชิญหน้าแมลงสาปกลายพันธุ์ที่ได้รับการตัดแต่งพันธุกรรมปลวก อาศัยอยู่ภายใต้สถานีรถไฟใต้ดิน จักเกิดการเปรียบเทียบ พบเห็นความละม้ายคล้ายคลึง เข้าใจความเชื่อมโยงได้โดยทันที!

เหตุผลที่เด็กชาย Chuy Gavoila สามารถเอาตัวรอดชีวิตจากแมลงสาปกลายพันธุ์ มันมีคำบอกใบ้จากภาพช็อตนี้ สังเกตความสัมพันธ์ตัวละครกับภาพบนกระจกสี (Stained glass) มันช่างสอดคล้องกับตำแหน่งเด็กชาย (ตรงกับพระคริสต์/พระผู้ไถ่) และแมลงสาปกลายพันธุ์สองตนซ้าย-ขวา คือเทวทูต/เทวดาอารักขา

ใครเคยรับชม The Third Man (1949) น่าจะมักคุ้นกับภาพยื่นนิ้วลอดฝาตะแกรงของ Orson Welles พยายามจะหลบหนีจากอุโมงค์ระบายน้ำใต้ดิน มาจนถึงหนทางออก แต่หมดสิ้นเรี่ยวแรงเสียก่อน

ถึงอย่างนั้นตัวละคร Josh Maslow (รับบทโดย Josh Brolin) สามารถปีนป่าย ตะเกียกตะกาย เปิดฝาตะแกรง แล้วดึงสายไฟผูกอยู่กับจักรเย็นผ้า สัญลักษณ์ของการยึดเหนี่ยวสิ่งข้าวของ/วัตถุนิยมในโลกยุคสมัยใหม่ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถดิ้นหลบหนีความตาย … ความสุขทางวัตถุในโลกปัจจุบันนี้ ไม่ได้ทำให้มนุษย์ค้นพบความรอดหลังความตาย

Coney Island คือสถานที่ที่เปรียบดั่งสรวงสวรรค์ของชาว New York City สำหรับท่องเที่ยวพักผ่อน นอนชายหาดวันหยุด แต่ความพยายามที่จะหลบหนีโดยรถไฟคันนี้ กลับกลายเป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! … นั่นแปลว่าบรรดาผู้ยังรอดชีวิตขณะนี้ ไม่สามารถดำเนินเดินทางสู่สรวงสวรรค์

ที่ผมไม่เขียนคำอธิบายความตายของหลายๆตัวละคร เพราะรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ ยกตัวอย่าง Manny Gavoila พบเจอบุตรชาย Chuy ในห้องควบคุม ก่อนถูกแมลงสาปกลายพันธุ์ลากไปฆ่า แต่พอ Dr. Susan มาพบเจอกลับสามารถพาหลบหนี? หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวสี Leonard Norton ได้รับบาดเจ็บที่เท้า พอขบวนรถไฟไม่ได้ไปต่อ พยายามลากสังขารแต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลบหนี … บทหนังดั้งเดิมของผกก. del Toro น่าจะมีความหมายเคลือบแอบแฝง แต่พอถูกปู้ยี้ปู้ยำโดยสองพี่น้อง Weinstein มันก็เลยได้แค่นี้!

การพังทลายของอาณานิคมมาจากการถูกแผดเผา แรงระเบิดจากท่อส่งแก๊ส (ไม่รู้เหมือนกันว่า Dr. Peter รอดชีวิตได้อย่างไร หรือชายคนนี้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา?) นี่อาจสามารถสื่อถึงไฟนิรันดร์ในวันพิพากษา (Judgement Day) กระมังนะ

For, behold, the day cometh, that shall burn as an oven; and all the proud, yea, and all that do wickedly, shall be stubble: and the day that cometh shall burn them up, saith the LORD of hosts, that it shall leave them neither root nor branch.

Malachi 4:1 King James Version (KJV)

ส่วนการตายของแมลงสาปกลายพันธุ์ตัวผู้ ถูกรถไฟพุ่งชน ผมครุ่นคิดอยู่นานว่าจะสามารถสื่อถึงอะไร? ก่อนได้ข้อสรุปถึงทิศทางวิวัฒนาการ(ของแมลงสาปกลายพันธุ์)สวนกับวิถีทางโลก เลยมิอาจตอบโต้ หยุดยับยั้ง ต่อต้านทานความเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา

ตัดต่อโดย Patrick Lussier ผู้กำกับ/นักตัดต่อ สัญชาติ Canadian เกิดที่ Vancouver เริ่มต้นจากตัดต่อซีรีย์โทรทัศน์ ภาพยนตร์ อาทิ Scream (1996), Mimic (1997), Red Eye (2005) ฯ

การดำเนินเรื่องของหนังแม้มี Dr. Susan Tyler เป็นตัวละครหลัก แต่มักสลับสับเปลี่ยนมุมมองไปยังบุคคลอื่นๆ ที่กำลังจะถูกฆ่า หรือนำเสนอความคืบหน้าระหว่างการสืบสวนสอบสวน ติดตามค้นหาแหล่งกำเนิด อาณานิคมของแมลงสาปกลายพันธุ์

  • อารัมบท
    • เริ่มต้นด้วยเด็กๆล้มป่วยโรค Strickler’s disease
    • Dr. Susan ทำการตัดต่อวิศวกรรม Judas Breed เพื่อทำให้แมลงสาปสูญพันธุ์
    • จัดงานแถลงข่าว ผลลัพท์เป็นไปตามความคาดหมาย ทำให้โรค Strickler’s disease หมดสิ้นไป
  • สามปีถัดมา
    • บาทหลวงกำลังหลบหนีบางสิ่งอย่าง ก่อนถูกลากตัวเข้าท่อระบายน้ำ
    • Dr. Peter พยายามโน้มน้าว Susan ถึงเวลาที่เราจะบุตรกันเสียที
    • Dr. Peter ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ Josh เรียกตัวมายังสถานที่เกิดเหตุ แล้วสั่งกักกันโรค
    • มีเด็กๆสองคนมาเสนอขายแมลงประหลาดให้กับ Dr. Susan
    • Dr. Susan ทำการทดสอบแมลงประหลาดตัวนั้น ก่อนค้นพบว่ามันมีความละม้ายคล้าย Judas Breed
    • Dr. Susan เล่าการค้นพบให้กับ Dr. Peter
  • ออกติดตาม Judas Breed
    • วันถัดมา Dr. Susan ออกติดตามหาเด็กๆทั้งสองยังสถานีรถไฟใต้ดิน
    • Dr. Susan & Dr. Peter เข้าไปยังห้องที่เด็กๆพบเจอแมลงประหลาดนั้น ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ออกมา
    • เด็กๆทั้งสองพบเจอไข่แมลงหน้าตาคล้ายภาพที่ Dr. Susan ค้นหา แต่ทว่า …
    • Dr. Susan เดินทางไปหาอาจารย์ Dr. Gates พูดคุยถึงความเป็นไปได้ที่ Judas Breed จะกลายพันธุ์
    • เด็กชาย Chuy ลักลอบเข้าไปยังสถานที่กักกันโรค พบเจอกับ Judas Breed
    • เจ้าหน้าที่ในท่อระบายน้ำ พบเจอศพเด็กชาย
    • Dr. Peter ค้นพบว่า Susan ตั้งครรภ์
  • เดินทางสู่อาณานิคมแมลงสาปกลายพันธุ์
    • ช่างขัดรองเท้า Manny เริ่มออกติดตามหาบุตรชาย Chuy
    • Josh ได้หมายตรวจ ออกสำรวจทางรถไฟใต้ดินกับ Dr. Peter และเจ้าหน้าที่ตำรวจ Leonard 
    • Dr. Gates ชันสูตรศพที่ได้รับ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกลายพันธุ์
    • Dr. Susan ถูกแมลงสาปกลายพันธุ์ลักพาตัว
    • Josh & Dr. Peter และ Leonard ค้นพบเจออาณานิคมแมลงสาปกลายพันธุ์
    • Dr. Susan พยายามหาหนทางหลบหนี ก่อนถูกขังอยู่ภายใต้
    • Josh พยายามหาหนทางออกเพื่อขอกำลังเสริม แต่ไม่สามารถหลบหนีพ้น
    • Manny บังเอิญมาพบเจอ Dr. Susan แล้วไปขอความช่วยเหลือจาก Dr. Peter & Leonard 
  • การหลบหนี และกำจัดตัวผู้
    • Dr. Susan, Dr. Peter, Manny และ Leonard หลบซ่อนตัวในขบวนรถไฟ
    • Dr. Susan อธิบายการกลายพันธุ์ของ Judas Breed และวิธีเอาตัวรอดคือกลบกลิ่น สร้างความกลมกลืน
    • Dr. Peter และ Manny ออกเดินทางสู่ห้องควบคุม
    • Manny พบเจอบุตรชาย Chuy ในห้องควบคุมก่อนถูกลากไปฆ่า, ต่อมาได้รับความช่วยเหลือจาก Dr. Susan
    • แม้ว่า Dr. Peter จะสามารถทำให้สัญญาณไฟกลับมาใช้ได้ แต่ทว่าขบวนรถไฟกลับขยับเคลื่อนไม่ไกลสักเท่าไหร่
    • Leonard พยายามหลบหนีแต่ก็ไปไหนได้ไม่ไกล
    • Dr. Peter พบเจอไข่แมลงจำนวนมาก จึงพทุบท่อส่งแก๊ส แรงระเบิดพุ่งถึงท้องถนนเบื้องบน ไม่รู้เอาตัวรอดได้อย่างไร?
    • Dr. Susan เผชิญหน้ากับแมลงสาปตัวผู้ ก่อนเอาตัวรอดมาได้หวุดหวิด!

ผมไม่แน่ใจว่าผกก. del Toro มีส่วนร่วมกับหนังฉบับดั้งเดิม (Theatrical Cut) มากน้อยแค่ไหน แต่บุคคลถือสิทธิ์ใน ‘final cut’ ก็คือโปรดิวเซอร์ Weinstein ตัดทิ้งหลายๆฉากสำคัญ แล้วเพิ่มเติมฟุตเทจจากกองสอง ไม่แน่ใจว่าคือการถ่ายซ่อมหรือเปล่า?

ซึ่งหลังจากผกก. del Toro ได้รับโอกาสตัดต่อใหม่ (Director’s Cut) ก็มีการปรับเปลี่ยนลูกเล่น วิธีการนำเสนอพอสมควร ทั้งการร้อยเรียงชุดภาพ Montage, ตัดสลับเหตุการณ์คู่ขนาน (ตอนเด็กชาย Chuy เคาะช้อนสลับกับบาทหลวงถูกลากลงท่อ นั่นคือวิสัยทัศน์ของผู้กำกับระดับปรมาจารย์) จากความยาว 106 นาที เพิ่มขึ้นเป็น 112 นาที มันอาจดูไม่เยอะ แต่ผลลัพท์ราวกับหนังคนละเรื่อง!

I always said I needed to do it. I could thus atone. I hadn’t been able to make the feature film I’d imagined, but I knew it would be possible to offer a better cut. We thus re-integrated ten or twelve minutes of additional scenes, while getting rid of a large part of the material shot by the second unit, which I detested.

Guillermo del Toro

เพลงประกอบโดย Marco Beltrami (เกิดปี ค.ศ. 1966) สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Long Island, New York โตขึ้นเข้าศึกษาดนตรีจาก Brown University ต่อด้วย Yale School of Music และ USC Thornton School of Music เป็นลูกศิษย์ของ Jerry Goldsmith จบออกมาเลยมีโอกาสทำเพลงประกอบภาพยนตร์ ผลงานเด่นๆ อาทิ Scream (1996), Mimic (1997), Blade II (2002), Hellboy (2004), I, Robot (2004), 3:10 to Yuma (2007), The Hurt Locker (2009), Snowpiercer (2013), Logan (2017), A Quiet Place (2018) ฯ

ผมไม่แน่ใจว่าผกก. del Toro มีส่วนร่วมกับเพลงประกอบมากน้อยเพียงใด แต่งานเพลงของ Beltrami ขาประจำ Wes Craven เสียงคอรัสของเด็กชายสร้างความวาบหวิว สั่นสยิวกาย ก่อนเผชิญหน้าสิ่งชั่วร้าย หายนะ ความตายคืบคลานเข้ามา ต้องพยายามหาหนทางหลบหนี รอดหรือไม่รอดก็ต้องวัดดวงกันที!

บทเพลงที่ผมรู้สึกว่าหลอกหลอนที่สุดของหนังคือ Release The Judas เพราะตอนต้นเรื่องยังไม่มีใครรับรู้ว่า Judas Breed จะส่งผลกระทบดี-ร้าย สำเร็จตามเป้าหมาย หรือกลายพันธุ์หลังจากนั้น มันจึงเคลือบแฝงความหวาดกังวล สั่นสะพรึงกลัว สิ่งที่ฉันทำอยู่ถูกต้องเหมาะสมประการใด? แต่ไฮไลท์คือเสียงร้องคอรัสสร้างความวาบหวิว สั่นสยิวกาย และยังมอบสัมผัสเหนือธรรมชาติ สิ่งบังเกิดขึ้นหลังจากนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์

ผมชอบความเรียบง่ายของบทเพลง Priest Dies ไม่ได้มีท่วงทำนองอันซับซ้อน ถึงจะแยกแยะเสียงเครื่องดนตรีไม่ออก แต่สามารถสังเกตจังหวะประสานเสียงที่ดังขึ้นซ้ำๆ เน้นย้ำๆ วนไปวนมาอยู่แค่นั้นก็สามารถสร้างความตื่นเต้น ลุ้นระทึก ถ้าไม่เพราะบรรเลงโดยวงออร์เคสตรา ผมอยากจะเรียก Minimalist เสียด้วยซ้ำไป!

ปล. ผมอุตส่าห์แอบคาดหวังว่าเสียงเคาะช้อนของเด็กชาย Chuy จะรวมอยู่ในบทเพลง Soundtrack แต่ไม่เลย T_T มีเฉพาะในหนังเท่านั้น ซึ่งก็ต้องชมว่าผสมผสานเข้ากับบทเพลงนี้ได้อย่างกลมกลืน

ผมแอบประหลาดใจเล็กๆเมื่อได้ยินเสียงเครื่องเป่าลมไม้ (Woodwind Instruments) ในบทเพลง Race To The Subway นี่แตกต่างจากบรรดาเครื่องเป่าลมทองเหลือง (Brass Instrument) ที่ต้องใช้พลังปอดในการเป่าลมออกมาอย่างรุนแรง, เครื่องดนตรีอย่างฟลุต โอโบ คาริเน็ต ใช้การผิวปากที่ต้องกลั้นลมหายใจระหว่างเป่า เสียงจึงมีความนุ่ม-แหลม มอบสัมผัสวาบหวิว สยิวกาย สามารถสื่อถึงอาการหวาดสะพรึง อกสั่นขวัญแขวน แทนความรู้สึกหวาดกลัวตัวตายระหว่างวิ่งหลบหนี

ผกก. del Toro มีความชื่นชอบเรื่องแมลงเป็นการส่วนตัว ตอนได้รับการติดต่อจาก Miramax ตอบตกลงเพราะครุ่นคิดว่าจะได้ทำในสิ่งชื่นชอบ แต่กลับถูกโปรดิวเซอร์บีบบังคับให้เปลี่ยนจากแมลงปีกแข็ง (Beetle) มาเป็นแมลงสาป (Cockroaches) นั่นแทบจะสร้างความสิ้นหวัง พยายามอดกลั้นฝืนทน

แต่เอาจริงๆการใช้แมลงสาป สัตว์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความอึดถึก ตายยาก มีความสามารถในการปรับตัว/เอาตัวรอดสูงมากๆ แถมนำพาเชื้อโรคระบาด อาศัยอยู่ตามสถานที่สกปรก ถูกทิ้งร้าง … ต้องถือว่าสมเหตุสมผลทั้งในเชิงสัญลักษณ์ และสร้างความหวาดสะพรึงกลัวให้ผู้ชมอย่างเหลือหลาย (มนุษย์เกียจกลัวแมลงสาป มากกว่าแมลงอื่นเป็นไหนๆ)

Dr. Susan Tyler ตัดแต่งทางวิศวกรรมเพื่อสร้างสายพันธุ์ Judas Breed ฟังดูละม้ายคล้ายกับ Victor Frankenstein สร้างสัตว์ประหลาดของตนเองขึ้นมา (Frankenstein’s monster) ด้วยจุดประสงค์ “Man Playing God” ต้องการเอาชนะขีดจำกัดธรรมชาติ พิสูจน์ตนเองว่ามีความยิ่งใหญ่เหนือใคร ซึ่งมักติดตามมาด้วยการตั้งคำถามทางจริยธรรม (Ethics) ถึงความถูกต้องเหมาะสม ทำแล้วได้ประโยชน์อะไร มันมีความจำเป็นขนาดนั้นเชียวหรือ และจะได้รับการโต้ตอบ(จากพระเจ้า)อย่างไร?

ชื่อสายพันธุ์ Judas Breed เป็นการอ้างอิงถึง Judas Iscariot อัครทูตที่ถูกมองว่าเป็นคนทรยศหักหลังพระเยซู ในบริบทของหนังก็คือสายพันธุ์สร้างขึ้นเพื่อทำลายล้างแมลงสาป/สิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าสร้างขึ้น แม้ด้วยความตั้งใจปกป้องเด็กๆไม่ให้ติดโรค (สมมติ) Strickler’s disease แต่กลับก่อบังเกิดคำถามทางจริยธรรมติดตามมา

และสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ Judas Breed ไม่นานหลังจากนั้นมันก็หวนกลับมาทรยศผู้สร้าง/มนุษยชาติ ด้วยการวิวัฒนาการ/กลายพันธุ์ ลอกเลียนแบบ (Mimic) สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่า สร้างอาณานิคม กลายเป็นผู้ล่ามนุษย์ … นี่ดูราวกับเป็นการโต้ตอบของธรรมชาติ/พระเจ้า หรือจะเรียกว่า “Life finds a way.”

มันมีฉากหนึ่งถูกตัดทิ้งจากบทหนัง เลยไม่ได้มีโอกาสถ่ายทำ ผกก. del Toro ต้องการตั้งคำถามว่า ถ้าพระเจ้าตัดสินใจทอดทิ้งมนุษย์ แล้วแทนที่ด้วยสิ่งมีชีวิตใหม่

Giancarlo [Giannini] finds Chuy and that’s where we discover the giant wall of fuck, the male fucking all the females, the female attached to his penis it was an absolutely nightmarish moment and the character of Giancarlo sees the creatures coming for him and he uses his razor blade to cut his own throat saying, ‘God cannot see this.’ I really liked that, because I felt he could bring the religious angle to the movie. He could say, ‘what if God has abandoned us? What if he has made us not his favorite creatures anymore? What if these things are taking over?’ And all of that is lost in the movie, and those are things I truly missed.

Guillermo del Toro

และตอนจบดั้งเดิมตามวิสัยทัศน์ของผกก. Del Toro อยากให้ผู้รอดชีวิตทั้งสามเป็นคนต่างสีผิว ต่างสัญชาติ (คนขาวอเมริกัน-ผิวเหลืองละติน-ผิวสีแอฟริกัน) เพื่อจะได้เป็นตัวแทนความหวังของมนุษยชาติ แต่นั่นคือสิ่งที่โปรดิวเซอร์/วงการภาพยนตร์สมัยนั้นยังไม่เปิดรับสักเท่าไหร่

I originally wanted Andre Braugher to play Peter because I thought it was important that at the end of the film we have a Latino kid, Chuy, an American girl, Susan, and an African American man as the main male character and hero to signify that humanity survives. Not just white humanity. It was a big battle. I lost it. Someone had a horrible line about it at one point in the prep: ‘America is not ready for an interracial couple in a mainstream studio production.’ I was horrified and felt like I had gone back to the Middle Ages. It was a really belligerent thing.


ด้วยทุนสร้าง $30 ล้านเหรียญ เสียงตอบรับออกมาก้ำๆกึ่งๆ ผลลัพท์เลยทำเงินในสหรัฐอเมริกาได้เพียง $25.48 ล้านเหรียญ ถือว่าขาดทุนย่อยยับ แต่เสียงตอบรับจากยอดขาย VHS ดีมากๆจนมีสองภาคต่อ (Direct-to-Video) ติดตามมาอย่างรวดเร็ว Mimic 2 (2001) และ Mimic 3: Sentinel (2003)

การที่สองโปรดิวเซอร์ Harvey & Bob Weinstein ปฏิบัติต่อผกก. del Toro อย่างย่ำแย่ในโปรเจคนี้ สร้างความไม่พึงพอใจให้เพื่อนผกก. James Cameron ในงานประกาศรางวัล Oscar ที่ Titanic (1997) กวาดรางวัลหลายสาขา เกือบจะมีการปะทะคารม ชกต่อยกันหลังงาน

Harvey came up glad-handing me, talking about how great they were for the artist, and I just read him chapter and verse about how great I thought he was for the artist based on my friend [del Toro]’s experience, and that led to an altercation.

James Cameron

แม้ว่า Harvey & Bob Weinstein จะลาออกจาก Miramax ไปก่อตั้งสตูดิโอของตนเอง The Weinstein Company ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 แต่กว่าที่ Disney จะยินยอมขายกิจการให้กับ Filmyard Holdings LLC ก็ล่วงเลยมาถึงปี ค.ศ. 2010 จึงเป็นโอกาสที่ผกก. del Toro จะได้ตัดต่อหนังใหม่ (Director’s Cut) ทุกสิ่งอย่างถูกปรับแก้ไขให้ใกล้เคียงวิสัยทัศน์ดั้งเดิม ยกเว้นเพียงตอนจบที่แก้ไขอะไรไม่ได้

A director’s cut of the film was released on Blu-ray and DVD in the United States, but it’s simply a version closer to what I would have wanted to do. It doesn’t contain the ending I wrote, and that will never exist. I didn’t imagine any kind of explosion for my ending, but something simple and disconcerting.

Guillermo del Toro

เกร็ด: ผู้กำกับ Bong Joon-ho เล่าว่า Mimic (1997) คือแรงบันดาลใจในการสรรค์สร้างภาพยนตร์ The Host (2006)

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 ลิขสิทธิ์หนังทั้งหมดของ Miramax ตกเป็นของ Paramount Pictures ทำให้ Mimic (1997) สามารถหาซื้อ Blu-Ray หรือรับชมออนไลน์ได้ทาง Paramount+, และล่าสุดเห็นว่า Kino Lorber เตรียมจำหน่ายแผ่น 4K Ultra HD (1 movie, 2 cuts) แต่จนแล้วจนรอด ไม่เห็นกำหนดการวางขายสักที

ผมมีภาพจำมาโดยตลอดว่าแฟนไชร์ Mimic คือหนังสยองขวัญเกรดบี เพิ่งจะเรียนรู้ไม่นานมานี้ว่าผู้กำกับคือ Guillermo del Toro แต่ก็ไม่คาดหวังอะไรหลังอ่านเจอถูกแทรกแซงโดยสตูดิโอ ถึงอย่างนั้นพอได้รับชมหนังก็เกิดความคาดไม่ถึงอย่างรุนแรง … นี่เป็นการยืนยัน Auteur Theory ของ François Truffaut เคยกล่าวไว้ว่า “There aren’t good and bad films, only good and bad directors”.

ปัญหาเดียวของผมต่อหนังเรื่องนี้ คือมันแทบไม่มีอะไรสดใหม่ แทบทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นการ ‘Mimic’ จากโคตรหนังสยองขวัญคลาสสิก แม้ทำการผสมผสานให้กลายเป็นวิสัยทัศน์ผกก. del Toro ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความแตกต่างสักเท่าไหร่

จัดเรต 18+ ความสยดสยองของแมลงกลายพันธุ์

คำโปรย | Mimic (ฉบับตัดต่อใหม่) สำแดงวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ Guillermo del Toro ด้วยการเลียนแบบ/เคารพคารวะโคตรหนัง Horror
คุณภาพ | คัลท์-คลาสสิก
ส่วนตัว | ชื่นชอบ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: