The Times of Harvey Milk

The Times of Harvey Milk (1984) hollywood : Rob Epstein ♥♥♥♥

สารคดีบันทึกช่วงเวลาชีวิตสั้นๆของ Harvey Bernard Milk (1930-78) นักการเมืองคนแรกที่เป็นเกย์เปิดเผย ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งท้องถิ่น ก่อนถูกลอบสังหารโดยคู่แข่งทางการเมืองที่เป็นชายแท้ผิวขาว ต่อต้านรักร่วมเพศ, คว้ารางวัล Oscar: Best Documentary Feature

ไม่ใช่แค่ Harvey Milk ที่เป็นเกย์เปิดเผย (Openly Gay) คนแรกชนะการเลือกตั้งท้องถิ่น ดำรงตำแหน่งสมาชิก San Francisco Board of Supervisors, แต่ยังสารคดีเรื่องนี้สร้างโดย Rob Epstein เกย์เปิดเผยคนแรกขึ้นรับรางวัล Oscar ในผลงานที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรสนิยมรักร่วมเพศด้วยเช่นกัน!

ตอนผมเขียนบทความภาพยนตร์ Milk (2008) กำกับโดย Gus Van Sant นำแสดงโดย Sean Penn เข้าชิง Oscar แปดสาขา คว้ามาสองรางวัล (Best Actor กับ Best Original Screenplay) ก็ไม่เคยขวนขวายหารับชมสารคดีต้นฉบับสักเท่าไหร่ เพราะครุ่นคิดว่าเนื้อหาคงไม่แตกต่างกันมาก จนกระทั่งวันก่อนเหลือบไปเห็นหลายๆสำนักยกย่องติดอันดับ “Greatest Documentary of All-Time” เลยเกิดความสนอกสนใจขึ้นมา

  • Paste Magazine: The 100 Best Documentaries of All Time (2022) ติดอันดับ #30
  • Vouge: The 82 Best Documentaries of All Time (2023) ไม่มีอันดับ
  • TIMEOUT: 68 Best Documentaries of All Time (2025) ติดอันดับ #20

ก่อนค้นพบว่า The Times of Harvey Milk (1984) และ Milk (2008) แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยนะ! สารคดีเรื่องนี้ดำเนินเรื่องผ่านบทสัมภาษณ์ พูดคุยกับเพื่อนผู้เกี่ยวข้อง ฉายภาพฟุตเทจจากคลัง (Archive Footage) ร้อยเรียงหลายๆเหตุการณ์ที่ทำให้ Harvey Milk กลายเป็นตำนาน โศกนาฎกรรม และหลังจากนั้น

ขณะที่ฉบับภาพยนตร์ Milk (2008) ทำการเล่าเรื่องราวชีวิต อัตชีวประวัติ นำเสนอเบื้องหลังตัวตนของ Harvey Milk แรงผลักดันให้ต้องลงสมัครเลือกตั้ง กลายเป็นนักการเมืองท้องถิ่น รวมถึงตั้งข้อสังเกต สร้างสมมติฐาน มันเกิดเหตุการณ์ห่าเหวขึ้นอะไรวันนั้น ก่อนจบลงที่โศกนาฎกรรม ความตาย ไม่มีอะไรต่อจากนั้น … ผกก. Gus Van Sant พยายามสร้างหนังให้แตกต่างจากสารคดี ผู้ชมสามารถดูทั้งสองเรื่องได้อย่างต่อเนื่อง เติมเต็มกันและกัน

I think that they are complementary, The Time of Harvey Milk is about the public Harvey and Milk is much more of a window into Harvey’s personal story and what was going on for him in his personal life. I think it’s a beautiful, and surprisingly tender portrait of Harvey and his inner circle. And also an honest and sympathetic presentation of that life.

Rob Epstein กล่าวชื่นชม Milk (2008)

Harvey Bernard Milk (1930-78) นักการเมืองสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Woodmere, New York ในครอบครัว Lithuanian Jewish วัยเด็กมักถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนๆเพราะมีโหนกหู จมูกใหญ่ และเท้ายักษ์ นั่นกระมังทำให้เก็บกด เครียดหนัก ก่อนค้นพบว่าตนเองเป็นเกย์ ปกปิดไว้มิให้ใครรับรู้ โตขึ้นเข้าเรียนสาขาคณิตศาสตร์ New York State College (ปัจจุบันคือ State University of New York at Albany) จบมาอาสาสมัครทหารเรือ เข้าร่วมรบ Korean War (1950-53) ประดับยศผู้หมวด ก่อนลาออกมาเป็นครูสอนหนังสือ

เมื่อปี ค.ศ. 1962 คบหากับ Craig Rodwell นักต่อสู้เพื่อสิทธิชาวรักร่วมเพศ (Gay Right Activist) แม้ตอนนั้นยังไม่เคยสนใจเรื่องราวพรรค์นี้ แต่ต้องถือว่าคือแรงผลักดัน/บันดาลใจ ให้พออายุครบ 40 ปี ครุ่นคิดอยากกระทำบางสิ่งอย่างในชีวิต ย้ายมาปักหลักอาศัยอยู่ Castro Street เปิดร้านถ่ายรูป (กับแฟนหนุ่ม Scott Smith) อดรนทนต่อการถูกกดขี่ข่มเหงในฐานะชายรักร่วมเพศ จนกระทั่งเหตุอื้อฉาวทางการเมือง Watergate scandal ก็ถึงจุดแตกหัก “I finally reached the point where I knew I had to become involved or shut up.”

นั่นทำให้ Milk ตัดสินใจเข้าสู่วงการเมืองอย่างเต็มตัว เริ่มต้นแคมเปญ Mayor of Castro Street ลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งทางการเมืองหลายครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จจนกระทั่ง ค.ศ. 1977 นายกเทศมนตรี George Moscone ปรับเปลี่ยนวิธีการเลือกตั้งใหม่ แทนที่จะใช้คะแนนรวมทั้งรัฐ ก็แบ่งออกเป็นเขตท้องถิ่นของตนเอง นั่นทำให้ Milk ได้รับชัยชนะอย่างล้นหลาม กลายเป็นสมาชิกคณะกรรมการกำกับดูแล San Francisco (San Francisco Board of Supervisors)

หลังจากดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาระยะหนึ่ง ได้มีเรื่องบาดหมางกับ Dan White คู่แข่งทางการเมืองที่ต่อต้านบุคคลรักร่วมเพศ หลังความพ่ายแพ้การลงมติ California Proposition 6 หรือ Briggs Initiative ประกาศลาออกกลางที่ประชุม แล้วหลายเดือนถัดมาเรียกร้องขอกลับสู่ตำแหน่ง แต่พอนายกเทศมนตรี George Moscone ตอบปฏิเสธ จึงลงมือสังหารโหด และยังต่อด้วยฆาตกรรม Harvey Milk วันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1978 สิริอายุ 48 ปี


Robert P. Epstein (เกิดปี ค.ศ. 1955) ผู้กำกับสารคดี สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New Brunswick, New Jersey รับรู้ตนเองตั้งแต่เด็กว่ามีรสนิยมรักร่วมเพศ ครอบครัวไม่ให้การยินยอมรับ พออายุสิบเก้าจึงขึ้นรถโดยสารมุ่งสู่ San Francisco ยุคสมัยนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวง “Gay Capital of the U.S.” ได้ทำงาน Castro Theater เก็บหอมรอมริดเข้าเรียนภาพยนตร์ San Francisco State University ก่อนกลายเป็นผู้ช่วยกองถ่ายสารคดีของ Peter Adair ไต่เต้าขึ้นมาร่วมกำกับ Word Is Out: Stories of Some of Our Lives (1977) สัมภาษณ์เกย์-เลสเบี้ยนทั้งหมด 26 คน (ถือเป็นสารคดีเกี่ยวกับบุคคลรสนิยมรักร่วมเพศเรื่องแรกของสหรัฐอเมริกา)

โปรเจคถัดมาทำสารคดีขนาดสั้น บันทึกเหตุการณ์ต่อต้านร่างกฎหมาย California Proposition 6 หรือ Briggs Initiative นำโดย John Briggs เพื่อไม่ให้ครู-อาจารย์ที่มีรสนิยมรักร่วมเพศสอนหนังสือในโรงเรียนของรัฐ นั่นกระมังที่ทำให้ผกก. Epstein เกิดความสนใจในตัว Harvey Milk … โปรเจคนี้เหมือนไม่สามารถหาผู้จัดจำหน่าย แต่ฟุตเทจถ่ายทำถูกนำมาใช้ในสารคดี The Times of Harvey Milk (1984)

นั่นทำให้เมื่อ Milk ถูกฆาตกรรมเมื่อปลายปี ค.ศ. 1978, ผกก. Epstein วางแผนระดมทุนเพื่อสรรค์สร้างสารคดีเรื่องนี้ ประเมินงบประมาณ $300,000 เหรียญ ยื่นข้อเสนอสตูดิโอ/องค์กรต่างๆกว่า 150 แห่ง แต่กลับแทบไม่มีใครสนใจตอบกลับ ยกเว้นเพียง TC Films International (Teleculture Inc.) ทำให้กว่าจะสามารถเริ่มต้นโปรเจคนี้ก็ล่าช้าไปหลายปี

เกร็ด: ระหว่างรอคอยการระดมทุน ผกก. Epstein ก็ได้ถ่ายทำสารคดีสั้นอีกเรื่อง Greetings from Washington, D.C. (1981) บันทึกภาพการเดินขบวนเรียกร้องสิทธิเกย์-เลสเบี้ยน ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ (First National March) ณ Washington D.C. เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1979 มีผู้คนเข้าร่วมประมาณ 75,000-125,000 คน … Milk พยายามเป็นตัวตั้งตัวตีจัดกิจกรรมนี้ตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตอยู่ น่าเสียดายถูกฆาตกรรมไปเสียก่อน ซึ่งกลายเป็นแรงผลักดัน ฟางเส้นสุดท้ายให้การเดินขบวนครั้งนี้ประสบความสำเร็จ


The Times of Harvey Milk (1984) เริ่มต้นด้วยภาพฟุตเทจ Dianne Feinstein ยืนอยู่หน้าศาลากลางรัฐ San Francisco พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ประกาศข่าวการเสียชีวิตของนายกเทศมนตรี George Moscone และ Harvey Milk ถูกฆาตกรรมโดยคู่แข่งทางการเมือง Dan White

As president of the board of supervisors, it’s my duty to make this announcement. Both Mayor Moscone and Supervisor Harvey Milk have been shot and killed. The suspect is Supervisor Dan White.

Dianne Feinstein

ปล. นี่ไม่ใช่สารคดีประเภทสืบค้นหาที่ต้องสร้างความลึกลับ พิศวง หรือความตื่นเต้นลุ้นระทึก การเปิดเผยความตายตั้งแต่เริ่มต้นเพราะเป็นสิ่งที่ใครๆต่างรับรู้กัน ส่วนคนที่ไม่เคยรู้จักชายคนนี้มาก่อนย่อมเกิดความฉงนสงสัย พยายามสังเกตหาเหตุผลว่าทำไมถึงถูกฆาตกรรม?

จากนั้นสารคดีทำการร้อยเรียงบทสัมภาษณ์บุคคลใกล้ชิด เพื่อนร่วมงานของ Milk ทั้งหมดแปดคน (ถ่ายภาพโดย Frances Reid) ผสมเข้ากับฟุตเทจที่ผกก. Epstein เคยถ่ายทำเอาไว้, คลิปจากคลัง (Archive Footage), รายงานข่าว (Newsreel), ให้เสียงบรรยายโดย Harvey Fierstein


ตัดต่อโดย Rob Epstein & Deborah Hoffmann, สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอในเชิงชีวประวัติ จึงไม่มีการเล่าเรื่องก่อนที่ Milk จะมาปักหลักอยู่ Castro Street, San Francisco (กล่าวถึงแค่เพียงคร่าวๆเท่านั้น) รวมถึงอธิบายเบื้องหลัง สาเหตุผล ทำไมถึงตัดสินใจเข้าสู่แวดวงการเมือง เริ่มต้นสารคดีตอนลงสมัครรับเลือกตั้ง → กลายเป็นคณะกรรมการกำกับดูแล San Francisco → เอาชนะการลงมติ Briggs Initiative → ถูกฆาตกรรม → เหตุการณ์หลังจากนั้น

  • อารัมบท, Dianne Feinstein ประกาศการเสียชีวิตของนายกเทศมนตรี George Moscone และ Harvey Milk
    • คำกล่าวลาตายที่ Harvey Milk เคยบันทึกเอาไว้ก่อนหน้า
  • ใครคือ Harvey Milk?
    • ร้อยเรียงบทสัมภาษณ์ ทำความรู้จักใครคือ Harvey Milk
    • Harvey Milk ลงสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล San Francisco
  • วีรกรรมของ Harvey Milk
    • Harvey Milk เข้าทำงานในคณะกรรมการกำกับดูแล San Francisco
    • ออกกฎหมายเกี่ยวกับของเสียสัตว์เลี้ยง
    • ต่อต้านการลงมติ Briggs Initiative
  • โศกนาฎกรรมของ Harvey Milk
    • Dan White ประกาศลาออกจากตำแหน่งหลังความพ่ายแพ้การลงมติ Briggs Initiative
    • หลายเดือนถัดมา Dan White เรียกร้องขอกลับเข้าดำรงตำแหน่ง
    • แต่หลังจากนายกเทศมนตรีตอบปฏิเสธ Dan White เลยลงมือสังหารทั้ง George Moscone และ Harvey Milk
  • เหตุการณ์หลังจากนั้น
    • ค่ำคืนการเสียชีวิตของ Harvey Milk ฝูงชนออกมาจุดเทียน ไว้อาลัย
    • การพิจารณาคดีของ Dan White
    • คำตัดสินของศาลสร้างความไม่พึงพอใจต่อฝูงชน นำสู่เหตุการณ์จราจล White Night riots

ปล. ผมแอบเสียดายว่าสารคดีเรื่องนี้ออกฉายเร็วไปปีหนึ่ง เพราะว่า Dan White หลังพ้นโทษวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1984 (สารคดีจบลงแค่จุดนี้) ปีถัดมาตัดสินใจกระทำอัตวินิบาต(รมแก๊ส)วันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1985 คือถ้าเสียงบรรยายตอนจบได้กล่าวถึงความตายดังกล่าว ก็จักเป็นตอนจบที่สมบริบูรณ์


เพลงประกอบโดย Mark Ware Isham (เกิดปี ค.ศ. 1951) นักทรัมเป็ต คีย์บอร์ด แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ สัญชาติอเมริกัน เกิดที่ New York City มารดาเป็นนักไวโอลิน ทำให้บุตรชายมีความสนใจด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก หลงใหลคลั่งไคล้ทรัมเป็ต ตอนวัยรุ่นได้เป็นสมาชิก Oakland East Bay Symphony ก่อนออกมาเป็นนักทรัมเป็ตรับจ้าง (Sideman) ให้กับ David Sylvian, Group 87, Art Lande, Pharoah Sanders, Van Morrison, David Torn ฯ ออกอัลบัม และทำเพลงประกอบภาพยนตร์ อาทิ A River Runs Through It (1992), Crash (2004), The Black Dahlia (2006) ฯ

เสียงทรัมเป็ตโหยหวน ช่วยกระตุ้นความเจ็บปวดรวดร้าว เศร้าโศกเสียใจจากการสูญเสียวีรชน Harvey Milk ผู้เสียสละเพื่อมวลชน เปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวได้ค้นพบอิสรภาพทางเพศ ก้าวออกจากตู้เสื้อผ้า เผชิญหน้าโลกกว้างใหญ่ เราสามารถเป็นใคร ทำอะไรก็ได้ มีสิทธิเสียง เรียกร้องความเสมอภาคเท่าเทียม … ถือเป็นบทเพลงไว้อาลัยให้กับ Harvey Milk

Harvey Milk ถือเป็นหนึ่งใน ‘Iconic’ ของชุมชน LGBT+ นักการเมืองคนแรก(ของสหรัฐอเมริกา) เอาชนะการเลือกตั้ง ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการกำกับดูแล San Francisco (San Francisco Board of Supervisors) มันอาจดูไม่ได้ยิ่งใหญ่โต แค่หน่วยงานท้องถิ่น แต่ถือเป็นก้าวย่างแรก กระบอกเสียงความหลากหลาย หมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคสมัยใหม่

The Times of Harvey Milk (1984) ก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก ถือเป็นหมุดไมล์ของภาพยนตร์/สารคดี LGBT+ สร้างขึ้นโดยผู้กำกับรสนิยมรักร่วมเพศ (Homosexual) เกย์เปิดเผย (Openly Gay) แล้วสามารถคว้ารางวัล Oscar … โดยปกติแล้วคณะกรรมการของ Academy ขึ้นชื่อเรื่องความคร่ำครึ หัวโบราณ ยุคสมัยนั้น LGBT+ ยังถือเป็นประเด็นละเอียดอ่อนไหว แต่โชคดีที่เฉพาะสมาชิกแผนกสารคดี (Documentary Branch) ถึงมีสิทธิ์โหวตสาขานี้เท่านั้น!

เกร็ด: บางคนอาจโต้เถียงว่า Midnight Cowboy (1969) คือภาพยนตร์เกี่ยวกับเกย์ สร้างโดยผู้กำกับเกย์ สามารถคว้ารางวัล Oscar: Best Picture และ Best Director แต่ทว่าทั้งผู้สร้าง John Schlesinger ตอนนั้นยังไม่เปิดเผยตนเอง (มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอ่ะนะ) รวมถึงเนื้อหาของหนังแค่เพียงชี้นำโดยนัย (Implied) ไม่มีการยืนยัน ไม่ได้แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา … พูดง่ายๆก็คือเนื้อหามันไม่ Openly Gay ด้วยเหตุนี้ Best Feature Film เค้าจึงเริ่มนับกันที่ Moonlight (2016)

ก็ไม่รู้ผกก. Epstein เคยพบเจอ รับรู้จัก Harvey Milk มากน้อยเพียงไหน? แต่การตัดสินใจสร้างสารคดีเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาต้องได้รับอิทธิพล เข้าใจความสำคัญของบุคคล ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงบังเกิดขึ้นในชุมชน LGBT+ อันเนื่องจากชายคนนี้ได้เปิดตู้เสื้อผ้า ก้าวออกมา นำทางสู่ความเป็นไปได้ไม่รู้จบ


ตัวสารคดีอาจไม่ประสบความสำเร็จด้านรายรับ ไม่มีโรงหนังไหนยินยอมฉายเกินสัปดาห์ (ยุคสมัยนั้นยังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนไหว) แต่การเดินทางไปตามเทศกาลหนังต่างๆ Telluride, Toronto, New York, Chicago, Sundance ** คว้ารางวัล Special Jury Prize – Documentary ฯ น่าจะเป็นตัวช่วยส่งให้สารคดีเรื่องนี้สามารถคว้ารางวัล Oscar: Best Documentary Feature ด้วยการสร้างประวัติศาสตร์

  • ผู้กำกับเกย์เปิดเผยคนแรกคว้ารางวัล Oscar
  • ภาพยนตร์/สารคดีเรื่องแรกที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกย์เปิดเผยคว้ารางวัล Oscar
  • คำกล่าวสุนทรพจน์ของ Rob Epstein มีการพูดขอบคุณแฟนหนุ่มเพศเดียวกันเป็นครั้งแรก

ปัจจุบันสารคดีได้รับการสแกนดิจิตอล ‘digital transfer’ คุณภาพ High Definition ผ่านการตรวจอนุมัติโดยผกก. Epstein เมื่อปี ค.ศ. 2011 สามารถหาซื้อ DVD/Blu-Ray หรือรับชมออนไลน์ทาง Criterion Channel

ตัวของสารคดี The Times of Harvey Milk (1984) อาจไม่ได้มีลูกเล่นหรือวิธีการนำเสนอแปลกใหม่ แต่เรื่องราวชีวิตของ Harvey Milk ถือว่าน่าสนใจ สร้างแรงบันดาลใจ เปิดตู้เสื้อผ้าแห่งความเป็นไปได้ กลายเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่โลกต้องจารึกไว้

มันไม่จำเป็นว่าต้องมีรสนิยมเลสเบี้ยน-เกย์-ไบ-ทราน-เควียร์-ไบ-นอน+ ถึงสามารถรับชมสารคดีเรื่องนี้ ผมอยากแนะนำโดยเฉพาะฟากฝั่งอนุรักษ์นิยม และบุคคลเต็มไปด้วยอคติต่อต้านกลุ่มคนรักร่วมเพศ ถ้าคุณไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของ Harvey Milk แม้งโคตรเสียชาติเกิด!

จัดเรต 13+ กับโศกนาฎกรรมของ Harvey Milk

คำโปรย | ช่วงเวลาสั้นๆของ The Times of Harvey Milk ได้ถูกจารึกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
คุณภาพ | รึ
ส่วนตัว | จารึกในความทรงจำ

Leave a Reply

avatar

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
Notify of
%d bloggers like this: