Intouchables

The Intouchables (2011) French : Éric Toledano & Olivier Nakache ♥♥♥

มิตรภาพระหว่างมหาเศรษฐี & ไอ้หนุ่มผิวสีเพิ่งออกจากคุกได้ไม่นาน อาจดูมีความงดงาม มนุษยธรรม แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนสภาพเป็นจริงในฝรั่งเศส ความแตกต่างระหว่างชนชั้นราวกับสวรรค์-นรก มันช่างเป็นเรื่องตลกร้ายยิ่งนัก!

ผมมีความหลงใหลคลั่งไคล้ผลงานเพลงของ Ludovico Einaudi เพิ่งมาเปิดการแสดงในเมืองไทยช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เลยครุ่นคิดอยากเขียนถึงภาพยนตร์สักเรื่อง ตัดสินใจเลือก Intouchables (2011) เพราะคือภาพยนตร์ฝรั่งเศสทำเงิน+ยอดจำหน่ายตั๋วสูงสุดตลอดกาลอันดับสาม (รองจาก Titanic (1997) และ Welcome to the Sticks (2008)) เต็มไปด้วยความคาดหวัง ก่อนตกอยู่ในความห่อเหี่ยวสิ้นหวัง

เอาจริงๆโปรดักชั่นหนังไม่ได้เลวร้าย การแสดงของ François Cluzet & Omar Sy เคมีเข้าขากันดี ภาพสวย เพลงเพราะ เลือกคอลเลคชั่นป็อป+คลาสสิกน่าประทับใจ แต่ปัญหาคือภาพสะท้อนสังคมฝรั่งเศส ความแตกต่างระหว่างชนชั้น คนรวยก็รวยล้นฟ้า คนจนก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน มิตรภาพระหว่างคนสองโลกอาจดูงดงาม อะไรอย่างอื่นกลับฟ่อนเฟะ เน่าเละเทะ จนผมแทบอดรนทนดูไม่ไหว

ยิ่งถ้าเราขบครุ่นคิดในเชิงสัญลักษณ์ ตัวละครของ François Cluzet เป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงไป ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหว ต้องได้รับการช่วยเหลือจากชายผิวสี Omar Sy เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว แต่งองค์ทรงเครื่อง ไม่ต่างจากทาสรับใช้ ช่วยสร้างสีสันให้กับชีวิต แลกกับความกับสุขสบาย เงินทองมากมาย แต่พออีกฝ่ายนำปัญหาเข้ามาก็พร้อมตัดหางปล่อยวัด ถึงเวลาแยกย้ายคนละทิศทาง … เห็นนัยยะซ่อนเร้นไหมเอ่ย?


Éric Toledano (เกิดปี ค.ศ. 1971 ณ Paris), Olivier Nakache (เกิดปี ค.ศ. 1973 ณ Suresnes) ผู้กำกับชาวฝรั่งเศส ทั้งสองมาจากครอบครัวผู้อพยพชาว Jewish (ครอบครัว Toledano มาจาก Morocco, Nakache มาจาก Algeria) ทั้งสองพบเจอกันเมื่อปี ค.ศ. 1995 กลายเป็นเพื่อนสนิทสนม ต่างชื่นชอบสื่อภาพยนตร์แนวเดียวกัน สรรค์สร้างหนังสั้นเรื่องแรก Le jour et la nuit (1995), ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก Let’s Be Friends (2005), โด่งดังพลุแตกกับ Intouchables (2011)

Intouchables ได้แรงบันดาลใจจากหนังสืออัตชีวประวัติ Le Second Souffle (2001) ของนักธุรกิจชาวฝรั่งเศส Philippe Pozzo di Borgo (1951-2023) ประสบอุบัติเหตุอัมพาตทั้งตัว (Tetraplegia) ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1993 ซึ่งมีบทหนึ่งอุทิศให้กับเพื่อนผู้ดูแล Abdel Yasmin Sellou อดีตนักโทษผิวสีเชื้อสาย French-Algerian

As in the film, he (Abdel Yasmin Sellou) answered my ad to continue receiving unemployment benefits, then he thought that the mansion in the 7th arrondissement was an easy safe to rob. In fact, he stayed for ten years.

He is unbearable, vain, proud, brutal, reckless, human. Without him, I would have died of decay. Abdel cared for me continuously as if I were a newborn. Attentive to the slightest sign, present during my absences, he freed me when I was a prisoner, protected me when I was weak. He made me laugh when I was breaking down. He is my guardian devil.

Philippe Pozzo di Borgo

Philippe Pozzo di Borgo และ Abdel Yasmin Sellou เคยออกรายการโทรทัศน์ Vie privée, vie publique (Private Life, Public Life) จัดโดย Mireille Dumas เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2002 และถูกนำเสนอเป็นสารคดี À la vie à la mort (2003) สร้างความสนใจให้สองผู้กำกับ Nakache & Toledano แต่พวกเขายังไม่มีประสบการณ์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาว จึงเก็บความตั้งใจเอาไว้ก่อน

หลังเสร็จจาก Tellement proches (2009) สองผู้กำกับ Nakache & Toledano ก็พร้อมแล้วจะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ทว่า Philippe Pozzo di Borgo บอกปฏิเสธเสียงขันแข็ง ไม่อยากให้ทำออกมาแนวดราม่าเรียกน้ำตา (Tearjearker) จะยินยอมอนุญาตก็ต่อเมื่อทำเป็นแนว Comedy

If you make this film, it has to be funny. This story must pass through the prism of humor. If I hadn’t met Abdel, I would be dead.

เกร็ด: ชื่อหนัง Intouchables ความน่าสนใจอยู่ตรงตัวอักษรสุดท้าย “s” นั่นหมายถึงคนสองเมื่ออยู่ร่วมกัน จะก่อให้เกิดความเข้มแข็งแกร่ง ไม่มีใครสามารถทำอะไรพวกเขาได้!

Because of the letter S. You have two untouchables, pariahs each in their own way, who, taken separately, are unsociable and, once together, are indestructible.


นักธุรกิจมหาเศรษฐี Philippe (รับบทโดย François Cluzet) ประสบอุบัติเหตุอัมพาตทั้งตัว (Tetraplegia) กำลังสัมภาษณ์หาผู้ดูแลคนใหม่ (Caregiver) วันนั้นชายผิวสี Driss Bassari (รับบทโดย Omar Sy) มายื่นใบสมัครโดยไม่คาดหวังอะไร แต่กลับได้รับเลือกเพราะพฤติกรรมแสดงออกผิดแผกแตกต่างจากใครอื่น

Driss เป็นคนโผงผาง พูดแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ปฏิบัติต่อ Philippe ราวกับมนุษย์คนหนึ่งอย่างเสมอภาคเท่าเทียม ถึงบางครั้งดูไร้มารยาท ไร้กาละเทศะ แต่กลับช่วยสร้างสีสันให้กับชีวิต ครุ่นคิด-กระทำในสิ่งผิดแผกแตกต่าง สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ บังเกิดมิตรภาพ และมนุษยธรรมที่หาได้ยากระหว่างชนชั้น-ชาติพันธุ์


François Cluzet (เกิดปี ค.ศ. 1955) นักแสดงสัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Paris ตั้งแต่มีความชื่นชอบ Comedy หลังจากรับชมภาพยนตร์ Man of La Mancha (1972), โตขึ้นเริ่มจากเป็นนักแสดงละคอนเวที ภาพยนตร์เรื่องแรก Cocktail Molotov (1980), The Horse of Pride (1980), The Hatter’s Ghost (1982), แจ้งเกิดผลงาน One Deadly Summer (1983), Round Midnight (1986), Chocolat (1988), Story of Women (1988), The French Revolution (1989), Tell No One (2006), Intouchables (2011) ฯ

รับบทนักธุรกิจวัยกลางคน Philippe ประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง แต่ด้วยความชื่นชอบกีฬาร่มร่อน (Paragliding) ประสบอุบัติเหตุอัมพาตทั้งตัว ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวตั้งแต่คอลงมา แถมภรรยาพลันด่วนจากไป จึงใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว โหยหาใครบางคนสำหรับพึ่งพักพิง … การมาถึงของผู้ดูแลผิวสี Driss ทำให้ชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย กลายมามีสีสัน บังเกิดความหาญกล้า พร้อมหวนกลับไปทำสิ่งบ้าๆอีกครั้ง!

โดยปกติแล้ว Cluzet เป็นนักแสดงตลก นิยมชมชอบใช้ร่างกาย สื่อสารด้วยอากัปกิริยาเคลื่อนไหว แต่สำหรับ Intouchables (2011) รับบทตัวละครอัมพาต ขยับได้เพียงใบหน้า นั่นถือว่ามีความท้าทาย ฉันจะทำอย่างไรให้ผู้ชมสัมผัสถึงอารมณ์ เข้าใจความรู้สึกจากเพียงน้ำเสียง และปฏิกิริยาแสดงออกทางใบหน้า

I generally consider myself to be more of a physical actor, and I’m somebody that doesn’t really want to use the dialogue but prefers to act through my body, and then sometimes when I have a script, I look and kind of throw away the dialogue and I just look at how I can expressive it through my body. Here it was totally different, and I was very concerned about it being tiring for people to just see me sitting there and not doing anything. I realized that once I allowed myself to accept that I wasn’t going to be moving, that I wasn’t going to be conveying the strength of my body, that an additional dimension was added. I disappeared into it, but that added the additional dimension.

François Cluzet

ผมรู้สึกว่า Cluzet ดูสนุกสนานเพลิดเพลิน ผ่อนคลายมากๆกับบทบาท เพราะเขาแทบไม่ต้องทำอะไรด้วยตนเอง เพียงนั่งๆนอนๆ สำแดงความเย่อหยิ่ง รสนิยมชนชั้นสูง พูดคำยียวนกวนประสาทกับตัวละครของ Sy ทั้งสองแม้ไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน แต่เคมีเข้าขา พ่อแง่แม่งอน ปลากัดกันอย่างเมามันส์


Omar Sy, 𞤌𞤥𞤢𞤪 𞤅𞤭 (เกิดปี ค.ศ. 1978) นักแสดงสัญชาติฝรั่งเศส เกิดที่ Trappes, Île-de-France ในครอบครัวผู้อพยพจาก West Africa บิดาเป็นชาว Senegalese ส่วนมารดาเชื้อชาติ Mauritanian, หลังเรียนจบมัธยมปลายเข้าทำงาน Radio Nova พบเจอคู่หูคอมเมอดี้ Fred Testot จัดรายการโทรทัศน์ เกมโชว์ สมทบภาพยนตร์ประปราย รับรู้จักสองผู้กำกับ Toledano & Nakache ตั้งแต่ทำหนังสั้น ร่วมงานภาพยนตร์ Those Happy Days (2006), Tellement proches (2009), Intouchables (2011) ฯ

รับบท Bakary ‘Driss’ Bassari ชายผิวสี อดีตนักโทษข้อหาโจรกรรม เพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกมาไม่นาน กำลังอยู่ในช่วงมองหางาน ตอนมายื่นใบสมัครเป็นผู้ดูแล Philippe ก็ครุ่นคิดว่าคงสัมภาษณ์ไม่ผ่าน เลยต้องการแค่ลายเซ็นต์เพื่อตนเองจะได้เงินชดเชย แต่คำพูดเสียดสีถากถาง กลับสร้างความประทับใจให้นายจ้าง ไม่บิดเบือน ไม่เสแสร้ง ไม่รู้สึกสงสารเห็นใจ

สองผู้กำกับ Nakache & Toledano ตั้งใจพัฒนาบทบาทนี้ให้ Sy เพราะความสนิทสนม เคยร่วมงานกันมาหลายครั้ง และถึงขนาดเปลี่ยนสัญชาติ Abdel Yasmin Sellou เป็นชาว Algerian ให้สอดคล้องกับ Sy ที่มีเชื้อสาย Senegalese

When we first worked together many years ago, none of us had done anything. When they asked me if I wanted to act in their first film, I said “I’m not really an actor,” and they said “That’s okay, we’re not really directors.” Now they are amazing directors, and since we have done a few films together, there’s a lot of trust between us.

Omar Sy กล่าวถึงสองผู้กำกับ Olivier Nakache & Éric Toledano

Driss ไม่ได้มองว่า Philippe มีอะไรๆเหนือกว่าตนเอง ฐานะ ชนชั้น จึงสามารถปฏิบัติกับเขาอย่างเสมอภาคเท่าเทียม ให้การดูแล เอาใจใส่ พร้อมแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา บางคนอาจรู้สึกว่าหมอนี้ไร้มารยาท ไร้กาละเทศะ ไม่รู้จักความถูกต้องเหมาะสม แต่นั่นแสดงถึงความแตกต่างของพวกเขา ไม่จำเป็นที่คนสองจะต้องเห็นพ้องเข้าใจกัน ก็สามารถสำแดงความเป็นมนุษย์(ธรรม)ออกมา

Friendship can only start between two people when they regard one another as equals!

Driss is never mocking of Philippe. He has no pity because he doesn’t feel superior in any way. So long as he was true to that, I didn’t think it would be offensive. If anything, he’s the one character in the movie who sees beyond Philippe’s disabilities. Politically incorrect things become offensive when they come from a place of judgment. Driss doesn’t judge.

การแสดงของ Sy ออกไปทางนักแสดงรุ่นคลาสสิก เล่นเป็นตัวตนเอง มุ่งเน้นความเป็นธรรมชาติ อุปนิสัยขี้เล่น ซุกซน ชอบพูดหยอกล้อ เกี้ยวพาราสี ยียวนกวนประสาท จะว่าไปบทบาทนี้มีความละม้ายคล้าย Alice in Wonderland เข้าไปในโลกแฟนตาซี วิถีไฮโซ สังคมชนชั้นสูง ช่วงแรกๆจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ ไม่รู้จะทำอะไรยังไง ค่อยๆซึมซับสิ่งต่างๆรอบข้าง แต่ก็ยังคงความเป็นตัวของตนเอง จนเมื่อต้องหวนกลับสู่โลกความจริง ทอดทิ้งความประทับใจ มิตรภาพไม่รู้ลืม

ก่อนหน้านี้ Sy เป็นเพียงนักแสดงตลก ผู้จัดรายการโทรทัศน์ พอมีชื่อเสียงระดับหนึ่งในฝรั่งเศส แต่ความสำเร็จอย่างล้นหลามของ Intouchables (2011) ทำให้เขาโด่งดังระดับนานาชาติ สามารถโกอินเตอร์ มีโอกาสเล่นหนัง Hollywood ติดตามมาอีกหลายเรื่อง ผลงานล่าสุดซีรีย์ Lupin (2021-) ใน Netflix ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน


ถ่ายภาพโดย Mathieu Vadepied (เกิดปี ค.ศ. 1963) สัญชาติฝรั่งเศส เป็นบุตรของนักการเมือง Guy Vadepied หลังเรียนจบ เริ่มต้นเป็นผู้ช่วยช่างภาพ ถ่ายแบบนิตยสารแฟชั่น ก่อนผันตัวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ ผลงานเด่นๆ อาทิ Samba Traoré (1993), Read My Lips (2001), Intouchables (2011) ฯ

งานภาพของหนังอาจไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากนัก พยายามจัดองค์ประกอบศิลป์ นำเสนอความแตกต่างระหว่าง Philippe vs. Driss บ่อยครั้งแทนมุมมองสายตา (ของ Driss) ก้าวย่างสู่โลกแฟนตาซี Alice in Wonderland เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตื่นตาตื่นใจ เปิดมุมมองโลกทัศน์ใหม่ ช่วงแรกๆอาจดูผิดที่ผิดทาง ทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง เมื่อผ่านไปสักพักก็จักสามารถปรับตัว แต่ยังคงไม่ทิ้งลายคราม

คฤหาสถ์สุดหรูของ Philippe ถ่ายทำ ณ Hôtel d’Avaray (ไม่ใช่โรงแรม แต่เป็นแมนชั่นส่วนตัว) ตั้งอยู่ 85 Rue de Grenelle, Paris 7 และอีกสถานที่น่าสนใจคือฉากกระโดดร่มร่อน (Paragliding) เดินทางไปยัง Mont Bisanne, Villard-sur-Doron


อพาร์ทเม้นท์ของครอบครัว Driss น่าจะอยู่ชานเมือง คอนโดจัดสรร ห้องเล็กๆอาศัยอยู่รวมกันนับสิบ แถมท้องถนนยังเต็มไปด้วยนักเลง ขี้ยา อาชญากร มันอาจไม่ถึงระดับสลัม ชุมชนแออัด แต่ก็สะท้อนวิถีชีวิตชนชั้นรากหญ้า ต้องต่อสู้ดิ้นรน หาเงินหาทอง หนทางเอาตัวรอดด้วยตนเอง

ตรงกันข้ามกับคฤหาสถ์หรูหราของ Philippe ถือเป็นภาพสะท้อนความแตกต่างทางฐานะ ชนชั้น ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม คนรวยก็รวยล้นฟ้า กินหรูอยู่สบาย อยากทำอะไรก็ได้ตามใจ ใครที่ยึดติดกับระบอบทุนนิยมย่อมไม่ตระหนักว่านี่คือความผิดปกติ สาเหตุให้มนุษย์เกิดการแบ่งแยก ขัดแย้ง อคติระหว่างรวย-จน ชนชั้นสูง-ต่ำ

เกร็ด: Hôtel d’Avaray สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1718-23 โดยสถาปนิก Jean Baptist Leroux สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของ Claude Théophile de Béziade, Marquis d’Avaray (1655-1748) ด้วยสถาปัตยกรรม Neoclassical ระหว่างยุคสมัย Régence และ Rocaille

ภาพรอยคราบเลือดบนฉากขาว สนนราคา €41,500 ยูโร ไม่มีระบุชื่อศิลปิน (คงจะวาดขึ้นสำหรับใช้ในหนังโดยเฉพาะ) ผมมองว่า Philippe คงสัมผัสถึงความเจ็บปวด หวนระลึกถึงตนเองตอนประสบอุบัติเหตุระหว่างการกระโดดร่มร่อน (Paragliding) จนกลายเป็นอัมพาตทั้งตัว ร่างกายไม่สามารถขยับเคลื่อนไหว ทุกสิ่งอย่างถูกแช่แข็งไว้เหมือนคราบเลือดดังกล่าว

ภาพวาดของ Driss อาจไม่ได้ตราตรึงเทียบเท่ารอยคราบเลือด แต่เคลือบแฝงนัยยะดูลึกล้ำกว่า! ด้านบนปาดสีน้ำเงินแลดูเหมือนท้องฟ้า (ชนชั้นสูง), ด้านล่างทรงสี่เหลี่ยมสีเข้มๆ ราวกับตึกสูงใหญ่ อพาร์ทเม้นท์จัดสรร (ชนชั้นล่าง), จากนั้นละเลงสีแดง-เหลือง คราบเลือด เปลอะเปลื้อน ไหลย้อยลงมา … ผมมองว่าคือภาพสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูง-ต่ำ เต็มไปด้วยอคติ ขัดแย้ง เหินห่างนรก-สวรรค์

อุปรากรสามองก์ Der Freischütz แปลว่า The Marksman หรือ The Freeshooter ประพันธ์โดย Carl Maria von Weber, คำร้องโดย Johann Friedrich Kind, ดัดแปลงจากหนังสือรวมเรื่องผี/ปรัมปราผีเยอรมัน Gespensterbuch (1810-17) แต่งโดย Johann August Apel & Friedrich Laun ทำการแสดงรอบปฐมทัศน์วันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1821 ณ Schauspielhaus Berlin ถือเป็น Romantic Opera เรื่องแรกของ German

เรื่องราวของนักแม่นปืน Freischütz ตกลงทำสัญญากับปีศาจ (อาจจะสื่อถึง Driss ทำสัญญากับ Philippe?) ได้รับกระสุนวิเศษยิงไม่พลาดเป้าทั้งหมด 6 นัด แต่เมื่อไหร่ลั่นไกนัดสุดท้ายที่เจ็ด ปีศาจตนนั้นจะเป็นผู้กำหนดทิศทางกระสุน ยิงโดนเป้าหมายตามใจปรารถนาของตนเอง!

แซว: อุปรากรนี้ความยาวจริงๆแค่ 2.5 – 3 ชั่วโมง (ยังไม่รวมพักเบรค) หาได้นานถึงสี่ชั่วโมงตามคำกลั่นแกล้งของ Philippe

ร่มร่อน (Paragliding) เป็นอากาศยานเบาพิเศษประเภทหนึ่ง ริเริ่มต้นโดย John Harbot และ Andrew Crowley เมื่อปี ค.ศ. 1980 ค้นพบว่าร่มร่อนสามารถเคลื่อนที่ได้โดยพลังงานจลน์ ซึ่งเกิดจากแรงดึงดูดของโลกกระทำต่อปีก (Airfoils) ทำให้ร่มร่อนสามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ไกล โดยอาศัยแรงยก (Aerodynamic Force) ที่เกิดขึ้นต่อร่มร่อน เมื่อมีอากาศไหลผ่านปีก

หลังจากพานผ่านช่วงเวลาสุข-ทุกข์ จนดำเนินมาถึงช่วงท้ายของหนัง กีฬาร่มร่อนไม่แตกต่างจากนกโบยบิน สัญญะการปลดปล่อยตนเองสู่อิสรภาพ จากเบื้องบนเขาสู่ด้านล่าง สูงสุดหวนกลับสู่สามัญ

ภาพวาดนี้ชื่อว่า My Wife, Nude, Contemplating Her Own Flesh Becoming Stairs, Three Vertebrae of a Column, Sky and Architecture (1945) ผลงานของ Salvador Dali วาดภาพเปลือยภรรยา Elena Ivanovna Diakonova กำลังจับจ้องมองภาพของตนเองที่เปลี่ยนแปรสภาพ กลายเป็นสิ่งก่อสร้างอะไรสักสิ่งอย่าง

หลังกลับจากกระโดดร่มร่อน น้องชายของ Driss เดินทางมาติดตามตัว ก็ถึงเวลาที่เราสองต้องยุติความสัมพันธ์ (เอาจริงๆมันไม่มีเหตุผลใดๆที่ Driss ต้องถูกเลิกจ้าง? ในบริบทของหนังทำเหมือน Phillippe เกิดความหวาดระแวง กลัวการชักศึกเข้าบ้าน) Philippe จับจ้องมองภาพนี้คงต้องการสื่อถึงตนเองที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ฉากสุดท้ายของหนัง Driss จัดแจงนำพา Philippe มาพบเจอแฟนสาว Éléonore ณ Cabourg, Normandy ทางตอนเหนือฝรั่งเศส ทิวทัศน์ด้านหลังคือช่องแคบอังกฤษ (English Channel) สามารถมองในเชิงสัญลักษณ์ถึงสถานที่คั่นแบ่ง/เชื่อมโยงระหว่างระหว่างเกาะบริเตนใหญ่กับแผ่นดินทวีปยุโรป … กล่าวคือ Driss เปรียบเสมือนช่องแคบที่เชื่อมโยง Philippe และ Éléonore ให้มาพบเจอกัน!

เมื่อไม่กี่เดือนก่อนผมเขียนถึง Risky Business (1983) มีการใช้ไข่แก้ว/ไข่คริสทัล (Steuben Glass) บังเกิดริ้วรอยปริแตก แสดงถึงการเติบโตของวัยรุ่นหนุ่ม Tom Cruise พร้อมถือกำเนิดออกสู่โลกภายนอก, สำหรับไข่ของ Intouchables (2011) แม้ไม่ได้มีร่องแรกแตกร้าว แต่ก็น่าจะสื่อแทนการถือกำเนิดมิตรภาพ (ตอนต้น Driss แอบลักขโมยไปขาย ก่อนช่วงท้ายติดตามหามาคืนให้กับ Philippe)

ช่วงก่อนเริ่มต้น Closing Credit มีการฉายภาพคู่หูในชีวิตจริง Philippe Pozzo di Borgo และ Abdel Sellou ผมไม่แน่ใจว่าถ่ายทำบนเขา Mont Bisanne หรือเปล่า? พบเห็นพระอาทิตย์อยู่ปลายขอบฟ้า สัญญะของประกายความหวัง มิตรภาพเบ่งบานสะพรั่ง มั่นคง ยืนยาว ตราบจนอวสาน

ตัดต่อโดย Dorian Rigal-Ansous, หนังดำเนินเรื่องผ่านมุมมองของ Bakary ‘Driss’ Bassari ตั้งแต่สมัครงานเป็นผู้ดูแล Philippe พอได้รับการว่าจ้าง เข้ามาในโลกชนชั้นสูง ช่วงแรกๆเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ ค่อยๆปรับตัวเข้ากับความแตกต่าง บังเกิดมิตรภาพผองเพื่อน ก่อนถึงกาลพลัดพรากแยกจาก

  • อารัมบท, ยามค่ำคืน Driss ซิ่งรถกับ Philippe ถูกตำรวจไล่ล่า เลยแสร้งว่าล้มป่วยหนักต้องรีบไปส่งโรงพยาบาล
  • Alice in Wonderland
    • Driss เดินทางมาสมัครงานเป็นผู้ดูแล Philippe
    • Driss แวะกลับไปบ้านแต่ไม่ได้รับการต้อนรับจากมารดา ค่ำคืนนี้เลยเตร็ดเตร่อยู่ตามท้องถนน
    • วันถัดมาได้รับการว่าจ้างเป็นผู้ดูแล Philippe แนะนำสถานที่อยู่อาศัย หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
    • Driss ปรับตัวเข้ากับกิจวัตรของ Philippe
  • มิตรภาพผองเพื่อน
    • ค่ำคืนหนึ่ง Philippe ดูทุกข์ทรมาน Driss จึงพาออกไปเดินเล่น พูดคุย
    • Driss ช่วย Philippe ติดต่อแฟนสาว Eléonore คบหากันมาหกเดือนแต่ไม่เคยพบเจอหรือพูดคุยสนทนา
    • Driss เรียนรู้จักอุปรากร ดนตรีคลาสสิก ใช้เวลาว่างๆวาดภาพศิลปะ
    • งานเลี้ยงวันเกิดของ Philippe
    • Driss ช่วยเหลือ Philippe เตรียมตัวพบเจอ Eléonore แต่ทว่าเขากลับปอดแหกกลางคัน
    • Philippe นำพา Driss ขึ้นเครื่องบินหรู เหินเวหาร่มร่อน (Paragliding)
  • งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา
    • พอกลับมาที่พัก น้องชายของ Driss มาเฝ้ารอคอยอยู่ที่ห้อง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาบานปลาย ถึงเวลาที่เขาต้องเปลี่ยนงาน
    • Philippe รับสมัครผู้ดูแลใหม่ แต่ได้คนที่ไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไหร่
    • Driss จัดแจงให้ Philippe ได้พบเจอกับ Eléonore 

ลีลาการตัดต่อต้องชมเลยว่ามีความตื่นเต้นเร้าใจ เต็มไปด้วยลูกเล่นมากมาย มุ่งเน้นความสนุกสนานครื้นเครง สร้างเสียงหัวเราะขบขัน เมามันส์ ตามสไตล์ภาพยนตร์สมัยใหม่


เพลงประกอบโดย Ludovico Maria Enrico Einaudi (เกิดปี ค.ศ. 1955) นักเปียโน คีตกวีสัญชาติอิตาเลี่ยน เกิดที่ Turin, Piedmont เป็นหลานของ Luigi Einaudi อดีตประธานาธิบดีอิตาลี (1948-55), บิดา-มารดาต่างเป็นนักเปียโน ทำให้มีโอกาสฝึกฝนเล่นดนตรีตั้งแต่เด็ก โตขึ้นเข้าศึกษาการแต่งเพลง Conservatorio Verdi, Milan เป็นลูกศิษย์ของ Luciano Berio ได้ปลูกฝังจิตวิญญาณ African Music ประพันธ์เพลงป็อป ออร์เคสตรา เพลงประกอบภาพยนตร์ อาทิ Aprile (1998), มินิซีรีย์ Doctor Zhivago (2002), This Is England (2006), I’m Still Here (2010), Intouchables (2011), J. Edgar (2012), The Third Murder (2017), The Father (2020), Nomadland (2020) ฯ

ความเป็นจริงนั้นเหมือนว่า Einaudi จะไม่ได้ทำเพลงขึ้นใหม่ แต่เป็นการนำเอาบทเพลงเคยประพันธ์เอาไว้ในอัลบัมเก่าๆ มาเลือกใช้ในหนัง ยกตัวอย่าง Una Mattina แปลว่า A Morning ที่หลายคนจดจำว่าคือ Main Theme ของ Intouchables (2011) แท้จริงแล้วรวมอยู่ในอัลบัม Una Mattina (2004)

If someone asked me about this album, I would say it is a collection of songs linked together by a story. But unlike my other albums, it doesn’t belong to a time in the past. It speaks about me now, my life, the things around me. My piano, which I have nicknamed Tagore, my children Jessica and Leo, the orange kilim carpet that brightens up the living room, the clouds sailing slowly across the sky, the sunlight coming through the window, the music I listen to, the books I read and those I don’t read, my memories, my friends and the people I love.

Ludovico Einaudi กล่าวถึง Una Mattina

งานเพลงของ Einaudi มีความละมุน อบอุ่น แสงอรุณยามเช้าสาดส่องเข้ามาสัมผัสจิตวิญญาณเบาๆ ทำเอาอารมณ์พริ้วไหว บังเกิดกำลังใจในชีวิต ไม่ว่าวันนี้จะสุข หรือพานผ่านช่วงเวลาทุกข์ยากลำบาก ก็พร้อมลุกขึ้นก้าวเดิน ดำเนินต่อไปด้วยประกายความหวัง ตราบจนกว่าจักถึงวันหมดสิ้นลมหายใจ

อีกบทเพลงของ Einaudi ที่ต้องกล่าวถึงคือ Fly ดังขึ้นตอนต้นเรื่องระหว่าง Driss ออกซิ่งรถบนท้องถนน (ไม่ใช่ตอนกระโดดร่มร่อนนะครับ) การบรรเลงเปียโนด้วยตัวโน๊ตซ้ำไปซ้ำมา ราวกับจังหวะหัวใจเต้นระริกรัว ค่อยๆทวีความเร่งเร้า รุนแรง ทะยานสู่ท้องฟ้า กางปีกโบยบิน ล่องลอยสู่อิสรภาพ

ปล. ผมนั่งดูช่อง Rousseau เล่นเพลงของ Einaudi แล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจ รังสรรค์ทำนองง่ายๆ ส่วนใหญ่กดซ้ำไปซ้ำมา (สไตล์ Minimalist) แล้วได้บทเพลงอันไพเราะเพราะพริ้ง คนเพิ่งหัดเกรด 1-2 ก็อาจจะเล่นได้แล้ว

นอกจากเพลงบรรเลงของ Einaudi หนังยังเลือกบทเพลงคำร้องจากศิลปินมีชื่อ ทั้งแนวดิสโก้ แจ๊ส ป็อปร่วมสมัย สะท้อนรสนิยมของ Driss ที่แตกต่างจากสไตล์คลาสสิกของ Philippe

ขอเริ่มที่ September (1978) แนว Disco, Funk, R&B แต่งโดย Allee Willis & Maurice White, บันทึกเสียงโดยวง Earth, Wind & Fire ไต่สูงสุดอันดับ #8 ชาร์ท Us Billboard Hot 100, และติดอันดับ #65 ชาร์ท Rolling Stone: 500 Greatest Songs of All Time (2021)

หลังถูกรถตำรวจโบกให้จอด Driss สรรหาข้ออ้าง Philippe แสร้งว่าแกล้งป่วย จนตำรวจอาสานำขบวนไปส่งโรงพยาบาล บทเพลงนี้ด้วยสไตล์ Disco, Funk สร้างความสนุกสนาน ครึกครื้นเครง โยกเต้นบนรถอย่างเมามันส์ ผู้ชมหลายคนก็คงอมยิ้ม อดไม่ได้จะโยกศีรษะตาม

Do you remember
The 21st night of September?
Love was changin’ the minds of pretenders
While chasin’ the clouds away

Our hearts were ringin’
In the key that our souls were singin’
As we danced in the night, remember
How the stars stole the night away, oh, yeah

Hey, hey, hey
Ba-dee-ya, say, do you remember?
Ba-dee-ya, dancin’ in September
Ba-dee-ya, never was a cloudy day

Ba-du-da, ba-du-da, ba-du-da, ba-du
Ba-du-da, ba-du, ba-du-da, ba-du
Ba-du-da, ba-du, ba-du-da

My thoughts are with you
Holdin’ hands with your heart to see you
Only blue talk and love, remember
How we knew love was here to stay

Now December
Found the love that we shared in September
Only blue talk and love, remember
The true love we share today

Hey, hey, hey
Ba-dee-ya, say, do you remember?
Ba-dee-ya, dancin’ in September
Ba-dee-ya, never was a cloudy day

There was a
Ba-dee-ya (dee-ya, dee-ya), say, do you remember?
Ba-dee-ya (dee-ya, dee-ya), dancin’ in September
Ba-dee-ya (dee-ya, dee-ya), golden dreams were shiny days

The bell was ringin’, oh, oh
Our souls were singin’
Do you remember never a cloudy day? Yow

There was a
Ba-dee-ya (dee-ya, dee-ya), say, do you remember?
Ba-dee-ya (dee-ya, dee-ya), dancin’ in September
Ba-dee-ya (dee-ya, dee-ya), never was a cloudy day

And we’ll say
Ba-dee-ya (dee-ya, dee-ya), say, do you remember?
Ba-dee-ya (dee-ya, dee-ya), dancin’ in September
Ba-dee-ya (dee ya, dee-ya), golden dreams were shiny days

Ba-dee-ya, dee-ya, dee-ya
Ba-dee-ya, dee-ya, dee-ya
Ba-dee-ya, dee-ya, dee-ya, dee-ya!

Ba-dee-ya, dee-ya, dee-ya
Ba-dee-ya, dee-ya, dee-ya
Ba-dee-ya, dee-ya, dee-ya, dee-ya!

ช่วงระหว่างการปรับตัวของ Driss ในคฤหาสถ์ของ Philippe จะได้ยินบทเพลง The Ghetto แนว Smooth Jazz, Funk, R&B แต่งโดย Donny Hathaway & Leroy Hutson, ทำการแสดงโดย George Benson, ประกอบอัลบัม Absolute Benson (2000)

มันอาจฟังดูขัดย้อนแย้ง เพราะคำว่า Ghetto แปลว่าสลัม แต่ในหนังกลับบรรเลงระหว่าง Driss กำลังปรับตัวใช้ชีวิต-ทำงานในคฤหาสถ์สุดหรูของ Philippe แต่นัยยะคงต้องการสะท้อนถึงรากเหง้า ตัวตนของเขาที่มาจากสลัม กลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง

ช่วงระหว่างที่ Driss ลงมือละเลงภาพวาด ตัดสลับกับการนำพา Philippe ไปใช้ชีวิตอย่างสุขเกษมสันต์ ได้ยินบทเพลง You’re Goin’ Miss Your Candyman (1972) แนว Soul, Jazz, Folk แต่งโดย Terry Callier & Phyllis Braxton, ขับร้องโดย Terry Callier … เนื้อคำร้อง “you might miss me when I’m gone” ก็ชัดเจนถึงนัยยะเพลงนี้ เมื่อไหร่ที่ Driss เลิกทำงานนี้ Philippe ย่อมต้องครุ่นคิดถึงเขาอย่างแน่นอน!

I know you, rider
Baby, you might miss me when I’m gone,
I say, baby, when I’m gone
Better think on it, rider
Baby, you might miss me when I’m gone, gone, gone
I tell you when I’m gone now
I do declare you’re gonna miss your candyman, yeah
Keepin’ you safe and warm
Yeah, keepin’ you out of harm

Now well, I’m goin away, baby
Yeah, I won’t be back till fall
Child, I won’t be back
Until late next fall now
Well I’m pushin’ out, baby
Yeah I won’t be back till fall
If I can find myself a good lovin women
I might not ever come back at all
I might not ever come back at all

Well the way I love my baby
I know she’s gonna love me some
Yeah, my baby gonna love me some
The way I love my baby
I know she’s gonna love me some
Oh when she folds her lovin’ arm around me
Lord, it’s just like a circle goin’ round the sun
In all the whole world it ain’t but one
Just like a circle goin’ round the sun
Just like a circle goin’ round the sun
Just like a circle goes round the sun
Wheelin’ like a circle goin’ around the sun
Dealin’ like a circle round the sun
Reelin’ like a circle goin’ round the sun
Feelin’ like a circle goin’ round the sun
Around the sun, round the sun
Round the sun, round the sun
Well, around the sun

Now I know you, rider
Baby you might miss me when I’m gone,
Yeah, now baby, when I’m gone
You better think on it, rider
Baby you might miss me when I’m gone,
When I’m gone, oh mama when I’m gone
I do declare you’re gonna miss your candyman
Well from keepin’ you safe and warm
Yeah, baby, keepin’ you out of harm
Now where you gonna go when it start to storm
Where you gonna go when it start to storm
Where you gonna go when it start to storm
Start to storm, start to storm
Start to storm, start to storm
Start to storm, start to storm
Start to storm, start to storm

Woouhouhououh, woouhouhououh…

I know you, rider
Baby, you might miss me when I’m gone
When I’m gone, said when I’m gone now
I know you, rider
Baby you might miss me when I’m gone
When I’m gone, baby, when I’m gone
Now I know you, rider
Girl, you’re gonna miss me
Baby when I’m gone, yeah
I said when I’m gone
Baby when I’m gone
Baby when I’m gone

บทเพลงแรกที่บรรเลงในงานวันเกิด Philippe คือ Vivaldi: Four Seasons ฤดูร้อน (Summer) ท่อน II. Adagio e piano – Presto e forte (in G minor) [แปลว่า Slow and soft – Quick and strong] เป็นบทเพลงอารัมบทการมาถึงของพายุฤดูร้อน ประเดี๋ยวลมสงบ ประเดี๋ยวลมแรง ทุกสิ่งอย่างกำลังผันแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว … เฉกเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่าง Driss & Philippe มีขึ้นมีลง ชีวิตช่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ คาดเดาอะไรไม่ได้

เกร็ด: วงดนตรีในหนังชื่อว่า Le Capriccio Français

มีหลายบทเพลงคลาสสิกที่ Philippe ต้องการโชว์อ็อฟให้กับ Driss ประกอบด้วย … จริงๆยังมีอีกหลายบทเพลง แต่เอาเท่าที่ผมจดจำได้

  • Vivaldi: Summer ท่อน III. Presto (in G minor)
  • Bach: Cello Suite No. 1 in G Major, Prélude
  • Bach: Suite No. 2 in B minor, – Badinerie
  • Vivaldi: Spring ท่อน I. Allegro (in E major)
  • Rimsky-Korsakov: Flight of the Bumblebee ประกอบอุปรากร The Tale of Tsar Saltan (1899-90)

ส่วนบทเพลงที่ Driss ลุกขึ้นมาเริงระบำคือ Boogie Wonderland แต่งโดย Allee Willis & Jon Lind, ทำการแสดงโดย Earth, Wind & Fire ร่วมกับ The Emotions ประกอบอัลบัม I Am (1979) ไต่สูงสุดอันดับ #6 ชาร์ท Us Billboard Hot 100, คว้ารางวัล Grammy Award: Best R&B Instrumental Performance

Dance, Boogie Wonderland, hey, hey
Dance, Boogie Wonderland

Midnight creeps so slowly into hearts of men
Who need more than they get
Daylight deals a bad hand to a woman
Who has laid too many bets

The mirror stares you in the face and says
“Baby, uh, uh, it don’t work”
You say your prayers though you don’t care
You dance and shake the hat

Dance, Boogie Wonderland, hey, hey
Dance, Boogie Wonderland

Sound fly through the night
I chase my vinyl dreams to Boogie Wonderland
I find romance when I start to dance in Boogie Wonderland
I find romance when I start to dance in Boogie Wonderland

All the love in the world can’t be gone
All the need to be loved can’t be wrong
All the records are playing and my heart keeps saying
“Boogie Wonderland, Wonderland”

Dance, Boogie Wonderland, hey, hey
Dance, Boogie Wonderland, hey, hey

I find romance when I start to dance in Boogie Wonderland
I find romance when I start to dance in Boogie Wonderland
Dance, dance (Boogie Wonderland), dance, dance
Dance, dance (Boogie Wonderland), dance, dance

Wonderland
Wonderland

All the love in the world can’t be gone (love in the world can’t be gone)
All the need to be loved can’t be wrong (need to be loved can’t be wrong)
All the records are playing and my heart keeps saying
Boogie Wonderland, Wonderland

Dance, Boogie Wonderland, hey, hey
Dance, Boogie Wonderland, hey, hey

I find romance when I start to dance in Boogie Wonderland
I find romance when I start to dance in Boogie Wonderland
Dance, dance, dance (Boogie Wonderland), dance, dance, dance, dance
Dance, dance (Boogie Wonderland), dance

บทเพลงระหว่างการกระโดดร่มร่อนคือ Feeling Good แต่งโดย Anthony Newley & Leslie Bricusse สำหรับประกอบละคอนเพลง The Roar of the Greasepaint – The Smell of the Crowd (1964) จากนั้น Nina Simone บันทึกเสียงในสไตล์ Jazz, Show Tune, Blues รวมอยู่ในอัลบัม I Put a Spell on You (1965)

Birds flying high
You know how I feel
Sun in the sky
You know how I feel
Breeze driftin’ on by
You know how I feel

It’s a new dawn
It’s a new day
It’s a new life
For me
And I’m feeling good
I’m feeling good

Fish in the sea
You know how I feel
River running free
You know how I feel
Blossom on a tree
You know how I feel

It’s a new dawn
It’s a new day
It’s a new life
For me
And I’m feeling good

Dragonfly out in the sun, you know what I mean, don’t you know
Butterflies all havin’ fun, you know what I mean
Sleep in peace when day is done, that’s what I mean
And this old world is a new world
And a bold world
For me
For me

Stars when you shine
You know how I feel
Scent of the pine
You know how I feel
Oh, freedom is mine
And I know how I feel

It’s a new dawn
It’s a new day
It’s a new life

It’s a new dawn
It’s a new day
It’s a new life
It’s a new dawn
It’s a new day
It’s a new life
It’s a new life

For me
And I’m feeling good
I’m feeling good
I feel so good
I feel so good

เป็นตัวเลือกน่าสนใจทีเดียวกับบทเพลง Vivaldi: Concerto For 2 Violins In A Minor, Op. 3, No. 8 ท่อนที่ III. Allegro สำหรับนำเสนอความแตกต่างระหว่าง Driss vs. ผู้ดูแลคนใหม่, เปรียบดั่งไวโอลินสองคัน บรรเลงท่วงทำนองขัดแย้ง แตกต่าง ตามสไตล์ดนตรี Baroque

ปล. หนังทำเหมือนว่า Driss รับฟังบทเพลงนี้ระหว่างประกอบกิจวัตรประจำวัน เพื่อแสดงถึงอิทธิพลที่เขาได้รับจาก Philippe แม้ไม่ได้เป็นนายจ้าง-ลูกจ้าง แต่ก็ทำให้เขาเติบโต ค้นพบรสนิยม ความชื่นชอบใหม่ๆ

Intouchables (2011) นำเสนอเรื่องราวมิตรภาพระหว่างมหาเศรษฐีกับชายผิวสี พวกเขามีความแตกต่างทางฐานะ ชนชั้น โดยปกติแล้วไม่น่าจะมีโอกาสโคจรมาพบเจอกัน แต่เพราะฝ่ายหนึ่งล้มป่วยอัมพาตทั้งตัวกำลังมองหาผู้ดูแล และอีกคนหนึ่งเดินทางมาสัมภาษณ์งาน ไหนๆก็ไหนๆลองทดลองดูงานสักตั้ง

เพราะความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง เหมือนจะเป็นผู้ดีเก่าก่อน ใครต่อใครจึงปฏิบัติต่อ Philippe ราวกับพระราชา! แสดงความสุภาพอ่อนน้อม เกรงอกเกรงใจ สงสารเห็นใจ ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม นั่นสร้างความเบื่อหน่าย ซังกะตาย โหยหาความตื่นเต้นเร้าใจ, การมาถึงของ Driss ชายหนุ่มผิวสีผู้ไม่มีอะไรจะเสีย ไร้ความกลัวเกรง ไม่สนห่าเหวอะไรใคร ครุ่นคิดอะไรก็พูดบอกออกมาตรงๆ ไม่บิดเบือน ไม่เสแสร้ง ไม่รู้สึกสงสารเห็นใจ … ความแตกต่างดังกล่าวทำให้ Philippe ชื่นชอบประทับใจในตัว Driss ทำให้ตนเองรู้สึกเหมือนมีชีวิต ถือกำเนิดใหม่ขึ้นอีกครั้ง

สองผู้กำกับ Toledano & Nakache ต่างถือกำเนิดในครอบครัวผู้อพยพจากแอฟริกาเหนือ เริ่มต้นด้วยความทุกข์ยากลำบาก ปากกัดตีนถีบ จนมีโอกาสเข้าสู่วงการภาพยนตร์ ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเงินทอง อาจไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาด Philippe แต่ก็เข้าใจชีวิตของ Driss (รวมถึง Omar Sy) เคยพานผ่านอะไรๆมาคล้ายกัน

ในแง่มุมหนึ่งของหนัง Intouchables (2011) เคลือบแฝงอุดมการณ์ฝรั่งเศส เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ (Liberté, Égalité, Fraternité) แม้จะมีความแตกต่างทางฐานะ ชนชั้น ชาติพันธุ์ มิตรภาพระหว่าง Philippe และ Driss บังเกิดขึ้นได้เพราะความซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมา มองไม่เห็นสูง-ต่ำ ดำ-ขาว มนุษย์ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน!

แต่ในความเป็นจริงนั้น Philippe & Driss ยังคงแตกต่างราวฟ้ากับเหว สวรรค์กับนรก ทั้งสองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องพึ่งพาอาศัย ต่างฝ่ายต่างยินยอมรับ สามารถเปิดใจให้กัน ไม่มองคำพูด-การกระทำว่าเป็นการดูหมิ่น เหยียดหยาม … จะมีสักกี่คนบนโลกที่จิตใจดีงาม เปิดกว้างได้ถึงขนาดนั้น!

ความตั้งใจของสองผู้กำกับ แม้ไม่ได้เคลือบแฝงประเด็นสังคม การเมือง เพียงต้องการสร้างความบันเทิง แฝงสาระข้อคิดเกี่ยวกับมิตรภาพ เสรีภาพ-เสมอภาค-ภารดรภาพ ต่อให้คนสองมีความแตกต่างราวฟ้ากับเหว ก็ยังสามารถให้ความช่วยเหลือ พึ่งพาอาศัย กลายเป็นมิตรแท้ เพื่อนตาย

แต่ผมมองหนังเรื่องนี้เหมือนกับ Amélie (2001) คือการสร้างภาพฝรั่งเศสในอุดมคติที่ไม่มีอยู่จริง! พยายามชวนเชื่อ (Propaganda) บรรดาเพื่อนผู้อพยพ (Black-Blanc-Beur) ปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อคนขาวชาวฝรั่งเศส ลองเข้ามาในโลกของพวกเขา เปิดมุมมองใหม่ๆ แล้วคุณอาจติดอกติดใจ ค่อยๆถูกกลืนกิน สูญเสียตนเองให้กับลัทธิทุนนิยม


ด้วยทุนสร้าง €9.5 ล้านยูโร ($10.8 ล้านเหรียญ) เมื่อเข้าฉายในฝรั่งเศสทุบสถิติยอดจำหน่ายตั๋ว 19.385 ล้านใบ ประมาณ $116 ล้านเหรียญ ในยุโรปหลายๆประเทศก็ทำเงินถล่มทลาย รวมรายรับทั้งหมดทั่วโลก $444.7 ล้านเหรียญ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม

แม้เสียงตอบรับของหนังจะดียอดเยี่ยม แต่เพราะเข้าฉายปีเดียวกับ The Artist (2011) เลยไม่ค่อยมีโอกาสลุ้นรางวัลสักเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นกลับได้รับเลือกเป็นตัวแทนฝรั่งเศสส่งชิง Oscar: Best Foreign Language Film ผ่านเข้ารอบเก้าเรื่องสุดท้าย (January shortlist) น่าเสียดายไปไม่ถึงฝั่งฝัน

  • Golden Globe: Best Foreign Language Film **คว้ารางวัล
  • British Academy Film: Best Film Not in the English Language
  • European Film Awards
    • Best European Film
    • Best European Actor (François Cluzet)
    • Best European Actor (Omar Sy)
    • Best Screenwriter
  • César Awards
    • Best Film
    • Best Director
    • Best Actor (Omar Sy) **คว้ารางวัล
    • Best Actor (François Cluzet)
    • Best Supporting Actress (Anne Le Ny)
    • Best Original Screenplay
    • Best Cinematography
    • Best Editing
    • Best Sound

เกร็ด: Omar Sy คือนักแสดงผิวสีคนแรกที่คว้ารางวัล César Awards: Best Actor

ถ้าผมรับชมหนังเรื่องนี้เมื่อหลายปีก่อน อาจหลงใหลคลั่งไคล้ในมิตรภาพผองเพื่อน มันช่างงดงาม ซาบซึ้งกินใจ แต่เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน การเติบโตทางภาพยนตร์ทำให้ผมสนใจรายละเอียดรอบข้าง พบเห็นความแตกต่างทางชนชั้นแล้วเกิดความเอือมละอา สมเพศเวทนา หนังเรื่องนี้เลยกลายเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้ “Intouchables”

(อาจเพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนผมเพิ่งรับชม La Haine (1995) เลยยังเต็มไปด้วยอคติระหว่างชนชั้น พอเห็นภาพความแตกต่างสุดโต่งระหว่างคนรวย-จน เกิดความห่อเหี่ยว ขำไม่ออก ต่อต้านหนังเรื่องนี้โดยพลัน)

จัดเรต pg กับความแตกต่างสองโลก

คำโปรย | Intouchables มิตรภาพระหว่างคู่หูสองโลกแม้มีความงดงาม ซาบซึ้งกินใจ แต่มันสะท้อนสภาพเป็นจริง ความแตกต่างระหว่างชนชั้นที่ห่างไกลกันลิบลิ่ว
คุณภาพ | เปราะบาง
ส่วนตัว | จับต้องไม่ได้

1
Leave a Reply

avatar
1 Comment threads
0 Thread replies
1 Followers
 
Most reacted comment
Hottest comment thread
1 Comment authors
ร.น.ก. Recent comment authors

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

  Subscribe  
newest oldest most voted
Notify of
ร.น.ก.
Guest
ร.น.ก.

พูดถึงธีมเรื่อง มิตรภาพระหว่างคน 2 คนที่แตกต่างกันสุดขั้ว กลายเป็นการดึงดูดกัน เติมเต็มซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างยังคงเป็นตัวของตัวเอง แต่ต่างเรียนรู้เปิดโลกทัศน์ระหว่างกันมากขึ้น โดยเหตุเกิดเริ่มจากอีกฝ่ายสามารถปฏิบัติตนตามปกติ มอบชีวิตปกติต่ออีกฝ่ายที่ป่วยและกำลังจะตายได้ (ไม่ใช่เอาอกเอาใจ เสียใจ เห็นใจกันเวอร์วังจนอีกฝ่ายอึดอัด) ก็มีหนังอนิเมะเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ

คือ “Kimi no Suizō o Tabetai” หรือ “I Want to Eat Your Pancreas” (2018) (ชื่อไทย “เพราะหัวใจใกล้ตับอ่อน”) สร้างจากนิยายชื่อเดียวกัน (ชื่อแปลไทยคือ “ตับอ่อนเธอนั้น ขอฉันเถอะนะ”) ของ Yoru Sumino ซึ่งเรื่องราวลึกซึ้ง ฉบับหนังอนิเมะดัดแปลงได้ค่อนข้างซื่อตรงต่อบทประพันธ์มาก มีการใช้เทคนิคทางภาพยนตร์เข้ามาใช้ในการถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ (คล้ายพวก A Silent Voice หรือหนังอนิเมะค่าย Kyoto Animation) บางอย่างก็ดัดแปลงได้ดีกว่านิยายโดยยังคงสาส์นสาระใจความไว้

ป.ล. ไม่แนะนำให้ดูฉบับหนังคนแสดงซึ่งออกฉายก่อนหน้าปีนึง “Let Me Eat Your Pancreas” (2017) ก่อน ซึ่งมีการดัดแปลงแต่งเติมตัดทอนตีความอะไรหลายๆอย่าง จนสาส์นสาระผิดแผกไปจากเดิม จากเรื่องราวต้นฉบับการเรียนรู้ชีวิต ตัวตน ความตาย สัจธรรมไม่เที่ยง การเติบโต Coming-of-Ages กลายเป็นหนังโรแมนติกดราม่าดาดๆไป (แต่จะดูหลังจากดูฉบับอนิเมะ/อ่านนิยายต้นฉบับแล้วเพื่อเปรียบเทียบก็ได้)

%d bloggers like this: